วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพุทธทาสกล่าวว่า พระพุทธองค์ไม่ได้สอนเรื่องนรกสวรรค์ทางกาย แต่สอนเรื่องนรกสวรรค์ทางใจคือทำดีก็จะสบายใจ ทำชั่วก็จะทุกข์ใจ แต่ก็แล้วแต่ความชื่อของแต่ละคน แต่พระพุทธองค์บอกว่านรกสวรรค์ทางกายเป็นเรื่องที่มีมาก่อนพระพุทธองค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 01:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน ariyachon

“ผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์แล้ว คือพระโสดาบันขึ้นไป พระโสดาบันไม่ต้องลงไปอบายแล้วครับ”

ผมเข้าใจว่าท่าน Ariyachon เข้าใจความเป็นโสดาบันดีแต่ท่านยังกล่าวไม่หมด อาจทำให้ผู้ยังไม่รู้คิดแค่ว่า ศีล 5 ครบ ก็เป็นโสดาบันแล้ว ท่าน wakeup ก็เลย ตอบมาว่า

” ผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์แล้ว คือพระโสดาบันขึ้นไป" เป็นคำกล่าวผิด คำกล่าวที่ถูกคือพระโสดาบันขึ้นไป คือผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์ จะกล่าวกลับกันไม่ได้ พระโสดาบันนอกจากมีศีล5 แล้ว ก็มีอย่างอื่นอีก ท่านจึงไม่ไปอบายแล้ว ความเห็นผมคือมีศีล5 บริบูรณ์เท่านั้น ก็ยังตกนรกได้ครับ แค่นี้ก่อนแล้วกัน"

ท่านก็อย่าไปเคืองท่าน wakeup เลยครับ

“พระโสดาบันท่านแน่นหนักในพระรัตนตรัยท่านรักษาศีลได้โดยไม่ต้องไปคอย "ข่มจิต ข่มใจ"ถ้ายัง "ข่มจิต ข่มใจ" ในการรักษาศีลอยู่ มันก็ไม่ใช่” นี้ก็เป็นการยืนยันว่าท่าน Ariyachon เข้าใจการเป็นโสดาบัน ได้ดี

อย่างท่าน wakeup

“ไม่รู้คุณBlackHospital อ่านจากที่ตอบๆกัน ได้ข้อสรุปหรือเปล่า?คือสรุปแล้วตกนะ แต่บางท่านที่ตอบผมอ่านก็งงๆเหมือนกัน คุณถามถึงคนที่มีศิล 5 เท่านั้น แต่บางท่านไปพูดถึงพระโสดาบัน คือถ้าพระโสดาบันก็ไม่ตกนรกครับ”

ท่านเล่นสรุปว่า ตก ผมว่า ท่านพิมพ์ตกคำว่า”ยัง”นะครับ ท่าน Ariyachon จึงไม่ผิดหรอกที่สวนท่าน ดังนี้
” อนุโมทนา คุณฌาณ คุณdd ด้วยครับต่อไปจะได้ไม่ต้องมีใครมากล่าวเพ้อเจ้อเที่ยวบอกว่าผู้มีศีล๕ "ที่บริบูรณ์แล้ว" จะต้องตกนรกหมกไหม้อีก”

ท่านก็อย่าไปเคืองท่าน Ariyachon เลย พิมพ์ตก ก็แก้ไขได้ครับ

ท่าน -dd-

คงเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้กันนะครับ.....

“ศีเลนสุขติงยันติ ศีลย่อมยังให้สู่สุคติ
ศีเลนโภคมัปทา ศีลย่อมยังให้เกิดโภคทรัพย์
ศีเลนพุทติงยันติ ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน”

ถ้ารักษาศีล๕อย่างบริบูรณ์แล้วยังได้ตกนรกแล้ว พระพุทธเจ้าคงไม่ทรงสอนใครให้ประพฤติดอกครับ
ศีล๕ที่บุคคลรักษาดีแล้วย่อมได้อัตภาพของมนุษย์ครับ หากประพฤติศีลแล้วยังตกนรกอีกคงมีคำกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า "สีเลน ทุคติงยันติ..etc..etc.." เป็นแน่แท้ หรืออาจมีกล่าวไว้ในที่ใดให้พบเห็นก็ช่วยชี้บอกด้วย บางทีผมอาจจะได้"ความรู้ใหม่" บ้างครับ

อ้างอิงคำพูด:
มีคนกล่าวว่า ถ้าบุคคลมีศีล ๕ บริบูรณ์แล้ว ไม่ตกนรกแน่นอน
คำกล่าวนี้ถูกผิดอย่างไรขอรับ

ท่านฌาณ

คำกล่าวนี้ถูกต้องแน่นอนครับ ..... พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก ว่า

"สีลํ โลเก อนุตฺตรํ ศีลเป็นเยี่ยมในโลก"

ท่าน อโศกะ

ศีล 5 จะบริบูรณ์ ไม่ด่างพร้อยต่อไปอีกเมื่อได้ถึงความเป็นโสดาบันบุคคล เมื่อถึงตรงนั้นแล้วประตูอบายจะปิดสนิท ความเกิดในภพภูมิทั้ง 4 คือสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก จะไม่มีกับบุคคลผู้นั้นอีกแล้ว

ท่านพลศักดิ์ วังวิวัฒน์

เราไม่อาจกล่าวได้ว่า " ถ้าบุคคลมีศีล ๕ บริบูรณ์แล้ว ไม่ตกนรกแน่นอน " คนที่มีศีล ๕ บริบูรณ์แล้ว มีโอกาส 1ใน 1,000,000 ที่จะตกนรก เพราะผมบอกว่าแล้ว การตกนรกนั้นอยู่ที่จิตก่อนตายเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเป็นอกุศล คิดถึงกรรมชั่วที่ตนเองเคยทำก่อนจะมีศีล ๕ บริบูรณ์ ก็ต้องลงนรกครับ เพียงแต่ระยะเวลาที่ลงนรกนั้นจะไม่นาน 3 วัน 7 วัน ตามเวลาในโลกมนุษย์ ก้จะกลับขึ้นไปสวรรค์


ผมเข้าใจว่าทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่ามีแต่ โสดาบัน ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีคติที่แน่นอนคือสุคติเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การจะกล่าวว่า ผู้มีศีล 5 บริบูรณ์ แล้ว ไม่ตกนรกแน่นอน จึงเป็นการกล่าวที่ถูกไม่หมด ยังไม่คลุมทั้งหมด

จริงอยู่ว่าเราต้องการชี้ประโยชน์ของการรักษาศีล แต่จะให้กำลังใจคนมารักษาศีลแบบไม่ลืมหูลืมตา ได้อย่างไร ( ทั้งที่รู้ว่า ศีลอย่างเดียวยังมีคติไม่แน่นอน คือมีโอกาสไปได้ทั้ง สุคติ และ ทุคติ ) ควรที่ให้เขาเห็นความจริงทั้งหมดนี้คือการยิบยื่นความฉลาดให้ผู้ที่ยังไม่รู้ ได้รู้

ได้รู้อะไร ? ก็รู้ในปฏิจจสมุปบาท ได้รู้ว่าหัวใจ หรือ กระบวนการเกิดในภพต่าง ๆ นั้นอยู่ที่ การเกิด อุปาทาน ยึดมั่น ใน ตันหา ของจิตขณะนั้น ได้สร้างภพใหม่ ขึ้นในจิต หากจิตเกิดเคลื่อนจากอัตตภาพปัจจุบัน ขณะนั้นพอดี จิตก็เข้าสู่ชาติใหม่ในภพใหม่ นี้คือการเกิด

ดังนั้น ผู้ที่รักษาศีล ได้ดีแล้ว โอกาสที่จิตจะมีอุปาทานยึดมั่นในศีลในความดีของตน ขณะจิตเคลื่อนมีมากกว่าคนที่รักษาศีลแบบลักปิดลักเปิด อาจกล่าวได้ว่า คนที่มีศีลดีแล้ว มีโอกาสไปสุคติ มากกว่าไปทุคติ หากว่าท่านต้องการแต่สุคติอย่างเดียว ต้องเป็นคนที่มีศีลเป็นอธิศีล ในแบบของอริยบุคคลมีโสดาบันเป็นต้น

ชวนมาเป็นอริยบุคคลกันดีกว่า

เพราะมีคติแน่นอนคือสุคติ แต่เพียงอย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2009, 10:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณ กบนอกกะลา
:b1: :b1:


กบนอกกะลา เขียน:

ผมเข้าใจว่าท่าน Ariyachon เข้าใจความเป็นโสดาบันดีแต่ท่านยังกล่าวไม่หมด อาจทำให้ผู้ยังไม่รู้คิดแค่ว่า ศีล 5 ครบ ก็เป็นโสดาบันแล้ว


แสดงว่าท่านเข้าใจ
ผมไม่ได้หมายความว่า ผู้มีศีล๕ ครบ จะเป็นพระโสดาบันได้หรอกครับ
แต่ถ้าสังเกตุคำถามให้ดี จะมีคำว่า "บริบูรณ์" ต่อท้าย
ซึ่งความ "บริบูรณ์" ของศีล มีแต่ในพระอริยบุคคลเท่านั้นครับ
คนธรรมดาก็มีศีล๕ ได้ แต่จะเรียกว่า "บริบูรณ์" ไม่ได้
ดังนั้นจึงมีโอกาส ที่จะไปอบาย ได้เหมือนกัน

ความ"บริบูรณ์" นั้น เกิดจากความปราณีตของจิตจริงๆ
ไม่ใช่ใจอยากจะทำผิดศีล แต่สามารถ "ข่มใจ" ไว้ได้
แบบนั้น ไม่เรียกว่าเป็นความ "บริบูรณ์" ครับ

อ่านดูตรงนี้นะครับ พระอริยบุคคล๘ ประเภท โสดาปัตติผลบุคคล
http://www.geocities.com/toursong1/kam/b8.htm

:b1: :b27:

อย่างที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกล่ะครับ
สมมติ มันวุ่นวาย
พิมพ์ตกหล่น ก็ทำเอาสับสนอลหม่าน กันยกใหญ่

ถ้าตอนแรกผมกล่าวอะไรสั้นๆ ไม่กระชับ
อาจจะทำให้เข้าใจอะไรผิด
ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยครับ


:b48: :b48:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 23:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


มาแล้วครับ คำพระพุทธเจ้า ชัดเจนมาก

อานนท์! บรรดาสมณพราหมณ์ ท. เหล่านั้น
(ก) สมณพราหมณ์ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านผู้ เจริญ ท.! กรรมที่เป็นบาปไม่มี, วิบากแห่งทุจริกก็ไม่มี"ดังนี้; คำกล่าวข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราไม่ ยอมรับรู้ด้วย.
(ข) แต่ข้อใดที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวต่อไปอีกอย่างนี้ว่า "ข้าพเจ้าได้เห็นบุคคลผู้กระทำ ปาณาติบาต กระทำอทินนาทาน ประพฤติผิดในกาม พูดเด็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำ เพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฎฐิ, ภายหลังแต่การตายเพราะการ ทำลายแห่งกาย เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" ดังนี้; คำกล่าวข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เรายอมรับรู้ด้วย.
(ค) ส่วนข้อที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า "ท่านผู้เจริญ ท.! บุคคลใด เป็น ผู้กระทำปาณาติบาต กระทำอทินนาทาน ประพฤติผิดในกาม พูดเด็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำ เพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท เป็นมิจฉาทิฎฐิ บุคคลนั้นทุกคน, ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" ดังนี้; คำกล่าวข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราไม่ยอมรับรู้ด้วย.
(ฆ) แม้ข้อ ใดที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า"ชนเหล่าใด รู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ, ชนเหล่าใดรู้อย่างอื่น ความรู้ของชนเหล่านั้น ผิด" ดังนี้; คำกล่าวแม้ข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราก็ไม่ยอมรับรู้ด้วย.
(ง) แม้ข้อที่สมณพราหมณ์ผู้นั้น ปักใจตามกำลังแห่งความรู้ตามความลูบคลำแห่งทิฎฐิ แล้วกระทำซึ่งโวหารตามที่ เขารู้เอง เห็นเอง แจ่มแจ้งเอง(สืบต่อไป)อย่างนี้ว่า "ข้อนี้เท่านั้นจริง, ข้ออื่นเป็นโมฆะ" ดังนี้; คำกล่าวแม้ข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราก็ไม่ยอมรับรู้ด้วย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า?
อานนท์!ข้อนั้น เพราะเหตุว่า ญาณในการจำแนกซึ่งกรรมอันกว้างขวางของตถาคต ย่อมมีโดยประการอื่น.
-------------
อานนท์! บรรดาสมณพราหมณ์ ท. เหล่านั้น
(ก) สมณพราหมณ์ผู้ใด กล่าวอย่างนี้ว่า "ท่าน ผู้เจริญ ท.! กรรมที่เป็นกรรมงาม (กลฺยาณกมฺม) มีอยู่,วิบากแห่งสุจริต ก็มีอยู่" ดังนี้; คำกล่าวข้อนี้ของ สมณพราหมณ์ผู้นั้น เรายอมรับรู้ด้วย.
(ข) แม้ข้อใดที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวต่อไปว่า "ข้าพเจ้าได้เห็น บุคคลผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจาก การพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำเพ้อเจ้อ ไม่เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา ไม่มีจิตพยาบาทเป็น สัมมาทิฏฐิ, ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่งกาย เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" ดังนี้;คำกล่าวแม้ ข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราก็ยอมรับรู้ด้วย.
(ค) แต่ข้อที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวอย่าวนี้ว่า "ท่านผู้เจริญ ท.! บุคคลใด เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก อทินนาทาน เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจาก การพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำเพ้อเจ้อ ไม่เป็นผู้มากด้วยอภิชฌา ไม่มีจิตพยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ บุคคลนั้นทุกคน, ภายหลังแต่การตายเพราะ การทำลายแห่งกาย ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" ดังนี้;คำกล่าวข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราไม่ยอม รับรู้ด้วย.
(ฆ) แม้ข้อใดที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า "ชนเหล่าใดรู้อย่างนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่ารู้ชอบ, ชนเหล่าใดรู้อย่างอื่น ความรู้ของชนเหล่านั้น ผิด" ดังนี้; คำกล่าวแม้ข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราก็ไม่ ยอมรับรู้ด้วย.
(ง) แม้ข้อที่สมณพราหมณ์ผู้นั้นปักใจตามกำลังแห่งความรู้ตามความลูบคลำแห่งทิฎฐิ แล้ว กระทำซึ่งโวหารตามที่เขารู้เอง เห็นเอง แจ่มแจ้งเอง (สืบต่อไป) อย่างนี้ว่า "ข้อนี้เท่านั้นจริง, ข้ออื่นเป็นโมฆะ" ดังนี้; คำกล่าวแม้ข้อนี้ของสมณพราหมณ์ผู้นั้น เราก็ไม่ยอมรับรู้ด้วย.ข้อนั้นเพราะเหตุไร เล่า?
อานนท์! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ญาณในการจำแนกซึ่งกรรมอันกว้างขวางของตถาคต ย่อมมีโดย ประการอื่น.
----------------------

(ตรัสอธิบายเกี่ยวกับพวกที่เว้นจากบาปแล้วตายไปสู่นรก)
อานนท์! บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลใดในโลกแห่งกาลปัจจุบันนี้เป็นผู้เว้นขาดจาก ปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน ...ฯลฯ...เป็นสัมมาทิฎฐิ,ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลาย แห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรกข้อนี้เป็นเพราะในกาลก่อนเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็น ผลไว้; หรือว่าในกาลภายหลังเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็นผลไว้; หรือว่าในเวลาจะตายเขาเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมิจฉาทิฎฐิ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่ง กาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก. ส่วนข้อที่เขาเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก อทินนาทาน ...ฯลฯ...เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกแห่งกาลปัจจุบันนี้ นั้น เขาย่อมเสวยซึ่งวิบากแห่งกรรมนั้น ในกาลอันเป็นทิฎฐธรรม (ทันควัน) บ้าง, หรือในกาลอันเป็นอุปะปัชชะ (เวลาถัดมา) บ้าง,หรือในกาล อันเป็นอปรปริยายะ (เวลาถัดมาอีก) บ้าง.

มหากัมมวิภังคสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๓๙๔/๖๐๘. ตรัสแก่พระอานนท์
------------------------------
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2009, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่จะไม่ตกนรกอีกมีแต่พระโสดาบันขึ้นไป คำว่าบริบูรณืนี่มีความหมายว่าเป็นโสดาบันใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะยังตกได้อีก พรุพุทธเจ้าเคยตัสถามพระว่า ฝุ่นที่เล็บเท้า กับฝุ่นทั้งปฐพี อันไหนมีปริมาณมากกว่ากัน สาวกตอบว่าฝุ่นทั้งปฐพี พระองคืจึงตรัสว่า เช่นเดียวกัน บุคคลเมื่อตายแล้วได้ไปสุคติภูมิ มีปริมาณเท่ากับฝุ่นที่เล็บเท้า ส่วนคนที่ไปอบาย มีเท่ากับฝุ่นทั้งปฐพี

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2009, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก็มันช่วยให้คนเป็นคนดีได้พระพุทธเจ้าก็สอนซิครับ คนมันมีหลายระดับ หลายประเภท
แต่ไม่ใช่เพราะสาเหตุแค่นี้แล้วจะบอกว่าถ้ามีแค่ศีล5แล้วรับประกันว่าไม่ตกนรก-wakeup


คุณ wakeup จะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉนครับ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

๓. สีลสูตร
[๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษของคนทุศีล เพราะศีลวิบัติ ๕ ประการ
นี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ผู้ทุศีล มีศีลวิบัติ ในธรรมวินัยนี้ ย่อมถึงความ
เสื่อมโภคทรัพย์อย่างมากอันมีความประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นโทษข้อที่ ๑ ของคน
ทุศีล เพราะศีลวิบัติ อีกประการหนึ่ง กิติศัพท์ที่ชั่วของผู้ทุศีล มีศีลวิบัติย่อมฟุ้ง
ไป นี้เป็นโทษข้อที่ ๒ ของคนทุศีล เพราะศีลวิบัติ อีกประการหนึ่ง ผู้ทุศีล
มีศีลวิบัติ จะเข้าสู่บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท
สมณบริษัทย่อมไม่องอาจ เก้อเขินเข้าไปนี้เป็นโทษข้อที่ ๓ ของคนทุศีล เพราะศีล
วิบัติอีกประการหนึ่งคนทุศีล มีศีลวิบัติ ย่อมเป็นผู้หลงกระทำกาละ นี้เป็นโทษข้อ
ที่ ๔ ของคนทุศีล เพราะศีลวิบัติ อีกประการหนึ่ง คนทุศีล มีศีลวิบัติ เมื่อ
ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก นี้เป็นโทษ ข้อที่ ๕ ของคนทุศีล
เพราะศีลวิบัติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษของคนทุศีล เพราะศีลวิบัติ ๕ ประการ
นี้แล ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ในธรรมวินัยนี้
ย่อมถึงกองโภคทรัพย์มากมาย อันมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นอานิสงส์ข้อ
ที่ ๑ ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล อีกประการหนึ่ง กิติศัพท์อัน
งามของคนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมฟุ้งไป นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒ ของคน
มีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล อีกประการหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล
จะเข้าสู่บริษัทใดๆ คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท สมณบริษัท
ย่อมองอาจ ไม่เก้อเขินเข้าไป นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓ ของคนมีศีล เพราะความ
ถึงพร้อมด้วยศีล อีกประการหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นผู้ไม่หลง
กระทำกาละ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔ ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล
อีกประการหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ ของคนมีศีล
เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕ ประการนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๓


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=5901&Z=5927&pagebreak=0

หรือคุณ wakeup รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้าครับ?
ตามคำถาม เขาก็บอกไว้ตรงๆว่่า"ผู้มีศีล ๕ บริบูรณ์"..

อ้างคำพูด:
มาแล้วครับ คำพระพุทธเจ้า ชัดเจนมาก--BlackHospital


เห็นชัดอีกครับว่าทรงตรัสรับรองเหตุที่พาไปนรกไม่ได้มาจากการเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ แต่มาจากอะไรมาดูกันตาม excerpt ต่อไปนี้ครับ

(ตรัสอธิบายเกี่ยวกับพวกที่เว้นจากบาปแล้วตายไปสู่นรก)
อานนท์! บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลใดในโลกแห่งกาลปัจจุบันนี้เป็นผู้เว้นขาดจาก ปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน ...ฯลฯ...เป็นสัมมาทิฎฐิ,ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลาย แห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรกข้อนี้เป็นเพราะในกาลก่อนเขาได้กระทำบาปกรรม อันมีทุกข์เป็น ผลไว้; หรือว่าในกาลภายหลังเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็นผลไว้; หรือว่าในเวลาจะตายเขาเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมิจฉาทิฎฐิ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่ง กาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก. ส่วนข้อที่เขาเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต เว้นขาดจาก อทินนาทาน ...ฯลฯ...เป็นสัมมาทิฎฐิในโลกแห่งกาลปัจจุบันนี้ นั้น เขาย่อมเสวยซึ่งวิบากแห่งกรรมนั้น ในกาลอันเป็นทิฎฐธรรม (ทันควัน) บ้าง, หรือในกาลอันเป็นอุปะปัชชะ (เวลาถัดมา) บ้าง,หรือในกาล อันเป็นอปรปริยายะ (เวลาถัดมาอีก) บ้าง.


ยกเฉพาะข้อความที่สำคัญ...

เพราะในกาลก่อนเขาได้กระทำบาปกรรม อันมีทุกข์เป็น ผลไว้; หรือว่าในกาลภายหลังเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็นผลไว้; หรือว่าในเวลาจะตายเขาเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมิจฉาทิฎฐิ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่ง กาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก.

ไม่เห็นมีตรงใหนชี้เลยว่าตกนรกเพราะมีศีล..?!?? หรือตาผมเบลอ
มองไม่เห็น แต่ใส่แว่นแล้วนะครับ

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 09:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ยกเฉพาะข้อความที่สำคัญ...

เพราะในกาลก่อนเขาได้กระทำบาปกรรม อันมีทุกข์เป็น ผลไว้; หรือว่าในกาลภายหลังเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็นผลไว้; หรือว่าในเวลาจะตายเขาเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมิจฉาทิฎฐิ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่ง กาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก.

ไม่เห็นมีตรงใหนชี้เลยว่าตกนรกเพราะมีศีล..?!?? หรือตาผมเบลอ
มองไม่เห็น แต่ใส่แว่นแล้วนะครับ
[/quote]

ขออนุโมทนาสาธุ..ด้วยครับ

ที่ยกมานี้ชี้ได้ชัดเจนเลยครับ..สาธุ..สาธุ

เพราะในกาลก่อนเขาได้กระทำบาปกรรม อันมีทุกข์เป็น ผลไว้;
แบบว่า...อดีต..ทำบาป.ทำกรรม..เอาไว้...แต่ปัจจุบัน..ศีล 5 ครบ ตอนตาย กรรมในอดีตให้ผล เลยไปทุคติ..แล้ว บุญของศีลในชาติปัจจุบัน ทำไม่ไม่ให้ผล ละ ..อย่างนี้เข้าใจยาก..ตัวนี้แหละที่ผมกำลังสงสัยอยู่?

ในกาลภายหลังเขาได้กระทำบาปกรรมอันมีทุกข์เป็นผลไว้;

แบบว่า..ปัจจุบัน..ทำบาปทำกรรม..ตอนตาย กรรมปัจจุบันให้ผล..อย่านี้เข้าใจง่าย

หรือว่าเวลาจะตายเขาเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมิจฉาทิฎฐิ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น ภายหลังแต่การตายเพราะการทำลายแห่ง กาย ย่อมเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก

หลังตาย...ไปนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรฉาณ..แล้วคนที่มีศีล 5 ครบ มีโอกาสมีมิจฉาทิฏฐิได้ไหม?

จะเห็นว่า..กรรมและผลของกรรม คงมีรายละเอียดมาก บางครั้งบางเรื่องก็เป็นเรื่องอจินไตยของเราเหล่าปุถุชน สิ่งใดเกินกำลังสติปัญญาของเรา ก็ให้เชื่อองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยดีกว่า..เป็นทางลัด ทางสั้น ดี
..หมั่นทำดี..มีทาน มีศีล มีสติ มีภาวนา..ตั้งมั่นว่าไม่เอาแล้วการเกิด..ตรงตามพระองค์ไป..ไม่แวะดูนั้นดูนี้

แต่ถ้ายังอยากรู้ให้หมด..ก็อธิฐานเป็นพระพุทธเจ้า ซี..จะได้เดินทางอีก..ยาววววว...

ขอทุกท่านเจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ค. 2009, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่มา: ประหารความหลงตรงสู่นิพพาน

ศีล มีไว้เพื่อให้เกิดการสำรวมระวัง และให้มีสติให้เกิดในระบบระเบียบ

เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ให้สำรวมระวังในกาย วาจา ใจ แต่ละข้อ

ล้วนมีจุดมุ่งหมายซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติเอาไว้เนื่องจากมีเหตุ

ดังนั้น ขอให้เข้าใจว่า ศีลไม่ใช่กฎ ที่จะต้องบทำนับให้ได้ครบถ้วนทั้งหมดก่อน

แล้วทางนิพพานจึงจะเปิดให้ผ่านได้ แต่ให้ศีลเป้นสิ่งที่ช่วยขัดเกลา

เพื่อให้เกิดการสำรวมกาย วาจา ใจ ของตน นี่คือ จุดมุ่งหมายของศีล

เหมือนกับกฎระเบียบเวลาเข้าไปอยู่ในโรงเรียน คนเยอะมันก็หลายจิตหลายใจ

เด็ก นร. จึงมีกฎให้ปฏิบัติก็เพื่อ ให้มีระเบียบและสงบเรียบร้อยเพื่อจะได้เรียนกัน

จบไปเป็นรุ่นๆ อย่างไม่มีปัญหา ถ้า นร. ปฎิบัติตัวดีแล้ว ผลที่ได้ก้เกิดขึ้นที่ตัวเด็กอยู่ดีใช่มั้ย

ถ้า สำรวม กาย วาจาใจ ให้ดีบำเพ็ญเพียรเพื่อเผากิเลสและทำลายความยึดมั่นถือมั่น

การกระทำต่างๆ ที่มันผิดต่อศีลก็จะไม่บังเกิดขึ้น

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2006, 09:43
โพสต์: 180

ที่อยู่: กทม

 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:
...คุณ wakeup จะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉนครับ[/color]...๓. สีลสูตร
[๒๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษของคนทุศีล เพราะศีลวิบัติ ๕ ประการ
นี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ...
หรือคุณ wakeup รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้าครับ?

ขอบคุณคุณdd ครับที่พยายามศึกษาค้นคว้าพระสูตรในพระไตรปิฏกเพื่อมาหาข้อสรุป เป็นตัวอย่างที่ดีมากของพุทธศาสนิกชน อย่างเราๆท่านๆ อยากให้หลายๆท่านทำแบบนี้ เพราะพระธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ไม่ได้แต่งตั้งใครเลย ทั้งๆที่สมัยนั้นเข้าใจว่าพระผู้ทรงอภิญญา มีความรู้ความสามารถมีมากกว่าสมัยนี้มากนัก ก็ขอชมเชิยคุณddก่อนนะ แล้วก็มาคุยบางจุดต่อ...
คุณdd คุณก็พูดเกินเลยไปว่าผมรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ทั้งพูดเกินเลย ทั้งพูดยัดเยียดกล่าวหาผม ด้วยข้อหาที่รุนแรง ไม่เห็นต้องพูดแรงอะไรขนาดนั้นเลย ผมก็พูดด้วยการอ้างเหตุผลต่างๆ รวมทั้งอ้างถึงพระสูตร ก็เห็นๆอยู่ ไม่น่าอย่างยิ่งที่มาพูดว่าผมอย่างนี้
แล้วก็ประเด็นสำคัญต่อไปที่เกี่ยวกับกระทู้นี้คือ...
ที่คุณยกพระสูตรนี้มา ผมว่าคุณเข้าใจผิด ตีความผิดตามคำกล่าวในพระสูตร พระพุทธเจ้ากำลังพูดถึงศีลของพระภิกษุ ซึ่งก็คือศีล227ข้อ(ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ณ เวลานั้นที่พุทธสอนเรื่องนี้มีถึง227ข้อหรือยังนะ) เพราะพุทธกำลังสอนพระภิกษุ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ..." ก็เป็นการสอนภิกษุทั่วๆไป ผมอ่านแล้วไม่ได้ไปอ้างถึงศีล5 ของฆราวาสเลย พุทธสอนอยู่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ทั่วๆไป
คุณไปอ่านวรรคตอนผิด จากที่ผมเห็นที่คุณ dd ทำตัวหนา
=====================================
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ...
======================================
มันต้องเป็นอย่างข้างล่างนี้ครับ
=====================================
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕
ประการนี้
๕ ประการเป็นไฉน คือ...
======================================
หรือก็ลองกลับไปอ่านพระสูตรนี้อีกที คงช่วยให้เข้าใจได้ถูกต้องขึ้น
คือถ้าเป็นศีล227ข้อก็คงเป็นอย่างที่คุณยกมา
แต่นี่เรากำลังพูดถึงศีล5 ของฆราวาสอยู่ครับ
ต้องละเอียดขึ้นนะครับ

.....................................................
โคตมะพุทธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้รู้แจ้งโลก อัจฉริยมนุษย์ ยอดครูของครูทั้งหลาย
ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ผู้ก่อตั้ง ผู้ค้นพบ คำสอนถูกบรรจุอยู่ในพระไตรปิฏก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ย. 2006, 09:43
โพสต์: 180

ที่อยู่: กทม

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาต่อๆไปถึงคำว่า "อานิสงส์"
============================================
คำว่า อานิสงส์ มาจากภาษาบาลี อานิสํส แปลว่า คำพูดสรรเสริญความดีที่ได้กระทำ คุณที่ไหลออกมาเป็นนิตย์ หมายถึง ผลแห่งบุญกุศล ผลของความดี ประโยชน์หรือสิ่งดีๆ ที่จะได้จากการกระทำดี
ในทางพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนสามารถทำความดีได้หลายแบบ อานิสงส์จึงมีแตกต่างกันไป เช่น อานิสงส์การให้ทาน อานิสงส์การฟังธรรม อานิสงส์ถวายอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ อานิสงส์ถวายปัจจัยสี่ อานิสงส์ของศีล อานิสงส์ของเมตตา อานิสงส์การเดินจงกรม อานิสงส์กฐิน เป็นต้น
จาก http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=1051&stissueid=2459&stcolcatid=2&stauthorid=19
============================================
ผมก็เข้าใจว่าถ้าคุณทำดีประเภท.....มันก็จะช่วยสนับสนุนคุณให้ได้......(อะไรก็ว่าไปตามชนิดของความดีนั้นๆ) แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะตกนรกไม่ได้นะ ขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นไปแต่เมื่อถึงเวลาตกนรกก็ต้องตกนรก(ตามกรรมที่ทำ) ไม่ใช่ว่าคนขึ้นสวรรค์แล้วจะตกนรกไม่ได้
และจากพระสูตรที่คุณ-dd-ยกมาPost ที่ว่า
-dd- เขียน:
...อานิสงส์ของคนมีศีล เพราะความถึงพร้อมด้วยศีล ๕ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ คนมีศีล ถึงพร้อมด้วยศีล ในธรรมวินัยนี้
ย่อมถึงกองโภคทรัพย์มากมาย อันมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑ ของคนมีศีล .....
เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕ ของคนมีศีล ...จบสูตรที่ ๓
ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจะตกนรกไม่ได้
และถ้าพุทธยังอยู่ก็คงต้องมีมากกว่า227ข้อเป็นแน่แท้เชียว อาจจะเป็นพันๆหล่ะมั๊ง :b11:

.....................................................
โคตมะพุทธ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้รู้แจ้งโลก อัจฉริยมนุษย์ ยอดครูของครูทั้งหลาย
ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ผู้ก่อตั้ง ผู้ค้นพบ คำสอนถูกบรรจุอยู่ในพระไตรปิฏก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2009, 02:22
โพสต์: 83

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอสรุปเลยนะครับว่า การไปนรกหรือสวรรค์นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่างการมีศีล 5 เป็นเครื่องคุ้มครอง การสร้างบุญกุศลย่อมเป็นเสบียงที่ดี เหล่านี้ย่อมไม่ตกอบายแน่นอนแต่ยังมีอีกอย่างที่ เรามักลืมกันคือสติที่ระลึกก่อนตาย จิตที่ยึดเหนี่ยวเป็นอารมก่อนตาย ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานจะเข้าใจได้ดีกว่ารู้เท่าทันอารมดีกว่าผู้ไม่เคยกรรมฐานเลย ขอเปรียบง่าย ๆ นะครับ เปรียบเหมือนคอกวัวมีวัวสีขาวกับวัวสีดำ 2 ตัว ขอถามว่า เมื่อเปิดคอกวัวตัวไหนจะออกได้ก่อน คำตอบก็คือ วัวตัวที่อยู่ไกล้ประตู ตัวไหนอยู่ไกล้ก็จะออกก่อน วัวขาวเปรียบกับจิตที่ดีด้านสว่าง วัวดำเปรียบเหมือนจิตด้านมืด ที่ถามเช่นนี้เพราะเมื่อเรามีร่างกายจิตนี้ย่อมยึดเหนี่ยวร่างกาย แต่เมื่อไม่มีร่างกายจิตปถุชนไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวก็จะยึดอารมเป็นหลัก เพราะงั้นอารมสุดท้ายก่อนตายสำคัญมาก แต่ผู้ที่เคยกรรมฐานมามากแล้วย่อมรู้เท่าทันอารมทุกสติหรือหากได้ ณาน แล้วย่อมมีสติทุกเมื่อตามกำลัง ณาน ของตน สำหรับปุถุชนทั่วไปเราเกิดมาในโลกล้วนมี โชคลาภ วาสนา ที่ต่างกัน วาสนาที่เราอยากได้ส่วนมากคือ เงินทอง วาสนา ลาภยศ ความรัก อายุ และอีกมากมาย แต่ที่เราลืมนึกกันอีกอย่างคือ การตายอย่างสงบ นี่ก็ถือเป็นวาสนา อีกอย่างนึงที่เราอยากได้แต่ลืมนึกถึงกัน การจากไปอย่างสงบโดยที่จิตไม่ทุรณทุราย ไม่เป็นทุก ไม่ทรมาน นี่เป็นวาสนาอีกอย่างในชีวิตเหมือนกันนะครับ :b4: :b4: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณทุกๆท่านคับ :b8:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 36 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร