วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 05:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีหลายท่านปฎิบัติอย่างไรตามจริตนะครับ มิกล้าวินิจฉัย ผมปฎิบัติในการตัดวงจรปฏิจสมุปบาท ตรงช่วงระหว่างเวทนา ทำให้เกิดตัณหา เมื่อเรามีอาตายนะ ย่อมเลี่ยงการเกิดผัสสะไม่ได้แน่นอนเมื่อมีผัสสะย่อมเลี่ยงเวทนาไม่ได้เช่นกัน แต่เมื่อมีเวทนาเราสามารถระงับไม่ให้เกิดตัณหาได้ ด้วยอุเบกขาธรรม เมื่อสุขเกิดก็วางเฉย เมื่อทุกข์เกิดก็ว่างเฉย สังเกตุได้เมื่อมีผัสสะย่อมมีเวทนาเกิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์หรืออุเบกขาต้องเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ผมใช้ช่วงนี้แหละครับตัดวงจรปฏิจสมุปบาทได้ผลตรงไวชัดเจน แต่ขอย้ำนะครับจิตในขณะนั้นต้องเป็นจิตที่ละเอียดอ่อนที่สุดจิตที่รับรู้ในระดับจิตไร้สำนึกเท่านั้นเป็นจิตที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีจึงจะเข้าไปขุดรากถอนโคนอนุสัยให้หลุดลอยได้ เมื่อเราวางอุเบกขาได้ ตัณหาก็เกิดไม่ได้ อุปาทานก็ไม่สามารถมีได้ เมื่ออุปาทานไม่มีภพ ก็ไม่มี ฯลฯ นี่เป็นแนวทางผมนะครับส่วนท่านใดจะมีแนวทางอย่างไรก็ส่วนบุคคลครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมรู้จักวิธีนี้ดีครับ เพราะผมก็ใช้แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก 6-7 ขวบ ตั้งแต่เริ่มรู้จักคำว่าพุทธ ก็ได้ยินคำว่าสงบสุข ก็ได้ยินคำว่าอุเบกขา และก็พำเพ็ญตนด้วยวิธีการนี้ตลอดมาจนถึงอายุ 37 ปี สิ่งนี้ส่งเสริมผมอย่างมากทั้งชีวิตการงานและการใช้วีวิตประจำวัน ผมได้รับการยกย่องจากผู้คนรอบข้างเสมอว่าอดทน ใจดี ไม่โมโหง่ายๆ ใครทำให้ผมโมโหได้ ผมแทบจะกราบ ผมว่าผมทำตนเป็นนายทวารประตูทั้ง 6 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ... จนกระทั่งหันมาศึกษาศาสนาอย่างจริงๆ จังๆ จึงพบความจริงว่า ...

ฉันทะ อุบเกขา เอกกัตตา ล้วนเป็นองค์ธรรมของสมถะ หรือ สมาธิ ทั้งนั้น จึงรู้ว่าสิ่งที่บำเพ็ญมาเป็นระยะเวลานาน และถือศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งที่สุดของการดำเนินชีวิตนั้น ยังไม่ถึงที่สุดของการดับทุกข์ พอมานั่งสมาธิมันถึงทำได้รวดเร็วนัก

ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ต่างประเทศ ผมเห็น source code ของ windows 95 ด้วยความไม่คิดอะไร ก็นึกว่าเจ้าของออกจะรวย เอาไปดูเล่นเขาคงไม่ว่าอะไรมั้ง แต่ปรากฎว่า โดนจับได้ เขาก็ไม่เอาเรื่องยึดของคืนไป แต่ตอนถูกสอบสวน พรรคพวกที่ไปด้วยกันก็ชมผมว่า ทำได้อย่างไร นิ่งๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร อันที่จริงผมรู้ตัวดีว่าผมรู้สึกกระวนกระวายแค่ใหน ที่สำคัญอุปกิเลสของผมมันยังอยู่ อำนาจของอุเบกขาช่วยให้ผมรอดมาได้ก็จริง ผมจึงรู้ว่านิสัยผมในส่วนที่เลวยังอยู่ มันไม่ได้ถูกประหารด้วยอุเบกขา กลว่าวคือ อุเบกขาไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ ผมเพียงแต่หลบอยู่หลังความสงบเท่านั้น

ถ้าจะลองสำรวจตัวเองดูดีๆ นะครับ คุณจะโมโหไปแล้วเมื่อเกิดเวทนา จากนั้น เข้าก็ทำสมาธิทันทีด้วยความชาชิน การที่เราทำจนชิน เจ็บปุ๊ปฉีดยาปั๊บ แล้วก็ต้องทำตลอดชีวิต วิธีนี้จึงสรุปได้ว่าเป็นเพียงการหลบทุกข์ หรือรักษาแบบชั่วคราวเท่านั้น ผมเอาชีวิตผมทั้งชีวิตเป็นประกัน

ต่อมาเมื่อผมรู้จักการวิปัสสนา สุขแบบถาวรจึงเกิดขึ้น ... ประตูสู่นิพานอยู่แค่นี่เอง ... ไง่มาตั้งนาน ... แทนที่จะหลบมันอย่างคนขี้ขลาด ชนมันตรงๆ เลยจะไปกลัวมันทำไม แทนที่คุณจะกดเวทนาด้วยอุเบกขา ลองเปลี่ยนมาเป็นพิจรณาเวทนาทันทีเมื่อมันเกิดว่า หูมันได้ยินเสียง เราห้ามไม่ได้ เราพอใจไม่พอใจ ก็เพราะกิเลสของเราปรุงแต่ง แล้วก็ทำให้เราเป็นบ้าเป็นพอ สักพัก มันก็หยุดก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น .. เกิดขึ้น คงอยู่ ดับไป มันก็แค่นี้เอง ... ไม่เที่ยง เกิดดับ ... เท่านี้มันก็จะกลายเป็นวิปัสสนาภาวนาโดยทันที อานิสงค์ที่ได้คือ เกิดปัญญาดับทุกข์ได้ทันที เมื่อทำจนชาชิน มันก็ไม่ต่างกับที่ใช้อุเบกขา เกิดเวทนาปุ๊ป ปัญญาก็มารับปั๊ป ไม่ทุกข์ ที่สำคัญ มันดับอุปกิเลสได้อย่างถาวร ปฏิบัติแบบนี้จนชิน อย่างเร็ว 7 วัน อย่างมาก 7 ปี คุณก็จะได้โสดาบันปฏิมรรคขั้นต้น มีญานทัศนะ รู้เห็นสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายปราถนาอย่างยิ่งนัก

แล้วคุณจะหลบทุกข์หรือดับทุกข์???

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมรู้จักวิธีนี้ดีครับ เพราะผมก็ใช้แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก 6-7 ขวบ ตั้งแต่เริ่มรู้จักคำว่าพุทธ ก็ได้ยินคำว่าสงบสุข ก็ได้ยินคำว่าอุเบกขา และก็พำเพ็ญตนด้วยวิธีการนี้ตลอดมาจนถึงอายุ 37 ปี

ไม่ต้องเสียดายหรอกครับ ถือว่าโชคดีแล้วที่มีปัญญาได้ไวบวกกับอุเบกขาที่สะสมมานั้นทำให้คุณไปไกลกว่าคนอื่นเขา การที่จะมีแต่อุเบกขาอย่างเดียวนั้นไม่สามารถบรรลุธรรมได้อย่างที่คุณว่านะถูกต้องแล้วครับ โพชฌงค์7ต้องครบครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แก้ไขล่าสุดโดย dhama เมื่อ 24 ก.ค. 2009, 07:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 22:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมว่าตัดที่ใจนะดีกว่านะครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้

:b10: :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนทำได้ พูดยังไงก็ไม่ผิด
ต่อให้พูดไม่เป็น ก็จะพูดไม่ผิด

คนทำไม่ได้ ยิ่งพูดมาก ยิ่งผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak Mulpong

อ้างคำพูด:
ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ต่างประเทศ ผมเห็น source code ของ windows 95 ด้วยความไม่คิดอะไร ก็นึกว่าเจ้าของออกจะรวย เอาไปดูเล่นเขาคงไม่ว่าอะไรมั้ง แต่ปรากฎว่า โดนจับได้ เขาก็ไม่เอาเรื่องยึดของคืนไป แต่ตอนถูกสอบสวน พรรคพวกที่ไปด้วยกันก็ชมผมว่า ทำได้อย่างไร นิ่งๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร อันที่จริงผมรู้ตัวดีว่าผมรู้สึกกระวนกระวายแค่ใหน ที่สำคัญอุปกิเลสของผมมันยังอยู่ อำนาจของอุเบกขาช่วยให้ผมรอดมาได้ก็จริง ผมจึงรู้ว่านิสัยผมในส่วนที่เลวยังอยู่ มันไม่ได้ถูกประหารด้วยอุเบกขา กลว่าวคือ อุเบกขาไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ ผมเพียงแต่หลบอยู่หลังความสงบเท่านั้น



อุเบกขา มี สองความหมาย คือ


1. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น, ความรู้จักวางใจเฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเอง, ความวางทีเฉยคอยดูอยู่ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขาตามควรของมัน ไม่เข้าข้างไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซง
(ข้อ ๔ ในพรหมวิหาร ๔, ข้อ ๗ ในโพชฌงค์ ๗, ข้อ ๑๐ ในบารมี ๑๐, )

2. ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา (= อทุกขมสุข)
(ข้อ ๓ ในเวทนา ๓)



การนิ่งไม่รู้สึกรู้สา(อาจเพราะจำนนด้วยหลักฐานด้วย :b6: ) ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร... ผมเห็นฆาตกรฆ่าคนตาย ตอนนำมาทำแผน ก็นิ่งมากๆ ไม่เห็นรู้สึกรู้สาอะไรเยอะแยะไป

อย่าเอานิ่งในลักษณะนี้ไปปนกับ คุณธรรมในพรหมวิหาร หรือ โพชฌงค์เจ็ดเลย ....เป็นคนล่ะเรื่องเลย

อนึ่ง การนิ่งในลักษณะนี้ อาจจะเป็นลักษณะ ที่ เฉยเมย มากๆ แบบไม่สมเหตุผล เข้าลักษณะที่เรียกว่า apathy เป็นลักษณะที่ผิดปกติทางจิตแบบหนึ่ง

Apathy Syndrome

การมีอารมณ์ราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย แต่ไม่ใช่อาการซึมเศร้า






อ้างคำพูด:
อุเบกขาไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ ผมเพียงแต่หลบอยู่หลังความสงบเท่านั้น


อุเบกขาที่คุณกล่าวถึงนี้ ไม่ใช่อย่างเดียวกับ อุเบกขาสัมโพชฌงค์หรอก อย่าเอาไปปะปนกัน

อย่างที่บางท่านกล่าวแล้ว
แม้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในโพชฌงค์เจ็ดนั้น ต้องมาเป็นชุด คือ มาทั้งเจ็ดองค์
โดยมีสติสัมโพชฌงค์เป็นองค์นำแรก....ถ้าปราศจากสติเสียแล้ว องค์อื่นไม่มีทางถูกหรอก

ที่คุณ ไปโขมยของเขานั้น มีสัมมาสติไหม... และ ในขณะที่นิ่งเพราะจำนนด้วยหลักฐานนั้น มีสัมมาสติไหม...ถ้าไม่มีสัมมาสติเสียแล้ว ก็ไม่มีทางจะเปป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ได้เลย

และ ก็ไม่มีท่านผู้รู้ที่ไหนสอนให้เจริญแต่อุเบกขาอย่างเดียวมาดับทุกข์หรอก คุณเข้าใจผิดไปเอง

ยิ่งนำ อุเบกขา ที่เป็นองค์ธรรม คู่กับเอกัคคตา ใน รูปฌานที่๔แห่งสัมมาสมาธิ มาปะปนในเรื่องนี้ ยิ่งมั่วเข้าไปใหญ่.... เพราะ ตั้งแต่รูปฌานที่๑ ก็" สงัดจากอกุศล "แล้ว

ไม่ใช่ นิ่งตอนโดนจับได้เพราะทำผิดแล้ว ไปสรุปว่านี่ละคือ อุเบกขา ที่เป็นองค์ธรรม คู่กับเอกัคคตา ใน รูปฌานที่๔แห่งสัมมาสมาธิ



อ้างคำพูด:
ต่อมาเมื่อผมรู้จักการวิปัสสนา สุขแบบถาวรจึงเกิดขึ้น


ปัญญาที่ถูกต้อง(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บน ศีลและ สมาธิ

ถ้าปัญญานั้น ปราศจากศีล และ สมาธิ เป็นพื้น ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง(มิจฉาญาณะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 07:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงประเด็น เขียน:
คุณ Supareak Mulpong

อ้างคำพูด:
ครั้งหนึ่งผมไปทำงานที่ต่างประเทศ ผมเห็น source code ของ windows 95 ด้วยความไม่คิดอะไร ก็นึกว่าเจ้าของออกจะรวย เอาไปดูเล่นเขาคงไม่ว่าอะไรมั้ง แต่ปรากฎว่า โดนจับได้ เขาก็ไม่เอาเรื่องยึดของคืนไป แต่ตอนถูกสอบสวน พรรคพวกที่ไปด้วยกันก็ชมผมว่า ทำได้อย่างไร นิ่งๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไร อันที่จริงผมรู้ตัวดีว่าผมรู้สึกกระวนกระวายแค่ใหน ที่สำคัญอุปกิเลสของผมมันยังอยู่ อำนาจของอุเบกขาช่วยให้ผมรอดมาได้ก็จริง ผมจึงรู้ว่านิสัยผมในส่วนที่เลวยังอยู่ มันไม่ได้ถูกประหารด้วยอุเบกขา กลว่าวคือ อุเบกขาไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ ผมเพียงแต่หลบอยู่หลังความสงบเท่านั้น



อุเบกขา มี สองความหมาย คือ


1. ความวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น, ความรู้จักวางใจเฉยดู เมื่อเห็นเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเอง, ความวางทีเฉยคอยดูอยู่ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขาตามควรของมัน ไม่เข้าข้างไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซง
(ข้อ ๔ ในพรหมวิหาร ๔, ข้อ ๗ ในโพชฌงค์ ๗, ข้อ ๑๐ ในบารมี ๑๐, )

2. ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา (= อทุกขมสุข)
(ข้อ ๓ ในเวทนา ๓)



การนิ่งไม่รู้สึกรู้สา(อาจเพราะจำนนด้วยหลักฐานด้วย :b6: ) ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอะไร... ผมเห็นฆาตกรฆ่าคนตาย ตอนนำมาทำแผน ก็นิ่งมากๆ ไม่เห็นรู้สึกรู้สาอะไรเยอะแยะไป

อย่าเอานิ่งในลักษณะนี้ไปปนกับ คุณธรรมในพรหมวิหาร หรือ โพชฌงค์เจ็ดเลย ....เป็นคนล่ะเรื่องเลย

อนึ่ง การนิ่งในลักษณะนี้ อาจจะเป็นลักษณะ ที่ เฉยเมย มากๆ แบบไม่สมเหตุผล เข้าลักษณะที่เรียกว่า apathy เป็นลักษณะที่ผิดปกติทางจิตแบบหนึ่ง

Apathy Syndrome

การมีอารมณ์ราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย แต่ไม่ใช่อาการซึมเศร้า






อ้างคำพูด:
อุเบกขาไม่สามารถฆ่ากิเลสได้ ผมเพียงแต่หลบอยู่หลังความสงบเท่านั้น


อุเบกขาที่คุณกล่าวถึงนี้ ไม่ใช่อย่างเดียวกับ อุเบกขาสัมโพชฌงค์หรอก อย่าเอาไปปะปนกัน

อย่างที่บางท่านกล่าวแล้ว
แม้นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในโพชฌงค์เจ็ดนั้น ต้องมาเป็นชุด คือ มาทั้งเจ็ดองค์
โดยมีสติสัมโพชฌงค์เป็นองค์นำแรก....ถ้าปราศจากสติเสียแล้ว องค์อื่นไม่มีทางถูกหรอก

ที่คุณ ไปโขมยของเขานั้น มีสัมมาสติไหม... และ ในขณะที่นิ่งเพราะจำนนด้วยหลักฐานนั้น มีสัมมาสติไหม...ถ้าไม่มีสัมมาสติเสียแล้ว ก็ไม่มีทางจะเปป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ได้เลย

และ ก็ไม่มีท่านผู้รู้ที่ไหนสอนให้เจริญแต่อุเบกขาอย่างเดียวมาดับทุกข์หรอก คุณเข้าใจผิดไปเอง

ยิ่งนำ อุเบกขา ที่เป็นองค์ธรรม คู่กับเอกัคคตา ใน รูปฌานที่๔แห่งสัมมาสมาธิ มาปะปนในเรื่องนี้ ยิ่งมั่วเข้าไปใหญ่.... เพราะ ตั้งแต่รูปฌานที่๑ ก็" สงัดจากอกุศล "แล้ว

ไม่ใช่ นิ่งตอนโดนจับได้เพราะทำผิดแล้ว ไปสรุปว่านี่ละคือ อุเบกขา ที่เป็นองค์ธรรม คู่กับเอกัคคตา ใน รูปฌานที่๔แห่งสัมมาสมาธิ



อ้างคำพูด:
ต่อมาเมื่อผมรู้จักการวิปัสสนา สุขแบบถาวรจึงเกิดขึ้น


ปัญญาที่ถูกต้อง(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บน ศีลและ สมาธิ

ถ้าปัญญานั้น ปราศจากศีล และ สมาธิ เป็นพื้น ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง(มิจฉาญาณะ)



ขอบคุณมากที่นำเสนอดีมากมิได้โต้แย้งใดๆทั้งสิ้น ทำดีได้ก็อนุโมทนาสาธุจริงๆครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แก้ไขล่าสุดโดย dhama เมื่อ 25 ก.ค. 2009, 08:40, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 07:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้

:b10: :b10: :b10:



ถูกต้องดีแล้วครับ สาธุ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
คนทำได้ พูดยังไงก็ไม่ผิด
ต่อให้พูดไม่เป็น ก็จะพูดไม่ผิด

คนทำไม่ได้ ยิ่งพูดมาก ยิ่งผิด



ชัดเจนครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปัญญาที่ถูกต้อง(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บน ศีลและ สมาธิ
ถ้าปัญญานั้น ปราศจากศีล และ สมาธิ เป็นพื้น ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง(มิจฉาญาณะ)

... หาไม่เจอครับ ไม่รู้ว่านี่มาจากใหน ยังไงรบกวนบอกด้วยครับว่ามีที่มาที่ไปอบ่างไร

อ้างคำพูด:
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้

อันนี้ขอแก้ไขหน่อยนะครับ วงจรที่เป็นวงกลมนะครับ (LOOP) เหมือนกับขนมโดนัด หรือถนนวงกลม วิ่งวนไม่มีทางจบทางสิ้น การตัดวงจร (BREAK LOOP) เริ่มจากจุดที่ตัดง่ายที่สุดก่อน ที่พระพุทธองค์ตรัสคือ พิจรณาที่รูปและเวทนา ให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ตัวที่ดับก่อนคืออวิชชา ส่วนวิธีการที่ก็ทะเลาขัดแย้งกันมาเป็นพันปีแล้ว ไม่ใช้เพิ่งเกิด

รูปภาพ

เริ่มตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ตัดได้จนหมด ก็คือได้อรหันต์ผล เพราะฉะนั้น การเป็นอรหันต์เป็นผล ไม่เช่นเป็นเหตุของการตัดวงจรครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ปัญญาที่ถูกต้อง(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บน ศีลและ สมาธิ
ถ้าปัญญานั้น ปราศจากศีล และ สมาธิ เป็นพื้น ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง(มิจฉาญาณะ)

... หาไม่เจอครับ ไม่รู้ว่านี่มาจากใหน ยังไงรบกวนบอกด้วยครับว่ามีที่มาที่ไปอบ่างไร

อ้างคำพูด:
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้

อันนี้ขอแก้ไขหน่อยนะครับ วงจรที่เป็นวงกลมนะครับ (LOOP) เหมือนกับขนมโดนัด หรือถนนวงกลม วิ่งวนไม่มีทางจบทางสิ้น การตัดวงจร (BREAK LOOP) เริ่มจากจุดที่ตัดง่ายที่สุดก่อน ที่พระพุทธองค์ตรัสคือ พิจรณาที่รูปและเวทนา ให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ตัวที่ดับก่อนคืออวิชชา ส่วนวิธีการที่ก็ทะเลาขัดแย้งกันมาเป็นพันปีแล้ว ไม่ใช้เพิ่งเกิด

รูปภาพ

เริ่มตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ตัดได้จนหมด ก็คือได้อรหันต์ผล เพราะฉะนั้น การเป็นอรหันต์เป็นผล ไม่เช่นเป็นเหตุของการตัดวงจรครับ


เอามานำเสนอดีมากครับเข้าใจตรงกันนี้ครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:


อ้างคำพูด:
ปัญญาที่ถูกต้อง(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บน ศีลและ สมาธิ
ถ้าปัญญานั้น ปราศจากศีล และ สมาธิ เป็นพื้น ปัญญานั้นก็เป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง(มิจฉาญาณะ)



... หาไม่เจอครับ ไม่รู้ว่านี่มาจากใหน ยังไงรบกวนบอกด้วยครับว่ามีที่มาที่ไปอบ่างไร




จาก มหาจัตตารีสกสูตร

แสดงถึง สัมมัตตะ เอาไว้ ดังนี้

เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้

เมื่อมีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้



สัมมาสมาธิในองค์อริยมรรคนั้น มี อธิศีล(สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ)เป็นองค์นำ ดังในมหาจัตตารีสกสูตรอยู่แล้ว
กล่าวคือ ถ้าปราศจาก อธิศีลเสียแล้ว สมาธิใดๆก็ไม่มีทางจะเป็นสัมมาสมาธิได้เลย

สัมมาญาณะที่จะพอเหมาะ(บางสำนวนแปลพระไตรปิฎกใช้คำว่า บริบูรณ์) จะต้องมีสัมมาสมาธิเป็นเหตุนำ ที่ว่า "เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้ "

ดังนั้น การกล่าวว่า ปัญญาขั้นสูงสุดที่ถูกต้องแท้จริง หรือ การตรัสรู้ชอบ(สัมมาญาณะ) ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของสมาธิ(และ ต้องไม่ลืมว่าสมาธิก็ยืนอยู่บนพื้นฐานของศีลอีกที) จึงเป็นด้วยเหตุนี้


ปล...

เหมือนกับ คุณ Supareak Mulpong จะเห็นว่า ปัญญา ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของศีล และ สมาธิ คุณจึงถามผมเช่นนั้น...

ลองพิจารณาพระพุทธพจน์นี้อีกทีหนึ่งครับ ชัดเจนมาก

“สีล ปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสงฺโส,
สมาธิ ปริภาวิโต ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสงฺสา,
ปญฺญา ปริภาวิโต จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ

สมาธิที่มีศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญาที่มีสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
จิตที่มีปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมอง เสียได้ ดังนี้”.



...............................................


เกี่ยวกับ สัมมัตตะ10 และ มิจฉัตตะ10 ใน มหาจัตตารีสกสูตร

ลองอ่านที่ ท่าน อ.สุชีพ ปปุญญานุภาพ :b8:

ท่านสรุปประเด็น ไว้ดังนี้

มหาจัตตารีสกสูตร

(แปลตามศัพท์ได้ว่า สูตรว่าด้วยธรรมะหมวด 40 หมวดใหญ่)

จากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน
อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ

พระผู้มีพระภาพประทับ ณ เชตวนาราม.
ตรัสแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย มีใจความสำคัญ 3 ตอน คือ :-

1) ทรงแสดงสัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
ที่มีที่อาศัย มีคุณธรรมอื่นๆ(องค์มรรคที่เหลือ)อีก 7 ข้อเป็นเครื่องประกอบ (บริขาร)คือ
สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ
สัมมาวาจา เจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ พยายามชอบ
สัมมาสติ ระลึกชอบ

2) ทรงแสดงสัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ว่าเป็นหัวหน้า
และว่า (ให้) รู้จักทั้งผ่ายเห็นชอบและฝ่ายเห็นผิด
ทรงอธิบายความเห็นผิดว่า ได้แก่เห็นว่า ผลทานที่ให้ไม่มี ผลกรรมดีกรรมชั่วไม่มี เป็นต้น
แล้วทรงแสดงสัมมาทิฏฐิว่ามี 2 อย่าง คือ ที่มีอาสวะ กับที่ไม่มีอาสวะ
(ชั้นต่ำสำหรับปุถุชน ชั้นสูงสำหรับพระอริยะ)
แล้วทรงแสดงสัมมาทิฏฐิในฐานะเป็นหัวหน้า ในการแจกรายละเอียดให้มรรคข้ออื่นๆ

3) ทางแสดงว่า ธรรมปริยายที่เรียกว่า มหาจัตตาฬีสกะ - หมวด 40 หมวดใหญ่ . นี้
คือเป็นฝ่ายกุศล 20 ฝ่ายอกุศล 20

(ตั้งหลักมรรค 8 เติมสัมมาญาณะ ความรู้ชอบ สัมมาวิมุติ ความหลุดพ้นโดยชอบ รวมเป็น 10
กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่าอื่นที่ถึงความเกิดมีบริบูรณ์
เพราะธรรมผ่ายถูกทั้ง 10 ข้อนั้นเป็นปัจจัย .... จัดเป็นฝ่ายกุศล 20

ตั้งหลัก มิจฉัตตะ ความผิด มีความเห็นผิดเป็นต้น มีความหลุดพ้นผิดเป็นที่สุด เป็น 10
อกุศลธรรมเป็นอเนกเหล่าอื่นที่ถึงความเกิดมีบริบูรณ์ เพราะธรรมฝ่ายผิด 10 ข้อนั้นเป็นปัจจัย .... จัดเป็นฝ่ายอกุศล 20)




และ จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์

อ้างคำพูด:
สัมมัตตะ ความเป็นถูก,
ภาวะที่ถูกมี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้น ตรงกับองค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เพิ่ม ๒ ข้อท้าย คือ
๙. สัมมาญาณ รู้ชอบ ได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ
๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่อรหัตตผลวิมุตติ;
เรียกอีกอย่างว่า อเสขธรรม ๑๐,
ตรงข้ามกับ มิจฉัตตะ ๑๐

มิจฉัตตะ ความเป็นผิด, ภาวะที่ผิดมี ๑๐ อย่าง คือ
๑. มิจฉาทิฏฐิ
๒. มิจฉาสังกัปปะ
๓. มิจฉาวาจา
๔. มิจฉากัมมันตะ
๕. มิจฉาอาชีวะ
๖. มิจฉาวายามะ
๗. มิจฉาสติ
๘. มิจฉาสมาธิ
๙. มิจฉาญาณ
๑๐. มิจฉาวิมุตติ;
ตรงข้ามกับ สัมมัตตะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อุเบกขา ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา หรือด้านนะ
ทำผิดแล้วเฉยๆ อันนี้ไม่ใช่อุเบกขาแน่นอน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้
ในมหาจัตตารีสกสูตร สัมมาฌานะ นี่น่าจะเป็นตัวเดียวกับอธิปัญญานะครับ เพราะเป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นเจตสิก

เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ ...
สัมมาทิฐิ เกิดจากการปหารอวิชชา ใช้ปัญญาเจตสิกเป็นตัวปหาร เป็นประธานขององค์มรรค คือถ้าสัมมาทิฐิไม่เกิด องค์ที่เหลือไปจนถึงสัมมาวิมุติก็เกิดไม่ได้

อุเบกขา ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา หรือด้านนะ
อืม... อาการมันก็ออกมาเหมือนด้านละครับ จะพูดว่าวาง ว่าละ ว่าเพิกเฉย ก็พอได้ เป็นอุเบกขาเวทนา เพราะทำหลังจากเวทนาเกิด ถ้าไม่งั้นอาการมันจะออกมาเป็นไงละครับ?

กำลังสงสัยว่าคุยกันไปจะออกนอกประเด็นของกระทู้อีกแล้วนะเนี่ย... :b7:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 52 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร