ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=21202
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  kokorado [ 22 มี.ค. 2009, 21:40 ]
หัวข้อกระทู้:  จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

คือมีความสงสัยว่า ก่อนตายนี่ถ้าจิตดวงสุดท้าย คิดดีแล้วจะไปสุคติภูมิทันทีหรือไม่ หรือว่าจะมีชายชุดแดงพาไปตัดสินโทษก่อน สับสนระหว่างสองอย่างนี้ ขอบคุณที่ตอบ

เจ้าของ:  murano [ 22 มี.ค. 2009, 21:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือ ต้องไปพบพยายม

จิตจะไปเกิดทันที จะสุคติหรือทุคติ ก็ตามแต่สภาพดวงจิต

ที่พูดกันว่า คิดเรื่องดีๆ ในช่วงสุดท้าย ความดีที่เคยทำมาจะส่งผลก่อน ทำให้ได้ไปสุคติ เราเข้าใจว่า เป็นคำที่พูดเพื่อให้คนที่อยู่ข้างหลังได้สบายใจ ว่าคนที่ตนรัก ได้ไปที่ชอบแล้ว...

เจ้าของ:  อัญญาสิ [ 24 มี.ค. 2009, 18:16 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

:b8:

คือสำหรับอัญญาสิ ต้องตั้งจิดคิดดีทำดีตลอดเท่าที่ทำได้ครับเพราะกลัวเวลาจิตดับคิดไม่ทันครับ

:b8: :b44:

เจ้าของ:  BlackHospital [ 24 มี.ค. 2009, 18:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

พืชของภพ

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า 'ภพ - ภพ' ดังนี้.
ภพ ย่อมมีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า? พระเจ้าข้า!"
อานนท์! ถ้ากรรม มีกามธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้.
กามภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ?
"หามิได้ พระเจ้าข้า!"
อานนท์! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา, วิญญาณ เป็นเมล็ดพืช,
ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช.
วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน
ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นทราม (กามธาตุ),
การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์! ถ้ากรรม มีรูปธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้,
รูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ?
"หามิได้ พระเจ้าข้า!"
อานนท์! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อนา, วิญญาณ เป็น
เมล็ดพืช, ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช.
วิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน
ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นกลาง (รูปธาตุ).
การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้.

อานนท์! ถ้ากรรม มีอรูป ธาตุเป็นวิบาก จักไม่ได้มีแล้วไซร้,
อรูปภพ จะพึงปรากฏได้แลหรือ?
"หามิได้ พระเจ้าข้า!"
อานนท์! ด้วยเหตุนี้แหละ กรรมจึงเป็นเนื้อหา, วิญญาณ เป็นเมล็ดพืช,
ตัณหาเป็นยาง (สำหรับหล่อเลี้ยงเชื้องอก) ของพืช. วิญญาณ
ของสัตว์ทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน
ตั้งอยู่แล้วด้วยธาตุชั้นประณีต (อรูปธาตุ),
การบังเกิดขึ้นในภพใหม่ต่อไป ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.
อานนท์! ภพ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

- ติก. อํ. ๒๐/๒๘๗/๕๑๖.
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 24 มี.ค. 2009, 19:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

สำหรับคนที่ไม่ฝึก ไม่ได้กินนะครับ
ประเภทกะว่าตอนตายแล้วจะไปบังคับตัวเองให้นึกดี คิดดี เรื่องดี แล้วจะได้ไปสวรรค์

ผมแนะให้ดูง่ายๆ ซ้อมตายง่ายๆ
ตอนฝันน่ะครับ
- รู้ตัวไหมว่าฝัน นี่คือฝัน กำลังฝัน
- บังคับให้มันเป้นฝันดีได้ไหม เป็นผู้กำกับฝันตัวเองได้ไหม
ถ้าคิดว่าบังคับได้ รู้ตัวได้ ถ้าคิดว่าืทำได้จริงๆก็แล้วแต่

แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านบอกเลยว่าจิตนี้บังคับบัญชาไม่ได้
เราบังคับไม่ได้หรอกครับ เป้นผู้กำกับจิตไม่ได้เลย ฝันอยู่ทุกวันๆก็ไม่รู้ตัว

เพราะฉะนั้นการจะไปกะคิดดีแล้วขึ้นสวรรค์ตอนตาย
อันนี้ศรีธนลไชยเอาทางทฟษฏีได้นะครับ
แต่ถึงเวลาจะตายจริงๆ ไม่ได้กินนะ
เตือนกันไว้จะได้ไม่ประมาท


สำหรับพวกที่คิดว่าจิตบังคับได้ อย่างมากที่สุด คือตายในขณะสมาธิ
ทำให้จุติในชั้นพรม ได้วีซ่าชั้นพรม นิ่งๆ เฉยๆ อยู่อย่างนั้น

แต่วีซ่ามีอายุนะ พรมก็มีอายุ เหมือนความเป้นมนุษย์เรามันก้มีวีซ่า ไม่เกินร้อยปี
ตายจากพรมเมื่อไหร่ ก็รับกรรมที่ทำมาอยู่ดี

สรุปว่า ที่อุตส่าหืนั่งสมาธิบังคับจิตใจมาทั้งชีวิต สุดท้ายไม่ได้อะไรนะ
แต่ได้วิซ่าเมืองพรหม ไม่เดือดร้อนแค่ระยะเวลาหนึ่ง
แต่ยังต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารตามแรงบุญแรงกรรมอยุ่เหมือนเดิม หนีไำม่พ้นเลย

เจ้าของ:  คนไร้สาระ [ 24 มี.ค. 2009, 23:31 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

:b8: :b49: จิตดวงสุดท้าย ก่อนดับจากภพปัจจุบัน
ถ้าจิตดวงนั้นเป็นจิตที่เคยฝึก เจริญสติ
ระลึก รู้ กระบวนการทำงานของจิต อยู่
แบบเรียนธรรมะไม่มีแบ่งแยก ว่าต้องเวลา
ไหน เท่าใด อย่างไร กลมกลืนเสมือนว่า
ธรรมะคือธรรมชาติ ของชีวิต ภพอันเป็นสุขคติ
เป็นที่หวังได้ เพราะในขณะที่จิตกำลังดับ
เราไม่สามารถบังคับได้ เช่นที่คุณคามินธรรม
กล่าวไว้ ไม่ได้ฝึกไม่ได้กิน

กลอนของท่านพุทธทาส

:b48: อย่าเข้าใจไปว่าต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติลำบากจึงพ้นได้
ถ้ารู้จริงสิ่งเดียวก็ง่ายดาย
รู้ดับให้ไม่เหลือเชื่อก็ลอง
:b48: เมื่อเจ็บไข้ความตายจะมาถึง
อย่าพรั่นพรึงหวาดไหวให้หม่นหมอง
ระวังให้ดี ๆ นาทีทอง
คอยจดจ้องตรงจุดหลุดให้ทัน
:b49: ถึงนาทีสุดท้ายอย่าให้พลาด
ตั้งสติไม่ประมาทเพื่อดับขันธุ์
ด้วยจิตว่างปล่อยวางทุกส่ิงอัน
สาระพันไม่ยึดครองเป็นของเรา
:b48: ตกกระไดพลอยโจนให้ดีดี
จะถึงที่มุ่งหมายได้ง่ายเข้า
สมัครใจดับไม่เหลือเมื่อไม่เอา
ก็ดับเราดับตนดล ....นิพพาน

(จิตชนิดนี้ต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี)
:b41: :b41: :b41:

เจ้าของ:  ชิโนะซึเกะ [ 25 มี.ค. 2009, 09:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

เห็นด้วยกับคุณคามินธรรมครับ :b8:

เจ้าของ:  พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 25 มี.ค. 2009, 11:24 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

คุณ kokorado ครับ



" ก่อนตายนี่ถ้าจิตดวงสุดท้าย คิดดีแล้วจะไปสุคติภูมิทันทีหรือไม่ หรือว่าจะมีชายชุดแดงพาไปตัดสินโทษก่อน "

ปรโลกเป็นโลกแห่งภวังต์ หรือโลกแห่งจิตใต้สำนึก

- จิตดวงสุดท้ายคิดดี แต่ไม่หนักแน่น ก็ยังไปปรับภพภูมิใดๆในปรโลกไม่ได้ คือ เข้าสู่สุคติภูมิโดยทันทีไม่ได้นั่นเอง เพราะไม่มีพลังพอ จึงต้องไปสำนักพยายมเพื่อตัดสินความ

- จิตดวงสุดท้ายคิดดี และมีพลังหนักแน่น เช่น เจ้าพ่อแคล้ว ธนิกุล จิตจับอยู่ที่พระพุทธเจ้าตลอด พระสมเด็จยังอมอยู่ในปาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถปรับเปลี่ยนภพภูมิในปรโลกได้ จึงไม่ต้องไปสำนักพยายมเพื่อตัดสินความ

ปรโลกเป็นโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึก ก็เหมือนตอนคุณหลับ ก็ฝันไป ตอนคุณคิดดีก่อนหลับ ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความฝันของคุณได้ ยกเว้นคุณหมกหมุ่น เพ่งที่เรื่องนั้นอย่างเดียว คุณก็จะฝันในเรื่องนั้น

เจ้าของ:  หล่อ ลูกแม่อ้วน [ 25 มี.ค. 2009, 12:10 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

ผมอยากรู้ว่าจิตมีหลายดวงด้วยหรือครับ.....ถึงมีจิตดวงสุดท้ายด้วยอะ

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 25 มี.ค. 2009, 12:35 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

หล่อ ลูกแม่อ้วน เขียน:
ผมอยากรู้ว่าจิตมีหลายดวงด้วยหรือครับ.....ถึงมีจิตดวงสุดท้ายด้วยอะ


จิตมีดวงเดียว แต่เกิดดับสลับตลอดเวลาเหมือนไฟกระพริบ ที่กระพริบถี่ๆ
ถ้ามันถี่มากๆ เราจะมองว่ามันไม่กระพริบ อย่างเช่นไฟนีออนนั้น ที่จริงกระพริบ
แต่มันถี่มากจนตาเรามองไม่ทัน

แต่ถ้าจะพูดให้ถูก สิง่ที่เกิดดับคือเจตสิก
(เจตสิก คือสมรรถนะของจิต เช่น ไฟมีความร้อน ความร้อนคือสมรรถนะของไฟ
จิตคิด จิตเครียด จิตจดจำ จิตดีใจ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป้นสมรรถนะของจิต)

แต่จิตเดิมแท้ไม่เกิดไม่ดับ แต่ถ้าให้หาว่าจิตอยู่ไหน เราก็หาไม่เจอ มองไม่เห็น
ที่เห้นคือความเกิดดับของเจตสิก
เหมือนตัวไฟ เราหาตัวมันไม่เจอ แต่รู้ว่ามีไฟเพราะมีความร้อน และสีสัน


อย่างที่ปรมัตถธรรมแยก "จิต" กับ "เจตสิก" ออกจากกัน
"จิต เจตสิก รูป นิิพาน"
ย่อมแสดงว่าจิตและเจตสิกไม่ใช่สิง่ที่เป้นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่พูดโดย"อนุโลม"ให้เข้าใจเบื้องต้น ก็จะพูดว่า"จิตเกิดดับ"ได้
เพราะเจตสิกเกิดร่วมกับจิต

และด้วยความที่จิตมันเกิดดับตลอดเวลา หาตัวตนของจิตที่แท้ไม่ได้เลย
เรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา" คือสภาพที่หาตัวตนแท้ๆจริงๆของจิตไม่ได้
แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าจิตไม่มีอยู่
อย่างเช่น เวลาเรารักใคร เรารู้ว่ามีความรัก แต่"ผู้ที่เสวยอารมณ์รัก" นั้นเราหาไม่เจอ
ในสมองก็ไม่ใช่ หัวใจก็ไม่ถูก หาหลักแหล่งที่ตั้งตัวตนจริงๆไม่ได้เลย
จึงเรียกว่าอนัตตา

"จิตเดิมแท้" ที่ว่าไม่เกิดไม่ดับนี้
เท่าที่ศึกษากันมา ยังหากันไม่ได้จริงๆว่าพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ว่าอย่างไร
เช่นว่า จิตมาจากไหน ใครสร้าง เกิดได้ยังไง และจิตดับได้หรือไม่ ฯลฯ
จัดว่าเป้นความรู้ที่นอกขอบเขตพระพุทธศาสนา นอกกำมือ
เพราะเราสนแค่นิพพาน
ง่ายๆว่า เป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงพอแล้ว
จิตจะมาจากไหนอะไรยังไงไม่สำคัญ

เจ้าของ:  kokorado [ 26 มี.ค. 2009, 15:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

ขอบคุณครับ คุณพลศักดิ์ ในที่สุดก็เข้าใจซะที :b8:

เจ้าของ:  วีรวิชญ์ [ 26 มี.ค. 2009, 19:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

:b8: สาธุครับ คิดดี นึกถึงบุญที่เคยทำก็จะได้ไปเกิดที่ดีๆ เช่น สวรรค์ เป็นต้น แม้ว่าเราจะทำชั่วมาบ้างก็ตาม หากแต่ถ้าจิตเราคิดไม่ดีก่อนตาย แม้ทำบุญมามากก็อาจไป ทุกคติได้เช่นกัน ดังนั้น
เราควรมาฝึกสติไว้ คิดไม่ดี หรือคิดลบเมื่อไรก็รู้ทัน ความคิดลบก็หายไป สติเกิด กุศลเกิด ขณะนั้น อกุศลไม่มี มีแต่กุศล เป็นเหตุให้เราไปสู่สุคติภูมิ :b8:

เจ้าของ:  nene [ 31 มี.ค. 2009, 09:21 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 121เวทนียกรรม (ให้ผลในชาตินี้) ก็มี เป็นอุปปัชชเวทนียกรรม (ให้ผลใน
ชาติหน้า) ก็มี หรือเป็น อปรปริยายเวทนียกรรม (ให้ผลในภพต่อ ๆ ไป)
ก็มี แม้ในบททั้งสองที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อขณฺฑานิ แปลว่า ไม่ถูกทำลาย. บทว่า อปูตีนิ ความว่า
ไม่ถึงความเป็นของไม่ใช่พืชพันธ์ เพราะเสีย. บทว่า อวาตาตปหตานิ
ความว่า ทั้งไม่ถูกลมโกรกและแดดเผา. บทว่า สาราทานิ ความว่า มีสาระ
ที่ถือเอาได้ คือมีสาระ ไม่ใช่ไม่มีสาระ. บทว่า สุขสยิตานิ ความว่า
อยู่อย่างปลอดภัย เพราะเก็บไว้ดี.
บทว่า สุกฺเขตเต ได้แก่ ในนาเตียน. บทว่า สุปริกมฺมกตาย
ภูมิยา ได้แก่ พื้นที่นา ที่บริกรรมแล้วด้วยดี ด้วยการไถด้วยไถ และด้วย
คราด. บทว่า นิกฺขิตฺตานิ ได้แก่ ปลูกไว้แล้ว. บทว่า อนุปฺปเวจฺเฉยฺย
ได้แก่ ตกเนือง ๆ. ในบทว่า วุฑฺฒึ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า
เจริญ เพราะสูงขึ้นไป. ชื่อว่า งอกงาม เพราะมีรากยึดมั่นอยู่เบื้องล่าง.
ชื่อว่า ไพบูลย์ เพราะขยายออกไปโดยรอบ.
ก็ในสูตรนี้ คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ มีอาทิว่า ทิฏเ วา
ธมฺเม เพื่อไม่ให้ฟั่นเฟือนในคำนั้น ในที่นี้ ควรกล่าวจำแนกกรรม (ออกไป).
อธิบายว่า โดยปริยายแห่งพระสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกกรรม
ไว้ ๑๑ อย่าง. คือ
ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑
อุปปัชชเวทนียกรรม ๑
อปรปริยายเวทนียกรรม ๑
ครุกกรรม ๑
พหุลกรรม ๑
ยทาสันนกรรม ๑
กฏัตตวาปนกรรม ๑
ชนกกรรม ๑
อุปัตถัมภกกรรม ๑
อุปปีฬกกรรม ๑
อุปฆาตกกรรม ๑.
ถือจิตอย่างเดียวก็คงไม่ได้ต้อง ดูกรรมด้วยว่าทำกรรมอะไรมามากน้อยเพียงใด ว่าต้องไปพบยมบาลหรือไม่

เจ้าของ:  mes [ 31 มี.ค. 2009, 14:26 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

อ้างคำพูด:
"จิตเดิมแท้" ที่ว่าไม่เกิดไม่ดับนี้
เท่าที่ศึกษากันมา ยังหากันไม่ได้จริงๆว่าพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ว่าอย่างไร
เช่นว่า จิตมาจากไหน ใครสร้าง เกิดได้ยังไง และจิตดับได้หรือไม่ ฯลฯ
จัดว่าเป้นความรู้ที่นอกขอบเขตพระพุทธศาสนา นอกกำมือ
เพราะเราสนแค่นิพพาน
ง่ายๆว่า เป็นอิสระจากทุกข์ทั้งปวงพอแล้ว
จิตจะมาจากไหนอะไรยังไงไม่สำคัญ


อย่างนี้จึงจะเป็นวัตถุประสงค์ของการเรียนธรรมะเพื่อการปฏิบัติที่แท้จริง

สาธุครับ

ท่านคามินธรรม

เจ้าของ:  ชาติสยาม [ 31 มี.ค. 2009, 17:20 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: จิตดวงสุดท้าย หรือต้องไปพบพยายม

เรียกผมว่าท่านๆแล้วผมจั๊กจี้ครับพี่
เรียกน้องคามินแบบเดิมกิ๊บเก๋ใกล้ชิดกว่าเยอะเลยครับพี่ mes

:b8: :b9: :b13:

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/