วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


จากหลายข้อความที่ผ่านมา ของท่าน suwichai

ขออ้างนะงับ
พระพุทธเจ้าท่านก็ฆ่าสัตว์เสมอมา ฆ่ามากกว่าคุณกับผม ด้วย ท่านไม่เคยละเว้นการฆ่าสัตว์เลย

ก็ท่านเดินไปบิณฑบาตรยังไง เดินจนถึงอายุ 80 ปี สัตว์เล็กน้อยใหญ่ เช่น มด ปลวก หนอน ทาก และแมลงต่างๆ โดนท่านเหยียบตายไปเป็นจำนวนมหาศาลแน่นอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่า การเหยียบสัตว์ที่เรามองไม่เห็นตาย เป็นกรรม เพราะเราไม่มีเจตนาอกุศลกับการกระทำนั้น คือ เราไม่ได้คิดถึงมัน ก็เลยไม่มีเจตนาอกุศล

แต่สัตว์ที่เราเห็น เช่น ลูกน้ำหรือปลาเล็ก เราเอาไปเลี้ยงปลาใหญ่ ใจเราคิดช่วยปลาใหญ่ ไม่ได้คิดเป็นอกุศลที่ฆ่าปลาเล็กและลูกน้ำ สิ่งนั้นจึงเป็นบุญ เพราะบุญคือใจที่เป็นกุศล ส่วนบาปหรือการผิดศีล 5 คือ "ใจ" ที่เป็นอกุศลเท่านั้น จึงจะเป็นบาป



ด้วยประโยคนี้

พระพุทธเจ้าท่านก็ฆ่าสัตว์เสมอมา ฆ่ามากกว่าคุณกับผม ด้วย ท่านไม่เคยละเว้นการฆ่าสัตว์เลย


กระผมขอฉันทามติ ต่อที่ประชุมเว็บธรรมจักร ในกระทำการลบชื่อ คุณsuwichai

ออก ในเหตุผลที่ว่า กล่าวจ้วงจาบ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เคารพของทุกคน

ขอให้ท่านแอดมินจัดการด้วยนะงับ

เพื่อในพระศาสดา

พระสัทธรรม

พระอริยสงฆ์ เจ้า ไม่มัวหมอง


ถ้าผู้เห็นด้วยให้ลง สาธุการ เอาไว้ ถ้าไม่เห็นด้วยขอให้แย้ง

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ :b42:
เเละเราก็คงต้องไปเหมือนกัน เราแค่มาดูว่าคนมีความเห็นต่อพระธรรมอย่างไร

คงต้องยอมรับว่า บางคนรู้ในระดับดี บางคนพยายามจะทำเป็นรู้ บางคนเพี้ยนไปเลยก็มี
บางคนยึดถือความคิดตนเองเกินไป

แต่โดยส่วนมากแล้วคือ ไม่เข้าใจภาษา และสำนวนที่ใช้ในการสื่อสาร
บางคนถึงกับกล่าวว่า อรรถกถาจารย์ไม่ดี เราก็ไม่ได้ให้เชื่อท่าน แต่ให้เราลองศึกษา
อรรถกถาจารย์ ท่านคอยแก้ศัพท์ยากๆ ให้เราได้เข้าใจ คนที่เรียนภาษามคธจะเข้าใจดี
สำหรับเราแล้ว คิดว่าท่านเหล่านี้แล คือผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยม ในเรื่องทำให้เราเข้าใจภาษา
แต่ถ้าจำพวกแต่งตำราเองแล้ว อันนี้เราไม่ยึดถือ แต่เราก็ศึกษา

การศึกษาธรรมะ ของพระพุทธองค์ ขอแนะนำให้ศึกษาจากเรียบง่ายขึ้นไปก่อน
การอ่านพระไตรปิฎก หากเราอ่านข้ามขั้น เราจะเข้าใจผิดเพี้ยนได้ ควรอ่านตั้งแต่เริ่มขึ้นไป
หากเราอ่านจบ เราจักมีความเข้าใจในระดับดีทีเดียว แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็สุดแ่ต่บุญที่ำทำมา

สิ่งที่เราขาดกันไปโดยมากคือ ตัวอย่าง หรือ อุปมา เพราะโดยส่วนมาพระพุทธองค์จะทรงอุปมา
ให้เข้าใจได้ง่ายเสมอ หรือไม่ก็ยกชาดก มาให้ฟังเสมอๆ

เพราะฉะนั้นเราอย่าพยามเรียนรู้แต่หลัก แต่จงศึกษาตัวอย่างเสียด้วย บางทีจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น
ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมเป็นนิจเถิด :b8:

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




หากเราจะดำเนินตามเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างไว้

ใยจึงไม่กระทำตามเยี่ยงที่พระพุทธองค์ทรงกระทำ ... ดูตัวอย่างพระเทวทัต

พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยเมตตาให้การอโหสิกรรมต่อการกระทำของพระเทวทัตมาตลอด

http://www.84000.org/tipitaka/picture/f57.html

แล้วทำไมถึงไม่รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นบ้าง .. ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา .. สอนกันได้ยาก ..

เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องออกมาจากใจจริงๆถึงจะทำได้ .. คุณธรรมเป็นเครื่องวัดจิตใจของคน

ตราบใดที่ยังมีตัวตนของตัวผู้รู้เข้าไปข้องกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น อย่าหวังจะพ้นทุกข์ได้เลย

หัดเป็นผู้ดูเสียบ้าง หรือไม่ก็แค่ผู้รู้อย่างเดียวก็ได้ กรรมมันจะได้ลดน้อยลง ภพชาติยังมีโอกาสสั้นลง

เอาตัวผู้รู้ลงไปเล่นกับกิเลสของตัวเอง มันก็ก่อภพก่อชาติไม่รู้จบน่ะสิ ....

เขาถึงบอกว่า โสดาบัน ถึงทำได้ยากเย็นยิ่งนัก ขาดเมตตาเพียงข้อเดียว อย่าหวังเลย

ใครสร้างเหตุอย่างไร เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น ..

เหมือนที่มีบางคนวิตกกังวลว่าใครมาอ่านข้อความที่คุณพลศักดิ์โพสต์ไว้ แล้วเชื่อในข้อความนั้นๆ

ซึ่งมีบางข้อที่คนๆนั้นคิดว่ามันไม่ถูกต้องในความคิดของคนๆนั้นเอง .. ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัย

ใครเชื่อใครนั่นเพราะเขาเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน ผลจึงเป็นเช่นนั้น ไม่เห็นจะต้องไปวิตกกังวลแทนเลย

ศาสนาพุทธสอนในเรื่องของเหตุและผล .. ชัดเจนมากๆข้อนี้ .. นี่เราพูดในแง่ของชาวบ้าน

ธรรมดาๆคนหนึ่ง ปริยัติไม่ได้รู้อะไรมากมาย เพียงค่อยๆศึกษาไป...


อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่




บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่ หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้


เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้ โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร


อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง

๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้

คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?


พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจารณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลก มีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกี่ยวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 02 ก.ค. 2009, 19:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




duckiconfh2.gif
duckiconfh2.gif [ 29.5 KiB | เปิดดู 5643 ครั้ง ]
f54802676.gif
f54802676.gif [ 16.55 KiB | เปิดดู 5600 ครั้ง ]
"ขงเบ้งดูดาว" :b32:

http://www.imeem.com/majortum/music/ktlBrTlJ/mp3/

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 14:07
โพสต์: 285

อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


admin ก็พิจารณาตามความเหมาะสมละกัน

ขอให้ใช้อำนาจที่มีให้เกิดประโยชน์

.....................................................
"ใครเกิดมา ไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เลื่อมใส ไม่ปฎิบัติ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เป็นโมฆะตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย"

"ให้พากันหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
http://www.luangta.com/

"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
หลวงปู่มั่น

"ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว"
หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ชลบุรี
http://www.wimutti.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


หากเราจะดำเนินตามเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างไว้

ใยจึงไม่กระทำตามเยี่ยงที่พระพุทธองค์ทรงกระทำ ... ดูตัวอย่างพระเทวทัต

พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยเมตตาให้การอโหสิกรรมต่อการกระทำของพระเทวทัตมาตลอด

http://www.84000.org/tipitaka/picture/f57.html

แล้วทำไมถึงไม่รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นบ้าง .. ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา .. สอนกันได้ยาก ..

เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องออกมาจากใจจริงๆถึงจะทำได้ .. คุณธรรมเป็นเครื่องวัดจิตใจของคน

ตราบใดที่ยังมีตัวตนของตัวผู้รู้เข้าไปข้องกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น อย่าหวังจะพ้นทุกข์ได้เลย

หัดเป็นผู้ดูเสียบ้าง หรือไม่ก็แค่ผู้รู้อย่างเดียวก็ได้ กรรมมันจะได้ลดน้อยลง ภพชาติยังมีโอกาสสั้นลง

เอาตัวผู้รู้ลงไปเล่นกับกิเลสของตัวเอง มันก็ก่อภพก่อชาติไม่รู้จบน่ะสิ ....

เขาถึงบอกว่า โสดาบัน ถึงทำได้ยากเย็นยิ่งนัก ขาดเมตตาเพียงข้อเดียว อย่าหวังเลย

ใครสร้างเหตุอย่างไร เขาย่อมได้รับผลเช่นนั้น ..

เหมือนที่มีบางคนวิตกกังวลว่าใครมาอ่านข้อความที่คุณพลศักดิ์โพสต์ไว้ แล้วเชื่อในข้อความนั้นๆ

ซึ่งมีบางข้อที่คนๆนั้นคิดว่ามันไม่ถูกต้องในความคิดของคนๆนั้นเอง .. ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัย

ใครเชื่อใครนั่นเพราะเขาเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน ผลจึงเป็นเช่นนั้น ไม่เห็นจะต้องไปวิตกกังวลแทนเลย

ศาสนาพุทธสอนในเรื่องของเหตุและผล .. ชัดเจนมากๆข้อนี้ .. นี่เราพูดในแง่ของชาวบ้าน

ธรรมดาๆคนหนึ่ง ปริยัติไม่ได้รู้อะไรมากมาย เพียงค่อยๆศึกษาไป...


อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่




บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่ หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้


เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้ โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร


อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง

๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้

คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?


พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจารณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลก มีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกี่ยวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอท่านขงเบ้ง...อย่าได้ต่อยอดความขุ่นข้องหมองใจเลยครับ..พอเถอะครับ :b6:

กระผมว่าเราอย่าไปต่อล้อต่อเถียงอะไรเขาเลยครับ ขนาดพระพุทธเจ้าเองท่านยังทรงโปรดไม่ได้หมด ถ้าไม่เช่นนั้น พระเทวทัตก็ไม่ต้องตกนรก

พระฉันนะ จะสำเร็จได้ก็หลังจากถูกลงพรหมทัณฑ์ ไม่มีใครยุ่งด้วย ไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีใครให้ความสนใจ...กระผมว่าเราน่าจะลองวิธีนี้กับท่าน suwichai บ้างครับ

ตอนนี้ ท่านsuwichai กับกระผม ก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ครับ...เขาก็ทำสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเขา กระผมเองก็ทำหน้าที่รักษาลานนี้อยู่ :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 01:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ๊ะ

เหมือนเราจะโพสต์ด่าคนไว้นี่นา ทำไมหายไปแล้วอ่ะ

ใครเป็นมือที่มองไม่เห็นยกมือขึ้นซะดีๆ


admin
ใช่มะ
ไวนะ เวลาตัวเองโดนด่านี่ ไวจริงๆ
แต่ใครด่าพระพุทธเจ้านี่ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่


ทำเว็บเผยแผ่พุทธธรรมนะ



นับแต่พระใหญ่นี้ เราตั้งสัจจะว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ โดยเฉพาะคำพูดคำจา
เพราะฉะนั้นเราจะเลิกด่า admin แล้วนะ
เลิก feedback ไม่เป้นหู เป็นตา เป้นกระจก ให้แล้วนะ
เราก้จะเอาตัวรอดแต่ของเรา

แต่ทิ้งท้ายนิดนึง ไหนๆก้จะไม่ด่าแล้ว ขอนิดนึุง

คุณๆทำเว็บธรมะมาเพื่อให้คนได้ประโยชน์ ใช่ไหม
มันเหมือนเราทำโรงทาน ทำอาหารแจกคน หวังจะให้เขาได้ประโยชน์

แต่ปล่อยปะละเลยให้อาหารไม่สะอาด มีมลทิน
แล้วปล่อยให้คนกินพิจารณาเอาเอง เจ้บป่วยได้ไข้ ไปรักษาเอาเอง
แล้วแต่เวรกรรม อะไรไปอย่างนั้น


ถ้าเราไม่รู้ว่ามันไม่สะอาด ไม่ทราบจริงๆว่ามันไม่สะอาด ไม่ตั้งใจ อันนี้คงไม่เป้นไร

แต่ภูมิจิตภุมิธรรมก็ปานนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะแยกแยะอะไรไม่ออก
หลายสิ่งหลายอย่างมันสกปรก ของไม่สะอาดก็เห็นอยู่ ไม่ได้แยกแยะยากอะไร
รู้ทั้งรู้ว่าคนกินจะได้รับโทษ แต่ก็ปล่อยปะไป แล้วแต่กรรมใครกรรมมันอะไรไป

ขอเชิญไปลองพิจารณาดูว่าอุตส่าห์ทำความดี เราได้บุญอยู่แก่ใจเราก้จริง
แต่ผลเสียหายมันไปตกแก่ผู้อื่นก็มีอยู่

ขอให้ช่วยเคร่งครัดความสะอาดในการทำครัวด้วย คนกินเขาจะได้ไม่ลำบากมาก

:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 05 ก.ค. 2009, 01:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
เอ๊ะ

เหมือนเราจะโพสต์ด่าคนไว้นี่นา ทำไมหายไปแล้วอ่ะ

ใครเป็นมือที่มองไม่เห็นยกมือขึ้นซะดีๆ


admin
ใช่มะ
ไวนะ เวลาตัวเองโดนด่านี่ ไวจริงๆ
แต่ใครด่าพระพุทธเจ้านี่ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่


ทำเว็บเผยแผ่พุทธธรรมนะ



นับแต่พระใหญ่นี้ เราตั้งสัจจะว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ โดยเฉพาะคำพูดคำจา
เพราะฉะนั้นเราจะเลิกด่า admin แล้วนะ
เลิก feedback ไม่เป้นหู เป็นตา เป้นกระจก ให้แล้วนะ
เราก้จะเอาตัวรอดแต่ของเรา

แต่ทิ้งท้ายนิดนึง ไหนๆก้จะไม่ด่าแล้ว ขอนิดนึุง

คุณๆทำเว็บธรมะมาเพื่อให้คนได้ประโยชน์ ใช่ไหม
มันเหมือนเราทำโรงทาน ทำอาหารแจกคน หวังจะให้เขาได้ประโยชน์

แต่ปล่อยปะละเลยให้อาหารไม่สะอาด มีมลทิน
แล้วปล่อยให้คนกินพิจารณาเอาเอง เจ้บป่วยได้ไข้ ไปรักษาเอาเอง
แล้วแต่เวรกรรม อะไรไปอย่างนั้น


ถ้าเราไม่รู้ว่ามันไม่สะอาด ไม่ทราบจริงๆว่ามันไม่สะอาด ไม่ตั้งใจ อันนี้คงไม่เป้นไร

แต่ภูมิจิตภุมิธรรมก็ปานนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะแยกแยะอะไรไม่ออก
หลายสิ่งหลายอย่างมันสกปรก ของไม่สะอาดก็เห็นอยู่ ไม่ได้แยกแยะยากอะไร
รู้ทั้งรู้ว่าคนกินจะได้รับโทษ แต่ก็ปล่อยปะไป แล้วแต่กรรมใครกรรมมันอะไรไป

ขอเชิญไปลองพิจารณาดูว่าอุตส่าห์ทำความดี เราได้บุญอยู่แก่ใจเราก้จริง
แต่ผลเสียหายมันไปตกแก่ผู้อื่นก็มีอยู่

ขอให้ช่วยเคร่งครัดความสะอาดในการทำครัวด้วย คนกินเขาจะได้ไม่ลำบากมาก

:b8:



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอ๊ะ

เหมือนเราจะโพสต์ด่าคนไว้นี่นา ทำไมหายไปแล้วอ่ะ
ใครเป็นมือที่มองไม่เห็นยกมือขึ้นซะดีๆ


admin ใช่มะ
ไวนะ เวลาตัวเองโดนด่านี่ ไวจริงๆ
แต่ใครด่าพระพุทธเจ้านี่ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่


ทำเว็บเผยแผ่พุทธธรรมนะ


นับแต่พระใหญ่นี้ เราตั้งสัจจะว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ โดยเฉพาะคำพูดคำจา
เพราะฉะนั้นเราจะเลิกด่า admin แล้วนะ
เลิก feedback ไม่เป้นหู เป็นตา เป้นกระจก ให้แล้วนะ
เราก้จะเอาตัวรอดแต่ของเรา

แต่ทิ้งท้ายนิดนึง ไหนๆก้จะไม่ด่าแล้ว ขอนิดนึุง

คุณๆทำเว็บธรมะมาเพื่อให้คนได้ประโยชน์ ใช่ไหม
มันเหมือนเราทำโรงทาน ทำอาหารแจกคน หวังจะให้เขาได้ประโยชน์

แต่ปล่อยปะละเลยให้อาหารไม่สะอาด มีมลทิน
แล้วปล่อยให้คนกินพิจารณาเอาเอง เจ้บป่วยได้ไข้ ไปรักษาเอาเอง
แล้วแต่เวรกรรม อะไรไปอย่างนั้น


ถ้าเราไม่รู้ว่ามันไม่สะอาด ไม่ทราบจริงๆว่ามันไม่สะอาด ไม่ตั้งใจ อันนี้คงไม่เป้นไร

แต่ภูมิจิตภุมิธรรมก็ปานนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะแยกแยะอะไรไม่ออก
หลายสิ่งหลายอย่างมันสกปรก ของไม่สะอาดก็เห็นอยู่ ไม่ได้แยกแยะยากอะไร
รู้ทั้งรู้ว่าคนกินจะได้รับโทษ แต่ก็ปล่อยปะไป แล้วแต่กรรมใครกรรมมันอะไรไป

ขอเชิญไปลองพิจารณาดูว่าอุตส่าห์ทำความดี เราได้บุญอยู่แก่ใจเราก้จริง
แต่ผลเสียหายมันไปตกแก่ผู้อื่นก็มีอยู่

ขอให้ช่วยเคร่งครัดความสะอาดในการทำครัวด้วย คนกินเขาจะได้ไม่ลำบากมาก




สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 16:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เปรี้ยวไม่เลิกเนอะ ... :b32:

เอะอะอะไรๆก็มาลงที่เว็บมาสเตอร์ อะไรๆก็มาลงที่คนดูแล ..

ก็ในเมื่อคุณชาติสยามคิดว่าทิฏฐิของตัวเองถูกต้องหรือถูกต้องที่สุดแล้ว ..

ทำไมถึงไม่แสดงทิฏฐินั้นกับบุคคลที่คุณคิดว่า เขากำลังเป็นภัยล่ะคะ

คุณกำลังทำตัวเป็นนักเรียนโข่งนะคะเนี่ย โตๆแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ..

อาการคุณตอนนี้เหมือนกำลังต่อว่าครูปกครองว่าเลือกที่รักมักที่ชัง

ทีคุณทำ คุณโดนลงโทษ ทีคนอื่นทำ กลับไม่ลงโทษ

เหมือนเรื่องนี้เลย

ผิดกับถูก

เวลาที่อาจารย์บันไกจัดสัปดาห์แห่งการปฏิบัติกรรมฐาน มีศิษย์อยู่ปฏิบัติจากส่วนต่างๆของประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก คราวหนึ่งศิษย์คนหนึ่งโดนจับด้วยข้อหาลักทรัพย์ พวกเขาจึงรายงานให้อาจารย์บันไกทราบ พร้อมเสนอให้เนรเทศเจ้าขโมยคนนั้น แต่อาจารย์บันไกก็เฉยเสีย
ต่อมา ศิษย์คนนั้นโดนจับด้วยความผิดเช่นเดียวกัน อาจารย์บันไกก็เฉยเสียอีก เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ไม่พอใจ จึงยื่นข้อเสนอให้อาจารย์ขับเจ้าหัวขโมยคนนั้นออกให้ได้ หาไม่พวกเขาจะพากันออกไปหมด
เมื่ออ่านข้อเสนอ อาจารย์บันไกเรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด กล่าวว่า "พวกเธอเป็นคนฉลาด รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไปเถิด แต่ศิษย์ผู้น่าสงสารคนนี้ ไม่รู้กระทั่งว่าอะไรผิดอะไรถูก ถ้าฉันไม่สอนเขา แล้วใครเล่าจะสอน ฉันจะต้องให้เขาอยู่ที่นี่แหละ แม้ว่าพวกเธอจะจากฉันไปทั้งหมดก็ตาม"
น้ำตาได้ไหลอาบแก้มเจ้าศิษย์ขี้ขโมย เขาตัดสินใจเลิกขโมยแต่นั้นมา


ว่างๆมีเวลา แวะไปที่กระทู้นี้บ้างนะคะ บางทีอาจจะมีข้อคิดบางอย่างช่วยสะกิดใจบ้างค่ะ

viewtopic.php?f=5&t=23092&st=0&sk=t&sd=a

อันว่าความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน



ใครสร้างเหตุอย่างใด เขาย่อมเป็นผู้รับผลเช่นนั้น ..

ใครเชื่อใคร ... เพราะเขาเคยสร้างเหตุร่วมกันมา ไม่ว่าจะกุศลหรืออกุศล ผลจึงเป็นเช่นนั้น

ใยจึงไปสร้างเหตุใหม่ให้เกิดร่วมกับเขา ...

หากคุณคิดว่าข้อคิดเห็นอันไหนของเขาไม่ถูกต้องในความคิดของคุณ คุณก็ควรมีข้อมูล

มาเสนอชี้แจงเขา ถ้าคุณชี้แจงแล้ว เขายังดิ้นต่อไปได้ นั่นแสดงว่าข้อมูล

ที่คุณนำมาแสดงนั้น ก็ยังมีช่องโหว่ เขายังสามารถแย้งตอบกลับคุณได้

อย่าลืมนะว่า สิ่งที่คุณนำมาพูด นั่นก้คือรู้ของคุณ เป็นเพียงความคิดของคุณ

ส่วนที่เขานำมาพูดนั่นก็รู้ของเขา และเป็นเพียงความคิดของเขา



นับแต่พระใหญ่นี้ เราตั้งสัจจะว่าเราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ โดยเฉพาะคำพูดคำจา
เพราะฉะนั้นเราจะเลิกด่า admin แล้วนะ
เลิก feedback ไม่เป้นหู เป็นตา เป้นกระจก ให้แล้วนะ
เราก้จะเอาตัวรอดแต่ของเรา


ตรงนี้ขออนุโมทนาสาธุค่ะ :b8:

จงเอาตัวเองให้รอด ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน ..

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32: 5555 อย่ามาๆ

ผมเอาหินทับหญ้าแล้วนะ ไม่ได้ผลหรอก
โบกซีเมนปิดทองทับอีกต่างหาก


ส่วนเรื่องทิฐินี่ ผมว่าคุณพลศักดิ์เป็นมิจฉาทิฐิที่ควรกำจัดจุดอ่อนนะ
เชื่อว่าถามใครแถวๆนี้ คงพยักหน้าหงึกๆกันหลายคน
หรือว่าคุณ walaiporn จะส่ายหน้า ?


:b13:

พอแล้วนะ ไม่พูดแล้วนะ นิ่งเสียตำลึงทอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32: :b2:

อดหัวเราะกับคุณไม่ได้จริงๆ ... คุณนี่จริงๆ ...

บทไม่เอาอะไรขึ้นมา แม้แต่คำว่า เมตตา คุณยังโยนมันทิ้งไปได้หน้าตาเฉย

นำหินทับหญ้าไว้ให้นานๆนนะคะ .. สาธุค่ะ :b8:

กับคำถามที่คุณถามมา

ส่วนเรื่องทิฐินี่ ผมว่าคุณพลศักดิ์เป็นมิจฉาทิฐิที่ควรกำจัดจุดอ่อนนะ
เชื่อว่าถามใครแถวๆนี้ คงพยักหน้าหงึกๆกันหลายคน หรือว่าคุณ walaiporn จะส่ายหน้า ?


ตอบค่ะ .. ไม่ใช่ทั้งส่ายหน้าหรือพยักหน้า

เพราะเราทุกคนตราบใดที่ยังเป็นปถุชนคนธรรมดาๆ ตราบนั้นทุกคนย่อมมีมิจฉาทิฐิ

เพียงแต่จะมากหรือน้อย ตามความหนาบางกิเลสของแต่ละคน ..

แทนที่คุณจะคิดกำจัดเขา ทำไมถึงไม่ช่วยกันแผ่เมตตาให้กับเขาล่ะคะ เท่ากับคุณได้สร้างเหตุ

ที่เป็นกุศล จิตคุณก็จะไม่ไปขุ่นเคืองกับเขาอีก เหมือนนิทานเซนให้คุณอ่านนั่นแหละค่ะ

จริงๆแล้วคุณเป็นคนมีน้ำใจนะคะ เพียงแต่บางอารมณ์ของคุณนั้น น้ำใจมันอาจจะผลิตไม่ทันค่ะ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

เพราะเราทุกคนตราบใดที่ยังเป็นปถุชนคนธรรมดาๆ ตราบนั้นทุกคนย่อมมีมิจฉาทิฐิ

เพียงแต่จะมากหรือน้อย ตามความหนาบางกิเลสของแต่ละคน ..

แทนที่คุณจะคิดกำจัดเขา ทำไมถึงไม่ช่วยกันแผ่เมตตาให้กับเขาล่ะคะ เท่ากับคุณได้สร้างเหตุ

ที่เป็นกุศล จิตคุณก็จะไม่ไปขุ่นเคืองกับเขาอีก เหมือนนิทานเซนให้คุณอ่านนั่นแหละค่ะ

จริงๆแล้วคุณเป็นคนมีน้ำใจนะคะ เพียงแต่บางอารมณ์ของคุณนั้น น้ำใจมันอาจจะผลิตไม่ทันค่ะ :b32:


นี่ ขอตอดนิดนึงนะ อดไม่ได้

ได้ข่าวว่าถัดจากเมตตาไปสองป้าย
มันมีชื่อป้ายว่าอุเบกขามิใช่หรือครับ
ถึงป้านนี้ต้องกระโดดลงเลย ... ไม่มี "เน็กสเต้ฉั่น"

.."เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา"


ไม่ใช่ผลิตน้ำใจไม่ทันหรอก แต่เราใช้นำใจให้เป็นต่างหาก
คนไหนต้องโอ๋ ผมก็โอ๋จะตายไป คนไหนต้องดุผมก็ดุ คนไหนต้องเฉยผมก็เฉย

พระพุทธเจ้ายังเลือกไม่สอนคนได้เลย จะว่าท่านไม่มีน้ำใจไม่ใช่หรอก ท่านยอมรับความจริงต่างหาก
ว่าเมตตาต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ท่านยอมรับความจริง
ท่านจึงอุเบกขา อุเบกขาคือจิตที่ยอมรับความจริง

นิทานเซ็นว่า ขโมยมันร้องไห้สำนึกผิดตอนจบ happy ending
แต่ถ้ามันไม่ได้ร้องไห้สำนึกผิดขึ้นมาล่ะ อาจารย์จะทำยังไงต่อไป
ปล่อยให้ของหายต่อไป หรือจะทำยังไง

พระยังมีวินัยข้อที่ไล่พระออกจากพระเลยนะ
มีคนบางจำพวกที่อยู่ต่อไปแล้วเสียหาย พระผู้ทรงทศพลญานทรงทราบข้อนี้
ท่านจึงบัญญัติศีลประเภทขาดจากความเป้นพระขึ้นมา

พระพุทธเจ้าเราไม่ใช่ประเภทที่ว่า" เธอไม่รู้ ฉันจะสอน ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร ฉันจะซ่อมเธอให้จงได้"
แล้วท่านก็สอนแต่คนที่สอนได้

พระเถระหลายๆท่านก็ทำอย่างนั้น จะมาอิดๆออดๆ ท่านไล่ตะเพิดเลยนะ
หลวงปู่มั่นก็ไล่ หลวงตาบัวก็ไล่ ... ไล่พวกพัฒนาไม่ได้แล้วออกไป
พวกพัฒนาได้เขาจะได้พัฒนากันต่อไป

อาจารย์เซ็นคงจะโลภมากไปนิดนึง ที่ท่านคิดว่าท่านรักษาคนได้ทุกคน
แต่พระพุทธเจ้าไม่ ขโมยของนี่ โทษประหาร ขาดจากพระทันที ไม่มียกเว้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
:b32: :b32: :b32: 5555 อย่ามาๆ

ผมเอาหินทับหญ้าแล้วนะ ไม่ได้ผลหรอก
โบกซีเมนปิดทองทับอีกต่างหาก


พอแล้วนะ ไม่พูดแล้วนะ นิ่งเสียตำลึงทอง


:b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร