วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 05:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suwichai เขียน:
คุณกรัชกาย ครับ


ผมก็รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่แกล้งเรียกให้มันผิดๆเล่นเท่านั้น จะได้สนุกสนานกันบ้าง แบบผมชื่อพลศักดิ์ ผมยังเรียกตัวเองว่า พลสัตว์ เลย



เด๋วเค้าโกรธแล้วปล่อยวิญญาณไปรบกวนคุณแล้วจะทำไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


suwichai เขียน:
นี่เป็นความคิดของอรรถกถาจารย์ที่เข้าไม่ถึงธรรม ทะลึ่งมาสอน

ที่เรายกมา พุทธพจน์ทั้งดุ้นเลยนะครับ
แล้วที่กล่าวอ้าง ก็อ้างตามพระพุทธพจน์ ต้องให้ผม เอามายกใส่อีกหรือ
วิญญาขันธ์ คุณไม่เคยอ่านมาหรือ?? ต้องให้ยกมาให้ฟังมั้ยเอ่ย??
แล้วก็นี่
กรุณา และได้โปรดอ่านซ้ำอย่างช้าๆ อีกครั้งหนึ่ง

3. ธาตุ นาม. พระธาดา คือพระพรหม (พระผู้ทรงไว้ พระผู้สร้าง ตามหลักของศาสนาพราหมณ์ )


ก็ใช่น่ะซิครับวิญญาณธาตุพระพรหมเป็นผู้สร้าง พระพรหมผู้สร้างคือ พระหมภูต หรือพรหมกาย ไม่ใช่พระพรหมในชั้นโลกีย์ หรือรูปพรหมแต่อย่างใด

ขอเสียมารยาทหน่อยน่ะ :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32: :b32:

อย่างที่เรากล่าวเลย คัดเอาเฉพาะคำที่ตนชอบใจ คำแปลเยอะแยะ เจาะจงคำเดียว :b32: :b32:
ใครเรียนภาษามคธ ต้องออกอาการเดียวกันเช่นเราแน่แท้

ธาตุ มาจาก ธา ธาตุ ซึ่งแปลว่า ทรงไว้
ไปประกอบ ตุ ปัจจัย ในนามกิตก์ สำเร็จรูป เป็น ธาตุ
แต่
เวลานำไปใช้ต้องประกอบวิภัติ เสียก่อนจึงจะใช้ได้ พอประกอบวิภัติเสร็จ
มันจะสำเร็จรูปเป็น ธาตา
:b32: :b32: :b32: :b32:
และนาม ตัวนี้ใช้เป็นชื่อ ของพรหม ไม่สามารถ ใช้ไปประกอบกับ นามตัวอื่นเพื่อเป็นวิเสสนะได้
เพราะเป็นอสาธารณนาม :b32: :b32: :b32:

โดยส่วนมาก ธาตุ จะแปลว่า สิ่งที่มีอยู่เดิม จะแยกออกไปอีกไม่ได้
เช่น คำว่า ธา ธาตุ
ธาตุ ตัวนี้หมายถึงกิริยาศัพท์ที่เป็นมูลราก ซึ่งไม่สามารถแยกไปอีกได้ :b32:

เธอพลาดเสียแล้ว พลศักดิ์ วิวังศักดิ์ เอ๋ย :b32: :b32:

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระทู้นี้ชักน่าสนุกสนาน ขอบคุณคุณพลศักดิ์ที่หาชื่อใหม่ให้ผม
แต่ผมดันชอบชื่อเก่าของคุณ ไม่ว่าคุณจะเปลี่ยนชื่อมายังไง ผมก็ยังคิดว่า
คุณก็ยังคือคุณพลศักดิ์อยู่นั่นเอง และคงฝังใจชื่อนี้ไปแล้วจึงไม่คิดจะเรียกเป็นอย่างอื่น

ธรรมะที่พระพุทธองค์แสดง ผมว่าแม้เพียงคำพูดคำเดียวกัน แต่คนเราก็สามารถตีความ
แตกต่างกันไป เช่นครั้งพุทธกาล เวลาที่พระองค์แสดงธรรมจบ
ทุกคนจำนวนมากที่กำลังฟังอยู่โดยพร้อมกัน บางคนสิ้นอาสวะเป็นพระอรหันต์ทันทีที่ฟังจบ
บางคนเป็นอนาคามี บางคนเป็นพระสกทาคามี บางคนเป็นพระโสดาบัน บางคนขอถึง
รัตนตรัย บางคนก็เฉยๆไม่ได้อะไร บางคนก็หาวหลับ บางคนเกิดความคิดเป็นอคติ
คิดว่าพระพุทธเจ้าหลงก็มี

จะเห็นว่าทุกคนฟังธรรมพร้อมกัน ฟังสิ่งเดียวกัน แต่ความสามารถในความเข้าใจในเนื้อความ
มีต่างกัน ธรรมะถ้าเพ่งพิจรณาด้วยความคิดแล้วมันก็มากมายไม่จบสิ้น ทั้งหยาบทั้งละเอียด
ยิ่งนักคิดนักปรุง ก็ยิ่งผลิตความรู้ใหม่ๆออกมาได้ไม่หยุด

สำหรับใครจะเชื่ออย่างไรก็คงต้องเป็นเรื่องของบุญกุศล และวาสนาของคนนั้น
หรืออาจจะเป็นมหาวิบากของคนนั้น ถ้าเขาโชคดี ไปเชื่อในสิ่งถูกก็เป็นวาสนาของเขา
แต่หากเขาไปเชื่อและพอใจในสิ่งผิด นั่นก็เพราะกุศลในทางธรรมเขายังไม่พอ
ซึ่งสิ่งนี้ก็คงต้องปล่อยกันไปตามวิถีของกรรมใครกรรมมัน


สำหรับความเข้าใจเรื่อง ธาตุดังมีผู้นำพุทธพจน์มาแสดง ผมคิดว่า
การอธิบายความหมายของคำว่าธาตุ มีหลายระดับ หลายชั้น หลายรูปแบบ

อย่างเช่น หากจะอธิบายเรื่องดินน้ำไฟลมอากาศธาตุวิญญาณธาตุ อย่างง่ายๆ
หรืออย่างหยาบ ก็จะอธิบายได้ว่า ดินคือส่วนที่เป็นของแข็ง น้ำคือส่วน
ที่เป็นของเหลว ลมคือส่วนที่พัดพา ไฟคือส่วนให้ความร้อน อากาศคือส่วนที่
เป็นช่องว่างในกาย วิญญาณคือส่วนที่เป็นธาตุรู้ ซึ่งการอธิบายแง่นี้พระองค์
มักใช้สื่ออธิบายเพื่อให้เห็นโครงสร้างที่เน้นไปที่ตัวชีวิต

แต่ถ้าเป็นการอธิบายเรื่องธาตุ6 ตามแนวที่ละเอียดขึ้น ก็จะหมายลงไปที่คุณสมบัติของธาตุ
ดังที่ผมได้อธิบายไปแล้ว เพราะในความเป็นจริงแล้ว ในการมองแง่มุมของเรื่องธาตุ
ให้ละเอียดกันจริงๆ แม้ในก้อนหิน หนึ่งก้อนที่ตั้งอยู่นิ่งๆ ถ้าเรามองว่าก้อนหินคือ
ของแข็ง ก้อนหินก็จัดอยู่เฉพาะเป็นธาตุดิน แต่ถ้ามองให้ละเอียดขึ้นในด้านคุณสมบัติ
ก็จะพบว่าก้อนหินหนึ่งก้อน มีธาตุทั้ง5คือดินน้ำไฟลมอากาศธาตุอยู่อย่างครบถ้วนในตัวมันเอง

เช่นธาตุน้ำมีลักษณะเกาะกุมธาตุทั้งหลายเข้าด้วยกัน หากเราเอาก้อนหิน ไปเผาไฟ
ธาตุน้ำที่อยู่ในหินถูกธาตุไฟมาแทนที่ ก้อนหินก็ร้าว แตก เพราะน้ำที่ทำหน้าที่
เกาะกุมธาตุถูกขับออกไป และก้อนหินที่เห็นว่านิ่งอยู่ ในความเป็นจริงมันมีความเคลื่อน
ไหวด้วยธาตุลมอยู่ในตัวมันเองตลอดเวลา


สำหรับคำว่าธาตุ อีกความหมายที่สูงขึ้น และเป็นปรมัตถธรรมที่สุด คือ
การมองโลกด้วยอาการถอนความหมายแห่งความเป็นตัวตนออกไป

เมื่อถอนความเป็นตนออกไป การรู้ทราบต่อทุกสิ่งก็จะ มีแต่ธาตุ ทุกสรรพสิ่งกลาย
เป็นธาตุไปหมด ทั้งส่วนของสังขารธาตุ และอสังขตธาตุ ทั้งกิเลสทั้งปัญญา
ทั้งขันธ์5 และนิพพาน ตลอดถึงทุกๆสิ่งทั้งหมด ล้วนคือธาตุธรรมชาติอันเสมอกัน


ผมคิดว่าควรต้องมาขยายความเรื่องธาตุ ขอเชิญท่านผู้รู้จะเพิ่มเติมท้วงติงอย่างไร
ขอเชิญครับ


:b38: :b38: :b38: :b38: :b38: :b38: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านบัวศกลครับ

ผมขออนุญาตนำความเห็นที่แล้วในกระทู้นี้ของท่านไปโพสต์ที่

http://whatami.ob.tc/-View.php?N=257

ท่านคงไม่ขัดข้องน่ะครับ

ผมเห็นว่าเป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์มากครับ

กราบขอบพระคุณครับ



และขออนุญาตท่านsanooktouด้วยเช่นกันครับ

ความเห็นเรื่องธาตุที่ท่านแสดงในกระทู้นี้

นานๆจึงได้อ่านสักครั้ง

ผมจึงอยากนำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทานครับ

ทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญความรู้ร่วมกับผมด้วยครับ

สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยินดีครับคุณ mes


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกท่านครับ


เนื่องจากผมเล่นอยู่ในหหลายเว็บ และหลายกระทู้ จึงไม่มีเวลาว่างมากนักที่จะมาพูดในเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวพวกท่านย่อมรู้เองว่า หลักฐานของผมนั้นชัดเจนที่สุด ไม่มีทางแก้ได้

วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นาม-รูป (ขันธ์ 5 ซึ่งมีวิญญาณขันธ์ ด้วย) แสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่า มันมี 2 วิญญาณ คือ วิญญาณที่เป็นเหตุ และวิญญาณที่เป็นผล

commonsense ที่สุดแล้ว ใครแกล้งโง่ (เหมือนอรรถกถาจารย์ สมมุติสงฆ์เถรวาท) ก็คงไม่เข้าใจ ผ่านมา 2000 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ 2 พวกนี้ก็ยังโง่เหมือนเดิม เพราะมารมันสิงอยู่ ทำให้ไอคิวผู้ที่เรียนธรรมะด้วยการอ่านและท่องจำ ยังคงใกล้ 0 เหมือนเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


suwichai เขียน:
ทุกท่านครับ


เนื่องจากผมเล่นอยู่ในหหลายเว็บ และหลายกระทู้ จึงไม่มีเวลาว่างมากนักที่จะมาพูดในเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวพวกท่านย่อมรู้เองว่า หลักฐานของผมนั้นชัดเจนที่สุด ไม่มีทางแก้ได้

วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นาม-รูป (ขันธ์ 5 ซึ่งมีวิญญาณขันธ์ ด้วย) แสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่า มันมี 2 วิญญาณ คือ วิญญาณที่เป็นเหตุ และวิญญาณที่เป็นผล

commonsense ที่สุดแล้ว ใครแกล้งโง่ (เหมือนอรรถกถาจารย์ สมมุติสงฆ์เถรวาท) ก็คงไม่เข้าใจ ผ่านมา 2000 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ 2 พวกนี้ก็ยังโง่เหมือนเดิม เพราะมารมันสิงอยู่ ทำให้ไอคิวผู้ที่เรียนธรรมะด้วยการอ่านและท่องจำ ยังคงใกล้ 0 เหมือนเดิม

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด :b8:

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนตาบอด เมื่อคนตาดีบอกให้เดินทางไหน อย่างไร แม้มีไม้เท้าหรือสุนัขนำทางให้
ก็อดที่จะเดินพลาดไม่ได้ ซ้ำร้ายเดินก็ไม่ตรง ช้าก็ช้า แล้วถ้าตาบอดดื้ออีกนะ ฮะๆ :b12:
ไปกันใหญ่ :b12:
เฮ่อ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
คนตาบอด เมื่อคนตาดีบอกให้เดินทางไหน อย่างไร แม้มีไม้เท้าหรือสุนัขนำทางให้
ก็อดที่จะเดินพลาดไม่ได้ ซ้ำร้ายเดินก็ไม่ตรง ช้าก็ช้า แล้วถ้าตาบอดดื้ออีกนะ ฮะๆ :b12:
ไปกันใหญ่ :b12:
เฮ่อ


เปรียบเทียบอย่างนั้นคงไม่ได้ ตาของคนในเว็บธรรมะยังดีอยู่ เพียงแต่อวิชชา กิเลส ตัณหา ความอยากเหนือกว่า เก่งกว่า มันมาบดบัง ทำให้ตาของคนในเว็บธรรมะมองไม่เห็นทางเดิน

คนตาดีเอาเครื่องดูดควันอวิชชา กิเลส ตัณหา ที่บดบังออกไปแล้ว ส่วนเขาจะเดินไปทางไหน มันเป็นสิทธิเสรีภาพของเขาที่จะเลือกเดิน ถ้าเขายังต้องการเดินตามทางของมาร(สัทธรรมปฏิรูป) คนตาดีเอาพระสัทธรรมของแท้ของพระศาสนามากองข้างหน้า เขาก็ไม่เอา เพราะเขาต้องการสัทธรรมของมาร ที่หลอกลวงผู้คนมา 2000 ปีแล้วอย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 17:37
โพสต์: 123


 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
คำว่า ธาตุ หรือ ธา-ตุ หมายถึงสิ่งที่ทรงอยู่ตามธรรมชาติ
และ ธาตุ ที่ประกอบกันเข้าเป็นโลก มีด้วยกัน 6 ธาตุ คือ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ
ธาตุทั้ง6 เป็นธาตุธรรมชาติ ที่มีความเป็นสามัญอย่างธรรมดาอย่างธรรมชาติโดยเท่ากันเสมอกัน
แต่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ตามลักษณะธรรมชาติของธาตุนั้นๆ


วิญญาณธาตุ คือธาตุธรรมชาติในฝักฝ่ายนามธรรม เมื่อยังไม่มีการทำหน้าที่
ยังไม่แสดงตัวปรากฏ วิญญาณธาตุก็เป็นเหมือนความว่าง เป็นเหมือนสิ่งที่
ไม่มี แต่วิญญาณธาตุสามารถปรากฏตัวออกมาได้ในทุกที่ทันที เมื่อนามรูป มี
ความพัฒนาการที่เหมาะสม

และการปรากฏตัวของวิญญาณธาตุ ก็คือ การปรากฏออกมาอยู่ในสภาพการเป็นตัวรู้
หรือ วิญญาณขันธ์ หรือวิญญาณทางอายตนะทั้ง6 ซึ่งก็คือตัวเดียวกัน
เพราะวิญญาณทางอายตน6 ก็คือวิญญาณขันธ์

สภาพรู้ คือคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เกิดจาก วิญญาณธาตุ
เหมือนกับ ธาตุดิน มีคุณสมบัติในการกินพื้นที่
ธาตุน้ำ มีคุณสมบัติ ในการเกาะกุมธาตุทั้งหลายเข้าด้วยกัน
ธาตุลม มีคุณสมบัติ ในการเคลื่อนตัว เคลื่อนไหว พัดพา
ธาตุไฟ มีคุณสมบัติ ในการให้ความร้อน
อากาศธาตุ มีคุณสมบัติ สำหรับเป็นที่ว่าง เป็นส่วนว่างเพื่อรองรับการตั้งอยู่ของรูปธรรม
และวิญญาณธาตุ..........ก็มีคุณสมบัติในการ ก่อกำเนิด วิญญาณทางอายตนะ
หรือวิญญาณขันธ์ หรือสิ่งที่เรียกกันง่ายๆว่าจิต หรือตัวสภาพรู้ขึ้นมา

วิญญาณธาตุ จะแสดงตัวออกมา เป็นวิญญาณทางอายตะ หรือเป็นจิตได้
ต้องอาศัย อารมณ์ ในการตั้งอยู่ มีอารมณ์เป็นที่ตั้ง เป็นที่สำหรับก่อเกิดสภาพรู้ขึ้นมา

และอารมณ์สำหรับให้วิญญาณธาตุ ตั้งอาศัย และก่อตัวเป็น จิต หรือวิญญาณขันธ์
ขึ้นมาได้ ก็คือนามรูป หรือขันธ์ทั้ง4ขันธ์อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
ขันธ์4ขันธ์ เป็นที่ตั้ง ของวิญญาณขันธ์ เมื่อมีนามรูป ก็จะมีวิญญาณขันธ์


คำว่าวิญญาณขันธ์ วิญญาณทางอายตนะ6 ก็คือวิญญาณ ซึ่งแสดงอยู่ใน
ระบบของปฏิจจสมุปบาท เพราะพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนในการแสดง
ปฏิจจสมุปบาทของพระองค์ ต่อพระภิกษุในหลายครั้งหลายครา ว่า
วิญญาณนั้นหมายถึง จักขุวิญญาณ โสตะวิญญาณ ฆานวิญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ


และคำว่าวิญญาณ ก็มีอีก สองคำ ที่มักเรียกกัน คือ
วิญญาณปฏิสนธิ และดวงวิญญาณของพวกโอปาฏิกะทั้งหลาย


วิญญาณปฏิสนธิ ก็คือ วิญญาณขันธ์ ที่กำลังเกิดดับตัวมันเอง
พร้อมกับการเปลี่ยนถ่ายไปสู่นามรูปกองใหม่

ทันทีที่บุคคลผู้ยังไม่สิ้นอาสวะ ร่างกายแตกทำลายลงสู่ความตาย
รูปขันธ์ก็จะดับสนิทไป แต่ยังคงสภาพอยู่โดยความเป็นรูปธรรมที่จะไหลเวียน
เปลี่ยนแปลงอยู่ในตัวมันเองต่อเนื่องไปไม่รู้จบสิ้น
ส่วนขันธ์อีก4ขันธ์ที่เหลือ ก็จะยังคงไม่ดับไปพร้อมกับร่างกาย
วิญญาณขันธ์ จะยังคงทรงตัวอยู่ โดยอาศัย เจตสิกของมันเองเป็นที่ตั้งอาศัย

วิญญาณขันธ์เมื่อไม่ดับไปพร้อมกับร่างกาย วิญญาณนี้ ก็ยังเป็นวิญญาณขันธ์
ที่ทำหน้าที่เกิดดับตามเดิมของมันเช่นที่เมื่อยังมีชีวิตมีร่างกาย
แต่การเกิดดับ จะเป็นการเกิดดับ อยู่บน สัญญา เวทนา สังขาร
สลับเกิดดับหมุนวนอยู่บนสามขันธ์ที่เหลือ

การคงอยู่โดยไม่ดับสนิทไปของวิญญาณขันธ์ ที่ทรงตัวอยู่ได้เองโดยไม่ต้องอาศัยรูป
หรือร่างกายเป็นที่อาศัย จึงเกิดสภาพการคงอยู่ในลักษณะใหม่ในฝักฝ่ายโลกของ
นามธรรมล้วนๆ คือ วิญญาณที่ยังคงทำหน้าที่อยู่ จะหล่อเลี้ยงเจตสิกมันเอง
และเจตสิกของตัวมันก็จะหล่อเลี้ยงวิญญาณให้คงอยู่

เป็นการคงอยู่ในลักษณะของกลุ่มพลังงาน หรือเป็นกลุ่มขันธ์ที่ยังตกค้าง
เป็นขันธ์อีก4ขันธ์ ที่ยังมีการทำงานเกิดดับต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
ซึ่งกลุ่มพลังงานนี้ ก็จะมีสภาพเป็นเหมือนรูปถอดก็มี เป็นแค่พลังงานล้วนไร้รูปถอดก็มี
แต่ก็ยังถูกเรียกว่าเป็น โอปปาติกะ เหมือนๆกัน

วิญญาณที่คงอยู่แม้กายแตกแล้วก็ยังคือวิญญาณขันธ์อย่างเดิม
แต่เป็นวิญญาณขันธ์ ที่ทรงอยู่เกิดดับในโลกของนามล้วนๆซึ่งก็คือกลุ่มสังขารธรรมกลุ่มหนึ่ง
และมักจะถูกเรียกว่า ดวงวิญญาณ

คำว่าดวงวิญญาณในที่นี้ จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะส่วนที่เป็นวิญญาณขันธ์เพียงอย่างเดียว
แต่หมายถึงกลุ่มสังขารธรรมทั้งกลุ่ม หรือกลุ่มพลังงานทั้งกลุ่ม ซึ่งรวมสัญญาเวทนาสังขาร
อยู่ในคำเรียกนี้ด้วย

และดวงวิญญาณนี้ ก็จะทำหน้าที่เป็น วิญญาณปฏิสนธิ
แต่ในลำดับขณะแห่งการปฏิสนธินั้น วิญญาณขันธ์ก็จะก้าวข้ามการเกิดดับอยู่บนเจตสิกมันเอง
ไปเกาะอาศัยเกิดดับตั้งอยู่บนนามรูปใหม่ ที่มีความถึงพร้อมในการเปลี่ยนถ่ายนามรูป


ดวงวิญญาณ ก็คือกลุ่มสังขารธรรมทั้ง4ขันธ์ จะเรียกว่าวิญญาณปฏิสนธิ
ก็เมื่อมีการเคลื่อนโน้มเข้าหานามรูปใหม่ แต่ขณะแห่งการเปลี่ยนถ่ายนามรูป
ก็ยังเป็น ระบบการทำหน้าที่ของวิญญาณขันธ์อยู่นั่นเอง


พอจะสรุปได้ว่า................วิญญาณธาตุ แสดงคุณสมบัติออกมา
เป็นจิต หรือวิญญาณขันธ์

วิญญาณขันธ์ ก็คือสิ่งเดียวกันกับ วิญญาณทางอายตนะ6
และวิญญาณทางอายตนะ6 ก็คือวิญญาณตามที่แสดงไว้ใน ปฏิจจสุปบาท

ส่วนวิญญาณ ปฏิสนธิ ก็คือกลุ่มสังขารธรรม หรือขันธ์ทั้ง4 ที่เหลืออยู่
ภายหลังจากเมื่อกายแตกดับไปแล้ว ปกติก็คือกลุ่มพลังงาน แต่เมื่อจะกระทำการ
เปลี่ยนถ่ายนามรูป ก็จะเรียกกลุ่มพลังงานนี้ว่า วิญญาณปฏิสนธิ


เมื่อใด นามรูป หรือขันธ์4ขันธ์ดับสนิทลง เมื่อนั้น วิญญาณขันธ์ก็ไม่มีที่ตั้ง
เมื่อวิญญาณไม่มีที่ตั้ง การก่อตัวขึ้นเป็นวิญญาณ หรือเป็นจิตก็มีไม่ได้

เมื่อวิญญาณขันธ์ดับสนิทลงไป ความเป็นจิตดับสนิทลงไป
ในภาวะนั้น วิญญาณธาตุบริสุทธิ์ก็คืนสู่สถานะเดิม คือเป็นเหมือนผืนแห่งความว่าง
กลมกลืนแผ่กว้าง และครอบคลุมอยู่ในทุกส่วนทุกอณูของโลกธาตุ
เป็นสภาพที่ทรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต ไร้ที่ตั้ง และไม่อาจสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้งปวง
และวิญญาณธาตุ ก็คือวิญญาณธาตุ ไม่มีสัตว์ บุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวใคร
ไม่มีพระอรหันต์ และไม่มีแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของพระพุทธเจ้า เข้าไปตั้งอยู่กับวิญญาณธาตุนั้น

มีแต่ว่าพระพุทธเจ้า ตลอดทั้งอรหันต์ทั้งปวง สลัดความเป็นท่าน สลัดการเป็นจิต
และสลัด ทิ้งการคงอยู่ของขันธ์ทั้งหลาย

เมื่อสลัดทิ้งได้หมด กระบวนการดับสนิทแห่งขันธ์โดยไม่เหลือเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว
ภาวะอันนั้น มิติแห่งการคลายคืนสู่วิถีเดิมแท้ของธรรมชาติ ซึ่งเป็นดังอมตะภาวะ
ก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ทุกสิ่งทั้งปวง และพระพุทธเจ้าก็กลายเป็นอันเดียวกับนิพพาน
ไปเสียเอง กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเป็นอะไรและไม่เหลือการเป็นอะไร
เป็นสิ่งเดียวกับทุกสิ่งที่มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ในส่วนไหนของทุกสิ่ง


ผมคงต้องพอสมควรต่อการอธิบาย อยากจะอธิบายให้ง่ายกว่านี้
แต่ก็ไม่รู้ว่า การอธิบายให้ง่ายกว่านี้นั้นทำยังไง
ลองอ่านสักหลายๆรอบสิครับ เผื่อจะง่ายขึ้น

:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:


ข้อความของคุณคุณบัวศกลข้างต้น ล้วนเป็นข้อความของมารที่สิงใจเขาอยู่ เพื่อให้เผยแพร่พระไตรปิฎกฉบับมาร(สัทธรรมปฏิรูป) ต้านทานพระไตรปิฎกของแท้ของพระพุทธเจ้า ที่ผมกำลังถอดรัสปฏิจจสมุปบาท เรื่อง วิญญาณธาตุ และวิญญาณขันธ์ อยู่


พึงสังเกตุว่า ถ้าวิญญาณธาตุเป็นตัวเดียวกับวิญญาณขันธ์แล้ว

1. ปฏิจจสมุปบาทจะเกิดไม่ได้ เพราะต้องมีตัวเหตุ(วิญญาณธาตุ) เป็นปัจจัยให้เกิดตัวผล = นามรูปหรือขันธ์ 5 (มีวิญญาณขันธ์ รวมอยู่ด้วย)

2. ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธ์ ที่เคยเจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา และเปรต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่จิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งนั้น

3. พระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระสารีบุตร ฯลฯ รวมทั้งพระเยซู ต่างก็เจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา เปรต พรหม ฯลฯ พวกท่านต่างก็ต้องจิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งสิ้น

4. ในโลกจะมีแต่อรหันต์สุขะวิปัสสโกอย่างเดียว ที่เป็นอรหันต์แห้งแล้ง เพราะท่านไม่สามารถแยกวิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์ออกจากกันได้ จะไม่มีอรหันต์แบบอื่น ที่สามารถแยกวิญญาณธาตุและวิญญาณขันธ์ออกจากกันได้ เช่น พระอรหันต์ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทาญาน ที่มีอภิญญา 6 ครบถ้วนเป็นอย่างน้อย สามารถตรวจสอบสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแก่ภิกษุทั้งของมหายานและเถรวาทได้ เพราะเรื่องทิพย์และอภิญญาใดๆ ล้วนเกิดจากจิตเข้าไปรับรู้เรื่องราวในปรโลก หรือโลกของวิญญาณธาตุ

พึงตระหนักว่า ในปฐมสังคายนาพระไตรปิฎก พระมหากัสสปไม่อนุญาตให้สมมุติสงฆ์ทั่วไป แม้แต่พระอรหันต์สุขะวิปัสสโก เข้าร่วม ขนาดพระอรหันต์เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3)ก็ยังเข้าร่วมสังคายนาไม่ได้ ให้แต่พระอรหันต์ฉฬภิญโญ และพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน ที่มีอภิญญา 6 ครบถ้วนเป็นอย่างน้อย เท่านั้นเข้าร่วม

สาเหตุเพราะว่าสมมุติสงฆ์ทั่วไป แม้แต่พระอรหันต์สุขะวิปัสสโก (อรหันต์แห้งแล้ง) พวกนี้ท่านไม่มีโลกีย์อภิญญา 5 จึงไม่สามารถตรวจสอบสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนแก่ภิกษุทั้งของมหายานและเถรวาทได้นั่นเอง เพราะเรื่องทิพย์และอภิญญาใดๆ ล้วนเกิดจากจิตเข้าไปรับรู้เรื่องราวในปรโลก หรือโลกของวิญญาณธาตุ

แต่ตั้งแต่ การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ 2 เรื่อยมา ได้อนุญาตให้สมมุติสงฆ์ทั่วไปเข้าร่วมได้ การตีความพระไตรปิฎกและพุทธพจน์ต่างๆจึงผิดพลาดไปหมด ศาสนาพุทธจึงเสื่อม กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปของปลอม จนถึงทุกวันนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มิ.ย. 2009, 13:42
โพสต์: 38

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่รู้จะเยียวยาเยี่ยไงไรดี เกินจะเยียวยา
จาบจ้วงพระธรรมวินัย บิดเบือน ล่วงเกินอริยสงฆ์ บอกได้คำเดียวกระมัง
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด :b42:

หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มีมากมายนับไม่ถ้วน ความจริงแห่งธรรมชาติมากมายเหลือคณานับ
พระพุทธองค์ทรงคัดมาแล้ว เพียงหยิบมือ เพื่อเป็นหนทางพ้นทุกข์

แต่เธอนี่เก่งกว่าพระพุทธองค์เชียวหรือ สามารถยกความจริงมาเหลือเพียง หนึ่งหน้ากระดาษ


เมื่อไหร่จะสำนึก :b42:

.....................................................
ทุกคนมี อายตนะ ทั้ง 6 ครบเช่นกัน แต่การจะใช้ไปในทิศทางใดนั้น เราเป็นผู้ตัดสินใจ
หากหลงไปกับกระแสแห่งตัณหา เราจักไม่มีหนทางหนีออกจากกระแสแห่งตัณหานั้นได้
จงออกมาจากแม่น้ำคือตัณหานั้น แล้วมายืนดูที่ฝั่ง แล้วเราจะพบว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้น
หาใช่สุขที่แท้จริงไม่ ความยึดถือ ความปรุ่งแต่งแห่งจิต ทุกสิ่งล้วนเกิดจาก จิต
จิต ที่เราไม่สามารถที่จะควบคุมได้ จิต ที่คอยจมดิ่งไปสู่อารมณ์ที่ตนชอบใจ
การชนะใดๆ ก็หาใช่การชนะที่แท้จริงไม่ การชนะใจตัวเองนั่นแล คือการชนะที่ประเสริฐที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 13:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว.........เพราะความเห็นไม่ตรงกับคุณพลศักดิ์

จึงต้องได้รับเกียรติจากคุณพลศักดิ์ ให้เป็นผู้ถูกมารสิงซะงั้น

ไอ้มารตัวนี้ดูท่ามันจะ ขี้เล่นอยู่พอสมควร

และมันก็กำลังยิ้มให้คุณพลศักดิ์ซะด้วย

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 14:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350
-----------------------------------------------------------------------------

วิญฺญฺาณํ อนิทสฺสนํ อนนฺตํ สพฺพโต ปภํ

ในบทนี้ ความว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง(นิพพาน) ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง
พึงทราบความว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสหมายเอา ว่า นิพพานนี้ “เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ด้วยการนึกคิด เป็นธรรมละเอียด อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง.”
“อธิคโต โข มยายํ ธมฺโม คมฺภีโร ทุทฺทโส ทุรานุโพโธ สนฺโต ปณีโต อตกฺกาวจโร นิปุโณ ปณฺฑิตเวทนีโย.”

ซึ่งพระพุทธองค์อธิบายความพระนิพพาน
พระนิพพาน ตรัสรู้ตามได้ยาก
ธรรมชาติที่พึงรู้แจ้ง(พระนิพพาน) มองด้วยตาไม่เห็น ไม่มีที่สุด สว่างแจ้งทั่วทั้งหมด
วิญญาณํ....ธรรมชาติที่พึงรู้แจ้ง(พระนิพพาน)

ทำไมพระพุทธองค์ จึงใช้คำว่า “วิญญาณ”

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้
เพราะนิพพาน รู้ได้ด้วยวิญญาณ
ไม่มีวิญญาณ(จิต) ก็ไม่รู้นิพพาน
วิญญาณที่มีอวิชชา จะไม่รู้นิพพาน


ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา....
เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏชัด(ที่จิต/วิญญาณ) แก่พราหมณ์ ผู้เพ่ง-เพียร(อาตาปิโน ฌายโต พฺรหฺมณสฺส) อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา ยโต ปชานาติ สเหตุธมฺมํ
เมื่อนั้น ความสงสัย(ความไม่รู้แจ้งในรูปนาม) ทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมหมดสิ้นไป เพราะมารู้แจ้ง(ปชานาติ/เพราะมีวิญญาณที่ประกอบก้วยวิชชา) ซึ่งธรรมและเหตุแห่งธรรม

วิญญาณที่ประกอบด้วยธรรม และเหตุแห่งธรรม ก็เป็นนิพพานจิต หรือ?
เป็น...วิญญาณ หรือ จิตที่เพิ่งเข้ากระแสโสดาบัน
เกิดญาณ
นามรูปปริจเฉทญาณ
กำลังเข้าสู่กระแสมรรค
มรรคญาณ
กำลังจะละอวิชชา...ที่เคยหลงผิดในรูปนาม
ว่าเป็น...ตัวตน(สักกายทิฏฐิ) วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส

จิตในขณะนี้ คือ โสดาปัตติมรรคจิต

ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺรหฺมณสฺส
อถสฺส กงฺขา วปยนฺติ สพฺพา ยโต ขยํ ปจฺจยานํ อเวทิ.
เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏชัด(ที่จิต/วิญญาณ) แก่พราหมณ์ ผู้เพ่ง-เพียร เมื่อนั้น ความสงสัย(ความไม่รู้แจ้งในรูปนาม) ทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมหมดสิ้นไป เพราะได้รู้ ความหมดสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย

จิตในขณะนี้ คือ จิตของพระเสขบุคคล ขณะอรหัตมรรค จิตรู้นิพพาน

ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส....เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏขึ้นแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรอยู่. วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ ....พราหมณ์นั้นกำจัดมารและเสนาเสียได้ หยุดอยู่. สูโรว โภาสยมนฺตลิกฺขนฺติ....ผู้นั้นดุจดังดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น.

จิตของพระอเสขบุคคลขณะอรหัตผล นิพพานจิต

นิพพาน เป็นธรรมชาติทีพึงรู้แจ้งโดย วิญญาณ ไม่ใช่ตัววิญญาณเป็นนิพพาน

วิญญาณ อาศัยอะไรในนิพพาน เป็นอารมณ์ จึงเข้าไปรู้?
วิญญาณไม่ได้อาศัยอะไร...ในนิพพาน เป็นอารมณ์

นิพพาน เป็นผลจากการเจริญมรรค จนเกิดมรรคญาณและ ผลญาณ
ไม่ได้ยึดนิพพานเป็นตัวตน (หรือที่ท่านเข้าใจว่า เป็นนิพพาน เป็นวิญญาณธาตุ)

จิต รู้นิพพาน อย่างนั้นหรือ?
จิตดวงเก่า ๆ ที่ประกอบด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทานดับไป
จิตดวงใหม่ ๆ ที่เกิดจากการเจริญมรรค มรรคจิตก็เกิดขึ้น
ผลจิต ก็เกิดขึ้น

จิตดวงนั้น เป็นผลจิต ที่รู้นิพพาน แต่ไม่ใช่นิพพานจิตหรือ?
นิพพานจิต...จิตรับรู้ นิพพาน
นิพพานจิต....จิตที่ดับกิเลสปราศจากกิเลส นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
2. ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกเผ่าพันธ์ ที่เคยเจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา และเปรต ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่จิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งนั้น

3. พระพุทธเจ้า พระอานนท์ พระสารีบุตร ฯลฯ รวมทั้งพระเยซู ต่างก็เจอ วิญญาณ(ธาตุ) ในรูปของผี เทวดา เปรต พรหม ฯลฯ พวกท่านต่างก็ต้องจิตหลอน เป็นโรคจิตทั้งสิ้น


ขอความเห็นหน่อย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร