วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 06:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อกล่าวหานี้มาจากผู้ที่เรียกตนเองว่า

นักอภิธรรม

พวกเขาต่อต้านท่านพุทธทาสที่ไม่สอนเรื่องข้ามชาติข้ามภพแต่สอนให้ลงมือปฏิบัติธรรมเดี๋ยวนี้

เพื่อมีโอกาสหลุดพ้นอาสวะในชาตินี้เลย

ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วลองวิจาญดูครับว่า

เข้าหลักสัทธรรมปฏิรูปหรือไม่

ขอวิชาธรรมล้วนๆครับ
ไม่เอาใส่ไข่



นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้
เอ้า, ทีนี้ก็มาพูดถึง ที่ว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ กันดีกว่า:

เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมถูกด่า จนไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรแล้ว
ว่าเอาพระนิพพาน มาทำให้สำเร็จประโยชน์ที่นี่และเดี๋ยวนี้. ในเมื่อ
เขาต้องการ ให้ตายแล้วเกิด, ตายแล้วเกิด, ตายแล้วเกิด, ร้อยชาติ
พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ แล้วจึงจะนิพพาน. แล้วเรามาทำให้
เป็นว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็มีนิพพาน เขาก็โกรธ ไม่รู้ว่ามันจะไปขัด
ประโยชน์ ของเขาหรืออย่างไร ก็ไม่ทราบ

เขาหาเรื่องว่า เรามาหลอกคนว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือ
ทำให้ นิพพานนี้ด้อยค่าลงไป เพราะทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เขา
ให้ถือว่าหมื่นชาติ แสนชาติ จึงจะได้; ถ้าอย่างนั้น ค่ามันก็มากซิ;
พอมาทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ กลายเป็นของง่ายไป เขาคัดค้าน ก็ด่า;
ไม่เป็นไร, เราไม่ได้ต้องการแก่คนพวกนี้ เราต้องการให้คนทั่วไป
ต่างหาก ได้รับประโยชน์จากนิพพาน

จิตถึงนิพพานได้ ต้องละอุปาทาน

มันมีหลักอยู่ว่า เมื่อใดเกิดอุปาทาน เมื่อนั้นไม่นิพพาน คือ
จิตของเรา ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด คุณรู้ความหมายว่า จิตของเรา
กำลังยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตนในสิ่งใด เมื่อนั้นนิพพานไม่ได้;
เมื่อใด จิตไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดอยู่ เมื่อนั้นนิพพานเอง
เป็นนิพพาน ในทิฏฐิธรรมนี้ด้วย.

จะเล่าเรื่องก็คือว่า มีคนที่เป็นนักคิดนักศึกษา ที่เป็นฆราวาสทั้งนั้น
ไม่มีพระเลย เป็นพระอินทร์ก็มี เป็นอุบาสก เป็นคนร่ำรวยอะไรก็มี
ก็มาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมคนจึงไม่นิพพาน ในทิฎฐธรรม?
คือทำไม คนไม่บรรลุนิพพาน ในความรู้สึก ของตัวเอง ที่รู้สึกได้
ที่นี่และเดี๋ยวนี้?

ทิฎฐิธรรมนั้น หมายความว่า รู้สึกอยู่กับใจของตัวเอง

เขาถามว่า ทำไมคนจึงไม่บรรลุนิพพาน
ชนิดที่รู้สึกอยู่กับใจเอง ที่นี่และเดี๋ยวนี้?
ทิฎฺเฐว ธมฺเม - ในธรรมอันตนเห็นแล้วเทียว,
คือในความรู้สึกที่ตนกำลังรู้สึกอยู่เทียว;
ไม่ใช่ต่อตายแล้ว, ตายแล้ว จะรู้สึกอย่างไรได้
ก็คือ ที่นี่และเดี๋ยวนี้.

พระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสตอบว่า มันเป็นอย่างนั้น, คือ ท่านยกมา
ทั้งกระบิ ทั้งระบบ เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่าง แล้วท่าน
ก็ ตรัสทีละอย่าง

ท่านก็ต้องตรัสว่า เรื่องตานี่ เห็นรูปก่อน เป็นเรื่องแรก.
รูปที่ตาเห็นนั้น เป็นอิฎฺฐา แปลว่าน่าปรารถนาอย่างยิ่ง,
กนฺตา - ยั่วให้เกิดความรัก. กนฺตา เป็นภาษาไทย มาเป็น กานดา,
นางกานดา คือ นางสาวที่น่ารัก. กนฺตา - น่ารักอย่างยิ่ง, มนาปา -
น่าพอใจอย่างยิ่ง. ปิยรูปา - มีลักษณะน่ารัก, กามูปสญฺหิตา -
เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยแห่งกาม. รูปชนิดนั้นเป็นที่เข้าไปตั้งอาศัย
แห่งกาม คือ ความใคร่. รชนียา - ย้อมจิต.

รูปนั้น อิฎฺฐา, กนฺตา, มนาปา, ปิยรูปา, กามูปสญฺหิตา, รชนียา;
หมายความว่า รูปนั้น น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ ลักษณะชวนรัก
ก็เป็นที่เข้าไปตั้ง แห่งความใคร่ แล้วก็น้อมจิต จับจิตอย่างยิ่ง
รูปนั้นมีลักษณะอย่างนั้น

ทีนี้ บุคคลนั้นเห็นเข้าแล้ว; ถ้าเขาชอบใจอย่างยิ่ง อภินนฺทติ -
ชอบอย่างยิ่ง, อภิวทติ - พร่ำสรรเสริญ อยู่อย่างยิ่ง. พร่ำสรรเสริญ;
ก็คุณนึกดูว่า พอมันถูกอะไร อร่อยอะไรนี้ มันทำเสียงสูดปาก
อะไรบ้างนี้; อภิวทติ - พร่ำสรรเสริญ เหมือนกับคนบ้า เพราะสิ่งนั้น
มันอร่อย มันสวย. แล้วก็ อชฺโฌสาย ติฎฺฐติ - ฝังจิตใจเข้าไปหมก
อยู่ในสิ่งนั้น.

อย่าฟังแต่เสียงนะ คือ นึกถึงของจริง ที่มันสวยอย่างยิ่ง, แล้วมันก็
เพลินอย่างยิ่ง, แล้วมันก็พร่ำแสดงทางปากนี่, ว่าพอใจอย่างยิ่ง,
แล้วจิตมันก็ฝังลงไป ในสิ่งนั้นอย่างยิ่ง, คือ กายมันก็เป็นไป วาจา
มันก็เป็นไป จิตมันก็เป็นไปในทางที่จะเข้าไปหลงใหลในสิ่งนั้น. นี้
เรียกว่า เขามันเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมก อยู่อย่างนี้นะ.

วิญญาณของเขา ก็เป็นวิญญาณ ที่กิเลสเหล่านั้น เข้าไปอาศัยแล้ว,
กิเลส คือ ความรัก ความหลงใหล ความกำหนัด เข้าไปอาศัยอยู่ใน
จิตของเขา ในวิญญาณ ในจิตของเขา นี่ ความที่จิตมันถูกกิเลส
เข้าไปอาศัยนี้ ก็เรียกว่า อุปาทาน- ยึดมั่นถือมั่น ว่าสวย ว่าหญิง
ว่าชาย, ว่าอะไรก็ตาม แล้วก็ของกู เพื่อตัวกู, เพื่อของกูนี้เรียกว่า
อุปาทาน.

ความที่วิญญาณนั้น ถูกกิเลสเข้าไปอาศัยแล้ว กิเลสมันไปจับจิต
นั้นแล้ว ก็คือจิตมันฝังอยู่ในอารมณ์นั้น นี้เรียกว่า อุปาทาน
ผู้ที่มีอุปาทานไม่ปรินิพพานในความรู้สึกของตน คือ
ในทิฎฐธรรม ไม่นิพพาน.

เอ้า, ทีนี้ ก็ไปเปรียบเองเองในทางที่ตรงกันข้าม: เมื่อรูปที่มัน
น่าใคร่ น่ารักน่าพอใจ เป็นที่ตั้งแห่งกาม ย้อมจิตย้อมใจ มาถึง
เข้า. ทีนี้คนคนนั้นหรือภิกษุนั้นก็ตาม มีธรรมะพอมีสติปัญญาพอ
เขาก็เห็นว่า โอ๊ย! มันแค่นั้นแหละ, มันเท่านั้นแหละ,
มันปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ อย่างนั้นแหละ.

ถึงแม้ว่า น่ารักนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เขาสมมติ รู้สึกอย่างนี้ ว่าน่ารัก
มันเห็นเป็นอย่างนั้นเอง. แล้วยังเห็นลึกไป โดยรายละเอียดอะไร
ก็ได้ ว่าไม่เที่ยง ว่าอนัตตา ว่าเป็นทุกข์: เมื่อคนๆนี้ เขามีความรู้พอ
เขาจะศึกษามาอย่างไร ก็ไม่ได้พูด โดยรายละเอียด แต่คนคนนี้
เขามีความรู้สึกพอ มีสติพอ มีปัญญาพอ เขาก็ไม่หลงเพลิดเพลิน
ไม่หลงพร่ำสรรเสริญ ด้วยปาก ใจของเขาก็ไม่ฝังลงไป.

เมื่อเป็นอย่างนี้ วิญญาณ หรือจิตของคนคนนั้น ก็ไม่ถูกกิเลสอาศัย,
กิเลสไม่เข้าไป อาศัยได้ในจิต นั้นคือไม่มีอุปาทาน. ผู้ที่ไม่มี
อุปาทาน ย่อมปรินิพพานในทิฎฐธรรม ในความรู้สึกของตนเอง
ที่นี่และเดี๋ยวนี้.

มันสำคัญอยู่ที่คำว่า อุปาทาน; อย่าให้เป็นตัวภาษาหนังสือจดไว้
ในสมุด หรือหูฟังว่า อุปาทาน; ไม่พอ, ไปรู้จักอุปาทานที่เรา
มีอยู่จริง. ทุกๆคนมีอยู่จริง มีอุปาทาน ในรูป ที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม,
ในเสียง ที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม, ในกลิ่น ที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม, ในรส
ที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม, สัมผัสผิวหนังที่เป็นที่ตั้งแห่งกาม, ความรู้สึก
หรือสัญญาอะไร ที่มันเป็นที่ตั้งแห่งกาม ในใจนี้.

ส่วนใหญ่ ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสไว้ มันเป็นเรื่องเพศ
ตรงกันข้ามทั้งนั้นแหละ. ของเพศตรงกันข้ามทั้งนั้น : รูป เสียง
กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่เนื่องกันอยู่กับเพศตรงกันข้าม
นี้ จับจิตยิ่งกว่าสิ่งใด, เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานยิ่งกว่าสิ่งใด. ฝ่ายหญิง
ก็เป็นแก่ชาย ฝ่ายชายก็เป็นแก่หญิง. นั่นอุปาทาน มันมาจาก
๖ ประการนี้ ที่มันมีอำนาจรุนแรง

แล้วเราก็ไปดูของจริงซิ: อย่าดูตัวหนังสือ, ดูของของจริงนั้น,
ดูที่มันเกิดแก่ใจ ของเราจริงๆ เราก็จะรู้จัก อุปาทาน. เราก็
จะรู้จัก อุปาทาน, เราก็จะรู้จักว่า พอมีอุปาทานแล้ว จิตใจนี้ก็
เหมือนกับ ถูกอัดไว้ด้วยไฟ, บอกไม่ถูกดอก มันเหมือนกับว่า
ถูกทิ่ม ถูกแทง ถูกเผา ถูกลน ถูกมัด ถูกครอบงำ ถูกอะไรทุก
อย่าง; มีอุปาทาน ก็ไม่มีนิพพาน คือ ไม่ว่าง ไม่เย็น. ทีนี้ ถ้าจิต
ใจมันเป็นอิสระ มันไม่เป็นอย่างนั้นได้ มันก็ว่าง มันก็เย็น.

ต้องควบคุม รู้ทัน ผัสสะ และเวทนา เพื่อไม่เกิดอุปาทาน

นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ได้ เพราะเราสามารถควบคุมสิ่งที่มาสัมผัส
ด้วย ไม่ให้สร้างความเพลิดเพลินพร่ำสรรเสริญหรือเมาหมกขึ้นมา
ในใจ เราได้. มันมีเท่านี้ ถ้าคุณทำได้ เรื่องนิพพานนี้ ก็เป็นของจริง
ไม่ใช่ของพูดไว้ พูดเฉยๆ ไม่หลอกใคร. เราก็จะเป็นพุทธบริษัทจริง
เพราะเรารู้จักนิพพาน และเราทำให้มีนิพพาน เสวยรสของพระ
นิพพานได้.

ฉะนั้นก็ไปต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ;
เอาชนะได้ไม่มีการตกลงไปเป็นทาสของสิ่งนั้น ก็เรียกว่า
ไม่มีอุปาทานผูกพัน; เมื่อนั้นก็ นิพพาน คือว่างจากกิเลส,
แล้วก็เย็นอยู่ตามธรรมชาติของ จิตประภัสสร,

นี่นิพพานที่นี่ และเดี๋ยวนี้ มันเป็นอย่างนี้.

ถ้าจะเกี่ยงให้บำเพ็ญบารมี หมื่นชาติแสนชาติก็ได้ เพราะว่า
เกิดตัวกู ในอารมณ์ครั้งหนึ่ง เรียกว่าชาติหนึ่ง
เดือนหนึ่งอาจเกิดได้หลายร้อย
ปีหนึ่งอาจเกิดได้หลายพัน หลายหมื่น
ยี่สิบสามสิบปีก็เกิดได้หลายแสน

พอแล้ว, พอแล้ว อย่าให้มันมากกว่านั้นเลย
มันควรจะเข็ดหลาบแล้ว.
นี้ บำเพ็ญบารมีกัน หมื่นชาติแสนชาติ
ได้ก่อนแต่ที่จะเข้าโลง มันก็ไม่ค้านกันดอก.

หลักที่เขาว่า ให้บำเพ็ญบารมีหมื่นชาติแสนชาติเสียก่อน
จึงจะนิพพาน; ของเราปฏิบัติได้อย่างนี้,

แต่ของเขา มันจะเหลวคว้าง.
เขาต้องรอเข้าโลงแล้ว หมื่นครั้งแสนครั้ง
เดี๋ยวก็ลืมหมด ขี้เกียจพูดกัน เข้าโลงตั้งแสนครั้ง:
เราไม่ทันจะเข้าโลงสักที
เรามีการเกิดตาย แห่งตัวกูนี้ ตั้งแสนครั้ง เหมือนกัน.

เป็นอันว่า มันไม่ขัดกันละ,
ที่ว่าจะต้องสร้างบารมี แสนชาติ จึงจะนิพพาน ถูกแล้ว;
แต่ว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราสร้างได้แสนชาติ, แล้วหลังจากนั้น
มันมีการเข็ดหลาบ มันฉลาดพอที่จะทำไม่ให้กิเลสเกิด คือ
เราทำอยู่ ตลอดแสนชาติ นั่นแหละ ไม่ให้เกิดกิเลส.
อนุสัยลดๆๆๆ เดี๋ยวก็หมดอนุสัย กิเลสเกิดไม่ได้
มันก็เป็นนิพพาน โดยสมบูรณ์.

ฉะนั้น เมื่อคุณบังคับความรู้สึกได้ครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นแหละ
คือสร้างบารมี ครั้งหนึ่ง. ถ้าคุณปล่อยจิต ไปตามอารมณ์
ก็เพิ่มๆๆๆ บวกๆๆๆ อนุสัย; บังคับจิตไว้ได้, กูไม่ไปอร่อยกับมึง.
บังคับจิตไว้ได้อย่างนี้ ทีหนึ่ง มัน ลบๆๆๆหนึ่งๆๆ อนุสัยมันเป็นลบ;
ไม่เท่าไรมันก็หมด มันไม่มีพื้นฐานรากฐาน ไม่มีเดิมพันที่จะเกิด
กิเลส ก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์

ระวังทำให้อุปาทานลดลง จะถึงนิพพานโดยลำดับ

นี่พูดกัน ในชีวิตประจำวัน คุณจะต้องถือเป็น เรื่องประจำวัน;
เพราะว่าเรื่องที่จะมาทำให้เกิดกิเลส มันมาทุกวันๆ; เรื่องที่
จะกำจัดมันเสีย ก็ต้องเป็นเรื่องทุกวันๆ ประจำวัน;

อย่าได้ไปหลงรักหลงเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมก
จิตไม่ถูกกิเลสอาศัยไม่มีอุปาทาน ก็จะเป็นนิพพานในทิฎธรรม
อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้. นี่คือเรื่องนิพพาน.

เอ้า, ตอนท้ายนี้ อยากจะพูดอีกนิดหนึ่งว่า นิพพานนี้ให้เปล่า
ไม่คิดสตางค์; พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อย่างนั้น

ลทฺธา มุธา นิพฺพุติ ภุญฺชมานา - ให้เปล่า ไม่คิดสตางค์กับใคร.
นี่น่าจะขอบใจนิพพาน หรือ พระพุทธเจ้า ไม่เรียกไม่ร้อง อะไร
ไม่เรียกคิดค่าอะไร.

ระวังอย่าให้อุปาทานเกิดขึ้นมันก็เป็นนิพพานเอง
ไม่ยากลำบาก ไม่เหลือวิสัย แล้วก็ไม่คิดสตางค์,
แล้วก็ทำให้เสร็จเสียก่อนเข้าโลง.
ผมจึงพูดคำพูดขึ้นมาใหม่อีกคำหนึ่งว่า

"ตายก่อนตาย คือนิพพาน";
แต่ผมก็ได้ยินจากคนเฒ่าคนแก่อีกทีหนึ่ง
ผมลืมเสียแล้วว่าใครพูด คือ มันเนื่องมากับที่ว่า

สวรรค์ในอกนรกในใจ นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย.

นี่ปู่ย่าตายายของเรา ไม่ใช่เล่น
สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ; ไม่เรียกว่า อยู่ใต้ดิน อยู่บนฟ้าอะไร
เหมือนที่เขาพูดกันแต่ก่อนแล้ว

นิพพานนั้นอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คือ ตัวกูๆๆ. ที่เคยเกิดวันละ
หลายๆหน ให้มันตายสนิทเสียก่อน แต่ที่ร่างกายนี้จะตายเข้าโลง
มันยิ่งแสดงว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้; ก่อนแต่ที่ร่างกายจะตายจะเข้าโลงนี้
ตัวกู-ของกู แห่งอุปาทาน ให้มันหมดเสียก่อน นั่นแหละคือนิพพาน.

นิพพาน คือตายเสียก่อนตาย ทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็ให้เปล่า
ไม่คิดสตางค์ใครยังไม่เอาอีกคนนั้นโง่กี่มากน้อยไปคำนวณเอาดู

นี่ผมพูดเรื่องที่ผมถูกด่าให้คุณฟัง.
พอผมพูดว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็ถูกด่า,
แล้วมันเปลี่ยนไม่ได้. จะด่าก็ด่าไปเถอะ มันเป็นเรื่องจริง อย่างนี้
มีหลักฐาน ในพระพุทธภาษิตอย่างนี้
ก็มันมีการทดสอบด้วยใจจริงอย่างนี้;
แล้วมันก็เห็นชัดๆ อยู่อย่างนี้ เป็นสันทิฎฐิโก อยู่อย่างนี้.
มันก็คงสภาพอย่างนี้ไว้, ก็คงพูดว่าอย่างนี้ : นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้.

เอาไปศึกษาเพิ่มเติม ความรู้เรื่องพุทธศาสนาให้เต็ม.
ผมได้บอกมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งต้น ครั้งแรกว่า ผมจะเลือกสรรมา
แต่เรื่องที่จำเป็น เป็นเนื้อหาเป็นสาระทั้งหมดทั้งสิ้น
ตั้งแต่ต่ำจนถึงสูงที่สุด มาพูดด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ;
อย่างที่ผมกำลังทำอยู่นี้.

เรื่องนิพพานนี้ จะพูดกันเป็นเดือนๆ ก็ได้;
แต่นี้เอามาแต่เนื้อหาสาระ หัวข้อที่เป็นหลัก
มันก็พูดเดี๋ยวนี้ ชั่วโมงกว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้,
แล้วก็คาบเกี่ยวไปถึงเรื่องอื่นด้วย ที่มันคาบเกี่ยวกันอยู่เป็นธรรมดา,
อะไรเป็นเหตุให้ไม่นิพพาน อะไรเป็นเหตุให้นิพพาน
ก็ต้องพูดถึงด้วย.

เอาละเลิกกันทีนะ
เลิกว่านิพพานนี้เหลือวิสัย นิพพานไม่มีประโยชน์ นิพพานจืดชืด
นิพพานต้องรอเข้าโลง หมื่นหน แสนหน นี่เลิก.

เอาเป็นนิพพานที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ก็จะเป็น พุทธบริษัทที่แท้จริง,
มีพระนิพพานได้จริง, มีพุทธศาสนาจริง คือมีนิพพาน
เป็นพุทธบริษัทจริง คือ รู้เรื่องนิพพาน.

เอ้า, ขอยุติการบรรยาย ชั่วโมงนี้ไว้เพียงเท่านี้ แล้วก็ปิดประชุม.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เท่าที่อ่าน ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดนะครับ เป็นไปตามกฎอิทัปปจัจจนตาปฏิจจสมุปบาท ที่ให้ทำก็เป็นวิปัสสนาภาวนาให้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวตามที่เป็นจริง (ไตรลักษณ์)

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้า กล่าวว่า ฌาน 8 เป็นนิพพานโดยปริยาย คือเทียบเคียงนิพพาน หากนิพพานที่นี่และเดี่ยวนี้ก็น่าจะพูดได้ แต่ไม่ตรงกับความหมายที่คนเขายอมรับกันคือ นิพพานแล้ว ยังทุกข์อีก ก็ไม่น่าจะใช่นิพพานทีแท้จริง นิพพานแล้วจิตต้องไม่กำเริบมาทุกข์ทางใจอีก เหมือนบอกว่าสุข ได้ถ่ายก็สุข กินอิ่มก็สุข ความสนุกในเพศสัมพันธ์นั่นก็สุข แต่เป็นสุขคนละความรู้สึก ถ้าจะบอกว่ามีข้าวกินอิ่มเป็นนิพพานของคนยากจนอนาถาเพราะดูแล้วมันช่างเลือนลางเหลือเกิน ในแง่นี้นิพพานของคนอนาถาก็คือการพ้นจากทุกข์จากความอดอยากนั่นเองผมมองว่าท่านพุทธทาสมองประโยชน์ในปัจจุบันมากกว่า คนที่ชีวิตมีความเคร่งเครียดกดดัน แบกภาระต่างๆมากมาย ยึดติดสิ่งต่างๆจน จิตคับแคบปราศจากอิสระ น่าจะเหมาะกับนิพพานที่นี่เเละเดี๋ยวนี้ อย่างน้อยก็ให้เขาได้รับคุณประโยชน์จากพระศาสนา ไม่ต้องรอชาติหน้า อาจจะกล่าวว่า นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้เป็นการเล่นคำมากกว่า

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


kim1 เขียน:
พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก เป็นแค่เหล่านักปราชญ์ ไม่ใช่นักปฏิบัติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติจึงจะเข้าถึงธรรม ด้วยเหตุนี้ พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก จึงเป็นพวกสัทธรรมปฏิรูป บิดเบือนพุทธศาสนา จนกลายเป็นศาสนาของมาร.....ชัดเจนไหมครับ




คุณนี่มันเงาคุณพลศักดิ์นี่นา :b32:

คำพูดเดียวกันเด๊ะๆๆๆๆๆ :b22:

ระวังนะคะ เดี๋ยวคนเขาจับได้ เพราะมันไม่เนียนเลยค่ะ :b13:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้จริงๆ นะครับ ถ้าไม่ได้ตรัสจริง ผมไม่กล้าเขียนหรอกครับ กลัวนรกจะกินหัวเอา นิพพานโดยปริยาย หมายความว่า เทียบเคียงนิพพาน ในสมัยหนึ่ง มีคนหลง เอาปฐมฌาน คิดว่าเป็นนิพพานมาแล้ว แค่ระดับปฐมฌานก็สุขจนคนเข้าใจผิดมาแล้ว

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kim1 เขียน:
พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก เป็นแค่เหล่านักปราชญ์ ไม่ใช่นักปฏิบัติ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติจึงจะเข้าถึงธรรม ด้วยเหตุนี้ พุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก จึงเป็นพวกสัทธรรมปฏิรูป บิดเบือนพุทธศาสนา จนกลายเป็นศาสนาของมาร.....ชัดเจนไหมครับ


คุณนี้มันเลวจริง ๆ กระทู้เขาว่า.. นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้คือสัทธรรมปฏิรูปจริงหรือ..
แล้วมันเรื่องอะไร..ไปว่าพระว่าเจ้า..เขานะ..

อยากสะเหลือเกิน..นะคุณนี้..อยากเป็น..เปรต..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าใช้คำแรงๆ อย่างคำว่าเลวสิครับ เวปศาสนา ควรจะมีแต่สิ่งดีๆ คุณพลศักดิ์ โคลนนิ่ง เขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2009, 23:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
อย่าใช้คำแรงๆ อย่างคำว่าเลวสิครับ เวปศาสนา ควรจะมีแต่สิ่งดีๆ คุณพลศักดิ์ โคลนนิ่ง เขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว


คำว่าเลวนี้..ยังเพราะนะครับ.. :b4:

ครูบาอาจารย์..ท่านสอนเสมอว่า..ถ้าเรายังโกรธอยู่..ก็ให้นึกว่า..เรายังเลวอยู่.. :b13: :b7:

แหม..พอครูอาจารย์พูดว่า..เรายังเลวอยู่นะ..มันเพราะกินใจ..( อาจเพราะออกจากความเมตตา )

แต่เจ้าพวกที่อวดตน..ว่าพระ..นี้ซี..เราในเวปศาสนา..ต้องช่วยกระตืบให้แบน..กระตึบให้ทะลุไปกองรวมกันในเวปมาร..จึงจะดี..อิ..อิ..อิ..นี้แค่พิมพ์..ก็ยังมีความสุขเลย..คุณ :b12: :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 79 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร