วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 02:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2009, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรลักษณ์ และ สูญญตา
พระไตรลักษณ์เป็นสามัญลักษณะของสิ่งทั้งปวง ได้แก่
อนิจจา หมายถึง ความไม่คงที่ ไม่ถาวร หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเที่ยงแท้ สิ่งมีชีวิต เมื่อเกิดแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงตามวัย จากเด็กเติบโตมาเป็น วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยชรา และตายไป สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีการทรุดโทรม ผุกร่อน และเสื่อมโทรมไปในที่สุด
ทุกขตา หมายถึง ความเป็นทุกข์จากความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดาของสิ่งทั้งปวง ความทุกข์จากการทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
อนัตตตา หมายถึง ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ตามปกติคนทั่วไปจะมีการยึดมั่นในเรื่องตัวตน คือการยึดว่า สิ่งนั้นเป็นของเรา นี่คือเรานี่เป็นเรา ในทางของพระพุทธศาสนาถือว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา และไม่มีอะไรที่เป็นของเรา
สูญญตา หมายถึง สภาวะที่เป็นสูญจากสิ่งทั้งปวง ในที่นี้จะหมายถึงพระนิพพาน คือ นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นสูญอย่างยิ่ง
***********************************************
สังโยชน์10 และ อนุสัย7
สังโยชน์ คือ ธรรมเป็นเครื่องผูกสัตว์ทั้งหลายไม่ให้พ้นไปจากวัฏฏะทุกข์ มี 10 ประการ แบ่งเป็น 2 จำพวกคือ โอรัมภาคียสังโยชน์ คือ สังโยชน์เบื้องต่ำ มี5ประการ อุทธัมภาคียสังโยชน์ คือ สังโยชน์เบื้องสูง มี5ประการ โอรัมภาคียสังโยชน์ 5 ได้แก่
1. สักกายทิฐิ คือ เห็นว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
2. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย อันมี พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์
3. สีลัพพตปรามาส คือ การไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง และ ยึดถือสิ่งที่เชื่อถือกันมายาวนานโดยไม่ใช้ปํญญา
4. กามฉันทะ คือ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการ ถูกต้องสัมผัส
5. ปฏิฆะ คือ มีความผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท
6. รูปราคะ คือ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
7. อรูปราคะ คือ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน
8. มานะ คือ การถือตัวถือตน ถือว่าเรา สูง เสมอ หรือ ต่ำ กว่าผู้อื่น
9. อุทธัจจะ คือ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
10. อวิชชา คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง พระโสดาบันละ สักกายทิฐิ วิจิกิฉา และ สีลัพพตปรามาส ได้ พระสกทาคามีละ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ อย่างหยาบได้ พระอนาคามีละ กามฉันทะ และ ปฏิฆะ อย่างละเอียดได้ พระอรหันต์ละ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ อวิชชา ได้สิ้น

อนุสัย7
อนุสัย 7 คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน
1. กามราคะ คือ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการ ถูกต้องสัมผัส
2. ปฏิฆะ คือ มีความผูกโกรธ อาฆาต พยาบาท
3. ทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด, การถือความเห็นที่ผิดจากความเป็นจริง
4. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย อันมี พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์
5. มานะ คือ ความถือตัวถือตน ถือว่าเรา สูง เสมอ หรือ ต่ำ กว่าผู้อื่น
6. ภวราคะ คือ ความกำหนัดในภพ มีความว่าภพนี้น่าอยู่เป็นสุข
7. อวิชชา คือ ความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง
***********************************************

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร