ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=23877
หน้า 2 จากทั้งหมด 5

เจ้าของ:  คนขวางโลก [ 15 ก.ค. 2009, 10:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

เอ้าผ่อนคลายกันหน่อย(ขอแจมครับ)

...........วันใดขาดโยมแล้วภิกษุจะรู้สึก................

...........วันไหนภิกษุสำนึกแล้วโยมจะดีใจ...............

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 11:40 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

เอรากอน เขียน:
mes เขียน:
เอ้าผ่อนคลายกันหน่อย

...วันใดขาดพระแล้วโยมจะรู้ลึก...

...วันไหนสำนึกแล้วโยมจะเสียยใจ...


ว่าแต่ผิดงานหรือเปล่าไม่รู้นะเรา

อโหสิเด้อ

คุณกรัชกาย พอมีเพลงไหนในคลังสินค้าของคุณ ที่เข้ากับบรรยากาศบ้างคะ



คุณกรัชกาย พอมีเพลงไหนในคลังสินค้าของคุณ ที่เข้ากับบรรยากาศบ้างคะ

คุณ เอรากอน ครับ :b32:

กรัชกายไม่เคยจนเพลงถึงขนาดนี้เลยครับ ตั้งแต่เป็นดีเจมา ...
ที่มีอยู่ในคลังก็มีแต่เนื้อ ไม่มีผู้ร้อง เอาเนื้อไป่ก่อน...
กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯลฯ :b32:

นึกออกไหมครับเคยได้ยินที่ไหน :b16:

เจ้าของ:  mes [ 15 ก.ค. 2009, 11:54 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
คุณ mes พระพุทธศาสนาหากไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ ไม่ศึกษาให้เข้าใจรอบด้านแล้ว จะสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งเสมอ

๑.กามสุชัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข
(The extreme of sensual indulgence หรือ extreme hedonism)

๒.อัตตกิลมถานุโยค การประกอบความลำบากเดือดร้อนแก่ตนเอง
(The extreme of self-mortification หรือ extreme asceticism)

บางทีปฏิเสธทางสายแรก แต่ไปติดทางที่สองแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง



:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 15 ก.ค. 2009, 12:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

:b8: :b8: :b8:

กรัชกาย เขียน:
กรัชกายไม่เคยจนเพลงถึงขนาดนี้เลยครับ ตั้งแต่เป็นดีเจมา ...
ที่มีอยู่ในคลังก็มีแต่เนื้อ ไม่มีผู้ร้อง เอาเนื้อไป่ก่อน...
กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯลฯ


คุ้น ๆๆ ยังไงชอบกล :b6:

:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ไม่สายเกินไป [ 15 ก.ค. 2009, 12:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯลฯ


ท่านกรัชกาย,ท่านวรานนท์ค่ะ อันนี้มันแปลว่าอะไรค่ะ และเขาร้องกันทำไม ได้ประโยชน์อะไรบ้างค่ะ เพราะดิฉันฟังไม่รู้เรื่องด้วยภาษานี้ค่ะ เพราะเป็นคนไทยค่ะ คงต้องการรู้จากภาษาไทยค่ะ ขอความกรุณาแปลให้ความหมายเป็นภาษาไทยและการได้ประโยชน์ด้วยค่ะ :b8:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 12:39 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

ไม่สายเกินไป เขียน:
อ้างคำพูด:
กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา ฯลฯ


ท่านกรัชกาย,ท่านวรานนท์ค่ะ อันนี้มันแปลว่าอะไรค่ะ และเขาร้องกันทำไม ได้ประโยชน์อะไรบ้างค่ะ เพราะดิฉันฟังไม่รู้เรื่องด้วยภาษานี้ค่ะ เพราะเป็นคนไทยค่ะ คงต้องการรู้จากภาษาไทยค่ะ ขอความกรุณาแปลให้ความหมายเป็นภาษาไทยและการได้ประโยชน์ด้วยค่ะ :b8:



ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้แสดงธรรม

พระไตรปิฎกที่ คุณ ไม่สายเกินไป อ่านแล้วคิดตามอยู่นั่น เขาแปลมาแล้วนะน่า
หากเขาไม่แปลมาให้ คุณไม่สายเกินไป ก็ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
เหมือน (กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพพยากตา ธัมมา) ด้วยประการฉะนี้แล :b32:

เจ้าของ:  ไม่สายเกินไป [ 15 ก.ค. 2009, 12:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้แสดงธรรม


:b8: ค่ะ ท่านกรัชกายค่ะ แล้วเวลางานศพพระสวดมาเป็นภาษาบาลีอย่างนั้น ผู้คนที่ไปงานศพจะรู้เรื่องเหรอค่ะ เพราะเท่าที่ไปงานศพ ของทุกระดับชั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ไปงานกลับไปนั่งคุยกันเสียงดังแข่งกับพระอีกค่ะ และก็เข้าใจว่าการสวดบทนี้กันผีค่ะ ดิฉันก็เลยถามไงค่ะว่าสวดทำไม ได้ประโยชน์อะไรสูงสุดค่ะ ช่วยอธิบายงานศพที่จัดขึ้นด้วยค่ะ ว่าการที่ชาวพุทธมักเป็นอย่างประโยคนี้ "คนตายขายคนเป็น"นั้นงานศพที่ต้องจัดแบบเป็นพิธีกรรม เป็นประเพณีนั้นได้ประโยชน์อะไรจากงานศพค่ะ :b25:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 13:45 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

ไม่สายเกินไป เขียน:
อ้างคำพูด:
ภาษาที่พระพุทธเจ้าใช้แสดงธรรม


:b8: ค่ะ ท่านกรัชกายค่ะ แล้วเวลางานศพพระสวดมาเป็นภาษาบาลีอย่างนั้น ผู้คนที่ไปงานศพจะรู้เรื่องเหรอค่ะ เพราะเท่าที่ไปงานศพ ของทุกระดับชั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ไปงานกลับไปนั่งคุยกันเสียงดังแข่งกับพระอีกค่ะ และก็เข้าใจว่าการสวดบทนี้กันผีค่ะ ดิฉันก็เลยถามไงค่ะว่าสวดทำไม ได้ประโยชน์อะไรสูงสุดค่ะ ช่วยอธิบายงานศพที่จัดขึ้นด้วยค่ะ ว่าการที่ชาวพุทธมักเป็นอย่างประโยคนี้ "คนตายขายคนเป็น"นั้นงานศพที่ต้องจัดแบบเป็นพิธีกรรม เป็นประเพณีนั้นได้ประโยชน์อะไรจากงานศพค่ะ :b25:



ก็คนเขามีญาติพี่น้องมีลูกมีสามี มีภรรยา ฯลฯ แม้ฟังไม่ออก เขาก็สวดเพื่อให้คลายความคิดถึง คลายความโศก เพื่อความปรารถนาดี ขอให้ไปดี

คนที่มาก็มาเพื่อแสดงออกถึงน้ำใจว่า ครั้งหนึ่งคนตายได้เคยมีบุญคุณต่อเขา ได้ช่วยเหลือเขา เป็นต้น จึงได้มาคารวะศพเป็นครั้งสุดท้าย

ส่วนคนไม่มีญาติโกโหติกา ปอเต็กติ๊งก็เก็บไป แล้วจะเผารวมๆกัน

ส่วนคนไม่เอาพี่เอาน้องอย่างคนไม่สายเกินไป เขาก็คงโยนลงบ่อจรเข้นะ
ขอรับ :b32:

เจ้าของ:  ไม่สายเกินไป [ 15 ก.ค. 2009, 16:17 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
ก็คนเขามีญาติพี่น้องมีลูกมีสามี มีภรรยา ฯลฯ แม้ฟังไม่ออก เขาก็สวดเพื่อให้คลายความคิดถึง คลายความโศก เพื่อความปรารถนาดี ขอให้ไปดี

คนที่มาก็มาเพื่อแสดงออกถึงน้ำใจว่า ครั้งหนึ่งคนตายได้เคยมีบุญคุณต่อเขา ได้ช่วยเหลือเขา เป็นต้น จึงได้มาคารวะศพเป็นครั้งสุดท้าย

ส่วนคนไม่มีญาติโกโหติกา ปอเต็กติ๊งก็เก็บไป แล้วจะเผารวมๆกัน

ส่วนคนไม่เอาพี่เอาน้องอย่างคนไม่สายเกินไป เขาก็คงโยนลงบ่อจรเข้นะ
ขอรับ


แหม ...ดีจังค่ะ ได้บุญด้วยเพราะร่างกายยังเป็นประโยชน์แม้หมดลมหายใจแล้ว และไม่ทำให้ผู้อื่นต้องมาวุ่นวายลำบากด้วยค่ะ แต่ก็ได่มอบให้,สละให้ รพ.นานหลายสิบปีแล้วค่ะมันก็ไม่ตายซะทีค่ะ :b32:
แต่อ้างถึงข้างบนนั้นก็ขอยกพุทธพจน์ที่เป็นตัวหนังสือมาให้คุณกรัชกายพยายามอ่านอีกแล้วค่ะ อย่าเพิ่งขี้เกียจซิค่ะ คนเขากำลังหัดเรียนพระศาสนาด้วยการเรียนพุทธพจน์ใหม่ หลังจากที่ได้นับถือพระศาสนามาตามประเพณี พิธีกรรม มาน้าน นาน (ไม่รู้ว่าคุณกรัชกายจะให้เป็นคนเณรคุณหรือเปล่าค่ะ ถ้าให้เป็นก็ต้องยอมค่ะเพราะเปลือกมันหนาและเกะกะความรู้สึกจริง ๆ ค่ะ)

ทุติยวรรคที่ ๒

๑. ทุคตสูตร

ว่าด้วยสงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

เหมือนทุคตบุรุษ

[๔๔๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มี
อวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ เธอทั้งหลายเห็นทุคตบุรุษผู้มีมือและเท้าไม่
สมประกอบ พึงลงสันนิษฐานในบุคคลนี้ว่า เราทั้งหลายก็เคยเสวยทุกข์
เห็นปานนี้มาแล้ว โดยกาลนานนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้
กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้.
จบทุคตสูตรที่ ๑

ทุติยวรรคที่ ๒

อรรถกถาทุคตสูตรที่ ๑

พึงทราบวินิจฉัยในทุคตสูตรที่ ๑ แห่งทุติยวรรค ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทุคฺคตํ ได้แก่คนขัดสน คือ คนกำพร้า. บทว่า ทุรูเปตํ
ความว่า ทุคตบุรุษมีมือและเท้าไม่สมประกอบ.
จบอรรถกถาทุคตสูตรที่ ๑

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 525

๒. สุขิตสูตร

ว่าด้วยสงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้

เหมือนบุคคลผู้มีความสุข

[๔๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย . . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มี
อวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ. . . เธอทั้งหลายเห็นบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วย
ความสุข มีบริวารคอยรับใช้ พึงลงสันนิษฐานในบุคคลนี้ว่า เราทั้ง-
หลายก็เคยเสวยสุขเห็นปานนี้มาแล้วโดยกาลนานนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะว่า สงสารกำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯล ฯ พอเพื่อจะ
หลุดพ้น ดังนี้.
จบสุขิตสูตรที่ ๒

อรรถกถาสุขิตสูตรที่ ๒

พึงทราบวินิจฉัยในสุขิตสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
บทว่า สุขิตํ ความว่า ผู้เพียบพร้อมด้วยความสุข คือมีทรัพย์มาก
มีโภคะมาก. บทว่า สุสชฺชิตํ ความว่า ประดับตกแต่งขึ้นคอช้าง คือ
มีบริวารมาก.
จบอรรถกถาสุขิตสูตรที่ ๒

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 529

๔. มาตุสูตร
ว่าด้วยสงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เหมือนผู้ไม่เคยเป็นมารดา
[๔๕๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯล ฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็น
มารดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อจะหลุดพ้น
ดังนี้.
จบมาตุสูตรที่ ๔
[สูตรทั้งปวงก็มีเปยยาลอย่างเดียวกันนี้]
อรรถกถามาตุสูตรที่ ๔
พึงทราบเนื้อความในมาตุสูตรที่ ๔ เป็นต้น โดยกำหนดเพศและ
โดยกำหนดจักรวาล. ในข้อนี้มีกำหนดเพศอย่างนี้ว่า เวลาบุรุษเป็น
มาตุคามและเวลามาตุคามเป็นบุรุษ. สัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวจากจักรวาลนี้
ไปยังจักรวาลอื่น และจากจักรวาลอื่นมายังจักรวาลนี้. บรรดากำหนด ๒
อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงหญิงที่เป็นมารดาเวลาเป็น
มาตุคามในจักรวาลนี้ จึงตรัสว่า โย น มาตาภูตปุพฺโพ. แม้ในบท
เป็นต้นว่า โย น ปิตาภูตปุพฺโพ เป็นต้น ก็นัยนี้แล.
จบอรรถกถามาตุสูตรที่ ๔ เป็นต้น

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 530

๕. ปิตุสูตร
ว่าด้วยสงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เหมือนผู้ไม่เคยเป็นบิดา
[๔๕๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย . . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็น
บิดาโดยกาลนาน มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้.
จบปิตุสูตรที่ ๕
ตั้งแต่สูตรที่ ๕ ถึง สูตรที่ ๙ ไม่มีอรรถกถาอธิบาย

๖. ภาตุสูตร
ว่าด้วยสงสารและสัตว์ไม่เคยเป็นพี่ชายน้องชาย
[๔๕๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ฯล สัตว์ที่ไม่เคยเป็น
พี่ชายน้องชายโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย. ดังนี้.
จบภาตุสูตรที่ ๖

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 531

๗. ภคินีสูตร
ว่าด้วยสงสารและสัตว์ที่ไม่เคยเป็นพี่หญิงน้องหญิง
[๔๕๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย . . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็น
พี่หญิงน้องหญิงโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย ดังนี้.
จบภคินีสูตรที่ ๗

๘. ปุตตสูตร
ว่าด้วยสงสารและสัตว์ที่ไม่เคยเป็นบุตร
[๔๕๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯ ล ฯ สัตว์ที่ไม่เคยเป็น
บุตรโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย.
จบปุตตสูตรที่ ๘

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 532

๙. ธีตุสูตร
ว่าด้วยสงสารและสัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดา
[๔๕๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย. . . แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็น
ที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้อง
ต้นย่อมไม่ปรากฏ สัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลาย
ไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบ
ไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็น
ป่าช้าตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียว
เพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะ
หลุดพ้น ดังนี้.
จบธีตุสูตรที่ ๙

คุณกรัชกายค่ะ ดิฉันพอได้อ่านพระสูตรนี้แล้วก็คิดว่ายังเสียก็ คิดว่า ไม่พ้นนรกอยู่ดี เพราะไม่มีความรู้อะไรติดจิตติดใจเหมือนได้อ่านพระไตรปิฎก แค่เป็นคนเพิ่งอ่านพระไตรปิฎก ไม่รู้ว่าจะเลือกสวรรค์อะไรได้เหมือนกันค่ะ แต่ยังไง้ .....ก็คงจำได้ติดจิตใจในพุทธพจน์บางตัวหนังสือบ้างละค่ะ ดีกว่านั่งหลับตาแล้วสุ่มเอาเอง วาดภาพเอาเองค่ะ :b32:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 16:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
คุณกรัชกายค่ะ ดิฉันพอได้อ่านพระสูตรนี้แล้วก็คิดว่ายังเสียก็ คิดว่า ไม่พ้นนรกอยู่ดี เพราะไม่มีความรู้อะไรติดจิตติดใจเหมือนได้อ่านพระไตรปิฎก
แค่เป็นคนเพิ่งอ่านพระไตรปิฎก ไม่รู้ว่าจะเลือกสวรรค์อะไรได้เหมือนกันค่ะ แต่ยังไง้ ..



มีคำถาม =>

ระหว่างพระไตรปิฎก หรือ ตัวหนังสือที่คุณยกมา กับ เจ้าชายสิทธัตถะ อย่างไหนเกิดก่อนกัน

ระหว่าง มนุษย์กับพระไตรปิฎก ใครเกิดก่อนกัน


อ้างคำพูด:
ก็คงจำได้ติดจิตใจในพุทธพจน์บางตัวหนังสือบ้างละค่ะ ดีกว่านั่งหลับตาแล้วสุ่มเอาเอง วาดภาพเอาเองค่ะ


ตัวหนังสือดิจะต้องจินตนาการ แต่พระพุทธรูปเห็นอยู่นะดูดิ

นั่งหลับตาวาดสวรรค์วิมานอย่างหนึ่ง แต่ดูลมหายใจเข้าออกอย่างหนึ่ง คนละอย่างกับวาดภาพสวรรค์
ตัวหนังสือก็ต้องวาดภาพว่า จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นึกเดาไป แต่ลมหายใจไม่ต้อง เพราะมันมีอยู่ตาม
ธรรมชาติ :b1:

ไฟล์แนป:
chiang_saen_giant_buddha.jpg
chiang_saen_giant_buddha.jpg [ 138.82 KiB | เปิดดู 3482 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 16:49 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

คุณ ไม่สายเกินไป ไหนล่ะพระพุทธองค์ที่คุณกล่าวถึง เอามาให้ดู
ดิ :b1: :b32:
กรัชกายจะเอาพุดธปฏิมาให้คุณดูก่อนอีก
แล้วคุณเอาพระพุทธองค์มานะ

ประเด็นนี้ห้าม ทำ มองไม่เห็นนะขอรับ :b16:


หากคุณหามาไม่ได้ คุณนั่นแหละคิดสุมเอาเอง :b32:

ไฟล์แนป:
buddha-3.jpg
buddha-3.jpg [ 58.23 KiB | เปิดดู 3475 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 15 ก.ค. 2009, 17:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

คุณไม่สายเกินไป มีคำถามอีก แต่ตอบคำถามข้างต้นก่อนนะขอรับ

ถามว่า มีคนอยู่สองคน คนหนึ่ง ร้องไห้เอาสิ่งที่ไม่มี
อีกคนหนึ่ง ร้องไห้เอาสิ่งที่มีอยู่เห็นอยู่

ในสองคนนี้ใครควรตำหนิมากกว่ากัน :b12:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 16 ก.ค. 2009, 07:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อรุณสวัสดิ์ครับ คุณไม่สายเกินไป เช้านี้อากาศสดใสดีนะขอรับ หลับสนิทดีขอรับ :b1:

กรัชกายรอสนทนาต่ออยู่นะขอรับ

หารูปพระพุทธองค์พบแล้ว เอามาลงให้ดูหน่อยดิ แล้วตอบคำถามข้างบนด้วยนะขอรับ แล้วเราจะได้สนทนา
ประเด็นอื่นต่อไป :b1: :b38:

เจ้าของ:  ไม่สายเกินไป [ 16 ก.ค. 2009, 08:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

อ้างคำพูด:
อรุณสวัสครับ คุณไม่สายเกินไป เช้านี้อากาศสดใสดีนะขอรับ หลับสนิทดีขอรับ

กรัชกายรอสนทนาต่ออยู่นะขอรับ

หารูปพระพุทธองค์พบแล้ว เอามาลงให้ดูหน่อยดิ แล้วตอบคำถามข้างบนด้วยนะขอรับ แล้วเราจะได้สนทนา
ประเด็นอื่นต่อไป


สวัสดีค่ะคุณกรัชกาย แต่สายไปหน่อยค่ะ

ไม่ทราบว่าคุณกรัชกายต้องการรูปพระพุทธองค์ไปทำไมค่ะ เห็นแล้วได้อะไรค่ะ เช่นมีความสุข ปลื้มปิติหรืออ้อนวอนขอร้องให้ช่วยในกิจการชีวิตให้พ้นทุกข์ได้ คือถ้าพูดจริงจากใจแล้วว่าได้อ่านพระสูตรในพระไตรปิฎก เล่ม 32 หน้า 214 เล่ม 11 หน้า 66 เล่ม 13 หน้า 121 เล่ม 13 หน้า 320 ท่านกรัชกายคิดว่าปั้นมาให้เหมือนแล้วด้วย อิฐ หิน ดิน ทราย เงิน ทอง หยก ฯลฯ นั้น เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพระพุทธองค์หรือว่ารักษาเชิดชูพระพุทธองค์ค่ะ และที่ปั้น ๆ กันปล่อยทิ้งขว้างหัวขาดคอขาดหมาแมวเยี่ยวรดนั้นคุณกรัชกาย คิดอย่างไรบ้างค่ะ เมื่อก่อนไม่ได้เรียนพระศาสนาที่แท้จริงก็ว่านับถือไปตามนั้น แต่เรามาเรียนรู้แล้ว ทำไมไม่ออกมาเปิดเผยความเป็นจริงนั้นให้เป็นไปด้วยความเป็นจริงและถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้หละค่ะ ยังจะใช้สิ่งนี้บังพระพุทธองค์หลอกลวงผู้คนที่ด้อยปัญญาให้หลงติดงมงายมากขึ้นไปอีกหรือค่ะ และยึดติดกันจนหลงงายไปจนหมดลมหายใจ แม้แต่ตอนเสียชีวิตมาหลายรุ่นแล้วรุ่นเล่า ยังไม่รู้จัก"พุทธะ"สอนอะไรไว้บ้างที่ดีกว่าที่เขาเห็น ตอบจนขนาดนี้แล้วคุณกรัชกายยังจะหลีกเลี่ยงประเด็นไปอย่างอื่นก็ไม่คุยด้วยแล้วค่ะ เพราะดิฉันนับถือศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคม เลิกนับถือศาสนาพระพุทธรูปแล้วค่ะ เมื่อเรานับถือคนละศาสนาก็ไม่ต้องคุยกันแล้วค่ะเพราะมันไม่รู้เรื่อง ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ :b8: :b1: :b22:

เจ้าของ:  ศิริพงศ์ [ 16 ก.ค. 2009, 08:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: เชื่อกันหรือไม่ ภิกษุปัจจุบันนี้เป็นต้นเหตุของความเดือดร้อน

กลไกลของกฎธรรมชาติของการเสื่อมต้องมีตัวกระทำ อุบาสก อุบาสิ นักบวช เราเป็นตัวพิสูจน์จะเข้าไปยุ่งแบบไหน หรือจะเลือกไม่ยุ่งอยางไรนี้เป็นสิ่งน่าพิจารณา

หน้า 2 จากทั้งหมด 5 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/