วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 04:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจาก ในเว็บธรรมจักร

มีเหตุการณ์ ที่เห็นได้ว่าสถานะการน่าเฝ้าระวัง

เนื่องจากท่าน apisit555 (ผู้เลื่อมใส่ในลัทธิ พลศักดิ์ พล... )

กำลังกระทำการนำข้อมูลของท่าน พลศักดิ์ พล... มาช่วยบิดเบือนธรรมะของพระพุทธเจ้า

ซึ่งอยากขอให้ผู้ดูแลลานจัดให้ ท่าน apisit555 (ผู้เลื่อมใส่ในลัทธิ พลศักดิ์ พล... )

อยู่ในกลุ่ม เฝ้าระวังนะงับ

และขอให้ประกาศอย่างเป็นทางการด้วยนะงับ

เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของสมาชิกใหม่นะงับ


ขอขอบพระคุณอย่างสูงงับ





จงอู๋โห้ เซิ้งเสี้ยง ฮกหลง จูกัดเหลียง มหาอุปราช ขงเบ้ง แห่งแคว้น จ็กก็ก

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนำมาเผย่แผ่นะงับ ท่านชาติสยาม

อ้างคำพูด:
ชาติสยาม เขียน:
dhama เขียน:
ความเห็นส่วนตัวนะครับไม่ขัดแย้งกับผู้ใดทั้งสิ้น นิพพานมีแน่นอนนั้นก็หมายความว่า มี(อัตตา)แบบเป็นสภาวะ แต่สภาวะนั้นก็ไม่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นตัวตนไม่เกิดไม่ดับคงที่ถาวร อมตะนิรันตกาล ไม่เหมือนสภาวธรรมทั้งหลายที่มี แต่มีลักษณะอนิจจัง ทุกข์ อนัตตา ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ


นิิพานเป็น"ธรรม"ชนิดหนึ่งใช่หรือไม่?

"สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ"
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา


คำว่าอัตตา ไม่ได้ยากอะไรหรอก
หลวงตาบัวท่านถวายวิสัชนาพระเจ้าอยู่หัว
ท่านก้บอกว่า นิพพานก็เหมือน"วัดบ้านตาด"
แต่จะมาชี้ไปที่กุฏิว่าเป้นวัดป่าบ้านตาด ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด
ชี้ไปที่กำแพง ก็ไม่เจอตัววัดป่าบ้านตาด ไม่ใช่ตัววัดป่าบ้านตาด
หาตัววัดป่าบ้านตาดนั้น หายังไงก็ไม่เจอ
แต่เรียกทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันนั้นว่าวัดป่าบ้านตาด
-----
หรืออย่างตัวเรา มีชื่ออย่างนี้ นิสัยอย่างนี้ แต่จะหาความเป็นตัวเราจริงๆนั้นไม่มี
ในแง่รูป ..จิ้มไปตรงไหนก้ไม่เจอ"ตัว"ที่ว่าเป็น"เรา" .....
ในแง่นาม ... ก็หาตรงไหนไม่เจอเหมือนกันว่าเป้น"ตัว" หรือที่ว่าเป็น"เรา"

อัตตาคือ "วัดป่าบ้านตาด" ,"ชาติสยาม" ,"ประเทศไทย","ความดี", "ความชั่ว"
อัตตามัน"มีอยู่" แต่มัน"ไม่จริง"

อนัตตา คือ อัตตานั้น เมื่อมองเข้าไป สืบเข้าไป ชำแหละเข้าไปจนถึงที่สุดของมันแล้ว
มันไม่มีอยู่จริงๆ มันแค่เป้นการประชุมกันของรูปนาม การประชุมกันของเหตุและปัจจัย
แล้วเราไปยึดถือสิ่งเหล่านั้นว่าเป้น วัด บ้าน ชาติสยาม ประเทศไทย ความดี ความชั่ว ฯลฯ

ส่วนสิ่งที่คุณเข้าใจว่านิพพานเป็ฯอัตตานั้น เพราะไม่เข้้ใจศัพท์เท่านั้นเอง แต่เข้าใจถูกแล้ว
ว่ามันมีอะไรบางอย่างที่จริงตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ว่ามีเขตแดน มีตัวมีตน

เช่น "ความตาย"
ความตายมันมีอยู่จริงๆนะ ไม่ใช่ว่าเราตายไปคนเดียวแล้วไม่มีความตายเหลือแล้ว
คนอื่นก้ต้องตาย โลกนี้ก้ต้องตาย ความตายนี้เป็นสิง่ที่มีมาแต่อดีต ปัจจุบันก้มี อนาคตก้จะมีต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ความตายมันไม่มีตัวไม่มีตน มันเป้นอนัตตา แต่มันมีอยู่จริง
แต่เขาไม่ใช้คำว่าอัตตา

คำว่าอัตตา เขาใช้เรียกสิง่ที่ถูกปรุงขึ้น เช่น วัดป่า้นตาดก็ดี ชาติสยามก็ดี ประเทศไทยก็ดี ความดีความชั่วก็ดี
ทั้งหมดนี้คอการปรุงสร้าง เขาตั้งชื่อสมมุติกันไปต่างๆนาๆ
มันเป้นธรรมะประเภทที่ถูกปรุงถูกสร้างขึ้นมา
มีคนสร้างขึ้นมา จิตนี่แหละ สร้างมันขึ้น

แต่ความตายมันไม่มีใครสร้าง มันมีอยู่ของมันมาแต่ไหนแต่ไร
มีก่อนพระพุทธเจ้า มีมาก่อนโลกจะเกิด มีตลอดเวลา จริงตลอดเวลา
ความตายนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใครไปปรุงแต่งมันก็ไม่ได้ ดัดแปลงก็ไม่ได้
เป็นสัจจะธรรม

นิพพานก็เช่นกัน เป็นอนัตตา
พระพุทธเจ้าท่านว่า อัตตามันจะไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้
แล้วท่านก็ไม่ได้พูดกลับกันเอาไว้นะ ท่านพูดแค่นี้
แต่คนบางประเภทเอาคำพูดนี้ไปกลับข้าง แล้วเข้าใจไปเองว่าถ้างั้นสิง่ที่ตรงกันข้ามก้คือ
ถ้างั้น สิ่งที่เที่ยง ที่ไม่แปรปรวน บังคับได้ ก็ต้องเป้นอนัตตาน่ะสิ
คิดได้อย่างนั้นแล้วก้กลายเป้นอรหันต์อินเตอร์เน้ตขึ้นมาทันทีเลย
ไปหาเถอะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดไว้เลย ท่านพูดไว้แค่นั้น ไม่ได้กลับข้าง

คิดง่ายๆนะ พุทธพจน์มีอยู่ 3 พจน์
คือ ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ ..... 3 อย่างนี้รวมกันอยู่ ท่านถึงเรียกว่า อัตตา
สิ่งใดมีคุณสมบัติครบสามอย่างนี้ ถึงเรียกว่าอัตตา

แต่คำพูดของอรหันต์อินเตอร์เน้ต ก็เอา 3 พจน์นั้นไปนิเสธ
ไม่เที่ยง กลายเป็น เที่ยง
แปรปรวน กลายเป้นไม่แปรปรวน
บังคับไมไ่ด้ กลายเป้นบังคับได้
แล้วไปเหมาว่า สิง่ที่ตรงกันข้ามนี่แหละ คืออนัตตา

ดูเผินๆผมก็เคยคล้อยตามหมอนี่นะ
แต่ดูดีๆนะ



ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ <---- อันนี้พุทธพจน์
เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับได้ <---- อันนี้พลศักดิ์ในร่าง apisit555

แล้วสิ่งต่อไปนี้ล่ะ จะเรียกว่าอะไร

ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
ไม่เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับได้ <----?
ไม่เที่ยง แปรปรวน บังคับได้ <----?
เที่ยง ไม่แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
เที่ยง แปรปรวน บังคับไม่ได้ <----?
เที่ยง แปรปรวน บังคับได้ <----?

ตลกนะ เอาคณิตศาสตร์มาเอาถูกเอาผิดกับธรรมะ มันไม่ได้ผล

ธรรมะอะไรถ้ามันมีด้านกลับ พระพุทธเจ้าจะพูดกลับเอาไว้เลย อย่างละเอียด
แต่ถ้าท่านไม่พูดไว้ ก็ไม่ใช่ว่าเอาไปกลับข้างเองแล้วจะถูก


คุณศึกษานายคนนี้ต่อไปคุณจะพบว่า เขาบอกว่าเข้าๆออกๆนิิพพานได้ด้วย
บอกว่าเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย ได้รับโองการมาแสดงธรรมด้วย
เรียกตัวเองว่าเป้นพระโพธิสัตวืที่เป้นผู้ชายด้วย
แล้วก้สอนให้ล้างบาปได้ด้วย เรียกว่าก้าวล่วงบาปกรรม
สอนคนให้ผิดศีลถ้าแล้วไม่บาป โดยที่ใจเราไม่ต้องไปคิดว่ามันผิด ก้จะไปบาป อะไรทำนองนั้น
แบบที่แกล้งแปลงร่างเป็นคนอื่นมาเชียตัวเองอยู่นี่แหละครับ คือโกหกแบบว่าไมรู้สึกอะไรเลย
หิริโอตัปปะไม่เหลือแล้ว
แล้วจะมีอีกเยอะ สารพัดสารเพ



ที่พูดนี่ พูดตามความเข้าใจเหมือนกันนะครับ
แล้วก้ที่ผมมาพูดเพราะว่าไม่อยากให้คุณไปเสียเวลากับนายคนนี้ เปลืองเวลา
เคยมาแล้ว รู้ไส้รู้พุงดี

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 01:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 30

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คาราวะท่านผู้เจริญในธรรมทุกท่านครับ :b8:

...ข้าพเจ้าเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกที่นี่ได้ไม่กี่วัน (เจตนามาขอคำชี้แนะทางสว่าง ซึ่งเป็นคำตอบของคำถามที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ตั้งมันขึ้นมาเอง)...

...และได้อ่านอยู่หลายกระทู้ แต่ที่มาสะดุดตาสะดุดใจ ก็ตรงเรื่องที่เหล่าท่านผู้เจริญ " ทุ่มเถียง-คาดคั้น-เอาเป็นเอาตาย " กับเรื่องนิพานว่าเป็นอัตตา หรือ อนัตตา...ข้าพเจ้าก็พยายามขบคิดว่าทำไม? เป็นเพราะอะไร?...

...ก็ในเมื่อ "นิพพาน" เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สูงที่สุด ประเสริฐที่สุด...รู้กันแค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว จบได้แล้ว...ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเป็นเอาตายกันซะขนาดนี้...ได้ประโยชน์อันใดเล่า??? (ใช่ว่าหากใครได้รู้แท้จริงนิพพานเป็นเช่นใด แล้วเขาผู้นั้นจะได้ไปนิพพานอย่างนั้น)...

...ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเป็นคำถามว่า ระหว่างความสงสัยในนิพพาน(แล้วพยายามชำแหละเอาเป็นเอาตาย) กับ การเอาเป็นเอาตายในการปฏิบัติ เพื่อให้ได้ไปถึงซึ่งนิพพาน...อย่างไหนจะเกิดประโยชน์กว่ากัน???...

...เราๆท่านๆต่างก็โชคดีแล้วที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้รู้จัก "ทางสายกลาง" เพื่อจะดำเนินไปสู่นิพพาน...ในขณะที่ศาสนาเชน (เขาก็มีนิพพานเหมือนกัน แต่เป็น " เหนือนิพพาน " ขึ้นไปอีก ) และมีวิถีการปฏิบัติที่ตึงเป๊ะกว่าศาสนาของเรามาก ลำบากกว่าเรามาก...โชคดีที่เราไม่ไปเกิดแล้วนับถือศาสนานั้น...

:b8: ...ขอท่านทั้งหลายโปรดใช้สติไตร่ตรอง และ มุ่งเข้าสู่เส้นทางปฏิบัติโดยชอบเถิด... :b8:

.....................................................
..." นิพพาน " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบบนฟูก หากแต่เป็นป่าเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายและอสรพิษ...

..." หลักธรรม " ไม่ใช่สิ่งที่ถูกค้นพบในผับหรือสถานเริงรมย์ หากแต่เป็นสองข้างถนนที่เต็มไปด้วยซากศพ และผู้คนที่เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มิ.ย. 2009, 15:39
โพสต์: 90


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่รู้ เขียน:
:b8: คาราวะท่านผู้เจริญในธรรมทุกท่านครับ :b8:

...ข้าพเจ้าเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกที่นี่ได้ไม่กี่วัน (เจตนามาขอคำชี้แนะทางสว่าง ซึ่งเป็นคำตอบของคำถามที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ตั้งมันขึ้นมาเอง)...

...และได้อ่านอยู่หลายกระทู้ แต่ที่มาสะดุดตาสะดุดใจ ก็ตรงเรื่องที่เหล่าท่านผู้เจริญ " ทุ่มเถียง-คาดคั้น-เอาเป็นเอาตาย " กับเรื่องนิพานว่าเป็นอัตตา หรือ อนัตตา...ข้าพเจ้าก็พยายามขบคิดว่าทำไม? เป็นเพราะอะไร?...

...ก็ในเมื่อ "นิพพาน" เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สูงที่สุด ประเสริฐที่สุด...รู้กันแค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว จบได้แล้ว...ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาเป็นเอาตายกันซะขนาดนี้...ได้ประโยชน์อันใดเล่า??? (ใช่ว่าหากใครได้รู้แท้จริงนิพพานเป็นเช่นใด แล้วเขาผู้นั้นจะได้ไปนิพพานอย่างนั้น)...

...ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเป็นคำถามว่า ระหว่างความสงสัยในนิพพาน(แล้วพยายามชำแหละเอาเป็นเอาตาย) กับ การเอาเป็นเอาตายในการปฏิบัติ เพื่อให้ได้ไปถึงซึ่งนิพพาน...อย่างไหนจะเกิดประโยชน์กว่ากัน???...

...เราๆท่านๆต่างก็โชคดีแล้วที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา และได้รู้จัก "ทางสายกลาง" เพื่อจะดำเนินไปสู่นิพพาน...ในขณะที่ศาสนาเชน (เขาก็มีนิพพานเหมือนกัน แต่เป็น " เหนือนิพพาน " ขึ้นไปอีก ) และมีวิถีการปฏิบัติที่ตึงเป๊ะกว่าศาสนาของเรามาก ลำบากกว่าเรามาก...โชคดีที่เราไม่ไปเกิดแล้วนับถือศาสนานั้น...

:b8: ...ขอท่านทั้งหลายโปรดใช้สติไตร่ตรอง และ มุ่งเข้าสู่เส้นทางปฏิบัติโดยชอบเถิด... :b8:

beby


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 83 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร