วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 20:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอ่านเจอในหนังสือหลวงพ่อพุทธทาส แต่ไม่เข้าใจความหมายน่ะครับ

พี่ ๆ ช่วยอธิบายให้ทีนะครับ ขอบคุณมากครับ

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2009, 01:40
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยอ่านอ่ะ เคยแต่อ่านเรื่องจิตว่างของท่านพุทธทาส.. เราว่าธรรมะท่านเข้าใจง่าย กระจ่าง ชัดเจน..เป็นธรรมะที่เป็นธรรมะแท้ๆ.. สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ คืออะไรครับ

มันเป็นตรรกะที่แสดงความเป็นโช่วงกลม แกะไม่ออกยังไงล่ะ

ถ้าจิตเดิมแท้ที่เป็นปภัสสรของเรา ไม่ปล่อยให้อวิชชาเข้ามา และไม่หลงตามอวิชชานั้น จิตเดิมแท้ของเราก็จะไม่คิดปรุงแต่งอะไร พอไม่คิดปรุงแต่งอะไร ขบวนการสร้างมนุษย์และสัตว์ก้จะไม่เกิดขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ๋อ


ไม่ได้ยากอะไรหรอก


ยกตัวอย่างนะ

ถ้าเราเอากองไฟที่กำลังลุกไหม้มาพิจารณาดู
แล้วถามตัวเองว่า ไฟมาจากไหน
คิดไปคิดมาก้งง ไฟมาได้ยังไง อาจจะเรื่อยเปื่อยไปจนหาที่สิ้นสุดไม่เจอ
อาจจะคิดไปถึงว่า ไฟดวงแรกของโลกมาจากไหน

แต่ที่จริงคำตอบมันอยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ
ไฟมันมีอยู่ได้ ดำรงอยู่ได้ เพราะมี"เชื้อเพลิง"

ตราบเท่าที่ยังมีเชื้อเพลิงอยู่ ไฟจะยังมีอยู่ต่อไป

เพราะมีฟืน จึงมีไฟ
เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้

ฟืนเป็นเหตุ .... จึงมีไฟ
ส่วนอ๊อกซิเจนก็ดี ความร้อนก้ดี ลมก็ดี เราเรียกว่า"ปัจจัย"
ถ้าเหตุและปัจจัยมันมาประชุมพร้อมกัน มันก็จะเกิดสิ่งหนึ่งๆขึ้น
เพราะมีเหตุปัจจุย จึงมีสิ่งนั้นสิ่งนี้


ในอริยสัจที่ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ถ้าจับคู่ดีๆ ก้จะได้

ทุกข์-สมุทัย
นิโรธ-มรรค

สมุทัย คือ เหตุ ... กรณีกองไฟ สมุทัยก็คือ ฟืน+อ๊อกซิเจน
ทุกข์ ก็คือผลที่ได้จากการมีเหตุ กล่าวคือ ไฟเป็นผลลัพธ์ของการมีฟืน+อ๊อกซิเจน+ความร้อน มาประชุมกัน


ในจิตใจเราที่เรามีปกติขบคิดตลอดเวลา
การที่เราคิดได้ เพราะเราได้รับรู้สองต่างๆเข้ามาทางหุตาจมูกปาก (ทวาร5)

เช่นเสียงเพลง ปกติเสียงมันเป็นแค่ความถี่ธรรมดาๆในอากาศ หมาแมวมันก็ได้ยิน
แต่มีแต่มนุษย์นี่แหละที่ได้ยินแล้ว"ตีความ" ว่าเพราะ ไม่เพราะ ซึ่งก็นานาจิตตังว่าใครชอบไม่ชอบ

ตรงที่เราชอบใจ ไม่ชอบใจนี่แหละ เป็นผลผลิตมาจากการปรุงแต่ง
การปรุงแต่งเป็นผลผลิตของธรรมชาติที่ไม่หยุดคิดของเรา

ธรรมชาติของเรา ไม่สามารถห้ามหูไม่ให้ได้ยิน ห้ามจมูกไม่ให้ได้กลิ่น ห้ามใจไม่ให้คิด..ได้เลย
มันเป้นธรรมดาธรรมชาติของเรา

แต่ว่า ถ้าเราไม่ปรุงแต่งให้มันมาก เราก็จะรู้สึกกับมันน้อยลง
ถ้าเราไปเอาอะไรกับมันมาก เราก็จะ"รู้สึก" ไปกับมันมาก
สุดแต่ว่าจะรู้สึกไปทางดีใจหรือเสียใจ อันนั้นแล้วแต่เรา

เมื่อเรารู้ว่า ความปรุงแต่งเป็นเหตุของความดีใจเสียใจ
กล่าวคือ เพราะมีความปรุงแต่ง จึงมีความดีใจเสียใจ
เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้

เราจะดับกองไฟ เราก็แค่เอาฟืนออก หรือทำลายความเป็นฟืนของมัน
ทำลายความเป้นเชื้อไฟของมัน
เพราะไม่มีสิ่งนั้น จึงไม่มีสิ่งนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ค. 2009, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: อืมค่ะ..เพลงอะไรเอ่ย ร้องสามวันก็ไม่จบ...(คำถามเด็ก ป.5 ค่ะ)

ฝนเอย ทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก
จำเป็นฉันต้องตก เพราะว่ากบมันร้อง... :b16:
:b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะมีสิ่งนี้....จึงมีสิ่งนี้
เพราะมีเรา มีเขา....จึงมีของเรา ของเขา
เพราะมี..ฯลฯ....จึงมี..ฯลฯ


เพราะมีเหตุ....จึงมีปัจจัย
เพราะมีธรรมชาติ....จึงมีกฏแห่งกรรม
เพราะมีอวิชา....จึงมีวัฏฏะ


เพราะสิ้นเหตุ....จึงสิ้นปัจจัย
เพราะอยู่เหนือธรรมชาติ....จึงอยู่เหนือกฏแห่งกรรม
เพราะพ้นจากอวิชา....จึงพ้นวัฏฏะ
(โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลด้วย เพราะเป็นความเห็นเฉพาะตน)

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ลาภ เสื่อมลาภ

ได้ยศ เสื่อมยศ

สรรเสริญ นินทา

สุข ทุกข์


เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้


อนุโมทนาค่ะ :b45: :b46: :b8: :b8: :b8: :b46: :b45:

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ


เรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท


ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.

ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.




ปฏิจจสมุปบาท มีสองส่วน คือ

ฝ่ายเกิดทุกข์(สมุทัย----->ทุกข์)หรือ สมุทัยวาร คือ อนุโลม
กับ ฝ่ายดับทุกข์(มรรค-----> นิโรธ )หรือ นิโรธวาร คือ ปฏิโลม

ซึ่ง ทั้งสองส่วนก็สืบเนื่อง เป็นอริยสัจจ์สี่ นั่นเอง



ที่พระอัสสชิ ท่านแสดง หัวใจอริยสัจจ์ กับ พระสารีบุตรตอนที่ท่านเป็นฆราวาสชื่ออุปติสสะสังกัดค่ายปริพาชก ว่า

ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น

ก็คือ แสดงปฏิจจสมุปบาทแบบย่อสุดๆ

แต่ท่านอุปติสะปริพาชกเป็นผู้ที่สร้างปัญญาบารมีมามากมายนับภพนับชาติไม่ถ้วน ฟัง ภาษิตเดียว บรรลุโสดาบัน ละสังโยชน์เบื้องต่ำขาดตรงนั้นเลย


ปฏิจจสมุปบาทมี 11ปัจจัย 12องค์ธรรม สืบเนื่องกันไป คล้ายห่วงโซ่ที่คล้องกันไปเป็นวงกลม...หาได้มีต้นมีปลายที่แท้จริงไม่

และ โดยแท้แล้ว ที่ท่านแสดงอวิชชาเป็นอันดับแรกในปฏิจจสมุปบาทนั้น เพราะ จะได้ให้ผู้ศึกษาตามมีจุดพิจารณาได้ นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ไม่มี "มูลการณ์" หรือ FIRST CAUSE ที่แท้จริงน่ะครับ

"มูลการณ์" หรือ FIRST CAUSE สำหรับพระพุทธศาสนานั้น ไม่มี (สำหรับศาสนาอื่นนั้น มีครับ เช่น อาตมัน ปรมาตมัน เทพสูงสุดๆลๆ)

ที่ปฏิจจสมุปบาทยังคงหมุนอยู่ เหราะเหตุปัจจัย มันยังดำรงอยู่
หาใช่ว่า เพราะมี"อะไร"ที่เป็นตัวยืนพื้นคอบขับเคลื่อนวงจรปฏิจจสมุปบาท


ในหนังสือพุทธธรรม กล่าวไว้ที่แสดงอวิชชาเป็นจุดแรกนั้น เพราะจะได้มีจุดตั้งต้นศึกษาตามได้... ถ้าไม่เช่นนั้น ผู้ศึกษาตาม ที่จะเป็นอนุพุทธะคงไม่มีจุดสังเกตุ

มีพระพุทธพจน์ ที่ว่า

1."อวิชชาเกิด เพราะอาสวะเกิด
อวิชชาดับ เพราะอาสวะดับ"

2."อาหารของอวิชชา อาหารของวิชชาและวิมุตติ"


จาก พุทธธรรม
หน้า ๕๗๖ - ๕๗๗

***************

...ขอยกกระบวนธรรมแบบปฏิจจสมุปบาทมาแสดง
อีกแนวหนึ่ง เพื่อประกอบความรู้ให้มองเห็นธรรม
ในหลายๆ แง่ เป็นเครื่องช่วยความเข้าใจในขั้นต่อๆ ไป

อาหารของอวิชชา

"ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวดังนี้ว่า:-

อวิชชาก็อีกนั่นแล มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงปรากฏ

เรากล่าวว่า

๑. อวิชชา มีอาหาร
อาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์ ๕

๒. นิวรณ์ ๕ มีอาหาร คือ ทุจริต ๓

๓. ทุจริต ๓ มีอาหาร คือ การไม่สำรวมอินทรีย์

๔. การไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือ
ความขาดสติสัมปชัญญะ

๕. ความขาดสติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือ
ความขาดโยนิโสมนสิการ

๖. ความขาดโยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือ
ความขาดศรัทธา

๗. ความขาดศรัทธา มีอาหาร คือ
การไม่ได้สดับสัทธรรม

๘. การไม่ได้สดับสัทธรรม มีอาหาร คือ
การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษ

การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์
ย่อมยังการไม่ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์

การไม่ได้ฟังสัทธรรมอย่างบริบูรณ์
ย่อมทำความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์

ฯลฯ

นิวรณ์ ๕ บริบูรณ์ ย่อมทำอวิชชาให้บริบูรณ์
อวิชชามีอาหาร และมีความบริบูรณ์อย่างนี้."

(องฺ. ทสก. ๒๔/๖๑/๑๒๑)



ท่านพุทธทาส ท่านกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ เรื่อง นิวรณ์...
ท่านกล่าวว่า นิวรณ์เป็นเสมือน"ไอระเหยของกิเลส"... ท่านใช้คำที่บรรยายแล้วเข้าใจง่าย .... ไอระเหยก็คือ มันเป็นสิ่งที่ระเหยมาจากกิเลส จากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อีกที.....
และ นิวรณ์ ก็ย้อนกลับไปหล่อเลี้ยงอวิชชา!!!

ในปฏิจจสมุปบาท กิเลสวัฎฎ์ ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
นิวรณ์เป็นผลพวงของกิเลส และ นิวรณ์เองก็เป็นอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงอวิชชาให้ดำรงต่อ

ปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริง จึงไม่มีต้นไม่มีปลาย

เปรียบเช่น ห่วงโซ่ที่คล้องต่อกันไปเป็นลักษณะวงกลม หรือ วัฏฏะ

ถ้าหักห่วงโซ่นั้นได้ วงจรนี้ก็ยุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


วงจรที่เป็นวัฏฏะ
ไม่มีต้น ไม่มีปลาย ที่แท้จริง
มันจึงยุ่งยากสับสนอลหม่าน สำหรับหมู่สัตว์ที่ไม่ได้สดับพระธรรมจากพระพุทธองค์


เรา-ท่านมีวาสนา ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา พึงศึกษาปฏิบัติ และ หักห่วงโซ่นี้กันเถิด



เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-

พุทธอุทานคาถาที่ ๑

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรม
พร้อมทั้งเหตุ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ในทางปฏิบัตินั้น

การจะหักห่วงโซ่แห่งปฏิจจสมุปบาท เราอาจจะปฏิบัติได้หลายจุด

แต่ จุดที่สำคัญที่สุด คือ ตรงผัสสะ(วิญญาณ นามรูป อายตนะ) ซึ่งจะบังเกิดเวทนา

การมีสติในทุกๆผัสสะ(การรับรู้ทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) จึงเป็นสิ่งสำคัญ....ถ้ามีสติ การปรุงแต่งไปในทางทุกข์เกิดจะเบาบางลง และ ทุกข์จะลดลง. และ ถ้าการปรุงแต่งไปในทางทุกข์เกิดยุติอย่างสิ้นเชิงด้วยอาสวักขยยาณ นั่นก็คือ ที่สุดแห่งทุกข์ หรือ พระอรหันต์ จิตจะไม่มีทุกข์อีกต่อไปเลย

ดังที่ พระพุทธองค์ทรงแสดงต่อพระพาหิยะ


ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี
ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 08:46
โพสต์: 405

แนวปฏิบัติ: ดูจิต-อานา
ชื่อเล่น: ขวานผ่าซาก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระุคุณทุกท่าน ผมจะลองพิจารณาดูนะครับ

ได้ความยังไงจะมาถามใหม่นะครับ
:b18:

.....................................................
สุ จิ ปุ ลิ...(หัวใจนักปราชญ์)

ปัจจุบันธรรม

โยนิโส มนสิการ
สติ สัมปชัญญะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมาพิณาแล้ว จักสำแดงธรรมให้โยมฟัง... เพราะมีเท้า จึงมีส้นเท้า เมื่อไม่มีเท้า จักไม่มีส้นเท้า
ยูเรก้าไหมโยม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

แล้วถ้าเกิดมีคนถามว่า

เพราะไม่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงไม่เกิด

คำตอบมันจะเหมือนกันหรือเปล่าครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 21:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


^ เมื่อไม่มีเท้า จึงหามีส้นเท้าไม่...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร