วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 มี.ค. 2009, 01:15
โพสต์: 43

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายใหมคะ ดิฉันเองไม่เคยไปค่ะ แต่เคยดูทางเคเบิ้ล เกี่ยวกับการทำบุญกับทางวัด เช่นการสร้างเจดีย์ การบริจาคทานต่างๆ ว่าจะได้ผลตอบแทนในชาติหน้า ตามแต่บุญ(จำนวนเงิน) ที่ทำ http://www.liveinbangkok.com/forum/inde ... pic=5179.0
ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้นจริง หรือเป็นความงมงายคะ

.....................................................
"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
Small minds discuss people."

จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ผู้ที่ศึกษาธรรมะจริง ๆ จะเข้าใจตรงนี้ได้ด้วย
ปัญญาของตัวเองค่ะ บุญคือความสุข เมื่อใดใจมีความสุข
เมื่อนั้นมีบุญ การทำสิ่งใด ๆ ก็ตาม เป็นไปเพื่อเป็น
การมีตัวตนทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเรายังไม่ถึงการละการมีีตัวตน
การทำบุญก็ดีกว่าการทำบาป และต้องศึกษาเรื่อง
การทำบุญ ให้เข้าใจว่า ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญด้วยค่ะ
(เท่าที่เข้าไปดู บอกได้คำเดียวว่าน่าเป็นห่วงค่ะ) :b21:

:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ :b8: :b27:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุครับ :b8:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

การให้ทานที่ไม่หวังผลตอบแทน
ผมว่าการให้แบบนั้นมีความสุขมากกว่า
มากกว่าการให้แล้วหวังผลตอบแทน
ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า จริงไหมครับ

"จิตที่คิดจะให้ มีความสุขกว่าจิตที่คิดจะรับ"


:b8: :b8: :b8:

"จงคิดก่อนทำ"

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


ying_aya เขียน:
เกี่ยวกับการทำบุญกับทางวัด เช่นการสร้างเจดีย์ การบริจาคทานต่างๆ ว่าจะได้ผลตอบแทนในชาติหน้า ตามแต่บุญ(จำนวนเงิน) ที่ทำ
ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้นจริง หรือเป็นความงมงายคะ


มันต้องดูที่เจตนาครับคุณ
คนโดยมากทำบุญหวังกิเลส เช่น ทำบุญแล้วหวังจะได้บ้านโตๆ ทำแล้วหวังจะได้รถหรูๆสักคัน
ทำแล้วหวังได้ในสิ่งที่ตอบสนอง"ตัณหา"ของตัวเอง แบบนั้นเขาเรียกว่า ทำบุญหวังกิเลส

แตกต่างจากผู้ทำบุญด้วยจิตที่โน้มน้าว ไปในทางละกิเลส
และสละความยึดถือ เหมือนที่ได้สละทรัพย์ที่ให้ทานไปแล้วนั้น
ได้บุญมากกว่าเป็นไฉนครับ

ดังพุทธภาษิตท่านว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้ทานเพราะเหตุแห่งสุข อันก่อให้เกิดอุปธิ เพื่อภพต่อไป
แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมให้ทาน เพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไป โดยส่วนเดียว
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญฌานเพราะเหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ เพื่อภพต่อไป
แต่บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมเจริญฌานเพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไป โดยส่วนเดียว.

บัณฑิตเหล่านั้นมุ่งนิพพาน มีจิตเอนไปในนิพพาน น้อมจิตไปในนิพพาน ย่อมให้ทาน
บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีนิพพานเป็นเบื้องหน้า เหมือนแม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล ฉะนั้น.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นรชนพึงปราบความหลับ ความเกียจคร้าน ความย่อท้อ ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท
ไม่พึงตั้งอยู่ในความดูหมิ่น พึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


แก้ไขล่าสุดโดย ariyachon เมื่อ 15 เม.ย. 2009, 11:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อาหารเป็นเหตุ... :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2004, 09:18
โพสต์: 280


 ข้อมูลส่วนตัว


แนะนำให้อ่านกระทู้นี้ครับ

จากหนังสือ "กรณีธรรมกาย" โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 05357.html

.....................................................
ผมเลือก อานาปานสติครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีใครเคยไปปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายใหมคะ ดิฉันเองไม่เคยไปค่ะ แต่เคยดูทางเคเบิ้ล เกี่ยวกับการทำบุญกับทางวัด เช่นการสร้างเจดีย์ การบริจาคทานต่างๆ ว่าจะได้ผลตอบแทนในชาติหน้า ตามแต่บุญ(จำนวนเงิน) ที่ทำ http://www.liveinbangkok.com/forum/inde ... pic=5179.0
ไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้นจริง หรือเป็นความงมงายคะ


เป็นคำสอนที่ผิดครับ การทำบุญมี๑๐อย่างเรียกว่า
บุญยกิริยาวัตถุ ๑๐ มีเพียงข้อเดียวที่ต้องใช้ทรัพย์ในการทำบุญ ที่เหลือทั้งหมด แม้ไม่มีเงินเลยก็ทำบุญได้
ดูรายละเอียดข้างล่าง

ขอแนะนำ ให้คุณเจริญบุญข้อ๑๐ ก่อนเพื่อความมีปัญญา แล้วจะสามารถเจริญกุศลข้ออื่นๆได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และไม่ถูกใครๆหลอกลวงได้ง่ายๆ


สรุปบุญกิริยาวัตถุ ๑0

๑. ทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการสร้างทานนั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการทำทานนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะทำทานนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังทำทานนั้น
๓. เจตนาขณะที่ทำทานนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ทำทานนั้นเสร็จไปแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. องค์ทานที่จะทำนั้นต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์
๕. องค์ทานนั้นต้องมีประโยชน์กับปฏิคาหกหรือผู้รับ
๖. ปฏิคาหกหรือผู้รับต้องเป็นบุคคลที่สมควร ( มีคุณธรรมสูงสุด คืออริยบุคคล ต่ำสุด คือผู้มีนิจศีล)
ผลของ ทาน
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีกินมีใช้ด้วยวคามอุดมสมบูรณ์ตามฐานะ

๒ ศีลที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะรักษาศีลอันถูกต้อง
๒. มีเจตนา ๔ ในการรักษาศีลนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะรักษาศีล
๒. เจตนาขณะที่กำลังอยู่ในศีล
๓. เจตนาที่พ้นจากศีลใหม่ๆ
๔. เจตนาที่พ้นจากศีลนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ศีลแต่ละตัวจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง
๕. ประเภทของศีลอย่างหยาบๆมีดังนี้คือ
๑. นิจศีล หมายถึง ศีลที่ติดอยู่ตลอดไปโดยไม่ละทิ้ง และมีความถูกต้องครบถ้วน
๒. อุโบสถศีล หมายถึง ศีล ๒ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลทั้ง ๘ ตัว จะต้องมีครบถ้วนไม่บกพร่อง
๒. ภาวนา คือ ในขณะที่รักษาศีลอยู่นั้นจะต้องมีการภาวนาในอนุสสติ ๕ ให้เกิดขึ้น
ตลอดเวลาที่รักษาศีล คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ เทวตานุสสติ
๓. วิสุทธิศีล หมายถึง ศีล ๔ อันได้แก่
๑. ปาฏิโมกขสังวร คือ ศีลที่รักษามีกี่ตัวจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์
๒. อินทรีย์สังวร คือ การสำรวมทางทวาร ๖ อยู่ในความเป็นอุเบกขา
๓. อาชีวสังวร คือ การเลี้ยงชีวิตโดยชอบ ภิกษุได้แก่การบิณฑบาต ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะ
ต้องเป็นสัมมาอาชีวะ
๔. ปัจจยสังวร คือ การกินอาหารต้องพิจารณาว่ากินเพื่อดำรงชีวิตอยู่ การแต่งกายต้อง
พิจารณาว่าแต่งกายเพื่อป้องกันอุณหภูมิร้อนเย็น และป้องกันความอุจาดลามก ที่อยู่อาศัยจะต้อง
พิจารณาว่าเพื่อป้องกันแดดป้องกันฝน การกินยารักษาโรคต้องพิจารณาว่าเพื่อบำบัดทุกขเวทนา
ให้ลดน้อยถอยลง จะได้ทำคุณงามความดีให้เกิดขึ้นได้
ผลของ ศีล
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีคนเคารพนับถือมีความสุขสบาย

๓ ภาวนาที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะสร้างภาวนาให้เกิดขึ้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการภาวนานั้น คือ
๑. เจตนาก่อนภาวนา
๒. เจตนาขณะกำลังภาวนา
๓. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อภาวนาเสร็จไปนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ภาวนาอันถูกต้องในพระธรรมของพุทธศาสนา
๕. มีความรู้ความหมายของบทบริกรรมภาวนานั้นว่ามีความหมายประการใดแล้วโน้มจิตตามไป
ผลของ ภาวนา
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีจิตใจไม่วุ่นวาย
๒. การดำรงชีวิตมีสุข

๔. การเคารพบุคคลที่ควรเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในบุคคลผู้นั้น
๒. มีเจตนา ๔ ในการเคารพหรือการอ่อนน้อมถ่อมตน คือ
๑. เจตนาก่อนทำ
๒. เจตนาขณะกำลังทำ
๓. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาเมื่อทำเสร็จแล้วเป็นเวลานาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. บุคคลผู้นั้นมีคุณสมบัติอันดีทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้อง
๕. เคารพโดยการอนุโมทนาในคุณงามความดีในทางโลกหรือทางธรรมอันถูกต้องของผู้นั้น
ผลของ เคารพบุคคลที่ควรเคารพ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีคนเคารพนับถือยอมรับเป็นผู้นำของเขา

๕. ขวนขวายในกิจที่ชอบที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องในการที่จะขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. มีเจตนา ๔ ในการขวนขวายในกิจที่ชอบนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๒. เจตนาขณะทำการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๓. เจตนาที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนที่ขวนขวายในกิจที่ชอบเสร็จแล้วนาน
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. การกระทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมโดยไม่เดือดร้อนแก่ผู้ใด เช่น การทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ผลของ ขวนขวายในกิจที่ชอบ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. ดำรงชีวิตด้วยความปลอดโปร่ง
๒. มีคนช่วยเหลือและสนับสนุนในกิจการที่กระทำในชีวิต

๖. การแผ่กุศลผลบุญ ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่จะให้ความเอื้อเฟื้อความสุขความสบายแก่ผู้อื่น
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะแผ่กุศลผลบุญนั้น
๒. เจตนาขณะที่กำลังแผ่กุศลผลบุญนั้น
๓. เจตนาที่แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ได้แผ่กุศลผลบุญนั้นเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ตนได้สร้างกุศลอันถูกต้องให้เกิดขึ้นแล้ว อันได้แก่ กามาวจรกุศล รูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล โลกุตตรกุศล อันถูกต้องในพระพุทธศาสนา
๕. การแผ่กุศลเสร็จแล้ว ควรจะได้ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะผู้นั้นอาจเคยเป็น เจ้าเวรนายกรรมมาแต่ก่อนก็ได้
๖. ระบุผู้ที่ควรแก่การแผ่กุศลนั้นด้วยเจตนาอันมั่นคง และสมควรแก่ฐานะที่เราจะแผ่กุศลผลบุญให้แก่เขา หรือสมควรแก่ฐานะของผู้รับจะได้รับหรือไม่
ผลของ แผ่กุศลผลบุญ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีผู้ยกย่องสรรเสริญ
๒. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
๓. มีผู้เสียสละให้แก่ตน

๗. การอนุโมทนาบุญที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ผู้นั้นกระทำคุณงามความดีอันถูกต้องในทางโลกหรือทางธรรม
๒. มีเจตนา ๔ ในการอนุโมทนาคุณงามความดีของผู้นั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะอนุโมทนา
๒. เจตนาขณะที่กำลังอนุโมทนา
๓. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาขณะที่อนุโมทนาเสร็จเป็นเวลานานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. รู้ว่าผู้นั้นกระทำโดยถูกต้องทั้งในทางโลกหรือทางธรรมเพื่อเป็นการสืบต่อ ๓ สถาบัน คือ ประเทศชาติ พระพุทธศาสนา องค์พระมหากษัตริย์ โดยไม่หวังประโยชน์ใดๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
๕. อนุโมทนาคุณงามความดี หรือมีความยินดีต่อการกระทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมโดยไม่
เบียดเบียนหรือหวังผลแต่ประการใดๆ เลย
ผลของ การอนุโมทนาบุญ
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีผู้สรรเสริญ
๒. ดำเนินชีวิตโดยความถูกต้อง

๘. การฟังธรรม ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องที่ได้ฟังธรรมในพระพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการฟังธรรมนั้น คือ
๑. เจตนาก่อนที่จะฟัง
๒. เจตนาขณะที่กำลังฟังธรรม
๓. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ฟังธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. ตั้งใจฟังด้วยความเคารพในธรรมของพุทธศาสนาและพยายามจดจำไว้
๕. เมื่อฟังแล้วพิจารณากลั่นกรองด้วยเหตุด้วยผล และพิจารณาว่าธรรมนั้นสมควรแก่ฐานะ
ของตัวเราที่จะประพฤติปฏิบัติได้หรือไม่
๖. เมื่อมีข้อสงสัยก็สนทนาไต่ถามเพื่อทำความเข้าใจอันถูกต้อง
๗. ประพฤติปฏิบัติธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องตามควรแก่ฐานะ คือ การสืบต่อพระพุทธศาสนา
นั่นเอง
ผลของ การฟังธรรม
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ที่คนอื่นรู้ได้ยากแต่ตนรู้ได้โดยง่าย

๙. การให้ธรรมเป็นทาน ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องเพื่อดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา
๒. มีเจตนา ๔ ในการที่ให้ธรรมอันสมควร คือ
๑. เจตนาก่อนให้ธรรม
๒. เจตนากำลังให้ธรรม
๓. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จแล้วใหม่ๆ
๔. เจตนาที่ให้ธรรมเสร็จนานแล้ว
๓. มีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่งใน ๘ ดวงในเจตนา ๔
๔. เป็นธรรมในพระพุทธศาสนาอันถูกต้อง
๕. ธรรมที่ให้นั้นเป็นธรรมที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะนำไปประพฤติปฏิบัติ
๖. ชี้แจงให้ผู้ฟังมีความเข้าใจ สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้โดยถูกต้องตามฐานะ
ผลของ การให้ธรรมเป็นทาน
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )
ปวัตติกาล
๑. มีปัญญาเฉลียวฉลาด
๒. เข้าถึงธรรมอันถูกต้องได้โดยง่าย
๓. มีกินมีใช้อันสมควรแก่ฐานะ
๔. มีผู้เคารพนับถือ
๕. ดำเนินชีวิตไปด้วยความถูกต้อง

๑0. ทิฏฐุชุกรรม ( การทำความเห็นให้ถูก ) ที่จะให้ผลเกิดย่อมประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ
๑. มีศรัทธาอันถูกต้องโดยเชื่อพระธรรมในพุทธศาสนาแต่ละเรื่องและขั้นตอนในการที่กระทำ
สิ่งนั้นๆ ให้ถูกต้อง
๒. จะต้องมีการค้นคว้าในพระธรรมคำสอนอันถูกต้อง
๓. จะต้องมีการประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมและผลเกิดขึ้นแล้วจึงจะสามารถรู้ได้ว่าอย่าง
ใดผิดอย่างใดถูก
๔. ต้องใช้สติและปัญญาประกอบด้วยเหตุและผลแต่ละขั้นละตอน
๕. ในเรื่องแต่ละเรื่องจะต้องพิจารณาด้วยเหตุและผลด้วยจิตเป็นอุเบกขา ทั้งในเรื่องดีและ
เรื่องชั่ว
๖. สิ่งที่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอนนั่นก็คือ " ละความชั่ว ทำแต่ความดี "
๗. เมื่อการทำความเห็นให้ถูกต้องแล้ว จะกระทำในสิ่งอันถูกต้องนั้นจะต้อง ประกอบด้วยเจตนา
๔ อันมีจิตเป็นมหากุศลดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๘ ดวง
ผลของ ทิฏฐุชุกรรม
ปฏิสนธิกาล คือ กามสุคติภูมิ อันได้แก่ ความเป็นมนุษย์ และเทวดา ๕ ชั้น ( เว้นเทวดาชั้นดุสิต )

ปวัตติกาล
๑. มีสติปัญญาอันว่องไว
๒. มีความคิดความเห็นอันถูกต้องทั้งในทางโลกและทางธรรม

http://www.geocities.com/southbeach/terrace/4587/10good.htm

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


แฮ่วเลยครับ การทำบุญทำได้หลายอย่างครับ ขอแค่ตัวเองสบายใจ ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน หรืออาจจะทำให้ตัวเองหรือคนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้นมีความสะดวกขึ้นก็คือการทำความดีครับ ไม่มีการแบ่งประเภทหรอกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2009, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: k จขกท. ขึ้นชื่อว่าบุญทำได้หลายแบบ หลายประเภท เยอะแยะไปหมด ชื่อว่าทำไปแล้วสบาย ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน.... พูดถึงในเรื่องการทำทาน ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ธรรมทานจัดว่าเป็นทานชั้นเลิศที่แทบจะนับได้ว่าได้มหาอานิสงส์อันสูงสุด แต่สูงกว่าธรรมทานนั้นยังมีอภัยทาน ซึ่งหากใครมีแล้วย่อมทำให้บารมี และคุณธรรมอื่นๆบริบูรณ์ไปด้วยเป็นอานิสงส์อันมหาศาล

บุญกิริยาวัตถุ ๑0 ซึ่ง K dd กล่าวไว้และเน้นอย่างละเอียดทุกๆครั้งเพื่อให้ผู้อ่านๆเป็นแนวทางให้ศึกษาและปฏิบัตินั้น(รู้สึกครั้งนี้จะโพสท์ไว้ละเอียดจริงๆ) จะย่อให้ง่ายเข้าก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเองหรือจะเรียกให้ดีว่า ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย ก็ได้ :b48:

ทานที่เราทำนอกจากมีทานธรรมดา ก็ยังมีทานที่เป็นมหากุศล เช่นบริจาคเงินในการสร้างรพ. บริจาคทานเพื่อรพ.พระสงฆ์อาพาธ ทำบุญโลงศพให้กับศพที่ยากไร้ สร้างถนนหนทางเข้าหมู่บ้าน ขุดบ่อหรือสระประจำหมู่บ้าน สร้างโรงเรียน ทำบุญสร้างศาลาการเปรียญ สร้างเจดีย์ โบสถ์ ศาลา หรือเพื่อทำนุบำรุงศาสนสถาน ล้วนจัดเป็นทานที่ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อสาธารณะให้คนส่วนมากได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ย่อมได้รับผลแห่งอานิสงส์มากกว่าทานทั่วไปหลายเท่า :b39:

จุดมุ่งหมายของการทำบุญ จริงๆก็เพื่อเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม เพื่อให้ได้มีกินมีใช้ร่วมกัน เสียสละความไม่ดีออกจากจิตใจ เพราะผู้ทำบุญย่อมถือว่าเป็นผู้ให้ให้สิ่งที่ดีและเหมาะสมแก่พระ คน และสัตว์ รวมไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นเช่นวิญญาณ และขณะเดียวกัน การทำบุญก็เป็นก็ทำให้เราผุ้ให้สบายใจ เกิดบุญเมื่อได้ทำไปแล้ว และลดความตระหนี่ความโลภในทรัพย์สมบัติที่เรามีอยู่

" ชาวพุทธย่อมไม่แบ่งแยกเสื้อเหลือง-เสื้อแดง เสื้อเหลืองเสื้อแดงเป็นเพียงหมากหรือเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานที่กลุ่มผู้มีอำนาจ เลือกใช้สอยเพียงเพื่อเรียกร้องประโยชน์และอำนาจเดิมกลับคืนมา สีเสื้อเหล่านี้ก็คือพี่น้องชาวไทยที่เกิดมาบนแผ่นดินไทยด้วยกัน แต่หากเลือกข้างหรือถูกชักจูงด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ทำให้ต้องสู้รบกันเอง หรือถูกจ้างเพื่อมาต่อสู้เพียงเผื่อผลรางวัลอันแสนไม่คุ้มค่าเลยกับสิ่งได้ทำลงไป

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญที่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินครับ ให้เงินมาก แต่ได้บุญน้อยกว่า ให้เงินน้อยก้มี ขึ้นอยู่กับความตระหนี่ที่ถูกชำระออกจากใจได้มากกว่ากัน และทาน ก้เป็นส่วนหนึ่ง ของการทำบุญ การแผ่เมตตาชั่วพริอบตาเดียว ยังได้บุญ มากกว่า การให้ทาน 100 หม้อ ใน3เวลา

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2009, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


***จิตอนุโมทนา เป็นสุขเช่นเดียวกับผู้ให้***

เมื่อเห็นผู้อื่นทำความดี พึงบังเกิดใจยินดีและศรัทธา จงอย่าได้บังเกิดจิตริษยา
เพราะการบังเกิดใจยินดี(มุทิตาจิต) นั้นก็คือกุศลปัจจัยอันนำมาซึ่งวาสนา แต่การบังเกิดใจริษยาคือการสร้างกรรม
เมื่อเราเห็นผู้อื่นสร้างกุศล ยิ่งจะต้องเข้าช่วยเหลือตามกำลัง ตามฐานะของตน แล้วกล่าวชมเชยยกย่อง การกระทำที่ดีงามของเขาและข้อดีด้วยความจริงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน พึงเรียนรู้พุทธวิธีเช่นนี้ เพราะคนจนขัดสนเงินทองที่จะนำมาบริจาค
ดังนั้นเมื่อเห็นผู้อื่นบริจาคก็ควรบังเกิดใจยินดี(อนุโมทนา)ดังที่ว่า มีเงินก็ออกเงิน ไม่มีเงินก็ออกแรง นอกเสียจากไม่มีกำลังเรี่ยวแรงที่จะช่วยได้ ขอเพียงบังเกิดใจยินดีและอนุโมทนา เท่านี้ก็สามารถเพิ่มพูนวาสนาบารมีได้เหลือคณานับ.

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2009, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำบุญมีด้วยกันหลายรูปแบบ (บุญกริยาวัตถุ 10) ควรถึงพร้อมด้วยสติปัญญา และ
1.มีจิตใจเลื่อมใสศรัทธาก่อนและขณะบำเพ็ญทาน
2.หลังทำทานแล้วเราไม่มีจิตคิดเสียดาย
3.วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ เราไม่ได้มาด้วยการเบียดเบียนใครเขา เช่น ไปลักขโมย
4.ไม่ทำให้ตนเองหรือครอบครัวต้องได้รับความเดือดร้อน กล่าวคือไม่หลงงมงายในบุญ :b52:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2009, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


วัดนี้แปลกขึ้นทุกวัน มีแหวนนางฟ้า แบบต่างๆ เคยได้ยินมา ทำบุญด้วยมาม่า ก็จะได้แหวนมาม่า มีแล้วรับประกันว่าจะไม่ตกสวรรค์

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2009, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
วัดนี้แปลกขึ้นทุกวัน มีแหวนนางฟ้า แบบต่างๆ เคยได้ยินมา ทำบุญด้วยมาม่า ก็จะได้แหวนมาม่า มีแล้วรับประกันว่าจะไม่ตกสวรรค์

เห็นด้วยกับคุณมาก


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 110 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron