วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 07:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2009, 02:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่นี้ถามเพื่อเป็นความรู้ผมไม่ได้มีสมาธิอะไรหรอกครับ ก็ใช้ชีวิตปกติพิจารณาพิจารณาธรรมตามเหตุจจัยเท่าที่สติจะระลึกได้ นั่งสมาธิบ้างแต่ไม่เคยสงบจนเป็นอะไรต่ออะไรที่เขาได้กัน แต่ผมใช้ชีวิตอย่างนี้มานานแล้ว เที่ยวไม่เป็น ทานอาหารมื้อเดียว ไม่มีเพศสัมพันธ์ นอนก็นอนพื้นไม่อยากได้อะไรเลยจริง คุณว่าผมจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ด้วยความจริงใจนะครับ อยากแนะนำให้คุณได้ศึกษา มหาจัตตารีสกสูตร อ่านคร่าวๆสองจบ
แล้วอ่านโดยละเอียด หนึ่งจบ แล้วย้อนกลับมาทำความเข้าใจอีกที ไม่ยาว ไม่ยากนัก
เพราะถ้าได้ทำแล้ว คุณจะมีโอกาศ เดินสุดทาง ได้ ไม่ต้องเดินวนรอบเจดีย์ ไม่รู้จบ

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2009, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อธิบายได้ละเอียดชัดเจนดีครับ เป็นการใช้สมถะนำวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ แต่ผมอยากจะให้พิจรณาเรื่องฐานะบุคคลประกอบ ประเด็นนี้กลุ่มพวกผมได้สรุปตรงกันจากประสบการณ์จริงๆ ที่ทำกันจนได้โสดาปฏิผล 1 ท่าน ที่เหลือได้โสดาปฏิมรรค 19 ท่าน เราไม่มีใครนั่งสมาธิหรือนั่งวิปัสสนาเลย ปัญหาของการใช้สมถะนำในปุตุชนคนธรรมดานั้นเป็นฐานะที่ไม่ควรแก่การปฏิบัติ การนั่งสมาธิ ถึงแม้นจะเป็นขณิกะสมาธิ โอกาศจะติดสมถะจนเป็นอุปจาระมีมาก คือ แทนที่จะทำวิปัสสนากลายเป็นนั่งสมาธิธรรมดาไป หากไม่มีศีลบริสุทธิ์เป็นเครื่องประกอบ โอกาศจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดนเจ้ากรรมนายเวรตามเล่นงานเอาง่ายๆ นอกจากจะเป็นบุคลที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นกรณียกเว้นไม่กี่คน



เป็นไปได้ทั้งนั้นมิกล้าวินิจฉัยครับ และทางที่ผมเสนอก็มิกล้าบอกว่าเป็นทางถูกที่สุดเพียงแชร์ประสบารณ์จริงที่ผมเลือกปฎิบัติครับ ถ้าท่านใดเห็นน่าจะมีประโยชน์จะเลือกเอาไปปฎบัติก็ยินดีอธิบายครับ ขอธรรมะคุ้มครองทุกท่านครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2009, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่อยากจะ anti-climax นะ แต่คิดว่า... อย่างน้อยก็ได้บอกไปแล้ว

Supareak Mulpong สิ่งที่ทำอยู่เข้าข่าย กดข่มจนเป็นนิสัยนะ นานเข้าจึงเข้าใจไปว่าเป็น อุเบกขา (อุเบกขาญาณ) ซึ่งความจริงคือ การเฉยชา จากการกดข่มมานาน
สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ก็อยู่ในลักษณะกดข่มเช่นเดิม แต่เปลี่ยนลักษณะ ดูคล้ายวิปัสสนา (อันที่จริงก็คล้ายกับการดูจิต ซึ่งเป็นการเจริญสติอย่างหนึ่ง)

นี่คือลักษณะของ หินทับหญ้า ที่แท้จริง คือหญ้าเกิดทีหนึ่งก็ใช้หินทับทีหนึ่ง หญ้าไม่มีวันตาย... เมื่อกดข่มอยู่นาน ก็จะเป็นเหมือนแต่ก่อน ที่คิดว่าได้วิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง

เรื่องแบบนี้ ตราบใดที่เจ้าตัวยังก้าวไม่พ้นก็อธิบายได้ยาก เหมือนความแตกต่างของ คนถือศีลและคนมีศีล คนถือศีลมานาน ก็อาจเข้าใจไปว่า ตนมีศีล ได้โสดาบัน
"ไม่เที่ยงเกิดดับ" หากยังภาวนาอยู่ ก็ไม่ใช่โสดาบันแน่ๆ มันไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นรูทีน...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร