วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 21:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 11:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นส่วนตัวนะครับ (พอศึกษา พ.ร.บ.คณะสงฆ์มาบ้าง) เลยเห็นว่า

พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ทำให้พระสงฆ์กลายเป็นนักปกครองแบบฆราวาส มีการเลื่อนชั้น เลื่อนตำแหน่ง มีระบบวิ่งเต้นตำแหน่ง ซื้อตำแหน่ง หรือแย่งตำแหน่ง มีเส้นมีสาย มีการเล่นพรรคเล่นพวกเหมือนระบบราชการอย่างที่เป็นอยู่ในระบบการปกครองของคณะสงฆ์ไทยปัจจุบัน มีพระจน พระรวย พระมหาเศรษฐี

ตอนนี้ก็กำลังจะมีการยกร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ธนาคารพระพุทธศาสนา ขึ้นมาอีกฉบับ คือโดยภาพรวมก็คือให้พระมีเงินฝาก สามารถหาประโยชน์ หากำไร โดยผ่านทางธนาคารนี้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายและอื่นๆ..... ประมาณนี้ครับ

แล้วทุกท่านมีความเห็นเป็นประการใดหนอ จะเฉย, จะสนับสนุน, จะคัดค้าน ก็ให้เสนอแนะด้วยนะครับ เผื่อจะนำไปเป็นข้อเสนอแนะให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ให้เขาได้พิจารณาต่อไป :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อนาถใจครับ...ถ้าเกิดขึ้นจริง :b6:

ส่วนที่ถามว่าจะทำอย่างไร...ก็ทำใจวางครับ พิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นอนิจจังครับ ไปยึดถือไว้ก็ทุกข์ครับ ปล่อยวางไว้เฉยๆได้ก็เป็นอนัตตาไปเองแหละครับ :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องยอมรับว่าทรัพย์สินที่เป็นของวัดแต่ละวัดในประเทศไทยรวมกันแล้วนี่นะ
มากมายมหาศาลหลักแสนล้าน

ทางฝ่ายอาณาจักรก็มีความเห็นว่า ที่ผ่านมาฝ่ายพุทธจักรนี้ใช้สอยกันไม่มีประสิทธิภาพ
วัดใครวัดมัน บางวัดก็สร้างอะไรต่อมิอไรเป็นพันล้าน แต่บางวัดหลังคาก็พังก็ผุ
ไหนจะเรื่องการทำกิจกรรมต่างๆที่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไำม่มีความโปร่งใส ไม่มีระบบ
การรับเงินบริจาคของวัด การจัดสร้างอะไรต่อมิอะไร ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่มีตัวเลขปรากฏอยู่ในระบบ

คงต้องรอดูต่อไปครับ
เราท่านก็รู้อยู่แล้วว่าศาสนาพุทธจริงๆ แล้วไม่มีเสื่อม ไม่ได้เสื่อม
เพราะมันเป็นความจริงในธรรมชาติที่เราเข้าไปรู้เห็นคุณโทษแล้ว
ก็วางตัววางใจกับความจริงเหล่านั้น
จึงไม่ต้องไปกังวลว่าใครจะมาทำศาสนาให้เสื่อมลงไปได้
ที่เสื่อมนั้นก็เสื่อมไปจากใจคนแต่ละคนเท่านั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


บทความข้างล่างนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้างคะ

เรื่องของเปรตธรณีสงฆ์ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

จำได้ว่าเมื่อ พ.ศ.2547 มีข่าวครึกโครมว่าทางรัฐบาลจะเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดิน” โดยรวมเอาที่ดินของวัดและธรณีสงฆ์ของวัดเข้าไปด้วย

พระสงฆ์องค์เจ้าตั้งแต่มหาเถรสมาคมลงมา ตลอดจนสมภารเจ้าวัดทั่วราชอาณาจักร ต่างก็กลัวว่า วัดและที่ดินของวัดจะถูกเบียดบังไปเป็นสมบัติของใครบางคนเข้า โดยอ้างความชอบธรรมทางกฎหมาย ท่านจึงแจ้งมติประชุมของมหาเถรสมาคมว่า จะจัดรูปที่ดินอื่นใดก็จัดไปเถิด กรุณาอย่าแตะที่วัดและที่ธรณีสงฆ์เลย จะด้วยการอ้างเหตุผลอะไรที่ฟังสวยหรูบริสุทธิ์โปร่งใสยิ่งกว่าตาตั๊กแตน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนของโคตรเหง้าเศรษฐีตระกูลใดก็ตามเถิด โปรดได้ตัดข้อความและมาตราที่เกี่ยวกับที่วัด ธรณีสงฆ์ ศาสนสมบัติกลาง ออกไปเถิด

ปรากฏว่าข้อทักท้วงของคณะสงฆ์ได้รับสนองตอบเป็นอย่างดี ทำให้พระเถรานุเถระทั้งหลายโล่งอกตามๆ กัน ไม่ใช่โล่งอกที่ไม่ถูกยึดที่วัดและธรณีสงฆ์ดอกครับ โล่งอกที่ที่วัดไม่ได้ถูกเบียดบังเอาไปนั้นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งโล่งอกที่ได้เห็นท่านผู้เกียรติในสภาไม่กลายเป็น “เปรตธรณีสงฆ์” หลังตายแล้ว นับว่าเป็นความกรุณาของพระสงฆ์ท่าน

พระสงฆ์ที่ท่านมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ท่านไม่ต้องการให้ใครตกนรกหมกไหม้เพราะทำบาปดอกครับ ในพระคัมภีร์มีกวีบทหนึ่งกล่าวความจริงข้อนี้ว่า “มารดารักบุตรสุดที่รักคนเดียว แต่พระรักคนทั้งโลก”

การถือเอาสมบัติของสงฆ์ ของพระศาสนา แม้น้อยนิด เป็นบาปมหันต์ ปู่ ย่า ตา ทวด จึงสอนลูกสอนหลานมิให้เอาของสงฆ์ ท่านจะเล่านิทานให้ลูกให้หลานฟัง ฟังแล้วก็ขนลุกด้วยความกลัว ความจริงนิทานเรื่องนี้มิใช่เรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยพุทธกาล เห็นจะต้องเล่าเท้าความสักเล็กน้อย

หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ปัญจวัคคีย์จนได้บรรลุมรรคผล ทรงบวชให้ปัญจวัคคีย์แล้ว ยสกุลบุตรลูกเศรษฐีเมืองพาราณสีพร้อมทั้งเพื่อนๆ อีกกว่าห้าสิบคนก็มาบวชเป็นสาวก แล้วพระพุทธองค์ได้ส่งพระอรหันต์สาวกจำนวน 60 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่างๆ พระองค์เองเสด็จมุ่งหน้าไปยังเมืองราชคฤห์ ทรงแสดงธรรมโปรดชฎิล (นักบวชสามพี่น้อง) พร้อมบริวาร ทรงบวชให้ท่านเหล่านั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ ซึ่งเดิมนับถือชฎิลทั้งสามอยู่

พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ถวายตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ทรงสร้างวัดแห่งแรกขึ้นชื่อว่า “วัดพระเวฬุวัน” ปัจจุบันใครไปเยี่ยมซากเมืองราชคฤห์เก่า ยังเห็นบริเวณที่เคยเป็นวัดแห่งแรกนี้อยู่

วัดเวฬุวันเดิมเป็นป่าไผ่ที่มีกระแตชุกชุมเป็นพิเศษ และได้รับพระราชทานอภัยทานห้ามใครจับหรือยิงเป็นอันขาด กระแตเหล่านี้มี “พระคุณ” แก่พระเจ้าแผ่นดินเป็นพิเศษ โดยที่ครั้งหนึ่งหลังจากเสด็จกลับจากล่าสัตว์ พระราชาก็มาพักผ่อนใต้ร่มไผ่นอกเมือง ขณะทรงม่อยหลับไปพักใหญ่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องของเหล่ากระแต ทรงเห็นอสรพิษเลื้อยผ่านไป ก็ทรงเข้าใจว่า เหล่ากระแตพวกนั้นช่วยไล่อสรพิษซึ่งจะมากัดพระองค์หนีไป จึงสำนึกในบุญคุณของพวกมัน ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งสำหรับซื้ออาหารเลี้ยงพวกกระแตเป็นประจำ ตั้งแต่นั้นป่าไผ่แห่งนี้จึงได้นามว่า “กลันทกนิวาปสถาน” (สถานที่ให้อาหารกระแต)

พระเจ้าพิมพิสารจะทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์เป็นประจำ อยู่มาคืนหนึ่งขณะทรงบรรทมหลับสนิท ก็พลันสะดุ้งตื่น เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งหลายน่าเกลียดน่ากลัว รูปร่างแตกต่างกันบรรยายไม่ถูก แต่ละตัวก็แสดงอาการหิวโหยราวไม่ได้กินอาหารมาเป็นพันๆ ปี ยื่นมือออกมาร้องขอความช่วยเหลือกันเซ็งแซ่ ตื่นเช้าขึ้นพระองค์ก็รีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเล่าเรื่องให้พระพุทธองค์ฟัง

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“สัตว์เหล่านั้นคือเปรต รู้ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญกุศลให้ทาน ก็พากันมาขอส่วนบุญ”


“จะให้ทำอย่างไรพระเจ้าข้า” พระราชากราบทูลถาม

“มหาบพิตรก็จงทำบุญถวายทานแก่พระสงฆ์แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญแก่เปรตเหล่านั้น” พระพุทธเจ้าตรัส

“เปรตเหล่านั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์อย่างไร” พระราชยังสงสัย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เปรตเหล่านั้นในชาติก่อนอันไกลโพ้น เป็นญาติสนิทกับมหาบพิตร ได้ร่วมกันทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่ พวกเขาได้ตระเตรียมข้าวปลาอาหารไว้มากมายเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ ขณะที่พระสงฆ์ยังไม่มา บางคนก็เกิดความหิว จึงหยิบอาหารที่เตรียมไว้ถวายพระกินก่อน ด้วยบาปกรรมอันนี้ พวกเขาจึงเกิดเป็นเปรตประเภท “ปรทัตตูปชีวี” ต้องอาศัยอาหารที่คนอื่นอุทิศให้ยังชีพ บังเอิญว่าที่แล้วมา ไม่เคยมีใครอุทิศส่วนบุญให้พวกเขาเลย จึงหิวโหยผอมโซอย่างที่เห็นนั้นแหละ”

พระเจ้าพิมพิสารจึงทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขอีกครั้ง แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พวกอดีตญาติๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เปรตพวกนั้นได้รับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุทิศไปให้ ต่างมีหน้าสดชื่นเบิกบาน ตกดึกคืนหนึ่งจึงพากันมาขอบคุณพระเจ้าพิมพิสารกล่าวอนุโมทนาในบุญกุศลที่พระองค์ทรงบำเพ็ญแล้วก็หายวับในทันใด

นี้คือที่มาแห่งการทำบุญกรวดน้ำในพระพุทธศาสนา ถ้าจะถามว่าก่อนหน้านี้ในพระศาสนาไม่มีพิธีนี้หรือ ก็ตอบได้ว่าคงไม่มี เพราะพระพุทธศาสนาเพิ่งเกิดและแพร่หลายในช่วงนี้ การเกิดขึ้นแห่งประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ก็เพิ่งจะเริ่มเกิดและมีมาตั้งแต่บัดนี้ต่อไป

ถามอีกว่า การกรวดน้ำนี้ เคยมีมาไหม คือก่อนเกิดพระพุทธศาสนา เคยมีการทำอะไรคล้ายๆ นี้ไหม ตอบอีกว่าเคยครับ เท่าที่ทราบมีมานานแล้ว คงจะเป็นวิธีปฏิบัติของคนอินเดียโบราณ

ดังในพระเวสสันดรชาดก ตอนพระเวสสันดรให้พระนางมัทรี พระชายาเป็นทานแก่พราหมณ์แปลง (พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาขอ) ทันที่จะตัดสินใจมอบให้ พระเวสสันดรก็หยิบคนโทน้ำหลั่งลงในมือของพราหมณ์ เป็นสัญลักษณ์ว่ามอบให้เด็ดขาด

แต่การรินน้ำใส่มือผู้รับเป็นสัญลักษณ์ว่ามอบให้เด็ดขาดแล้วเท่านั้น ไม่มีความหมายในการอุทิศกุศลเผื่อคนอื่น ดังในประเพณีการกรวดน้ำของพุทธศาสนา สรุปว่าการกระทำมีการรินน้ำคล้ายกัน แต่จุดมุ่งหมายแห่งการกระทำไม่เหมือนกัน จะว่าการกรวดน้ำมีรากฐานมาจากการรินน้ำหลังจากให้สิ่งของเป็นทานแท้ๆ คงพูดไม่ได้

คล้ายกับการพูดว่า พชป. มีนโยบายคล้าย ทรท. แต่ พชป. ก็หาใช่ ทรท. ไม่ ประมาณนั้น ใช่หรือเปล่าครับท่านว่าที่นายกรัฐมนตรี

รูปภาพ

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเปรต คำว่า “เปรต” ภาษาบาลีเขียน เปต แปลตามตัวว่า “ผู้ล่วงลับไปแล้ว” คือผู้ที่ตายแล้ว ใช้เป็นคำกลางๆ หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตายดี ตายไม่ดี ไม่ว่าคนดี คนชั่ว เมื่อตายแล้วเรียกว่า “เปรต” เหมือนกันหมด

การทำบุญให้ญาติมิตร เราก็เรียกว่า ทำบุญอุทิศให้เปรต ซึ่งหมายถึงทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย มิได้มีความหมายในทำนองเหยียดว่าญาติของเราเป็นเปรต (ในความหมายที่เราเข้าใจส่วนมาก) แต่อย่างใด ทางปักษ์ใต้มีพิธีทำบุญ “ชิงเปรต” ก็มีความหมายในนัยที่ว่านี้ แต่ “เปรต” มันมีอีกความหมายหนึ่ง คือคนที่ทำบาปทำกรรมตายไปแล้วไปเกิดใน “ปิตติวิสัย” (ภพภูมิแห่งเปรต) เป็นทุคติภูมิทำนองเดียวกับพวกสัตว์นรก

เปรตพวกนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ

(1) ปรทัตตูปชีวี เปรตที่ต้องอาศัยผลบุญที่มีคนอุทิศให้ ไม่มีปัญญาหากินเอง ถึงจะพยายามหาอาหารกินก็คงไม่ได้ เพราะผลกรรมบันดาลให้เขาต้องอดอยากปากหมอง ทุกข์ทรมาน พวกนี้ถึงอยากกินก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นท่านจึงมีสัญลักษณ์ให้รู้ว่า มีปากเท่ารู้เข็ม มีพุงโตเหมือนภูเขา คืออยากมาก อยากกินให้พุงป่องเลย แต่กินไม่ได้เพราะปากมันเล็กว่าอย่างนั้นเถอะ

(2) เวมานิกเปรต (เปรตมีวิมาน) เปรตพวกนี้แปลก ท่านว่ากลางวันพวกเขาจะได้รับทุกข์ทรมานมาก เช่นเดียวกับสัตว์นรกนั่นแหละ แต่พอตกกลางคืนมาก็มีวิมานสวยหรูอยู่ เสวยสุขดังชาวสวรรค์ พอเช้าขึ้นมาความสุขเหล่านั้นก็วับหาย ต้องมาทุกข์ทรมานต่อไป

ทำให้นึกถึงบุคคลในสังคมสมัยนี้ มีชีวิตอยู่ดุจ “เวมานิกเปรต” ไม่ผิดเพี้ยน กลางวันก็ทำงานหน้าดำคร่ำเครียด ตกกลางคืนก็เที่ยวดื่มเที่ยวกินตามโรงแรมหรูๆ ร้านอาหารหรูๆ แพงๆ บางแห่งก็มีดนตรีขับกล่อมให้สบายหู มีสาวเสิร์ฟสวยๆ คอยเสิร์ฟอาหารให้ ยังกับอยู่ในวิมานไม่มีผิด ตำรายังกล่าวว่า เปรตพวกนี้เหาะได้ด้วย สมัยนี้ก็มีรถไง พาเหาะพาซิ่งจากที่นั่นที่นี่ตามต้องการ หรือไม่ก็ขึ้นเรือเหาะไปถึงต่างประเทศก็ได้ เหาะไปปรึกษาการบ้านการเมืองกันต่างแดนก็มี ดูแล้วมันก็เปรตประเภทมีวิมานเราดีๆ นี่เอง

ถามว่า คนทำบาปกรรมอะไรจึงมาเกิดเป็นเปรต พระคัมภีร์กล่าวไว้หลายประเภท คนที่ยักยอกเอาของสงฆ์ตายไปก็เกิดเป็นเปรต ส่วนมากก็เป็นพระภิกษุสมภารเจ้าวัดนั่นแหละ ดูแลเงินทองของวัด แรกๆ ก็คงไม่คิดอะไร พอนานเข้าก็โลภอยากได้ แพ้ต่อมโนธรรมของตนก็ยักยอกเอามาเป็นของตนเสีย ตายไปไม่แคล้วเป็นเปรต ไม่อย่างนั้นเราจะมีคำพูดว่า “เปรตวัดสุทัศน์” หรือครับ (ทำไมต้องเจาะจงวัดสุทัศน์ วัดอื่นไม่มีหรือไง ไม่ทราบสิครับ)

มีเรื่องจริงเขาเล่าให้ผมฟังนานแล้ว มรรคนายกวัดแห่งหนึ่ง เอาเงินวัดไปเข้าแบงก์กินดอกเบี้ย เงินยังอยู่แต่ดอกเบี้ยได้เท่าไรแกเอามาเป็นของตัวหมด อยู่มาวันหนึ่งแกป่วยหนักด้วยโรคประหลาด คือขี้ไหลตลอด กินอะไรลงไปก็ไหลออกหมด จนกระทั่งตาย ก่อนตายแกเพ้อคล้ายสั่งลูกหลานว่า “ใช้ดอกเบี้ยๆ” แล้วก็สิ้นลม

ลูกหลานก็ไม่ทราบว่าแกสั่งลาอะไร ดอกเบี้ยอะไร พอสมภารท่านทราบ ท่านก็ไม่ว่าอะไร สั่งให้ลูกหลานทำสังฆทาน สั่งให้ใส่ปัจจัย (เงิน) เท่าจำนวนที่ท่านคิดว่าเป็นดอกเบี้ยธนาคารที่แกเอาไป โดยที่ลูกหลานไม่ทราบ

อีตามรรคนายกนี้แกคงตายไปเกิดเป็นเปรตแหงๆ เลย

เปรตอีกตัวหนึ่ง อ่านแล้วอดขำมิได้ แกมีลูกอัณฑะโตเท่าตุ่มน้ำ ลำบากลำบนมาก ไปไหนก็แบกอัณฑะไปด้วย เวลานั่งก็นั่งบนอัณฑะของตัวเอง เมื่อมีผู้ทูลถาม พระพุทธองค์ตรัสว่า ชาติก่อนเปรตตัวนี้เป็นผู้พิพากษา พิจารณาอรรถคดีไม่ยุติธรรม ตายไปจึงเกิดเป็นเปรตดังกล่าว

หลายคนอ่านแล้วคงเสียว ไม่น้อย (ฮา)

หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10900

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 15:47
โพสต์: 36


 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
อนาถใจครับ...ถ้าเกิดขึ้นจริง :b6:

ส่วนที่ถามว่าจะทำอย่างไร...ก็ทำใจวางครับ พิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นอนิจจังครับ ไปยึดถือไว้ก็ทุกข์ครับ ปล่อยวางไว้เฉยๆได้ก็เป็นอนัตตาไปเองแหละครับ :b13:


อันนั้นผมมีแย้งกับคุณ
แต่อันนี้ผมมีความเห็นเหมือนคุณนะ สำหรับผมก็คงแล้วแต่อะไรจะเป็นน่ะ ทำใจได้ก็ทำใจซะ
ผมใส่ใจกับตัวเอง และเพียรปฏิบัติให้พ้น ๆ ทุกข์ของผมไปดีกว่า และยิ่งมีข่าวคาวอย่างนี้เฉียดมาให้เห็นมากขึ้น
ผมคงต้องขยันให้มากขึ้นตามไปด้วย ยังไงคุณ natdanai ก็ยัน ๆ ผมด้วยนะ
เพราะผมยังเพิ่งเริ่มต้นครับ สาธุ สาธุ สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนนี้ก็กำลังจะมีการยกร่างกฎหมาย พ.ร.บ.ธนาคารพระพุทธศาสนา ขึ้นมาอีกฉบับ คือโดยภาพรวมก็คือให้พระมีเงินฝาก สามารถหาประโยชน์ หากำไร โดยผ่านทางธนาคารนี้ได้โดยไม่ผิดกฎหมายและอื่นๆ..... ประมาณนี้ครับ


ตายหละ ........แล้วโทษ อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์. (ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ ต้องสละสิ่งของนั้นออกไปจึงจะพ้นโทษได้) ก็ต้องตัดออกจากพระวินัยไปเลยซิค่ะ แล้วพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้ก็ใช้ไม่ได้เสียแล้วซิค่ะ ทำไงดี เมื่อหัวหน้าล่วงละเมิดพระธรรมวินัยคือภิกษุ และพระพุทธองค์ก็ฝากพระศาสนาไว้ให้กับบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา คอยดูแล แต่เวลานี้ จะมีแต่คน..ค้นหาไปนิพพานกันทั้งนั้น ลืมภาระหน้าที่ของตัวเอง คือดูแลพระศาสนา ไว้ด้วย แล้วพวกเชื้อโรคอย่างเราจะทำอย่างไรดีเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ "สุวรรณภูมิ "ที่ พระอรหันต์เถราจารย์ทั้งหลายซึ่งได้นำพระพุทธศาสนามาประดิษฐานนอกชมพูทวีป ช่วยกันหาทางเลี่ยงพุทธพยากรณ์ จะตั้งพระศาสนาไว้ให้ได้ "หมื่นปี "ที่นี่ แต่ปัจจุบันแค่ 2552 ปี เท่านั้น ทำทีท่าจะอัปปาง จริง ๆ เสียแล้ว ท่านที่กำลังหาทางไปนิพพานช่วยตอบด้วยว่าท่านจะมีวิธีใดช่วยดูแล บำรุง จรรโลงพระศาสนาไว้ให้นาน ๆ โดยที่ผู้คนไม่ลืม "พุทธะ "จนเร็วเกินไป :b2:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 126 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร