วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 05:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 18:47
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันมีผู้ที่เสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนาไม่น้อย อันมีเหตุจากพระทุศีล
ทำให้การเข้าถึงพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นยากยิ่ง...ฉะนั้น

ในสังคมโลกนี้
มีคนดี - ก็ย่อมมีคนไม่ดี
มีพระดี - ก็ย่อมมีพระไม่ดี เป็นธรรมดา

**การทำบุญให้ได้บุญนั้นก็เหมือนการปลูกพืช
ถ้าเรานำเมล็ดพืชปลูกในดินที่ดีธาตุดี ก็จะงอกยืนต้น ออกดอก ออกผลให้เราได้กินได้ใช้
ในยามขัดสนมีอุปสรรคก็จะไม่เดือดร้อน แล้วยังเก็บผลแบ่งให้ผู้อื่นได้ด้วย
แต่ ถ้าเราไปปลูกในดินลูกรัง หรือในทราย ก็จะสูญเปล่าอย่างแน่นอน
เมือนอย่างที่โบราณว่า "ทำบุญแล้วผีอด"

หรือ..บางคนบอกว่า ทำบุญทำทานไม่ได้หวังอะไร การหวังคือกิเลส
บ้างก็ว่า ทำทานคือการ สละ ทำกับใครก็เหมือนกัน
ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องกรวดน้ำ หรือแผ่เมตตา เพราะกุศลส่งไปไม่ถึงหรอก ..เนื่องจาก

การทำบุญที่ถูกต้องนั้น ต้อง "พร้อม" ทั้งผู้ให้ และผู้รับ
ผู้ให้ - ทานนั้นได้มาโดยสุจริต ไม่ฉ้อโกงลักขโมย หรือไม่ผิดศีล
ผู้รับ - เป็นพระผู้ปฏิบัติตามทางของพระอริยะเจ้า หรืออย่างน้อยก็เป็นพระผู้รักษาศีลครบถ้วน
ปฏบัติกรรมฐาน มั่นคงตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

...ฉะนั้น การทำบุญให้ดูที่พระว่าเป็นเนื้อนาบุญให้เราหรือไม่
**การเป็นพระนั้นอยู่ที่"ศีล" ไม่ใช่โกนหัวห่มผ้าเหลืองแค่นั้น
ศีลของพระมี 227 ข้อนั้นอยู่ในปาติโมกข์ ยังมีศีลนอกปาติโมกข์อีกมากมาย ดูพระง่ายๆ เช่น
ศีลข้อ10 เว้นจากการรับเงินรับทอง หรือสิ่งที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือทอง
ดังนั้น พระที่รับธนบัตรซึ่งชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย และแลกเป็นเงินหรือทองได้
จึงผิดศีล ศีลไม่ครบ ความเป็นเนื้อนาบุญไม่สมบูรณ์ นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังรวมถึงการ ขุดดิน ฟันหญ้า ดูหนัง ฟังเพลง สะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา ปลุกเสก เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงไม่อนุญาตให้พระกระทำ

"พึงพิจารณาพระสมมุติสงฆ์ด้วยพระธรรม"

*มีคนเคยแย้งว่า ถ้าไม่ให้พระรับเงินแล้วจะซื้อหยูกยายังไง? จะสร้างกุฎีสร้างโบสถ์ยังไง?
ถ้าเดินทางจะจ่ายค่ารถยังไง?
**พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้มี"ไวยาวัจกร"ผู้ปฏิบัติพระคุณเจ้า เมื่อพระคุณเจ้ามีความประสงค์
สิ่งหนึ่งสิ่งใดในปัจจัยสี่ อันสมควรแก่"สมณะบริโภค"ให้เรียกร้องจากไวยาวัจกรตามมูลค่า
ที่ผู้ถวายได้ปวารณามาแล้ว เช่น พระมีดำริที่จะสร้างกุฎี โบสถ์ โรงพยาบาลสงฆ์
สถานปฏิบัติธรรมอุบาสก-อุบาสิกา ก็ให้เรียกร้องงบประมาณตามมูลค่าที่มี หรือเช่น
การเดินทางไปต่างที่ของพระ ต้องมีผู้อุปฐาก(เด็กวัด)ติดตามไปด้วย(ถ้าพระบวชไม่ถึง
5พรรษา ต้องมีพระพี่เลี้ยงไปด้วย)อย่างตอนหลวงปู่มั่นธุดงค์ก็ต้องมีเณรติดตามรับใช้

***เนื่องจากเวลาที่ยาวนานถึงสองพันห้าร้อยกว่าปี ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าเจือจางลงไป
ตามสภาพสังคม และการแทรกความเห็นส่วนตัวของผู้สอนธรรมซึ่งไม่ตรงทางมรรค
การปฏิบัติจึงค่อยๆห่างจาก"ทางสายกลาง"ออกไปเรื่อยๆกลายเป็น"ทางสาย ก-อู"ซึ่งผิดมหันต์
เพราะการบิดเบือนคำสอนนั้น ผู้ตามไม่เป็นอะไรมากถ้ากลับตัวทัน
แต่ผู้นำนั้นหลังความตาย ต้องสู่นรกโลกันต์ที่เดียว
สุดทางแห่งด้านสว่าง คือ นิพพาน - ไม่เกิดอีก
สุดทางแห่งด้านมืด คือ นรกโลกันต์ - ไม่เกิดอีก ความเห็นผิดจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

ฉะนั้น สิ่งใดที่ยังรู้ไม่จริง นั่นคือเรายังเป็นผู้ "ไม่รู้" ให้พึงระวัง...สาธุ
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



สวัสดีค่ะคุณฌาน :b12:

ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ...

เดี๋ยวนี้อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปแล้วค่ะ ตัวเองนั้นก็ยอมรับความจริงนะคะ

เมื่อก่อนก็เคยถวายปัจจัยเวลาพระท่านมาบิณฑบาตร เพราะไม่รู้น่ะค่ะถึงผลที่จะต้องได้รับ

คิดอย่างเดียวว่า เราทำบุญ นี่เงินของเรา แต่พอได้มาศึกษา ถึงได้เข้าใจความถูกต้อง

ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยถวายปัจจัยในขณะที่พระกำลังบิณฑบาตรเลยค่ะ กรรมอยู่ที่คนทำ

วิบากส่งผลที่พระด้วย ท่านเคยสร้างเหตุร่วมกับคนๆนี้มา จึงต้องมารับผลเช่นนี้

ทรัพย์เปรียบเสมือนงูพิษสำหรับพระ และเห็นหลายๆรูปที่ต้องจบชีวิตพระก็เพราะเงิน

ขนาดตำแหน่งเป็นถึงเจ้าคณะ ก็ยังไม่รอดเลยค่ะ ฉะนั้นจึงไม่ถวายปัจจัยให้กับพระ

แต่จะไปถวายที่วัดแทน เช่นสร้างกุฏิ หรือสร้างสิ่งที่จำเป็นศาสนะ และสำหรับสงฆ์

แต่คนอื่นๆจะถวาย เราไม่ว่าอะไร นั่นแล้วแต่ศรัทธาของเขา เราไปห้ามเขาไม่ได้

จิตเขาเกิดกุศลขณะที่ได้ถวายปัจจัย ถ้าเราไปติติงเขา เท่ากับเรากำลังสร้างเหตุที่เป็นอกุศล

บางคนอาจจะมองว่า ศาสนาเสื่อมลงเพราะเหตุนี้ ศาสนาไม่ได้เสื่อมอะไรเลย

แต่ใจของคนต่างหากที่เสื่อม ใจเสื่อมเพราะอะไร เพราะไม่ยอมมองที่เหตุและผล

ถ้าคนเราเข้าใจเหตุที่เกิดขึ้น ผลที่ได้รับ เราจะไม่มาว่าใคร เราจะซักถามกันด้วยเมตตา

ไม่ใช่นำแต่ทิฐิใส่กัน ดีไม่ดีมีโทสะเข้าเจือด้วย แต่บางคนก็ไม่รู้ตัว คิดอย่างเดียวว่า

ความคิดของตัวเองถูก เราคิดปฏิบัติ เราควรหมั่นฝึกจิตเราให้เป็นกลาง

ไม่ไปชอบหรือชังกับทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้น แรกๆอาจจะยาก ทำบ่อยๆ เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปบ่อยๆ

รู้ลงไปบ่อยๆ แล้วอยู่กับมัน ทำเดิมๆซ้ำ ทีนี้จะเริ่มเห็นละว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง

มันก็เป็นของมันแบบนี้อยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว มีก่อนที่จะมีเราเกิดขึ้นมาด้วยซ้ำ

แต่เพราะเราไม่ดูแบบปกติ แต่เราไปดูแบบจับผิด แบบเพ่งโทษ นั่นก็ไม่ถูก นี่ก็ไม่ถูก

ใครรับผลการกระทำนั้น เราเป็นผู้รับผล ไม่ใช่ใครเลย ..

แทนที่จะไปว่าคนอื่นๆ ทำให้คนอื่นๆเห็นเป็นตัวอย่างสิ ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน

พอคนเห็นเราทำแบบนี้ เขาต้องถามละว่าทำไม เหมือนกรณีที่ไม่เคยถวายปัจจัย

ใส่บาตรให้กับพระ มีคนถามเหมือนกัน คนนั้นถวายทีเป็น 100 เลย

เขาบอกว่า ไม่มีเวลาซื้อหาร เขาถามว่า ทำไมเห็นถวายแต่นมกล่อง บางทีก็ของแห้ง

เราบอกว่า จะซื้อของพวกนี้ไว้ เจอพระตรงไหนก็ใส่ตรงนั้น เพราะไม่ค่อยมีเวลาไปวัดทำบุญเหมือนกัน

ที่ไม่ถวายปัจจัย เพราะเรากำลังทำให้พระทำผิดพระธรรมวินัย ไปด้วยความไม่รู้ของเรา

เขาถามว่าผิดยังไง เราก็เลยนำประโยชน์ที่ได้เรียนนักธรรมตรีมาใช้ พอดีเรียนรวมกับพระ

เลยได้ความรู้ตรงนี้มา บอกว่า พระไม่ควรมีเงินติดตัวเกิน 1 มาสก นั่นในสมัยก่อน

สำหรับเรา สมัยนี้ เราจะตีค่าไว้ที่ 20 บาท เพราะพระไปไหนไม่ตกยากอยู่แล้ว

ไม่จำเป็นตกพกเงินมากมาย ถามว่าเราถวายปัจจัยให้กับพระนั้นเราได้กุศลไหม

ได้ค่ะ เพราะจิตเราเป็นกุศล แต่กุศลนั้นเจือไปด้วยอกุศล เพราะทำให้พระท่านผิดพระธรรมวินัย

ผลตรงนี้ก็ส่งมาถึงเรา เวลาทำอะไรได้ผลจึงอยู่ แต่ผลนั้นได้รับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ได้ผลนะคะ เดี๋ยวนี้มีชาวบ้านที่เคยใส่บาตรร่วมๆกัน เลิกถวายปัจจัยให้กับพระ

แม้แต่เรื่องขอทาน ไม่เคยให้เงินเหมือนกันค่ะ การให้เงิน เท่ากับเราไปสนับสนุน

ให้เขาประกอบอาชีพเป็นขอทาน ถ้าถามว่าเราอยากเป็นขอทานกันไหม ทุกคนย่อมบอกว่า

ไม่อยากเป็น เมื่อไม่อยากเป็นแล้วเราไปสร้างเหตุให้เกิดทำไมล่ะคะ สร้างเหตุอย่างไร

ผลก็ต้องเป็นเช่นนั้น เราช่วยเขาได้ค่ะ ไม่ต้องให้เงิน แต่จงให้อาหารแก่เขา

เราจะถามก่อนเลยว่า เขาทานข้าวหรือยัง ถ้ายังเราพาเข้าร้านอาหารเดี๋ยวนั้นเลย

อยากทานอะไร ให้ทานเต็มที่ ไม่จำกัดงบ ทานให้อิ่มตามที่เขาต้องการ

บางคนขอห่อกลับ เราให้นะ ไม่หวง ... เคยจ่ายที น่าจะ 300 ได้มั๊ง

เด็กไปตามพวกมา เขาคงจะหิวกัน ก็ไม่ว่าอะไรกัน เพราะทำด้วยคิดที่จะให้

ให้เขาอิ่มน่ะดีแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องไปเล็กขโมยน้อย เพราะเขายังอิ่มอยู่

เห็นในกระทู้แล้วแหละค่ะ เฉยๆนะในข้อถกเถียงเขา เราไม่จำเป็นต้องโยนหน้าที่ให้กับพระ

ฝ่ายเดียวนี่คะ ถึงแม้เราจะเป็นฆารวาส เราก็สามารถสืบทอดศาสนา จารีตประเพณีตรงนี้ได้

โดยการทำตัวอย่างให้เขาเห็น ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยค่ะ ทำเท่าที่ทำได้

ดีกว่าไปคอยจ้องเพ่งโทษกับพระ แทนที่จะย้อนกลับมามองที่ตัวเองให้มากๆว่า

วันนี้เราทำดีพอหรือยัง กิเลสตัวไหนที่มันคงมีอยู่ในใจของเรา ให้เราใช้ความเพียร

เฝ้าถากถางกิเลสตัวนั้นออกไปซะ ใจก็จะหมดจด ใจก็จะสะอาด เมื่อใจเริ่มสะอาดมากขึ้น

อวิชชาที่เคยบดบังปัญญาเราย่อมเจือจางลงไป ย่อมเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น

เราย่อมสามารถช่วยสืบทอดศาสนาให้ยืนยาวออกไปอีกตามอายุขัยที่เรามีอยู่

ดีกว่าไปสร้างเหตุแบบนั้น แต่อย่างว่าแหละค่ะ เหตุมี ผลย่อมมี

เขาเคยสร้างเหตุร่วมมากับพระ เคยเพ่งโทษกันมา พอมาชาตินี้ก็กลับมาเพ่งโทษ

กันต่อ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เมื่อยังมีการจองเวร ยังสร้างเหตุใหม่

ให้เกิดขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ก็เรื่องของเขาแล้วล่ะค่ะ ...

แม้แต่ในการที่ชอบกล่าวกันว่า ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากๆ

ความศรัทะหากแม้นขาดปัญญา ความศรัทธานั้นย่อมกลายเป็นความงมงาย

แค่ลูบคลำศิลไปวันๆ แต่ใจนั้นไม่เข้าถึงเลย หากแม้นใจเข้าถึงจะไม่มาว่าพระกันแบบนี้

แต่จะทำเป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็น เวลาใครถามก็ชี้แจงให้เขาเห็นภาพ

ไม่ใช่มาตะโกนว่าเขาปาวๆแบบนี้มันก็ไม่ถูกต้อง ...

เดี๋ยวนี้คำว่า เมตตา เริ่มจะมีน้อยเสียเหลือเกินในจิตใจของคน

คำหนึ่งก็พระทุศล สองคำก็พระทุศิล หัวโล้นแบบนี้ :b8:

ฟังแล้วเศร้าใจ รู้สึกสะเทือนในเสียเหลือเกิน นี่หรือผู้ที่ปรกาศตัวว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า

นี่หรือบุคคลที่มีความศรัทธาในพระรัตนตรัยมากยิ่งกว่าชีวิต เป็นเพียงลมปากเท่านั้นเอง

ทำไมไม่ดำเนินรอยตามที่พระองค์ทรงวางทางไว้ให้เห็น ...

ก่อนเราจะบอกคนอื่นๆได้ เราทำให้ได้ก่อน แล้วทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ..

ส่วนใครจะทำหรือไม่ทำนั่นเรื่องของเขา ให้มองเป็นกลางๆ ในเรื่องของเหตุและผล

ไม่ใช่มาพูดจาหยาบคายแบบนี้ ถ้าเป็นสมัยก่อน อาจารย์มาได้ยินได้ฟังลูกศิษย์พูดจาแบบนี้

ท่านจะพูดเลยว่า พวกนี้ให้เอาตำราเสขิยวัตรมาต้มให้ทั้งกินทั้งอาบ ไม่รู้จะแก้ได้หรือเปล่า

เพราะลองมันหยั่งลึกฝังรากไปในใจเสียแล้ว ยากยิ่งนักที่จะขุดออกได้ ...

ยากแท้ยิ่งนัก เพราะยังไม่เข้าใจกัน ย่อมยึดถือทิฐิตัวเองเป็นเหตุให้ก่อเหตุใหม่ไม่รู้จบ ... :b8:




.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หวัดดีคับท่านฌาน

หายไปเลยนะ

นี่ตัวสีส้มหายไปไหนแล้วล่ะครับ
cool


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ทรงสอนว่า..ไม่มีสิ่งใดไม่เกิดจากเหตุ..

ผู้ที่ศรัทธาเสื่อม..มิใช่เกิดจากเหตุปัจจัย..ของตัวเป็นผู้กระทำเอง..ไม่ใช่หรือ

ผู้ที่ทุศีลทั้งหลาย..มิใช่เกิดจากเหตุปัจจัย..ของตัวเป็นผู้กระทำเอง..ไม่ใช่หรือ

จะโทษแต่ผู้ทุศีล..เป็นเหตุให้ผู้คนเสื่อมศรัทธา..หรือ..ก็ในเมื่อผู้ทรงศีลจนถึงพระอริยะเจ้า..ยังปรากฏอยู่..แล้วทำไม้..ทำไมพระธรรมคำสอนยังเสื่อมไปจากใจคน ๆ นั้นได้..

ก็เพราะอวิชชาในตัวนั้นแหละ..ตัวดี..ที่มันพร่ำสอนผู้คนว่า..อย่างนั้นถึงจะดี..มีรถลากดีกว่าแบกหาม..พอมีรถลาก..มันก็บอกว่ารถลากเทียมวัวเทียมม้า..ดีกว่า..พอมีรถเทียมสัตว์..มันก็บอกให้หาเครื่องยนต์มาใส่..พอได้เป็นรถยนต์..มันว่าช้าไป..ต้องบินอย่างนก..ดีกว่า..แม้มนุษย์ไปถึงดาวอังคารได้..ก็ยังไม่พอใจมันหรอก..เจ้าอวิชชานี้นะ..ดูง่าย ๆ ..ดูที่ใจของตัวเองนี้แหละ..มันชอบว่า..อย่างนั้นดีกว่าอย่างนี้..รถเบนซ์ดีกว่ารถอีแต๋น..ใช่หรือไม่...

และตอนนี้..
...ใช่มันในหัวใจเราหรือไม่..ที่ว่า..เพราะผู้ทุศีลนี้แหละ..คนถึงเสื่อมศัทธาในพระศาสนา..
...ใช่มันในหัวใจเราหรือไม่..ที่ทำให้เราลืมคำสอนของพระองค์ที่ว่า..สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม..ตัวเองไม่ทำกรรมดี..แล้วว่าไม่ดีเพราะผู้อื่นทำเลวนะ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 29 ก.ค. 2009, 01:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นเรื่อง ที่พูดลำบาก...

ในถนนสายใหญ่ ที่มีผู้คนผ่านไปมามากมาย สายหนึ่ง จะไม่ให้มีคนไม่ดีเข้ามาเดินเลย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้

คนที่มีปุพเพกตปุญญตา จะได้ไปพบกับอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร ที่เป็นสุปฏิปันโน และ จะศรัทธาในการปฏิบัติ

คนที่ไม่มีปุพเพกตปุญญตา จะไม่ได้ไปพบกับอาจารย์ที่เป็นกัลยาณมิตร ที่เป็นสุปฏิปันโน และ จะไม่ศรัทธาในการปฏิบัติ




เรื่อง การที่พระวินัยระบุว่าพระต้องไม่รับเงินนั้น ก็ ควรจะปฏิบัติตามพระวินัย โดยให้มีไวยาวัจจกร จัดการ





ในอดีต หลวงปู่ สิม พุทธาจโร ท่านยังเคยต้องเดินทางไกลเป็นหลายสิบกิโลเมตรเพื่อไปทำธุระ

ท่านเคยเล่าเอาไว้ว่า ระหว่างทาง ถ้าท่านพบรถประจำทาง เวลาท่านจะขอขึ้นรถ(ท่านไม่ถือปัจจัย) ท่านจะถามเจ้าของรถเอาว่า
"โยม...อยากได้บุญไหม?"

คือ ท่านบอกกลายๆว่า ท่านขอโดยสาร แต่ท่านไม่มีปัจจัยจ่ายค่ารถให้น่ะ :b32:

สมัยก่อน ในต่างจังหวัด เขามักจะไม่เก็บเงินพระหรอก

แต่ ในยุคปัจจุบันนี้ ...สภาพสังคมเปลี่ยนไปมากน่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

สวัสดีครับ

ใช่ฌาณ หรือว่า ฌาน

คนเดียวกันหรือเปล่าครับ

แล้วทำไมสมัครใหม่ละครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2009, 00:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนา สาธุค่ะคุณวลัยพร กำลังมีความข้อง
อยู่ในใจ และกำลังคิดจะถามอาจารย์กามโภคีอยุูู่ แต่คำตอบทั้งหมดมันอยู่
ที่โพสต์นี้เกือบทั้งหมด เรื่องที่เฝ้าแต่จ้องว่าคนอื่นทำไม่ดี คอยแต่จับผิดคนนั้น
คนนี้ ตอนนี้กำลังเป็นค่ะ พอตำหนิเขาแล้วก็ไม่สบายใจว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้
คือฝ่ายดำกับขาวกำลังสู้กันอยู่ ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ตอนนี้พอจะสว่างมาบ้างนิดหน่อย
อ่านทวนหลายๆครั้งเดี๋ยวคงเข้าใจเอง ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ เจริญในธรรมค่ะ

tongue

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2009, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
อนุโมทนา สาธุค่ะคุณวลัยพร กำลังมีความข้อง
อยู่ในใจ และกำลังคิดจะถามอาจารย์กามโภคีอยุูู่ แต่คำตอบทั้งหมดมันอยู่
ที่โพสต์นี้เกือบทั้งหมด เรื่องที่เฝ้าแต่จ้องว่าคนอื่นทำไม่ดี คอยแต่จับผิดคนนั้น
คนนี้ ตอนนี้กำลังเป็นค่ะ พอตำหนิเขาแล้วก็ไม่สบายใจว่าทำไมเราเป็นคนแบบนี้
คือฝ่ายดำกับขาวกำลังสู้กันอยู่ ยังหาวิธีแก้ไม่ได้ ตอนนี้พอจะสว่างมาบ้างนิดหน่อย
อ่านทวนหลายๆครั้งเดี๋ยวคงเข้าใจเอง ขอบคุณอีกครั้งนะค่ะ เจริญในธรรมค่ะ

tongue

:b41: :b41: :b41: :b43: :b41: :b41: :b41:


คุณทักทายครับ

คุณคงเข้าใจเรื่องความเป็นกลางของใจบ้างแล้วจากการปฏิบัติบางส่วน
ทุกอย่างถ้าเรารู้เราเห็นโดยไม่เป็นกลาง จะมองไม่ชัดเลยจะมองไม่เห็น
เลยว่า ข้อไหนดีหรือไม่ดี ข้อไหนควรหรือไม่ควร อุปมาเหมือนการกำหนด
ในขณะที่เรา เห็นหรือได้ยินว่า เห็นหนอ ยินหนอ นั่นเอง ตอนนั้นเราวางจิต
เป็นกลาง มองตามความจริงโดยไม่ปรุงแต่ง ตอนนั้นเราจะรู้ตามความจริงว่า
เสียงที่ได้ยิน รูปที่เราเห็นมีสีเขียวหรือขาวเป็นต้น มันก็เป็นแบบนั้นนั้นเอง
มันมีของมันอยู่แล้ว เกิดขึ้นแล้ว กระทบตาหูเราแล้ว ก็ดับไปเหมือนเช่นที่มัน
เป็นมา มีมาอย่างไรก็อย่างนั้น แต่เพราะเราเองแต่ก่อนไม่วางจิตเป็นกลาง
เราก็ว่าเสียงนั้นไพเราะ รูปนั้นสวยงาม เป็นต้น จิตที่เข้าไปรู้ย่อมสัดส่ายได้
เพราะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อนั้นย่อมติดพันเป็นอารมณ์เรื่อยไป ความอยากได้อยาก
ดียิ่งขึ้นไปอีกก็ตามมาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตามมามากมาย มาจากความไม่เป็นกลาง

ข้อนี้ลองไปสังเกตเวลาปฏิบัติดูครับ มีความจริงมากมายที่เราจะเข้าใจได้เมื่อปฏิบัติ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนละ "ฌาน" แน่ๆเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 49 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร