วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้แรก

การเข้านิพพานของมนุษย์ต่างจากสุทธาวาสพรหมอย่างไร?


ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ในปฏิจจสมุปบาท วิญญาณธาตุ เป็นเหตุให้เกิดนามรูป หรือขันธ์ 5(ซึ่งมีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) ด้วยเหตุนี้ วิญญาณธาตุจึงเป็นคนละตัวกับวิญญาณขันธ์

อย่างไรก็ตาม ในภาวะมนุษย์ ทั้งวิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์มันอยู่สนิทกันมาก จนคนธรรมดาแม้แต่คนทำสมาธิได้ฌานไม่สูงนัก หรือแม้แต่พระอรห้นต์สุขะวิปัสสโก ก็อาจจะเข้าใจผิดว่า วิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์ มันเป็นตัวเดียวกัน เพราะพระอรห้นต์สุขะวิปัสสโก ท่านได้เพียงอาสวักขยญาณ ขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไปเท่านั้น ท่านไม่ได้อภิญญา 5 ซึ่งเป็น โลกียอภิญญา ท่านจึงถอดกายทิพย์จากกายเนื้อ ไปพิสูจน์ความจริงไม่ได้ ทำให้ท่านหลงตีความผิดๆตามคณะสงฆ์ฝ่ายปริยัติ

แต่อันนี้ไม่เป็นไร เนื่องจาก วิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์มันอยู่สนิทกันมากนั่นเอง เมื่อดับวิญญาณขันธ์ในนาม-รูปได้ ก็เท่ากับดับวิญญาณธาตุไปด้วยนั่นเอง

ก่อนจะเข้าเรื่องในหัวข้อ ผมขอกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า จิต(สังขาร)ของเรา แม้ว่าจะเป็นนามก็ตาม แต่จิตที่เป็นนามนั้นมีกายซ่อนอยู่ เป็นนามกาย เรียกว่า "อทิสสมานกาย หรือ กายทิพย์" อทิสสมานกายตัวนี้ เป็นกายที่มองไม่เห็นด้วยตา และเป็นกายในฝันของเรา ซึ่งความฝันของเรามีทั้งฝันลมๆแล้งๆ และฝันที่มาจากกายทิพย์

ตามปกติของมนุษย์ กายทิพย์หรือวิญญาณธาตุ หรือปฏิสนธิวิญญาณ จะออกจากกายเนื้อที่เป็นกายจอมปลอมของมัน เมื่อเราตายเท่านั้น

กายของเปรต เทวดา พรหม สัตว์นรก แม้แต่กายของพระอนาคามีที่เกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอทิสสมานกาย หรือ กายทิพย์


ขออธิบายเรื่องกายทิพย์ หรือ นามกาย หรือ อทิสสมานกาย ละเอียดขึ้นอีกนิด


กายทิพย์ อทิสสมานกาย จัดเป็นกายละเอียดที่ซ้อนอยู่ภายในกายเนื้อของคนและสัตว์ทุกรูปนาม
มีอวัยวะใหญ่น้อยครบถ้วนและมีอินทรีย์ไม่บกพร่อง แต่ไม่อาจแลเห็นด้วยตาได้ ในคัมภีร์พระอภิธรรม จะพบคำว่า นามกาย มากมาย ซึ่งก็คือกายทิพย์ อทิสสมานกาย นี่เอง

นามกาย(วิญญาณธาตุ)ตัวนี้ก็มี เวทนา สัญญา สังขาร เช่นกัน

เนื่องจาก นามกาย หรือ กายทิพย์ มีคุณสมบัติคือ มันเกิดจากจิตเข้าไปพอใจและเข้าไปยึดถือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยอารมณ์ไว้ ดังนั้น ถ้าจิต(สังขาร)ยังคงมีความพอใจเข้าไปยึดถืออารมณ์ไว้ตราบใด จิต(สังขาร)ก็จะสร้างกายทิพย์ให้มีอายุยืนยาวได้ตราบนั้น ด้วยเหตุนี้ กายทิพย์จึงมีอายุยืนยาวชั่วกัลปาวสาน แต่ไม่นิรันดร . มันจะเวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรนี้เรื่องไปตราบเท่าที่ยังพอใจ และยึดติดในอารมณ์อยู่ ร่างกายของมนุษย์ เทพ พรหม เปรต สัตว์เดรัจฉาน ล้วนเป็นที่พักอยู่ชัวคราวของอทิสสมานกาย หรือนามกาย(วิญญาณธาตุ) หรือ กายทิพย์ เท่านั้น

ในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๙/๔๖๖/๔๓๑ เกวัฏฏสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่า

"......... .........
นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ
นามรูปดับสนิทในสิ่งนี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้แล"

เกวัฏฏสูตรหมายความว่า รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) = นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ ส่วนวรรคสอง นามรูปดับสนิทในสิ่งนี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ = ดับสนิทของวิญญาณธาตุ

การที่มนุษย์จะดับนามกาย(วิญญาณธาตุ) หรือดับจิต(สังขาร)ตัวนี้ได้สมบูรณ์ จนสามารถเข้านิพพานได้ถาวร มนุษย์จะต้องดับวิญญาณธาตุไปพร้อมกับดับนามรูป(ซึ่งมีวิญญาณขันธ์อยู่ด้วย) ก่อนตายเท่านั้น หลังจากนั้นนามกาย(กายทิพย์)จะตายสนิทไปด้วยทันที คงเหลือแต่ จิตบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า กายธรรม หรือธรรมกาย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเดิมของจิตในปฏิจจสมุปบาท กายธรรมนั้นเป็นพุทธภาวะที่สงบ สว่าง สะอาด ร่มเย็นเป็นสุข. เพราะจิตบริสุทธิ์ชั้นพุทโธนี้ จะหลุดพ้นจากการครอบงำของอารมณ์ทั้งหลาย ทำให้จิตบริสุทธิ์ชั้นพุทโธ ไม่ปรุงแต่งให้เกิดจิตไม่บริสุทธิ์ที่มีนามกาย(กายทิพย์)อีกต่อไป ภพชาติใหม่จึงไม่เกิดขึ้นอีก


สุทธาวาสพรหมเข้านิพพานโดยละทิ้งอทิสสมานกาย


ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน จะเกิดอีก 7 ชาติ จึงสามารถเข้านิพพานได้ ซึ่งท่านจะต้องดับทั้งวิญญาณขันธ์ในขันธ์ 5 และดับทั้งตัววิญญาณธาตุด้วย เพราะท่านเป็นมนุษย์ แต่ผู้ที่เป็นสามารถบรรลุธรรมถึงขั้นพระอนาคามี เมื่อละจากโลก อทิสสมานกาย หรือนามกาย(วิญญาณธาตุ)ของท่าน จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส ซึ่งพรหมชั้นนี้ ไม่ต้องกังวลว่าหมดกำลังบุญจะหล่นตุ๊บมาเกิดอีก ดังนั้น อทิสสมายกายของท่าน จึงสามารถนั่งบำเพ็ญเพียรต่อในชั้นสุทธาวาส หลังจากน้น จึงค่อยดับวิญญาณธาตุ (อทิสสมานกาย) เข้านิพพานต่อไป

สรุป

มนุษย์ต้องดับทั้งวิญญาณขันธ์และขันธ์ 5 พร้อมกับวิญญาณธาตุ จึงจะเข้านิพพานได้

สุทธาวาสพรหมดับเฉพาะวิญญาณธาตุ หรืออทิสสมานกายเท่านั้น ก็เข้านิพพานได้แล้ว



กระทู้ที่๒ ที่ถูกกล่าวหา


แดนนิพพานเป็นการอธิบายถึงนิพพาน แบบอุปมา

ดังนั้นแดนนิพพานจริงๆนั้นไม่มี

ดังในหนังสือพุทธธรมหน้า๒๓๓

แบบอุปมา ถ้อยคำแบบอุปมามักใช้บรรยายภาวะและลักษณะของผู้บรรลุนิพพาน มากกว่าใช้บรรยายภาวะของนิพพานโดยตรง เช่น เปรียบพระอรหันต์เหมือนโคนำฝุงที่ว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่งแล้ว(ม.มูฬ๑๒/๓๑๙/๔๒๐) เหมือนคนข้ามมหาสมุทร หรือห้าวน้ำใหญ่ที่มีอันตรายมากถึงฟากขึ้นยืนบนฝั่งแล้ว(สํ.สฬ.๑๘/๒๘๕/๑๙๖;๓๑๔/๒๑๘) จะว่าไปเกิดที่ไหน หรือจะว่าไม่เกิดเป็นต้นก็ไม่ถูกทั้งสิ้น เหมือนไฟดับเมื่อสิ้นเชื้อ((ม.ม.๑๓/๒๕๐/๒๔๖;สํสฬ.๑๘/๘๐๐/๔๘๕) อย่างไรก็ตาม คำเปรียบเทียบภาวะนิพพานโดยตรงก็มีอยู่บ้าง เช่นว่า นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์(สํ.ข.๑๗/๑๙๗/๑๓๒) เหมือนฝ่งโน้นไม่มีภัย(สํ.สฬ.๑๘/๓๑๖/๒๑๙) และเหมือนข่าวสาสน์ที่เป็นจริง(สํ.สฬ.๑๘/๓๔๒/๒๔๒) เป็นต้น ที่ใช้เป็นคำเรียกเชิงเปรียบเทียบอยู่ในตัวก็หลายคำ เช่น "อโรคยะ" (ความไม่มีโรค, สุขภาพสมบูรรณ์) "ทีปะ" (เกาะ, ที่พ้นภัย) "เลนะ" (ถ้ำ, ที่กำบังภัย) เป็นต้น ในสมัยคัมภีร์รุ่นต่อๆมาที่เป็นสาวกภาษิตถึงกับเรียกเปรียบเทียบนิพพานเป็นเมืองไปก็มี ดังคำว่า "อุดมบุรี" (ขุ.อป.๒๒/๑๕๗/๒๘๒(ปุรมุตฺตมํ)) และนิพพานนคร (มิลินฺท.๓๙๔) ซึ่งได้กลายมาเป็นคำเทศนาโวหารและวรรณคดีโวหารในภาษาไทยว่า อมตมหานครนฤพาน บ้าง เมืองแก้วกล่าวแล้วคือพระนิพพานบ้าง แต่คำหลังนี้ไมจักเข้าในบรรดาถ้อยคำที่ยอมรับว่าใช้แสดงภาวะของนิพพานได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote+"natdanai"]ท่าน mes ครับ...ขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ

เรื่องของพระนิพพานนั้นเขาไม่นำมาเป็นเรื่องวิเคราะห์วิจารณ์กันนะครับ...
มันไม่คุ้มกันหรอกครับ ขาดๆ เกินๆ...

อีกอย่างนึงคือ คนที่ยังไม่กระทบกระแส อธิบายยังไงก็ไม่รู้หรอกครับ ที่รับรู้ไปนั่นน่ะมันไม่ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ มันก็แค่สัญญาขันธ์ เหมือนแผนที่ เหมือนโบร์ชัวร์แพ็คเกจทัวร์ แต่ยังไม่ตัดสินใจจะเดินทาง มีแต่เอามาดูว่า พระนิพพานนั้นเขาว่าเป็นยังไงนะ แล้วก็มานั่งคิดจินตนาการเอาว่า ถ้าเราได้ไปคงมีความสุข สงบ ดีนะ..ก็แค่นั้นเองครับ
[/quote]

ผมไม่ได้วิจารณ์เลยคุณnatdanaiได้แงะอ่านกระทู้หรือยังว่าเขียนอย่างไรก่อนว่ากลาวว่ามันไม่คุ้มขาดๆเกินๆ

ผมยกมาให้เป็นตัวอย่างดูว่าคุณnatdanaiกล้ากล่าวอย่างนั้นได้อย่างไร

ผมไม่ได้เขียนเอง บอกแล้วว่าคัดลอกมาจากหนังสือพุทธธรรม

คนที่ยังไปไม่ถึงนิพพานจะศึกษาเรื่องนิพพานจะผิดตรงไหน

คนที่ยังไม่บรรลุโสดาบัน หรืออรหันต์ จะศึกษาเรื่องอรหันต์จะผิดไหม

ทีอนุพุทธ หรืออนูพุทธที่คุณnatdanaiยกมาอธิบายแทนพลศักดิ์ วังวิวัฒน์เป็นเรื่องน่าวิเคราะห์หรือครับ

นี่คือตัวอย่างที่คุณnatdanaiกล่าวถึง


เปรียบพระอรหันต์เหมือนโคนำฝุงที่ว่ายตัดกระแสน้ำข้ามถึงฝั่งแล้ว(ม.มูฬ๑๒/๓๑๙/๔๒๐)


เหมือนคนข้ามมหาสมุทร หรือห้าวน้ำใหญ่ที่มีอันตรายมากถึงฟากขึ้นยืนบนฝั่งแล้ว(สํ.สฬ.๑๘/๒๘๕/๑๙๖;๓๑๔/๒๑๘)


จะว่าไปเกิดที่ไหน หรือจะว่าไม่เกิดเป็นต้นก็ไม่ถูกทั้งสิ้น เหมือนไฟดับเมื่อสิ้นเชื้อ((ม.ม.๑๓/๒๕๐/๒๔๖;สํสฬ.๑๘/๘๐๐/๔๘๕)

นิพพานเป็นเหมือนภูมิภาคอันราบเรียบน่ารื่นรมย์(สํ.ข.๑๗/๑๙๗/๑๓๒)


เหมือนฝ่งโน้นไม่มีภัย(สํ.สฬ.๑๘/๓๑๖/๒๑๙)

เหมือนข่าวสาสน์ที่เป็นจริง(สํ.สฬ.๑๘/๓๔๒/๒๔๒)


มีข้อความตรงไหนครับที่สร้างความสับสน หรือเป็นมิจฉทิฏฐิของผม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับคุณ mes นะคับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
[quote+"natdanai"]ท่าน mes ครับ...ขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ

1. เรื่องของพระนิพพานนั้นเขาไม่นำมาเป็นเรื่องวิเคราะห์วิจารณ์กันนะครับ...
มันไม่คุ้มกันหรอกครับ ขาดๆ เกินๆ...


2. ผมไม่ได้เขียนเอง บอกแล้วว่าคัดลอกมาจากหนังสือพุทธธรรม

3. มีข้อความตรงไหนครับที่สร้างความสับสน หรือเป็นมิจฉทิฏฐิของผม



วิเคราะห์ได้สิครับ แต่ควรอ้างอิงพุทธพจน์ด้วย แต่คุณอ้างหนังสือพุทธธรรม แต่ไม่ได้อ้างคำพูดของพระพุทธเจ้า แล้วเอาความคิดในหนังสือมาเป็นหลักใหญ่กว่าคำพูดของพระพุทธเจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"natdanai"ครับ


ไล่นายmesออกไปดีกว่างับ ข้อหาก่อกวนความสงบ หลักฐานก็มีชัดแล้ว แล้วน่าจะไล่นายชาติสยามออกไปด้วย ข้อหาสนับสนุนผู้กระทำผิด แล้ว 2 คนนี้อาจเป็นตัวเดียวกันก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณnatdanaiครับ


กฎกติกาในการแสดงความคิดเห็น

1. โปรดงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือบุคคลอันเป็นที่เคารพในสังคม
4. โปรดงดเว้น....ข้อความที่เป็นการนินทา ใส่ร้าย วิพากษ์วิจารณ์บุคคลอื่น หรือต้องการยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นเกลียดชัง
5. โปรดงดเว้น....ข้อความที่เป็นการท้าทาย ชักชวน หรือเจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายแก่สังคม

นายmes ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย ยุยงให้คนอื่นเกลียดชังผม เต็มไปหมด แต่ผมขี้เกียจไปค้นเอาหลักฐานมาลง แต่กฎกติกาข้อ 4 และ ข้อ 5 คุณnatdanaiสมควรลงโทษคนผู้นี้ให้หลาบจำ ผมนำข้อความ 3 ตอนที่เขาทำผิดกฎกติกาอย่างเด่นชัดในกระทู้แดนนิพพาน


1. คุณnatdanai

ต้องโพสต์อย่างนี้ใช่ไหมจึงถูกกฎ

ความจีงผมตั้งกระทู้

ยังไม่ต่อความยาวสาวความยืดเลย

มันอะไรกัน

มาให้ผมหยุดเหมือนน่ารำคาญ

ไม่มีวุฒิภาวะ

[b]....ok. ไม่มีวุฒิภาวะไม่รู้ว่าว่าคุณnatdanaiไม่มีวุฒิภาวะ หรือเขาว่าตัวเองไม่มีวุฒิภาวะ[/b]

2

การยกพระธรรมจากพระไตรปิฎกมาโพสต์นั้นผิด


วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ
การยกพระธรรมจากพระไตรปิฎกมาโพสต์นั้นผิด


วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอวิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ วิบากกรรมหนอ



.............


เขายกเอาข้อความในหนังสือพุทธธรรมมา ไม่ได้ยกเอาพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกมา[

3. เจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายแก่สังคม อันนี้ชัดเจนมาก แค่กระทู้แดนนิพพานกระทู้เดียว ก็ทำความวุ่นว่ายได้ขนาดนี้แล้ว อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลเลยครับคุณnatdadai


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เรื่องของพระนิพพานนั้นเขาไม่นำมาเป็นเรื่องวิเคราะห์วิจารณ์กันนะครับ...
มันไม่คุ้มกันหรอกครับ ขาดๆ เกินๆ...
อีกอย่างนึงคือ คนที่ยังไม่กระทบกระแส อธิบายยังไงก็ไม่รู้หรอกครับ ที่รับรู้ไปนั่นน่ะมันไม่ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ มันก็แค่สัญญาขันธ์ เหมือนแผนที่ เหมือนโบร์ชัวร์แพ็คเกจทัวร์ แต่ยังไม่ตัดสินใจจะเดินทาง มีแต่เอามาดูว่า พระนิพพานนั้นเขาว่าเป็นยังไงนะ แล้วก็มานั่งคิดจินตนาการเอาว่า ถ้าเราได้ไปคงมีความสุข สงบ ดีนะ..ก็แค่นั้นเองครับ


:b8: ตอบแบบนี้ถูกต้องค่ะ แต่ในพระไตรปิฎกมีกล่าวอย่างนี้ค่ะ
เล่ม 67 หน้า 200

…คำว่า พ้นแล้วจากนามกาย ความว่า
มุนีนั้นพ้นจากนามกายและรูปกายก่อนแล้วโดยปกติ คือ มุนีนั้นละนามกายและรูปกายแล้ว
ด้วยการละ คือความล่วงและความข่ม ด้วยองค์นั้นๆ อาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ได้อริยมรรค ๔ เพราะเป็นผู้ได้อริยมรรค ๔ จึงกำหนดรู้นามกายและรูปกาย
เพราะเป็นผู้กำหนดรู้นามกายและรูปกาย จึงพ้น คือ พ้นวิเศษจากนามกายและรูปกาย
ด้วยความพ้นวิเศษส่วนเดียว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ... ฉันนั้น.

คำว่า ย่อมถึงความไม่มี ในอุเทศว่า " อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ " ดังนี้ ความว่า
มุนีนั้นย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

คำว่า ย่อมไม่เข้าถึงความนับ ความว่า
มุนีนั้นย่อมไม่เข้าถึงความนับ คือ ไม่เข้าถึงความอ้าง ความคาดคะเน ความบัญญัติว่า
เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา เป็นมนุษย์
เป็นสัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัตว์มีสัญญาเป็นสัตว์ไม่มีสัญญา
หรือว่าเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ มุนีนั้นไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีการณ์ เครื่องให้ถึงการนับ
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

เปลวไฟดับไปแล้วเพราะกำลังลม ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันใด
มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึงความไม่มี ไม่เข้าถึงความนับ ฉันนั้น…

อุปสีวะพราหมณ์ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือ มุนีนั้นย่อมไม่มี หรือว่า มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีโรคด้วยความเป็นผู้เที่ยง
ขอพระองค์ผู้เป็นพระมุนี โปรดตรัสบอกปัญหานั้นแก่ข้าพระองค์ด้วยดี
(เพราะ) พระองค์ทรงทราบธรรมนั้นแล้วแท้จริง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอุปสีวะพราหมณ์
บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ชนทั้งหลายพึงว่าบุคคลนั้นด้วยกิเลสใด
กิเลสนั้นก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น เมื่อธรรมทั้งปวงอันบุคคลนั้นถอนเสียแล้ว
แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว.

คำว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ ความว่า
บุคคลผู้ดับไปแล้ว คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ย่อมไม่มี ย่อมไม่ปรากฏ
ย่อมไม่ประจักษ์ประมาณแห่งรูป ประมาณแห่งเวทนา ประมาณแห่งสัญญา
ประมาณแห่งสังขาร ประมาณแห่งวิญญาณ
ประมาณแห่งรูปเป็นต้นนั้น อันบุคคลผู้ดับไปแล้ว ละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว ให้สงบแล้ว ระงับแล้ว
ทำให้ไม่อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้ดับไปแล้วย่อมไม่มีประมาณ.

ความว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือว่า มุนีนั้นย่อมไม่มี
คือ มุนีนั้นดับแล้ว ขาดสูญแล้ว หายไปแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้ดับไปแล้ว หรือ มุนีนั้นย่อมไม่มี.

คำว่า แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว ความว่า
กิเลส ขันธ์ และ อภิสังขาร ตรัสว่า ถ้อยคำ ทางแห่งถ้อยคำ ชื่อ ทางแห่งชื่อ
นิรุตติ ทางแห่งนิรุตติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ อันบุคคลนั้นถอนขึ้นแล้ว ถอนขึ้นพร้อมแล้ว
ฉุดขึ้นแล้ว ฉุดขึ้นพร้อมแล้ว เพิกขึ้นแล้ว เพิกขึ้นพร้อมแล้ว ละขาดแล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว
ระงับแล้ว ทำให้ไม่อาจเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แม้ทางแห่งถ้อยคำทั้งปวง บุคคลนั้นก็ถอนเสียแล้ว...(คือ ไม่มีแม้แต่คำที่จะพูดถึง คือ พูดไม่ได้)

ทั้งหมดนี้รวบยอดเอาไว้ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกหนึ่งประโยค คือ "นิพพานัง ปรมัง สุญญัง"
คือ นิพพานว่างเปล่าอย่างยิ่ง คือ นิพพานนี้ ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ไม่มีอะไรอีกเลย

ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลเพื่อบรรดาชาวพุทธทั้งหลายได้พิจารณาถึงคำสอนต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธในยุคปัจจุบัน
ซึ่งมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ เพื่อพวกเราจะได้ไม่พลาด ในการเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง
ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดดำเนินไปแล้ว
และพระองค์ไ้ด้บอกทางดำเนินไว้ให้พวกเราชาวพุทธอย่างรอบคอบและถ้วนถี่แล้ว

ขอโปรด พิ - จา - ระ - ณา เท่าที่สติปัญญาตนเองจะอำนวย

เพราะการนับถือพุทธศาสนา ถูกหลักถูกทาง ย่อมมีสวรรค์ - พรหม - มรรค - ผล - นิพพาน เป็นเบื้องหน้า
เพราะการนับถือพุทธศาสนา ผิดหลักผิดทาง ย่อมมีนรก - อสุรกาย - เปรต - สัตว์เดรัจฉาน เป็นเบื้องหน้าเหมือนกัน

เล่ม 44 หน้า 727

ความหวั่นไหวย่อมมีแก่บุคคลผู้อันตัณหา (ความอยาก) และทิฏฐิ (ความเห็น) อาศัย
ความหวั่นไหวย่อมไม่มีแก่ผู้อันตัณหาและทิฏฐิ ไม่อาศัย
เมื่อความหวั่นไหวไม่มี ก็ย่อมมีปัสสัทธิ (ความสงบ) เมื่อมีปัสสัทธิ ก็ย่อมไม่มีความยินดี

เมื่อไม่มีความยินดีก็ย่อมไม่มีการมาการไป เมื่อไม่มีการมาการไป ก็ไม่มีการจุติ (ตาย) และอุปบัติ (เกิด)
เมื่อไม่มีการจุติและอุปบัติ โลกนี้โลกหน้าก็ไม่มี ระหว่างโลกทั้งสองก็ไม่มี นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

บทว่า อิมํ อุทานํ ความว่า พระองค์ทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศถึงการบรรลุพระนิพพาน
ด้วยการละตัณหาได้เด็ดขาดด้วยอริยมรรค ของบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาอันดำเนินไปตามวิถีจิต
ผู้มีกายและจิตสงบระงับ ผู้ไม่อิงอาศัยในอารมณ์ไหนๆ ด้วยอำนาจตัณหา.

*** พระสูตรนี้คงจะยืนยันให้ท่านพุทธบริษัทรู้จักเรื่องราวของพระนิพพานที่แท้จริงตามคำสอนพระพุทธเจ้าขึ้นมาบ้าง
เพราะได้ยินว่า "มีการจัดทริปไปทัวร์เมืองนิพพาน" อะไรประมาณนี้แหละ
ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นนิพพานภายนอกพระพุทธศาสนาอีกอันหนึ่ง - อีกลัทธิหนึ่งไป
เพราะถ้าเป็นนิพพานในคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วต้องไม่มีการมาและการไปใดๆ ทั้งสิ้นแล


และพระพุทธเจ้าทรงแสดงภาวะของผู้ที่ทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยตัวของตัวเองอีก 4 อย่าง
ถ้าใครบอกว่ารู้จักนิพพานแต่พูดออกมาแล้วขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้านี้
นั่นก็ไม่ใช่นิพพานในศาสนาพุทธอีกเหมือนกัน

เล่ม 44 หน้า 186

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงประกาศสุญญตะอันมีเงื่อน ๔ คือ
ข้อว่า นาหํ กฺวจนิ พระโยคาวจรนี้ ไม่เห็นตัวตนมีอยู่ในที่ไหน ๆ ๑
ข้อว่า กสฺสจิ กิญฺจนตสฺมึ ไม่เห็นตัวตนของตนที่จะพึงนำเข้าไปในความเป็นอะไรๆ ของใครๆ ๑
ข้อว่า น จ มม กฺวจนิ ไม่เห็นตัวตนของตนในที่ไหน ๆ ๑
ข้อว่า กตฺถจิ กิญฺจนตตฺถิ ไม่เห็นตัวตนของผู้อื่นที่มีอยู่ในที่ไหน ๆ ๑

เล่ม 44 หน้า 250

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวที่นั้นว่า (หมายถึงนิพพานว่า) เป็นอาคติ (มีการมา) เป็นคติ (มีการไป)
เป็นฐิติ (มีที่ตั้ง) เป็นจุติ (มีการตาย) เป็นอุปบัติ (มีการเกิด) นั่นไม่เป็นที่ตั้งอาศัย
เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอารมณ์ นั่นเป็นที่สุดทุกข์ ดังนี้.

อมตมหานิพพานธาตุนั้น ถึงความดับสูญแห่งอุปาทานขันธ์แม้ทั้งหมด เป็นสภาวะสงบสรรพสังขาร
เป็นสภาวะสละคืนอุปธิกิเลสทั้งปวง เป็นที่สงบทุกข์ทั้งปวง เป็นที่ถอนความอาลัยทั้งปวง
เป็นที่ขาดแห่งวัฏฏะทั้งปวง มีความสงบอย่างแท้จริง เป็นลักษณะ
เพราะฉะนั้น อมตมหานิพพานธาตุนั้น จึงชื่อว่า ถ่องแท้ ไม่ผิด ไม่กลายเป็นอย่างอื่น
เพราะไม่กล่าวสภาวะตามความเป็นจริงให้คลาดเคลื่อนในกาลไหน ๆ….

เล่ม 44 หน้า 369

...ก็เมื่อว่าด้วยอำนาจทิฏฐิ (อำนาจความเห็นผิดเรื่องนิพพาน)
สมณพราหมณ์บางพวกย่อมสำคัญ ภพพิเศษเท่านั้น อันมีสภาวะเที่ยง เป็นต้น ว่าเป็นการหลุดพ้นจากภพ
เพราะมีความสงบกิเลสเป็นไป และเพราะมีอายุเป็นอยู่ได้นาน เหมือนพกาพรหมกล่าวไว้ว่า
สิ่งนี้เที่ยง สิ่งนี้ยั่งยืน สิ่งนี้มีความเป็นไปติดต่อกัน สิ่งนี้มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา.
สมณพราหมณ์เหล่านั้นนั่นแล ผู้ถือผิด ตรงกันข้าม
มีความเห็นในสิ่งที่มิใช่เครื่องสลัดออกว่าเป็นเครื่องสลัดออก (จากทุกข์) ความหลุดพ้นจากภพจะมีแต่ไหน.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เรากล่าวว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นจากภพ…

แต่พระสูตรนี้ท่านเรียกว่านิพพานปลอม

นิพพานปลอม – นิพพานนอกพุทธศาสนา จากผู้บอกกล่าวเลอะเทอะ มีอยู่เยอะนะ เล่ม 36 หน้า 219
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต (บอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์) ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ

บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความเป็นผู้เขลาเพราะความเป็นผู้หลง ๑
บุคคลผู้มีความอิจฉาลามก ผู้ถูกความอิจฉาครอบงำย่อมพยากรณ์อรหัต ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้งซ่าน ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความสำคัญว่าได้บรรลุ ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต โดยถูกต้อง ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้แล.

ที่ ๆ มาโพสต์กันก็ไม่น่าจะมีผู้ทีบรรลุแล้วนะค่ะ แต่อาจจะบรรลุ.......บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความสำคัญว่าได้บรรลุ ๑ อันนี้น่าจะเยอะค่ะ :b28:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร