ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
สติปัฏฐาน http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=22892 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | รสมน [ 07 มิ.ย. 2009, 19:51 ] |
หัวข้อกระทู้: | สติปัฏฐาน |
ควรทราบว่าพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประกอบด้วย ปิฎก ๓ พระพระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ความลึกซึ้ง ของปิฎกทั้ง ๓ จึงต่างกัน คือ พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ พระสูตรลึกซึ้งโดยอรรถ พระอภิธรรมลึกซึ้งโดยสภาวะ พระวินัยลึกซึ้งโดยกิจ คือ พระภิกษุที่ศึกษา ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยจะเห็นความละเอียดลึกซึ้งโดยกิจต่างๆในพระวินัย ที่ทรงบัญญัติไว้ว่ากิจเล็กกิจน้อยหรือกิจสำคัญที่สงฆ์พึงประพฤติปฏิบัติมีคุณ ประโยชน์อย่างไร ส่วนพระสูตรทั้งหลายลึกซึ้งโดยอรรถ คือเนื้อความที่ลึกถึง โลกุตตระ ไม่ใช่แสดงเพียงพยัญชนะเรื่องราวบุคคลต่างๆเท่านั้น ส่วนพระ อภิธรรมลึกซึ้งโดยสภาวะ เพราะพระอภิธรรมปิฎกที่ทรงแสดงนั้นลึกซึ้งโดยสภาวะ ผู้ที่ศึกษาและรู้ตามย่อมทราบความลึกซึ้งด้วยปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิดก็ไม่เห็นความ ลึกซึ้งของพระธรรมได้.. ปรกติในชีวิตประจำวัน อกุศลเกิดบ่อยมาก อกุศลไม่เลือกสถานที่เกิด ไม่เลือก อิริยาบถเพราะได้สะสมอกุศลมามากจนมีกำลัง อันเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาฉันใด การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรมก็เช่นกัน สามารถ รู้ได้ทุกที่ ทุกเวลาเพราะว่าสภาพธรรมที่มีจริง มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวันไม่เปลี่ยนไป ไหน แต่ขาดเพียงสติและปัญญาที่ไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้เท่านั้น ซึ่งการ ศึกษาการฟังพระธรรมย่อมเป็นปัจจัยให้สติและปัญญาจากที่ไม่เคยมี มีขึ้น เมื่อความ เข้าใจเจริญขึ้นจนมีกำลังเหมือนอกุศลที่เสพคุ้นจนมีกำลังแล้ว สติและปัญญาก็เกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ทุกที่ ทุกเวลาเพราะสติและปัญญามีกำลัง ที่สำคัญ สภาพธรรมเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไมได้ แม้สติและปัญญาก็เช่นกัน จึงแล้วแต่ว่าเมื่อ เหตุปัจจัยพร้อมสติและปัญญาจึงเกิดขึ้นเองและก็สามารถบรรลุธรรมได้ในที่ทุกสถาน ดังเรื่องราวในพระไตรปิฏก ซึ่งเป็นคนเล่นศิลปะเป็นนักกายกรรม เมื่อพระพุทธเจ้า แสดงธรรม ขณะที่กำลังเล่นกายกรรม ยืนอยู่บนแป้นที่เล่น ฟังธรรมได้บรรลุเป็นพระ- อรหันต์ทันที สติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ -หน้าที่ 306 เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน " เชิญเถิด อุคคเสน บุตรคนฟ้อน ผู้มีกำลังมาก เชิญท่านจงดู, เชิญท่านทำความยินดีแก่บริษัทเถิด, เชิญท่านทำให้มหาชนร่าเริงเถิด." เขาได้ยินถ้อยคำของพระเถระแล้ว เป็นผู้มีใจยินดี หวังว่า " พระศาสดามีพระ ประสงค์จะดูศิลปะของเรา " จึงยืนบนปลายไม้แป้นแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :- " เชิญเถิด ท่านโมคคัลลานะ ผู้มีปัญญามาก มี ฤทธิ์มาก เชิญท่านจงดู, กระผมจะทำความยินดีแก่ บริษัท, จะยังมหาชนให้ร่าเริง." ก็แลครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ก็กระโดดจากปลายไม้แป้น ขึ้นสู่อากาศ หก คะเมน ๑๔ ครั้งในอากาศแล้ว ลงมายืนอยู่บนปลายไม้แป้น(ตามเดิม). ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุคคเสน ธรรมดาบัณฑิตต้องละความ อาลัยรักใคร่ในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันเสียแล้ว พ้น จากทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นจึงควร ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:- " ท่านจงเปลื้อง (อาลัย) ในก่อนเสีย จงเปลื้อง (อาลัย) ข้างหลังเสีย, จงเปลื้อง (อาลัย) ในท่าม- กลางเสีย, จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจหลุดพ้นใน ธรรมทั้งปวง จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก." ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ แล้ว. อุคคเสนทูลขอบรรพชาอุปสมบท ฝ่ายบุตรเศรษฐี กำลังยืนอยู่บนปลายไม้แป้น บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วย ปฏิสัมภิทาแล้ว ลงจากไม้แป้นมาสู่ที่ใกล้พระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางค ประดิษฐ์ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ เบื้องขวาตรัสกะนายอุคคเสนนั้นว่า " ท่าน จงเป็นภิกษุมาเถิด." อุคคเสนนั้นได้ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ประหนึ่งพระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ ในขณะนั้นนั่นเอง |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 08 มิ.ย. 2009, 04:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: สติปัฏฐาน |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |