วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามหัวข้อครับ ว่าใครอยากทราบว่า ตนเองบรรลุธรรมหรือไม่
ทัสนะตนเอง ดีพอหรือไม่ เข้าใจถูกหรือไม่ เชิญถามได้ครับ

อย่าเอาความรู้สึกไปแปลหัวข้อกระทู้ แต่ให้รู้สึกตรงๆ เช่นว่า ก็เขาให้ถามก็ถาม
อย่าไปรู้สึกว่า นี่คนตั้งกระทู้ อวดอ้างโดยนัย หรืออย่างไร แบบนี้เรียกว่า ปรุงแต่ง
ถ้าไม่ปรุงแต่งมาก ก็เขาให้ถามก็ถาม ก็เท่านั้นครับ

ผมเชื่อว่า มีประโยชน์มาก เพราะว่าคนหลายๆ คนคิดว่าตนเองบรรลุบ้าง สงสัยบ้างว่า นี่เราพบเจอแบบนั้นแบบนี้ เรียกว่า บรรลุธรรมหรือยัง รวมถึง สงสัยว่าอะไรเป็นตัวชี้วัด ยังแยกสังโยชน์ไม่ออก เชิญถามได้ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตอบคำถามและให้พิสูจน์

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


.."มันเป็นเรื่องอจินไตยจริงๆ???-เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน"

ขอจำมาตอบแล้วกันนะ

ตอบ-เมื่อจิตตรัสรู้-จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นในจิต เหมือนฟ้าแลบ หรือฟ้าผ่า แล้วตามแสงนั้นไป ก่อนจะรู้ใดๆก็ตาม ต้องมีคำถามให้จิต เขาเรียก "เหตุปัจจัยในการตรัสรู้" อย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการรู้ว่า เมื่อมนุษย์เกิดมาในโลกแล้ว ทำไมต้องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ? แล้วเหตุที่ไม่ต้องเกิด-ไม่ต้องแก่-ไม่ต้องเจ็บ-และไม่ต้องตาย มีไหม?.....

พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญศึกษาด้วยพระองค์เองอยู่ถึง 6 ปี จึงตรัสรู้แก่ใจว่า" อันทุกข์-เหตุทำให้ทุกข์เกิด-การดับทุกข์-และหนทางปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ ล้วนเกิดจากตา-หู-จมูก-ปาก-กาย-และใจ(อายตนะ6)นั่นแหละ-เป็นปฐมเหตุของทุกข์ -เป็นเหตุ เป็นปัจจัยในการเกิดทุกข์-ดับทุกข์-และปฏิบัติเพื่อการออกจากทุกข์ โดยการเจริญจิต(สติ)ให้เต็มรอบในการเกิดของจิต-เปลี่ยนแปลง-และดับไปของ"ตัวรู้" ตั้งแต่เกิดตัวรู้-เปลี่ยนแปลง-จนกระทั่งตัวรู้ดับไปในจิต.......

ดูจิตปรุงแต่ง-โดยไม่ปรุงแต่งจิต ใช้"ตัวรู้"ดูตัวรู้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จนออกจากความปรุงแต่งของจิตอย่าถาวร.....ก็จะรู้จัก"จิต"ว่า.......

"แท้จริง จิต-คือ ตัวรู้ที่ว่างเปล่า แต่อาศัยกาย(โลก) และใจ(ธรรม) เพื่อสร้างเหตุปัจจัย ในการครองตนอยู่ในโลกที่ไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-และไม่ใช่ของๆเรา......

สิ่งเหล่านี้ เมื่อจิตรู้เหตุปัจจัยในการก่อภพชาติแล้ว ก็ดับเหตุแห่งการก่อภพชาติ สังสารวัฏ-เป็นอันขาดเหตุ(ใจ)-ขาดปัจจัย(กายหรือรูป)......

ตัดรูป หรือ อัตตา-ตัวตน ใจ ที่ขาดการสืบต่อแห่งภพชาติ จิต-จึงเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัด การหลุดพ้น-ก็เกิดแก่จิต จิตทุกดวง-จะถึง"ตัวรู้"อันบริสุทธิ์ แล้วให้"พระธรรม"(ตรัส)ออกจากจิต ใช้"พุทธะ"ที่มีอยู่ในจิตของผู้ปฏิบัตินั่นแหละ-สอนตนเอง-โปรดตนเองก่อน -ให้ถึง"ตัวรู้"ในจิตของตนเองก่อน ค่อยไปสอนคนอื่นต่อไป........

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 14:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาธรรม มาตั้งนาน หลายปีแล้ว
ปฏิบัติธรรม มาตั้งนาน หลายปีแล้ว

แต่รู้สึกว่า ตัวเองไม่ค่อยรู้อะไรเลย
กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังมากอยู่


:b10: เอ๊ ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ ท่านขันธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เพราะว่า ที่ไปรู้นั้นเป็นแค่สัญญา
แต่ใจที่จะเป็นธรรมนั้นง่ายนิดเดียว คือ ทำความดี ละกิเลส และทำจิตให้ผ่องใสบ่อยๆ สิครับ

ก็เพราะว่าขาดการกระทำ ผลทางปฏิเวธธรรมเลยไม่ก้าวหน้า

อะไรที่เป็นอกุศล เช่น นิสัยต่างๆ ที่ไม่ดี เคยละ เคยต่อสู้มันหรือไม่ นี่สำคัญ

ความเป็นคนไม่เอาจริงเอาจังกับ การทำสมาธิ การฝืนกิเลส การเจตนางดเว้น
ในสิ่งต่างๆ ที่พอเหมาะกับฐานะตน เคยละหรือไม่

ทำแค่เท่าที่ผมบอกไปนั่นแหละครับ ภูมิธรรมจะก้าวหน้า
เมื่อจิตสงบลงแล้ว จึงค่อยศึกษาตัวละเอียดในด้านรูปนาม

สำคัญ คือ ธรรมอยู่ที่ใจ ถ้าจิตใจเป็นธรรมมันจะค่อยๆ ก้าวหน้าเองครับ

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมอยากทราบครับ..."บรรลุธรรมเป็นอย่างไร"... :b10: :b10:
เชิญตอบครับ.... :b6:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2009, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
กระผมอยากทราบครับ..."บรรลุธรรมเป็นอย่างไร"... :b10: :b10:
เชิญตอบครับ.... :b6:


ขอฟังเฉยๆ :b21: ด้วยคนนะครับ :b38:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2009, 09:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


ดีครับ อยากทราบ แค่บรรลุธรรมเป็นอย่างไรเองหรือ

บรรลุธรรม ก็คือ การเอาใจไปเป็นธรรม จะแตกออกก็เป็นธรรม จะเห็นอะไรก็เป็นธรรม เรียกว่า นั่นแหละบรรลุธรรม
ซึ่งมันจะมีผลตามมาคือ อะไรเป็นกิเลส อะไรไม่ใช่ธรรม มันจะเข้าสู่ใจดวงนี้ไม่ได้ตามภูมิธรรมที่บรรลุ

ถ้าใครยังมองไม่เห็นธรรม ก็ยังไม่ได้เรียกว่า บรรลุธรรม
ที่นี้ มองเห็นธรรม เป็นอย่างไร อยากรู้ก็ถามมาแล้วกันครับ

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2009, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์ เขียน:
ดีครับ อยากทราบ แค่บรรลุธรรมเป็นอย่างไรเองหรือ

บรรลุธรรม ก็คือ การเอาใจไปเป็นธรรม จะแตกออกก็เป็นธรรม จะเห็นอะไรก็เป็นธรรม เรียกว่า นั่นแหละบรรลุธรรม
ซึ่งมันจะมีผลตามมาคือ อะไรเป็นกิเลส อะไรไม่ใช่ธรรม มันจะเข้าสู่ใจดวงนี้ไม่ได้ตามภูมิธรรมที่บรรลุ

ถ้าใครยังมองไม่เห็นธรรม ก็ยังไม่ได้เรียกว่า บรรลุธรรม
ที่นี้ มองเห็นธรรม เป็นอย่างไร อยากรู้ก็ถามมาแล้วกันครับ


ขอคำอธิบายตรงที่ทำตัวหนาให้ทีครับ... :b6:

และอยากรู้ด้วยครับ..."มองเห็นธรรม"...เป็นอย่างไรครับ :b10:
ถามแล้วครับเชิญท่านตอบ... :b6:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 10:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


เอาใจไปเป็นธรรม คุณก็ต้องไม่เอาความชั่วเข้าใจสิครับ ง่ายจะตาย
คุณต้องเอาแต่ธรรมเข้าใจ คือ พิจารณาอะไรตามความเป็นจริง ทุกๆอย่าง

ตอนนี้กำลังโกรธ กำลังเสรแสร้ง กำลังบ้า กำลังกลัว นี่ต้องรู้เพื่อให้ ธรรมเข้าสู่ใจ
และ ไม่เอาความบ้า ความโกรธ ความเสแสร้งนั้น ก็เรียกว่า ไม่เอาสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมเข้าสู่ใจ

ใจก็จะค่อยๆ เป็นธรรมขึ้นมาจนเป็นธรรมทั้งดวง

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอาใจไปเป็นธรรม คุณก็ต้องไม่เอาความชั่วเข้าใจสิครับ ง่ายจะตาย


เพิ่งนึกได้ ง่ายจริงๆด้วย ก็เมื่ออยากดี ก็ต้องไม่ทำชั่ว ก็เป็นธรรม ถึงธรรมแล้ว สาธุๆ :b1:
สนทนากันต่อนะครับ ขอฟัง-ดูเฉยๆ :b21:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 11:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


ในส่วน ของการมองเห็นธรรม ก็คือ มองมาที่ใจนี้ เวลาที่มีความเห็น ความเข้าใจ ในสามัญลักษณะของสรรพสิ่ง ตามความจริง
ก็เรียกว่า ธรรมเกิด ทีนี้ ธรรมเกิดนี้ คนมักจะไปเข้าใจผิดระหว่าง จินตามยปัญญา คือ ฟังแล้วเข้าใจว่าเป็นธรรมเกิด
จริงๆ ธรรมเกิด มันจะต้อง ภาวนามยปัญญา คือ ปฏิบัติ มองเอง เห็นเอง เข้าใจเอง ที่ฟังมาทิ้งไปแล้ว
แต่พอ มองเอง เห็นเอง เข้าใจเอง มันก็เกิดธรรมในใจขึ้นมา เป็น ปัจจัตตัง

อันนี้พิจารณาให้มากครับ

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จะแตกออกก็เป็นธรรม
จะเห็นอะไรก็เป็นธรรม
อะไรไม่ใช่ธรรม


ขอท่านขยายความอีก 3 ประโยคที่ยังไม่ได้อธิบายครับครับ.... :b6:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
เอาใจไปเป็นธรรม คุณก็ต้องไม่เอาความชั่วเข้าใจสิครับ ง่ายจะตาย


เพิ่งนึกได้ ง่ายจริงๆด้วย ก็เมื่ออยากดี ก็ต้องไม่ทำชั่ว ก็เป็นธรรม ถึงธรรมแล้ว สาธุๆ :b1:
สนทนากันต่อนะครับ ขอฟัง-ดูเฉยๆ :b21:

แล้วถ้าอยากชั่ว ก็ต้องไม่ทำดี....ถ้าไม่อยากทั้งดีและชั่ว ก็ไม่ต้องทำทั้งดีและชั่ว(จะทำไงหว่า :b10: ) ก็น่าจะเป็นธรรม ถึงธรรมเหมือนกันนะครับ...เพราะ "กุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา"

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้ธรรม เห็นธรรม

พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา



"ส่วนมากเรามักจะเข้าใจกันว่า
การรู้ธรรมเห็นธรรมคือต้องเห็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เห็นโครงกระดูกแล้วรู้ว่า เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราไปหมายเอาหมวดใหญ่ที่ท่านเขียนเอาไว้ในคัมภีร์

การตีความหมายอย่างนั้นก็ไม่ผิด
เป็นการถูกต้องกับการรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติ
ที่จิตมันจะรู้เองด้วยพลังของสติสัมปชัญญะ
แต่เราจะไปรู้ในกฎเกณฑ์ที่ท่านวางไว้เป็นแบบฉบับเท่านั้นไม่ได้

การรู้ธรรมเห็นธรรมโดยธรรมชาติมันจะต้องรู้ขึ้นมาเอง
เป็นกระท่อนกระแท่น ไม่ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นเรื่องยืดยาว
การรู้ธรรมเห็นธรรมขอกำหนดหมายอย่างนี้

๑. คือการรู้ว่าจิตของเราคืออะไร เห็นว่าจิตของเราคืออะไร เป็นเบื้องต้น
๒. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์ก็รู้ว่าจิตสัมผัสรู้อารมณ์
๓. เมื่อจิตสัมผัสรู้อารมณ์แล้วมีอะไรเกิดขึ้น จิตของเรายินดีไหม
จิตของเรายินร้ายไหม จิตของเราพอใจไหม หรือเกลียดในอารมณ์นั้น
ในเมื่อรู้ว่ายินดีหรือยินร้ายเกลียดหรือชอบ
ก็ดูต่อไปว่าความเกลียดและความชอบบังเกิดขึ้นภายในจิตเป็นอย่างไร
ทำให้จิตร้อนหรือเย็น ทำให้จิตสุขหรือทุกข์

ถ้าหากว่าจิตรู้สึกสุขก็ผ่านไป แต่ถ้าจิตของเรารู้สึกทุกข์
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นความร้อนภายในจิต
เรารู้ความร้อนของจิตในเมื่อเรารู้ความร้อนของจิตแล้ว ความร้อนเป็นทุกข์
เราจะต้องถามหาเหตุว่าทุกข์นั้นเกิดมาจากอะไร


ในเมื่อจิตรู้ว่าความทุกข์นั้นเกิดขึ้นมาจากอำนาจของโลภะ
เกิดมาจากอำนาจของโทสะ เกิดมาจากอำนาจของโมหะ
จิตมันก็จะยอมรับว่าไฟ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
เป็นอันว่าจิตรู้ธรรมเห็นธรรม คือเห็นทุกข์ในจิต เห็นสุขในจิต


ในเมื่อจิตเห็นทุกข์คือจิตร้อน เพราะไฟโลภะ โทสะ โมหะ ผู้ปฏิบัติควรจะทำอย่างไร
เราจะไล่ความร้อนของไฟโลภะ โทสะ โมหะ ให้หายไปอย่างนั้นหรือ
เราไม่มีทางจะไปตั้งใจไล่ เพราะจิตของเราเกิดความชินชาต่อการปรุงกิเลส
ให้เกิดไฟโลภะ โมหะ โทสะ

แล้วถ้าไม่มีทางที่จะขับไล่ ไม่มีทางที่จะละ เราจะทำอย่างไร
เราก็ทำสติกำหนดรู้ คือรู้ว่ามันเป็นไฟโลภะ โทสะ โมหะ
รู้ว่าฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะ มันทำจิตให้ร้อน
ให้ดูความร้อนที่มีอยู่ในจิต ดูความเย็นที่มีอยู่ในจิต จนกระทั่งจิตรู้ซึ้งเห็นจริงลงไป
แล้วจิตยอมรับความเป็นจริงว่า ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะนี้เป็นไฟเผาให้ร้อน
มันร้อนอย่างนี้หนอ

เมื่อจิตยอมรับความจริงแล้วก็เกิดความเข็ดหลาบในตัวของมันเอง
ภายหลังมันก็จะไม่สร้างเหตุเดือดร้อนให้เกิดขึ้นมาอีก

เปรียบเหมือนคนเรา ี่เราว่าถ่านไฟมันร้อน
เมื่อมีใครนำถ่านไฟร้อนมาวางไว้ตรงหน้าเรา แล้วบอกกับเราว่า ดูซิ ถ่านไฟนี้มันสวย
ดูซิมันเย็น แต่เรารู้แล้วว่าถ่านไฟนี้มันร้อน เราก็จะไม่ไปจับถ่านไฟนั้น

ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อจิตมันรู้ฤทธิ์ของโลภะ โทสะ โมหะ อย่างแท้จริงแล้ว
ยอมรับสภาพความเป็นจริงแล้ว มันก็จะไม่ก่อเรื่องให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาอีก
มีแต่ค่อยพิจารณาปลดเปลื้องโลภะ โทสะ โมหะ ของเก่าที่มีอยู่ให้ลดน้อยลงเบาบางลงไป


การปฏิบัติธรรมสำคัญอยู่ที่การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก
การภาวนาพุทโธก็ทำพุทโธให้เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ
การภาวนายุบหนอ-พองหนอ ก็ทำยุบหนอ-พองหนอให้เป็นสิ่งรู้ของจิตสิ่งระลึกของสติ
การภาวนาสัมมาอรหัง ก็ทำสัมมาอรหังเป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ
ทั้งหลายเหล่านี้ หรืออย่างอื่นๆก็ตาม ใครภาวนาแล้ว เมื่อจิตเป็นสมาธิ
ก็ต้องทำจิตให้เป็นวิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาเหมือนกัน

สมาธิเป็นสัจธรรม เป็นของจริง ในเมื่อสัจธรรมของจริงคือสมาธิมีอยู่
ใครจะรู้แตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายอย่าไปยึดมั่นอยู่เพียงวิธีการเท่านั้น
ขอให้ทุกท่านพิจารณาดูความจริงที่จะเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา
ในขณะที่เราภาวนา สมาธินี้เป็นของจริง ใครจะภาวนาแบบไหน อย่างไร
จะเกิดมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด

และขอเตือนไว้อีกอย่างหนึ่งว่า การรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็ดี สิ่งที่เราเห็นในระหว่างจิตมีสมาธิ สงบ สว่าง
เราเห็นนิมิตต่างๆ เกิดอุทานธรรมขึ้นมาก็ดี สิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ เมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วให้เราทำสติไว้ให้ดี"

--- จบพระธรรมเทศนา---

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 21:14
โพสต์: 546


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จะแตกออกก็เป็นธรรม
จะเห็นอะไรก็เป็นธรรม
อะไรไม่ใช่ธรรม


ก็เวลา ประสบพบเจออะไร เราก็ต้องปรุง ต้องนึกบ้าง แต่จะเห็นตามความจริงไปหมด จะไปทางกุศลหมด แต่หากว่า ไม่ไปในทางกุศล ไปในทางอกุศล เช่น ยังมีโทสะ และ ราคะ อันยังละไม่ได้ในพระอริยเจ้าเบื้องล่างคือพระโสดาบัน จิตที่เป็นกุศลก็จะตามไปรุ้ทันที ว่านี้ไม่ดีนี่ต้องละ จิตที่จะแตกออกไป ก็เรียกว่า เป็นธรรม

จะเห็นอะไรก็เป็นธรรม ก็กล่าวไปแล้วว่า พฤติกรรมของจิต ที่แตกออกไป ไม่ว่าจะส่วนไหนในขันธ์ ในชีวิตจริง เห็นเป็นธรรมหมดคือ ลงสุ่ไตรลักษณ์
คือ หายจ้อยไปหมด รูปก็ไม่มีตัวตน เวทนา วิญญาณ สังขาร สัญญา เกิดแล้วหายไปหมด
ตรงนี้ ผุ้ปฏิบัติจึงสมควรต้องไปนั่งดูเอาเอง ให้ธรรมเกิดในใจตนเอง

อะไรไม่ใช่ธรรม ก็เป็น อกุศล ที่เกิด ก็เห็น อะไรดีไม่ดี มีสติรุ้หมด

.....................................................
เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 57 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร