วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 14:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


นรก
นรกแบ่งเป็นขุม ๆ ตามอำนาจของกรรมที่เหล่าสัตว์โลกได้กระทำ
ไว้บันดาลให้เกิดขึ้น นรกขยายตัวออกไปไม่สิ้นตามจำนวนของสัตว์
นรก นรกแบ่งออกตามอำนาจของกรรม ดังนี้
๑. มหานรก ๘ ขุม
๒. อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม
๓. ยมโลก ๓๒๐ ขุม
๔. โลกันตนรก ๑ ขุม
มหานรกหรือนรกขุมใหญ่ มี ๘ ขุม แต่ละขุมจะมีนรกบริวาร/
นรกบ่าว หรืออุสสทนรก ด้านละ ๔ ขุม รวม ๑๖ ขุม และมีนรกเล็ก
เรียกว่า ยมโลก อยู่ภายนอกด้านละ ๑๐ ขุม สำหรับโลกันตนรกอยู่
นอกกำแพงจักรวาล
มหานรก ๘ ขุม

ขุมที่ ๑ สัญชีพนรก (ขุมนรกไม่มีวันตาย)
ลักษณะ พื้นเหล็กหนาถูกเผาไฟจนลุกโชน มีขอบทั้ง ๔ ด้าน
มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ระหว่างไฟจะมีสรรพวุธต่าง ๆ เช่น
หอก ดาบ ฆ้อน ถูกเผาไฟจนลุกแดงและคมจัด สัตว์นรกวิ่งพล่าน
เท้าเหยียบไฟ ร่างกายถูกเผา สรรพวุธฟัน แทง สับ ทุบ สัตว์นรก
เจ็บปวดทรมาน ร้องครวญครางดิ้นเร่า ๆ ร่างกายสัตว์นรกฉีกขาด
แล้วมาต่อกันใหม่โดยทันที ทรมานต่อไป ไม่มีวันตาย
อายุขัย ๕๐๐ ปี ๑ วัน = ๙ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป เป็นโจรปล้นทำลายทรัพย์สิน ผู้มีอำนาจข่มเหง
ผู้ต่ำต้อยกว่า
ขุมที่ ๒ กาฬสุตตะนรก (ขุมนรกบรรทัดดำ)
ลักษณะ มีกำแพงและพื้นเหล็กถูกเผาไฟลุกโชน นายนิริยบาลจะ
จับเอาสัตว์นรกนอนลง ใช้เส้นบรรทัดที่ทำด้วยสายเหล็กแดงลูกเป็น
ไฟ มาดีดร่างกายของสัตว์นรก ตามยาวบ้าง ตามขวางบ้าง แล้วนำ
เลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดโต้บ้าง มาสับ ฟัน เลื่อยตามรอยที่ดีดไว้
ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส
อายุขัย ๑,๐๐๐ ปี ๑ วัน = ๓๖ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป ฆ่านักบวช ภิกษุ สามเณร ผู้ทุศีล อลัชชี
ขุมที่ ๓ สังฆาฏนรก (ขุมนรกภูเขาขยี้กาย)
ลักษณะ มีกำแพงและพื้นเหล็กถูกเผาไฟลุกโชน มีภูเขาเหล็กลุก
เป็นไฟ ๒ ลูก กลิ้งไปมาเข้าหากันบดขยี้ร่างสัตว์นรกจนแหลกเหลว
แล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ รับทุกข์ทรมานต่อไป สัตว์นรกตนใดวิ่งหนี
ก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา
อายุขัย ๒,๐๐๐ ปี ๑ วัน = ๑๔๕ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป เป็นพรานนก พรานเนื้อ หรือพวกที่ชอบทรมาน
เบียดเบียนสัตว์ที่ตนใช้ประโยชน์ เช่น วัว ควาย โดยขาดความเมตตา
สงสาร
ขุมที่ ๔ โรรุวะนรก (ขุมนรกร้องไห้)
ลักษณะ มีกำแพงเหล็ก ๔ ด้าน ไฟลุกโชน ยิ่งลึกยิ่ร้อน ตรงกลาง
ขุมมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กมีไฟพุ่งออกมาตลอดเวลา สัตว์นรกถูก
บังคับให้ขึ้นไปอยู่ในดอกบัว กรรมทำให้สัตว์นรกยืนขึ้นแล้วก้มตัวลง
กลีบบัวงับหนีบสัตว์นรก ส่วนหัวถึงคาง ขาถึงข้อเท้า มือถึง
ข้อมือ ไฟเผาร่างอยู่ตลอดเวลา สัตว์นรกเจ็บปวดทรมานส่งเสียงร้อง
ครวญครางดังยิ่งนัก
อายุขัย ๔,๐๐๐ ปี ๑ วัน = ๕๗๖ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป พวกเมาสุราอาละวาด ทำร้ายร่างกาย พวกเผาไม้
ทำลายป่า พวกกักขังสัตว์ไว้ฆ่า ชาวประมง
ขุมที่ ๕ มหาโรรุวะนรก (ขุมนรกร้องไห้ดังสนั่น)
ลักษณะ มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัดยิ่งกว่าขุมก่อน กลีบบัว
คมเป็นกรดมีอยู่ทั่วไป ระหว่างช่องว่างมีแหลนหลาว ปักชูปลายแหลม
ขึ้นลุกเป็นไฟ นายนิริยบาล่จะบังคับไล่แทงให้ขึ้นไปบนดอกบัว
สัตว์นรกทั้งหลายร้อน ดิ้นทุรนทุรายไปกระทบกลีบบัว
กลีบบัวบาดตัดร่างสัตว์นรกล่วงลงมา ถูกแหลนหลาวแทงรับไว้
เนื้อของสัตว์นรกร้อนลุกเป็นไฟหล่นลงสู่พื้น และมีสุนัขนรกคอยกัด
แทะกินจนหมดสิ้น สัตว์นรกก็จะก่อร่างขึ้นใหม่ รับทุกขเวทนายิ่งกว่า
ร้องโหยหวนดังยิ่งกว่าขุนก่อน
อายุขัย ๘,๐๐๐ ปี ๑ วัน = ๒๓๐๔ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป พวกลักเครื่องสักการบูชา ขโมยทรัพย์สมบัติของ
พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือภิกษุสามเณร นักบวชต่าง ๆ
ขุมที่ ๖ ตาปะนรก (ขุมนรกแห่งความเร่าร้อน)
ลักษณะ กำแพง ๔ ด้าน พื้นเป็นเหล็กแดงฉาน ไฟพลุ่งโชนสว่างมาก
ไร้เปลว ไฟละเอียดและร้อนจัด มีแหลนหลาวใหญ่เท่าลำตาล
ไฟลุกโชน พุ่งมาเสียบสัตว์นรกและเอาขึ้นตั้งไว้ พอไฟไหม้เนื้อหนังหล่น
ลงมา ก็จะถูกสุนัขนรกตัวใหญ่เท่าช้าง เที่ยวไล่กัดแทะจนเหลือแต่กระดูก
แล้วก็เกิดเป็นสัตว์นรกใหม่ ต้องทุกข์ทรมาน ร้องระงมเซ็งแซ่ไปหมด
อายุขัย ๑,๖๐๐ ปี ๑ วันนรก = ๙,๒๓๖ ล้านปีมนุษย์
ความผิดบาป พวกเผาบ้านเผาเมือง เผาโบสถ์วิหาร
ศาลาการเปรียญ
ขุมที่ ๗ มหาตาปะนรก (ขุมนรกแห่งความเร่าร้อนยิ่ง)
ลักษณะ มีไฟคล้ายแสงสว่าง มีความร้อนสูงมาก พุ่งมาจากกำแพง
เหล็กรอบด้านมารวมกันตรงกลาง มีภูเขาเหล็กตั้งอยู่กลางขุมนรก
มีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกจนเผาเป็นเหล็กแดงฉาน นายนิริยบาลบังคับให้
สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเขา พอใกล้ถึงยอดเขา สัตว์นรกทน
ไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้รอบข้างแทงเข้า
ไฟไหม้ท่วมร่าง
อายุขัย ๑/๒ กัป (กัลป์)
ความผิดบาป พวกมิจฉาทิฏฐิบุคคล เห็นผิดเป็นชอบ ไม่รู้จัก
สิ่งดีมีประโยชน์ ปฏิเสธเรื่องบุญ เรื่องบาป เห็นว่าตายแล้วสูญ
ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำแต่ทุจริตกรรม
ขุมที่ ๘ อเวจีมหานรก (ขุมนรกแห่งไฟ)
ลักษณะ มีกำแพงเหล็กปิดเฉพาะตัวทั้ง ๖ ทิศ มีหลาวเหล็ก
แทงสัตว์นรกทะลุตรึงร่าง ให้ยืนกางแขนขา โดยจากบนลงล่าง
ซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง จำนวนหลายสิบเล่ม จนสัตว์นรก
ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย ถุกแผดเผาอยู่ตลอดเวลา
จนกระดูกแดงฉาน จำนวนสัตว์นรกในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง ๗ ขุม
รวมกัน
อายุขัย ๑ กัป (กลัป์)
ความผิดบาป พวกทำบาปหนักที่เป็นอนันตริยกรรม ได้แก่
ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทะเจ้าห้อพระโลหิต
ทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกกัน พวกทำลายพระพุทธรูป
ต้นศรีมหาโพธิ์ พวกติเตียนพระอริยสงฆ์
หมายเหตุ ๑ กัป (กัลป์) หมายถึง ระยะเวลายาวนานมาก
อุปมาดัง - กล่องกว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาด
จนเต็ม เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี หยิบออก ๑ เมล็ด จน
กระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น ๑ กัป
- ภูเขาสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งหลายที่เห็นในโลกมนุษย์
เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี มีเทวดานำผ้าทิพย์เนื้อละเอียด
ดังควันไฟ มาปัดภูเขา ๑ ครั้ง จนภูเขานี้แบบราบเท่า
พื้นแผ่นดิน
อุสสทนรก
อุสสทนรก เป็นนรกขุมย่อย ล้อมรอบตามประตูมหานรกทั้ง ๔ ทิศ
ทิศละ ๔ ขุม มหานรกขุมหนึ่ง ๆ จะมีอุสสทนรก ๑๖ ขุม ดังนั้น
มหานรก ๘ ขุม จึงมีอุสสทนรกรวม ๑๒๘ ขุม มีชื่อเหมือนกันทุกประตู
ต่างกันที่โทษหนักหรือเบาเท่านั้น มีชื่อดังนี้
ขุมที่ ๑ คูถะนรก (นรกอุจจาระเน่า)
คูถ แปลว่า อุจจาระ นรกขุมนี้เต็มไปด้วยอุจจาระเน่า เหม็น
ร้ายกาจ ร้อนดุจเหล็กเผาไฟ และมีหนอนปากเหล็กตัวขนาดใหญ่ เข้า
รุมมากัดกินเนื้อหนังจนหมด แล้วเนื้อหนังก็เกิดขึ้นใหม่ สัตว์นรกทั้ง
ร้อน ทั้งเหม็น และเจ็บปวดทรมาน
ขุมที่ ๒ กุกกุละนรก (นรกหลุมขี้เถ้า)
กุกกุละ แปลว่า ขี้เถ้า ซึ้งเป็นขี้เถ้าเหนียวยึดโยงเป็นสายดังเหล็ก
เส้นเผาไฟแดง เข้ายึดโยง รัดรึงสัตว์นรกแน่นจนหายใจแทบไม่ออก
ร้อนรุมเผาตลอดตัว
ขุมที่ ๓ อสิปัตตะนรก (นรกมะม่วงเหล็กมหาภัย)
มีต้นมะม่วงใหญ่ เขียว สาขางดงาม มีลูกดกน่ากิน สัตว์นรกซึ่ง
หิวโหยมานานแสนนาน มีความยินดีนัก รีบปีนป่ายขึ้นต้นมะม่วง
หวังเก็บผลมะม่วงกิน ในทันทีนั้น ใบและผลมะม่วงกลายเป็นหอก
เป็นดาบร่วงหล่นลงมา ลำต้นมะม่วงก็เต็มไปด้วยขวากหนาม หอก
ดาบเหล่านี้ดั่งมีชีวิต ไล่ทิ่มแทงสัตว์นรก สัตว์นรกวิ่งหนีจากโคนต้น
มะม่วงก็ไปพบกำแพงเหล็ก จึงหนีไปทางอื่นก็มีสุนัขขนาดใหญ่เท่า
ช้าง ไล่กัดแทะเนื้อหนังจนเหลือแต่กระดูก แล้วก็เกิดเนื้อหนังขึ้นใหม่
วิ่งหนีไปยังต้นมะม่วง เวียนไปมาเช่นนี้นานแสนนาน
ขุมที่ ๔ เวตตรณีนรก (นรกน้ำกรด)
นรกขุมนี้มีน้ำใสสะอาด สัตว์นรกทนร้อนมานาน กระหายน้ำมาก
หวังใจว่า ตนพ้นทุกข์ทรมานแล้ว กระโดดลงไปในน้ำเพื่ออาบและดื่ม
น้ำ แต่ปรากฏต้นหวายหนามเหล็กลุกเป็นไฟโชนขวางไว้ บาดเนื้อตัว
เผาไหม้ สัตว์นรกดิ้นรนไปมาจนตกลงน้ำ น้ำกลายเป็นน้ำกรด ปวด
แสบแผลทั่วตัว ว่ายขึ้นฝั่งก็มีต้นหวายหนามขวางอยู่ มีดอกบัวใหญ่โผล่
ขึ้นมาระหว่างนั้น สัตว์นรกดีใจรีบปีนขึ้นบนดอกบัว ดอกบัวนั้นก็กลาย
เป็นดอกบัวเหล็ก กลีบดอกคมมาก บาดเนื้อตัวสัตว์นรกจนเป็นแผล
เหวอะหวะ สัตว์นรกเหล่านั้นเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงโดดลงน้ำ ดำลงใต้
น้ำ แต่ก็ต้องพบกับหอก ดาบ ของมีคมทิ่มแทง กิดทุกขเวทนายิ่งนัก
ยมโลกนรก
ขุมนรกรายรอบอุสสทนรก ทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑๐ ขุม มหานรก
ขุมหนึ่ง ๆ มียมโลกนรก ๔๐ ขุม มหานรกทั้ง ๘ ขุม จึงมียมโลกนรก
รวม ๓๒๐ ขุม มีชื่อดังต่อไปนี้
ขุมที่ ๑ โลหะกุมภีนรก (นรกหม้อโลหะ)
กุมภี แปลว่า หม้อ นรกขุมนี้มีหม้อทองแดงขนาดใหญ่ ในหม้อมี
น้ำทองแดงร้อนหลอมละลายจนลุกเป็นไฟ เดือดพลุ่งพล่าน
นายนิริยบาลใช้หอกเสียบสัตว์นรก โยนลงในหม้อโลหะ น้ำทองแดง
พัดพาสัตว์จมลงไปแล้วเวียนขึ้นมา ร้อนเจ็บปวด ทรมาน เวียนไปมา
เช่นนี้จนหมดเศษกรรมการกระทำผิดศีลข้อ ๑ ปาณาติบาต


ขุมที่ ๒ สิมพลีนรก (นรกต้นงิ้ว)
มีต้นงิ้วใหญ่ หนามยาว ๑๖ องคุลี แหลมคมเป็นกรด เคลื่อนไหว
ได้เหมือนมีชีวิต นายนิริยบาลใช้หอกไล่ทิ่มแทงสัตว์นรกให้ปีนป่าย
ขึ้นไปบนต้นงิ้ว หนามงิ้วพุ่งทิ่มแทงทะลุหลัง เกี่ยว บาด เลือดไหล
นองแดงฉาน เจ็บปวด ร้องครวญคราง เมื่อขึ้นถึงยอดต้นงิ้ว ถูกแร้ง
กา ปากเหล็ก จิกตี ทนไม่ไหวก็ไต่ผ่านหนามงิ้วลงมา นายนิริยบาล
ก็คอยทิ่มแทง และมีสุนัขใหญ่ กระโจนเข้ายื้อ ฟัด กัดกินจนเหลือ
แต่กระดูก แล้วก็มีเนื้อหนังเกิดขึ้นเต็มร่างอีก เวียนทรมานเช่นนี้จน
หมดเศษกรรมผิดศีลข้อ ๓ การคบชู้ ผิดเมียผัวผู้อื่น ยุ่งเกี่ยวกับลูก
ข้าทาสของใครโดยที่พ่อแม่ นายของเขาไม่อนุญาต
ขุมที่ ๓ อสินขนรก (นรกที่มีเล็บมือเล็บเท้าเป็นมีดเป็นดาบ)
อสิ แปลว่า ดาบ มีด นข แปลว่า เล็บ สัตว์นรกในขุมนี้ มีเล็บมือ
เล็บเท้าเป็นมีดเป็นดาบแหลมคม จะใช้เล็บมือเล็บเท้าของตนเชือด
เฉือน ตะกุยเนื้อของตนกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหย เนื่องจาก
เศษกรรมผิดศีลข้อ ๒ อทินนาทาน ลักขโมยทรัพย์สิน คดโกง จี้ปล้น
หรือหาทรัพย์สิ้นโดยไม่ชอบธรรม
ขุมที่ ๔ ตามโพทนะนรก (นรกน้ำทองแดง)
ตามพะ แปลว่า ทองแดง อุทก แปลว่า น้ำ นรกขุมนี้มีพื้นเป็น
เหล็กเผาลุกโชน มีหม้อโลหะเคี่ยวน้ำทองแดงเดือดพล่านตั้งอยู่
กลาดเกลื่อน นายนิริยบาลจับสัตว์นรกให้นอนลงบนพื้นเหล็กแดง
ถ้าขัดขืน นายนิริยบาลจะใช้หอก ดาบ ฆ้อน แทง ฟัน ทุบ จับตัวไว้
ไม่ให้ดิ้นหนีได้ แล้วใช้คีมงัดปาก เอาน้ำทองแดงเทกรอกปาก น้ำ
ทองแดงไหลผ่านอวัยวะใดก็จะพังทลาย แล้วสัตว์นรกก็จะกลับมีร่าง
ขี้นมาใหม่ เวียนใช้กรรมจนหมดเศษกรรมผิดศีลข้อ ๕ ดื่มสุราเมรัย
สิ่งเสพติด ทำให้มึนเมาขาดสติสัมปชัญญะ
ขุมที่ ๕ อโยคุฬะนรก (นรกก้อนเหล็กแดง)
อย แปลว่า เหล็ก นรกขุมนี้มีพื้นเหล็กแดงไฟลุกโชน ไฟพุ่งมาทั้ง
๔ ทิศ มีก้อนเหล็กใหญ่ เผาไฟลุกแดง อยู่กลาดเกลื่อนทั่วไป สัตว์นรก
วิ่งไปมา เห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหาร ชิ้นเนื้อน่ากิน ความหิวโหย
ทำให้สัตว์นรกหยิบก้อนเหล็กร้อนกลืนกินเข้าไป เจ็บปวดทรมาน ปาก
คอ อก ท้องถูกทำลายด้วยความร้อน แล้วก็คืนร่างขึ้นมารับกรรมต่อไป
การลงทัณฑ์จากเศษกรรมจากการที่พระ เณร นักบุญ ทกยก ทายิกา
ฆราวาสก็ตามบอกบุญเรี่ยไรแล้วนำมาเป็นประโยชน์ตนเสียบางส่วนบ้าง
ทั้งหมดบ้าง ไม่นำไปทำสาธารณประโยชน์ตามที่บอกไว้
ขุมที่ ๖ ปิสสกปัพพตะนรก (นรกภูเขาใหญ่)
ปัพพตะ = บรรพต แปลว่าภูเขา ขุมนรกนี้ร้อนรุมด้วยพื้นและ
กำแพงลุกโชนด้วยไฟ และยังมีไฟพวยพุ่งมาทั้ง ๔ ทิศเช่นเดียวกัน
มีก้อนเหล็กมหึมาดังภูเขาทั้ง ๔ ทิศ เคลื่อนไปมาบดขยี้ร่างสัตว์นรก
ตลอดเวลา จนกว่าหมดเศษกรรมการฉ้อราษฎร์บังหลวง รีดไถ คดโกง
ขุมที่ ๗ สุธะนรก (นรกแกลบไฟ)
สุธะ แปลว่า น้ำ นรกขุมนี้เป็นแม่น้ำใหญ่ ใสสะอาด ดูน่ารื่นรมย์
สัตว์นรกผ่านความรุ่มร้อนมามาก เมื่อเห็นแม่น้ำเข้าก็ดีใจ ต้องการดื่ม
กินให้หายกระหาย อาบน้ำเล่นให้เย็นสบาย ต่างกรุกันกระโจนลงน้ำ
น้ำก้กลายเป็นแกลบเหล็ก แกลบหินลุกเป็นไฟ สัตว์นรกวิ่งพล่านไป
ถ้าใครจะขึ้นฝั่ง นายนิริยบาลทิ่งแทงด้วยหอก แหลน หลาว ขึ้นไม่ได้
จนหมดเศษกรรมการคดโกง หลอกลวงชาวบ้าน
ขุมที่ ๘ สีตโลสิตะนรก (นรกน้ำกรดเย็น)
สีตะ แปลว่า เย็น นรกขุมนี้เป็นแม่น้ำใหญ่ เย็นเป็นกรด เมื่อ
สัตว์นรกลงไป น้ำเย็นบาดเนื้อตัวให้เปื่อยพองทรมาน ขึ้นฝั่งก็ถูก
นายนิริยบาลไล่ทุบ ตี แทง ฟันด้วยอาวุธต่าง ๆ ให้ลงไปในน้ำจน
หมดเศษกรรม การทุบตี โยน แกล้ง ทำร้ายต่าง ๆ นานาด้วยใจที่
ขาดเมตตา
ขุมที่ ๙ สุนขะนรก (นรกสุนัข)
สุนขะนรก นรกขุมนี้มีแพงเป็นเหล็กแดงทั้ง ๔ ด้าน มีไฟพวยพุ่ง
สัตว์นรกถูกไฟเผาลนวิ่งไปมา มีสุนัขตัวใหญ่จำนวนมากมาย วิ่งไล่
กัดแทะเลือดเนื้อและกระดูกสัตว์นรกจนหมด แล้วก็เกิดตัวตนขึ้นใหม่
เวียนไปเช่นนี้จนหมดกรรมการด่าว่า นินทา ว่าร้ายพ่อแม่ พระเณร
เถรชี ชาวบ้าน
ขุมที่ ๑๐ ยันตปาสาณนรก (นรกเขากระทบกัน)
ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้สภาพเหมือนนรกขุมทั่วไป มีกำแพง
เป็นเหล็กแดง ไฟพวยพุ่ง แต่จะมีภูเขาเหล็กขนาดใหญ่หมุนเลื่อนมา
บดกระทบกัน สัตว์นรกจะถูกนายนิริยาบาลไล่ทุบตีแทงฟันให้วิ่งหนี
เข้าไปในระหว่างเขาเหล็กลุกแดงนั้น สัตว์นรกก็กูกหมุนบดขยี้จน
แหลกละเอียด แล้วเกิดเป็นตัวตนขึ้นใหม่ชดใช้จนหมดกรรมการขาด
เมตตาปราณีต่อสามีภรรยา ทุบตี ชกต่อยโดยไร้เหตุผล
โลกันตนรก (นรกน้ำกรดเย็น)

โลกันตนรก เป็นนรกขุมใหญ่พิเศษ ตั้งอยู่ระหว่างจักวาล ๓
จักรวาลตั้งชิดติดกัน มีสภาพมืดมนอนธการ แสงตะวัน แสงเดือน
ดาวส่องมาไม่ถึง จะเกิดแสงขึ้นชั่วฟ้าแลบเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก สัตว์นรกขุมนี้ ร่างกายใหญ่โต เล็บมือเล็บเท้า
ยาวเกาะเกี่ยวตัวห้อยหัวอยู่ตามเขาขอบจักรวาล ดุจดังค้างคาว
เพราะความมืดสนิท สัตว์นรกแต่ละตัวก็เข้าใจว่าตนมาอุบัติ ณ ที่นี้
เพียงผู้เดียว ได้แต่ไต่เปะปะด้วยความหิวโหยเหลือประมาณ เมื่อไป
กระทบ เกาะกุมซึ่งกันและกัน ก็เข้าใจว่าเป็นอาหาร ดีใจ ไขว่คว้า
ฉวยจับกันเพื่อจะกินเป็นอาหาร ถ้าตนใดเผลอปล่อยมือเท้าเชิงเขา
จักรวาล ก็จะพลัดตกดิ่งหัวลงมาในทะเลน้ำกรดเย็นยะเยือกในเบื้อง
ล่าง น้ำกรดเย็นนั้นกัดกร่อนร่างกายสัตว์นรกจนเปื่อยละลายเป็นจุณ
อำนาจกรรมบันดาลให้สัตว์นรกคืนสภาพเป็นตัวตนขึ้นใหม่ รู้สึก
หนาวเย็นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ตะเกียดตะกายกลับขึ้นไปไต่ที่
ขอบจักรวาลดังเดิม เป็นเช่นนี้จนหมด ๑พุทธันดร (พุทธันดร =
ระยะเวลายาวนานเท่ากับช่วงว่างจากพระพุทธเจ้า คือ ช่วงเวลา
หลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนิพพานจนถึงพระพุทธเจ้าอีกองค์
หนึ่งมาตรัสรู้) สัตว์นรกเหล่านี้เคยทำกรรมประทุษร้าย ทรมาน
บิดามารดา ปราศจากความกตัญญูกตเวที หรือประทุษร้ายต่อ
ผู้ทรงศีล หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ หรือ
เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ คือไม่เชื่อบุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์ ทำบาปอยู่
เนืองนิจ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 05:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


น่ากลัวจังเลยค่ะ :b7: :b7: :b7:
:b41: :b41: :b42: :b41: :b41:


[i]จะหม้่นรักษาศิล ทาน ภาวนา
ไม่อยากไปทัวร์นรกค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b8: :b8:
[/i]
:b41: :b41: :b42: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขุมที่ ๘ อเวจีมหานรก (ขุมนรกแห่งไฟ)
ลักษณะ มีกำแพงเหล็กปิดเฉพาะตัวทั้ง ๖ ทิศ มีหลาวเหล็ก
แทงสัตว์นรกทะลุตรึงร่าง ให้ยืนกางแขนขา โดยจากบนลงล่าง
ซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง จำนวนหลายสิบเล่ม จนสัตว์นรก
ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย ถุกแผดเผาอยู่ตลอดเวลา
จนกระดูกแดงฉาน จำนวนสัตว์นรกในขุมนี้ มีมากกว่าทั้ง ๗ ขุมรวมกัน
อายุขัย ๑ กัป (กลัป์)
ความผิดบาป พวกทำบาปหนักที่เป็นอนันตริยกรรม ได้แก่
ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทะเจ้าห้อพระโลหิต
ทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกกัน พวกทำลายพระพุทธรูป
ต้นศรีมหาโพธิ์ พวกติเตียนพระอริยสงฆ์
หมายเหตุ ๑ กัป (กัลป์) หมายถึง ระยะเวลายาวนานมาก
อุปมาดัง - กล่องกว้าง ยาว สูงด้านละ ๑ โยชน์ บรรจุเมล็ดผักกาด
จนเต็ม เวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี หยิบออก ๑ เมล็ด จน
กระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น ๑ กัป

เป็นข้อมูลที่ดีครับ สมควรเผยแพร่ให้ทุกคนได้รู้และตระหนักถึงโทษภัย แต่ มีอยู่ที่หนึ่งครับท่าน
ตรงนี้ ใส่มั่วหรือเปล่า ตรงที่ว่า พวกทำลายพระพุทธรูป เพราะสิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้านั้น
ก็มีต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้น แต่พระพุทธรูปไม่มีนะครับ มันเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง
และพระพุทธเจ้าก็ยังปฏิเสธพวกรูปอยู่แล้ว ขนาดร่างกายของพระองค์เองยังทรงกล่าวว่าเป็น
สิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ควรยึดติด แล้วพระพุทธรูปหละยิ่งแล้วใหญ่เลยตัวการทำให้ผู้คนหลงยึดติดดีนักแล
ควรจะส่งเสริมความรู้ด้วยนะครับอย่าสักแต่ว่า เอาตามความชอบใจโดยไม่สนความชอบธรรมนะครับ
ท่าน ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 21:34
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


น่ากลัวมากค่ะ :b14:

ขอบคุณมากนะคะที่นำมาให้อ่าน

หุหุ ต้องรีบหมั่นทำบุญรักษาศีลมากแล้ว

:b14:

.....................................................
๐ การเป็นผู้ฟังบ้างก็ไม่เสียหายอะไร จะได้รู้ว่าสิ่งที่เข้าใจมากนั้นผิดหรือถูก ๐


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ตัวกันบ้างไหมครับว่า เราๆท่านๆ ในวันหนึ่งๆ ตกนรกและขึ้นสวรรค์กันไม่รู้กี่ครั้งๆต่อกี่ครั้ง
เป็นเปรตเป็นเทวดาเป็นสัตว์นรกกัน ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในวันหนึ่งๆ


เพียงแต่เราสัมผัสรสชาดของภพภูมิต่างๆในร่างมนุษย์เท่านั้นเอง
ถ้าหมั่นสังเกตุนะ

เวลาดีใจ เบาสบาย ละมุนละไม อันนี้ก็ภพภูมิของพวกเทวดา เขาจะรู้สึกคล้ายๆอย่างนี้

เวลามันตรึงเครียดเค้นดันหนักอย่างกับภูเขาทับในอก อันนี้ก็พึงทราบว่ากำลังลงนรกอยู่
มันรสชาดอย่างนี้ แสบร้อนอย่างนี้ นี่แหละนรกต่อหน้าต่อตา ใจเรานี่มันรู้สึกได้หมด

เวลาอยากได้อะไรจัดๆแล้วไม่ได้ มันโหย มันอยาก มันหิว มันไม่ยอม ไม่เป้นสุข หงุดหงิด งุ่นง่าน
อันนี้ก็พึงทราบว่าเปรตเขาอยู่อย่างนี้แหละ คล้ายๆอย่างนี้


ไม่ต้องรอตาย ก็สามารถเห็นสวรรค์นนรกกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
รู้ตัวกันบ้างไหมครับว่า เราๆท่านๆ ในวันหนึ่งๆ ตกนรกและขึ้นสวรรค์กันไม่รู้กี่ครั้งๆต่อกี่ครั้ง
เป็นเปรตเป็นเทวดาเป็นสัตว์นรกกัน ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในวันหนึ่งๆ


เพียงแต่เราสัมผัสรสชาดของภพภูมิต่างๆในร่างมนุษย์เท่านั้นเอง
ถ้าหมั่นสังเกตุนะ

เวลาดีใจ เบาสบาย ละมุนละไม อันนี้ก็ภพภูมิของพวกเทวดา เขาจะรู้สึกคล้ายๆอย่างนี้

เวลามันตรึงเครียดเค้นดันหนักอย่างกับภูเขาทับในอก อันนี้ก็พึงทราบว่ากำลังลงนรกอยู่
มันรสชาดอย่างนี้ แสบร้อนอย่างนี้ นี่แหละนรกต่อหน้าต่อตา ใจเรานี่มันรู้สึกได้หมด

เวลาอยากได้อะไรจัดๆแล้วไม่ได้ มันโหย มันอยาก มันหิว มันไม่ยอม ไม่เป้นสุข หงุดหงิด งุ่นง่าน
อันนี้ก็พึงทราบว่าเปรตเขาอยู่อย่างนี้แหละ คล้ายๆอย่างนี้


ไม่ต้องรอตาย ก็สามารถเห็นสวรรค์นนรกกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว




สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุกับคุณชาติสยาม..ด้วยคนครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร