วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 03:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

การเรียนธรรมะตามแนวทางของพระพุทธศาสนานี่พวกเรามีอยู่อย่างนี้
๑. รู้ขาด
๒. รู้เกิน

รู้พอดีนี่หายาก

ทีนี้พวกที่รู้พอดีนี่
รู้แล้วต้องแก้ปัญหาจิตใจของตัวเองได้
จึงจะได้ชื่อว่าสามารถเอาธรรมะมาปรับปรุงจิตใจหรือดัดแปลงจิตใจของเรา
ให้มีแนวโน้มไปในทางบุญทางกุศล ทางความสุขได้




บางส่วนจากพระธรรมเทศนาเรื่อง "อุตริมนุสธรรม"
หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย
http://www24.brinkster.com/thaniyo/thaniyodham.html

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: โมทนาสาธุและเห็นด้วยค่ะ สำหรับข้อมูลดีๆ
ของคุณคามินธรรม
:b41: :b41: :b41:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะท่านคามิน... :b8:

แต่รบกวนสงเคราะห์เป็นความรู้สำหรับผู้ที่ยัง "รู้ขาด"
เช่นเราหน่อยเถอะนะคะว่า ....

"รู้เกิน" น่ะมันเป็นยังไง....สงสัยๆ จริงๆ :b6: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:

"รู้เกิน" น่ะมันเป็นยังไง....สงสัยๆ จริงๆ :b6: :b4:


:b8:


รู้เกิน หลวงปู่น่าจะหมายถึงพวกที่พยามคุยกันเรื่องที่ตัวเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
เช่นการที่พยามคุยกันเรื่องนิพพาน เถียงกันไปเถียงกันมา
รู้เรื่องนิพพานกันซะถึงพริกถึงขิง

รู้ขนาดนั้นแต่กิเลสในใจเต็มเลย คอเป็นเอ็นเลย
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ (ขาดสติ)
พวกนี้"รู้เกิน"แล้ว แล้วก็เลย"เกิน"
พอ"เกิน"นานๆเข้า เลย"เกินๆ" :b32:

ดังที่หลวงปู่สรุปว่า ความรู้ที่พอดีๆ คือ "ต้องแก้ปัญหาจิตใจของตัวเองได้ "

ประมาณว่า "ชกมวยไม่ถูกคู่"
คือรู้ธรรมที่เอาไปใช้กับตัวเองไมไ่ด้"

หรือถ้าในทางปฏิบัติ ก้เช่น เราผู้ครองเรือน พยามละกามให้เด็ดขาดเพื่อปฏิบัติธรรม
แล้วพอข่มได้ มีกำลังความสามารถ ก็เข้าใจว่าละกามได้จริงๆ
(เชื่อว่าจิตบังคับบัญชาได้)
ความจริงแล้วเอาหินทับหญ้าไว้ เป้นการละที่ไม่มั่นคง ไม่จริง
ถ้ามีน้องลูกเกด ลูกตาล น้องนั้นน้องนี่มาแด๊นซ์กระจายต่อหน้า
ก็อาจจะสำลักน้ำหมากตาย หรือหัวใจวายตายได้ เพราะข่มต่อไปไม่ไหวแล้ว
:b32:

การละกามได้อย่างจริงๆ เป็นสมรรถนะของพระอนาคามี
ที่กำลังจะปฏิวัติเป็นพระอรหันต์ ท่านถึงละได้จริงแท้

ตาลุงคนแรกแกชกมวยผิดคู่ เลยแพ้ไปเสียก่อน
แต่ถ้าตาลุงคนนั้นแกรู้จักรักษาศีลก่อน เจริญสติ จนละสักกายทิฐิได้แล้ว
ก็ย่อมมีความเห็นว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา
เมื่อมีความเห็นขนาดว่า กายของเราแท้ๆที่หวงนักหวงหนา ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากมาย ย่อมคลายกำหนัดลงไปพอสมควร
ร่างกายคนอื่นอย่างน้องละมุด มังคุด ลำไย ฯลฯ ย่อมไม่มีนัยสำคัญมากพอ
ก็เป็นการจัดการกิเลสด้วยปัญญา ปัญญาที่เข้าไปรู้เห้นความจริงของธรรมชาติแท้ๆ

การที่ผุ้ปฏิบัติธรรมจะต่อสู้กับกิเลสข้อใด ก้ควรจะมีความรู้ว่าเรากำลังสู้กับอะไร
ก้ต้องชกให้ถูกคู่



ประมาณนี้อะคับ :b8:
คุณ "มัทนา" :b21: :b32: :b32: :b32:

เรียกผมว่า "ท่านคามิน" แล้วรู้สึกจั๊กจี้ดีน :b32: ะคับ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ "ท่านคามิน " มากเลยนะคะ :b8:
อุตส่าห์อธิบายเปรียบเทียบมาเหยียดยาว
เห็นภาพ...ซะไม่มีเลยค่ะ :b32:

อนุโมทนาด้วยนะคะ :b8:

แล้วการรู้เกินนี่ น่าจะหมายรวมถึง
เรื่องที่เป็น "อจิณไตย" ด้วยรึเปล่าคะเนี่ยะ.... :b10:

อ้างคำพูด:
การที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะต่อสู้กับกิเลสข้อใด
ก็ควรจะมีความรู้ว่าเรากำลังสู้กับอะไร
ก็ต้องชกให้ถูกคู่


อีกประเด็นนึง แล้วถ้า...

ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเรากำลังสู้กับกิเลสตัวไหน
หรือไม่รู้แม้ว่า ขณะนั้นเรากำลังมีกิเลสเกิดขึ้นในจิตตัวเอง
คือคิดว่าตัวเอง "กิเลสเบาบาง" "สยบกิเลส" ได้แล้ว หรือถึงขั้น "ปลอดกิเลส"

เราควรทำยังไงล่ะค่ะ?
:b6:

มีคำแนะนำดีดีบ้างมั้ยคะ
สงสัยอีกแล้วอ่ะค่ะ :b10:

ขอบคุณล่วงหน้ามากค่ะ...
ที่สละเวลาตอบคนช่างสงสัยอย่างเรานะคะ
:b8: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
แล้วถ้า...

ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเรากำลังสู้กับกิเลสตัวไหน
หรือไม่รู้แม้ว่า ขณะนั้นเรากำลังมีกิเลสเกิดขึ้นในจิตตัวเอง
คือคิดว่าตัวเอง "กิเลสเบาบาง" "สยบกิเลส" ได้แล้ว หรือถึงขั้น "ปลอดกิเลส"

เราควรทำยังไงล่ะค่ะ?
:b6:

มีคำแนะนำดีดีบ้างมั้ยคะ
สงสัยอีกแล้วอ่ะค่ะ :b10:

ขอบคุณล่วงหน้ามากค่ะ...
ที่สละเวลาตอบคนช่างสงสัยอย่างเรานะคะ
:b8: :b4:


เมื่อยไม้คับนี่ :b32: :b21:


ประเด็นนี้เรียกว่า ตกอยู่ในสถานการณ์"เอาตัวไม่รอด"แล้วล่ะคับ
วิธีแก้นี้แล้วแต่บุญวาสนา กล่าวคือ

1. มีกัลยาณมิตรดี มาแนะนำให้ เช่นครูอาจารย์ สหายธรรม

ตัวอย่างเช่น (กรณีที่จำได้นี้ จำไม่ได้ว่าใครน่ะครับ แต่มันอยุ่ในความทรงจำ)
คือมีพระภิกษุรูปหนึ่ง เข้าใจว่าตนตัดกิเลสได้แล้ว
เลยไปสอบกรรมฐานกับอาจารย์

อาจารย์ก้เลย "คว้าถาดสังกะสีใกล้ๆมือท่าน ขว้างใส่เฉียดๆ ดังโครม! ลั่นศาลา"
ปรากฏว่าหินที่ทับหญ้าอยู่ แตกกระจุยกระจาย
หญ้างอก พรึบพับอย่างกับหนังโฆษณากันเลยทีเดียว
ก็พระรูปนั้นทั้งโกรธ ทั้งกลัว ทั้งตกใจ
เป็นอันว่ากัลยาณมิตรมาช่วยให้เห็นกิเลส ที่ตัวคิดว่าไม่มีแล้ว


2. ทางที่สองนี้คือเกิดได้สติขึ้นมาเอง ช่วยตัวเองได้เอง ในภายหลัง
พูดง่ายๆว่า นานๆไปแล้วเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น แล้วแก้ไขตัวเองได้ในที่สุด

เช่นกรณีหลวงตาพวงในเรื่องของหลวงปุ่ดูลย์
โกรธแทบเป็นแทบตาย จะจับหลวงปุ่ผู้เป็นอาจารยืตัวแท้ๆมากราบ
ทัง้ที่อาจารย์ก็แก่พรรษาพรรษาก็แก่กว่า หลวงปู่ก็แก้ไม่ไหว
พอโกรธจัด หลวงตาพวงก็ฟึดฟัดๆออกไปจากวัด
จนไปถึงอีกวัดหนึ่ง ถึงตรงหน้าวัด
เกิดได้สติขึ้นมาซะดื้อๆ เฉยๆ ส้มหล่นตุ๊บซะอย่างนั้น

กรณีนี้แม้ว่าหลวงตาพวงจะไม่ได้มีเจตนาเอาตัวเองออกจากเหว
แต่จะว่า"บังเอิญได้สติ" ก็ไม่ได้
ที่จริงเป้นเพราะปฏิบัติสั่งสมมาอยู่แล้ว
แม้ว่าสติจะเข้ามาทำงานช้าไปนิดนึง แต่ก็ยังมาในที่สุด

ต่างจากคนที่ขาดสติ แล้วไม่ได้ฝึกฝนมา
ก้จะเข้าทำนอง"แก้แค้น 10 ปีไม่สาย"
คือขาดสติยังไง 10 ผ่านไปก็ขาดอย่างนั้น
แล้วยังอยากจะขาดอยู่อย่างนั้นด้วยเพราะสะใจ


ขออนุโมทนาคุณมัทนาด้วยนะครับ
"เพิ่งรู้จักกัน" ซัดผมซะอ่วมเลยนะครับ
:b32: :b21:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 06:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เช่นการที่พยามคุยกันเรื่องนิพพาน เถียงกันไปเถียงกันมา
รู้เรื่องนิพพานกันซะถึงพริกถึงขิง

รู้ขนาดนั้นแต่กิเลสในใจเต็มเลย คอเป็นเอ็นเลย


"เหมือนคนตาบอดเถียงกันเรื่องสีขาว"

โมทนาครับ คุณคามินธรรม สาธุ.. :b35: :b8: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ สนทนาธรรมตามกาล

:b8:

คุณคามินเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะนะคะ เจ้าคารม คำพูดคมมากกว่าเมื่อก่อนมากค่ะ รู้จักเอาเหตุและผลมาแสดงให้เห็น อนุโมทนาค่ะ :b8:

อย่ามลืมกำหนดรู้นะคะ เมื่อมีผู้อื่นมาชม กิเลสย่อมทำงานทันที มันเนียนค่ะกิเลส :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
สาธุค่ะ สนทนาธรรมตามกาล

:b8:

คุณคามินเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะนะคะ เจ้าคารม คำพูดคมมากกว่าเมื่อก่อนมากค่ะ รู้จักเอาเหตุและผลมาแสดงให้เห็น อนุโมทนาค่ะ :b8:

อย่ามลืมกำหนดรู้นะคะ เมื่อมีผู้อื่นมาชม กิเลสย่อมทำงานทันที มันเนียนค่ะกิเลส :b12:


ขอบคุณครับคุณพี่

ครูบาร์อาจารย์ท่านเรียกว่า "ติดดี" ใช่ไหมครับ
:b8:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
เช่นการที่พยามคุยกันเรื่องนิพพาน เถียงกันไปเถียงกันมา
รู้เรื่องนิพพานกันซะถึงพริกถึงขิง

รู้ขนาดนั้นแต่กิเลสในใจเต็มเลย คอเป็นเอ็นเลย


พอดีไปเจอบทกวีของท่านพุทธทาสบทหนึ่ง
เห็นว่าเข้ากับประโยคดังกล่าว ก็เลยยกมาครับ
ชื่อบทกวีว่า กิเลสคุย

คุยเสียดี ที่แท้ แพ้กิเลส
น่าสมเพช เตือนเท่าไหร่ ก็ไม่เห็น
ว่าเป็นทาส กิเลส อยู่เช้าเย็น
จะอวดเป็น ปราชญ์ไป ทำไมนา

ค้นธรรมะ หาทางออก พอกกิเลส
น่าสมเพช จริง ๆ เที่ยววิ่งหา
ตำรานี่ ตำรานั่น สรรหามา
ได้เป็นข้า กิเลสไป สมใจเอย ฯ


อนุโมทนาด้วยครับ

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุด้วยอย่างยิ่งค่ะ ท่านคามิน :b8:

ถึงแม้ ท่านคามิน กับมัทนา จะ "เพิ่งรู้จักกัน"
แต่มัทนาก็ติดตามการตอบปัญหาทางธรรมของท่านมาเนิ่....น....นา...น
ขอบอกได้เลยว่าไม่มีเจตนาที่จะทำให้ท่าน "อ่วม"
แต่อย่างใดเลยนะคะ :b12:

อาจแค่ alert นิด ๆ หน่อยๆ ..ก็เท่านั้น...เอง
แถมคำตอบที่ได้รับก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเรา
และ "ท่านอื่นๆ" ที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้มากมายทีเดียวค่ะ :b4: :b32: :b9:

อย่างน้อยที่สุด...ความเห็นของท่าน
ก็ทำให้เราได้คำตอบแล้วว่า
กัลยาณมิตร ช่วยเหลือเราได้จริง
โดยเฉพาะที่ธรรมจักร
เพราะ "ณ แห่งนี้ มีธรรมะ และกัลยาณมิตร"

(สโลแกนของที่นี่ไงคะ) :b4: :b17:

ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมนิดนึงค่ะ...

นอกเหนือจากปัจจัยของกัลยาณมิตรแล้ว

การที่จะสติระลึกรู้ ขึ้นมาได้เองอย่างฉับไวนั้น
ไม่ใช่แค่ฝึกในเวลาเข้าวัด หรือสำนักปฏิบัติธรรมเท่านั้น
คงต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง
ด้วยความช่างสังเกตอารมณ์ และสภาวะที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างต่อเนื่อง
เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ในการรับมือกับ "กิเลส"
ที่เข้ามากระทบในชีวิตประจำวันให้ได้


ยิ่งไปกว่านั้น ....การอธิษฐานจิต
ขอให้เรามี "สัมมาทิฏฐิ" และได้พบครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร
ก็เป็นปัจจัยสำคัญมากเช่นกันคะ...ที่ทำให้เราก้าวหน้าในธรรม


เรื่องนี้ครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือของมัทนาท่านบอกไว้น่ะค่ะ

(ไม่ได้พูดเองน่ะค่ะ / โปรดไตร่ตรองก่อนนะคะ) :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
walaiporn เขียน:
สาธุค่ะ สนทนาธรรมตามกาล

:b8:

คุณคามินเดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปเยอะนะคะ เจ้าคารม คำพูดคมมากกว่าเมื่อก่อนมากค่ะ รู้จักเอาเหตุและผลมาแสดงให้เห็น อนุโมทนาค่ะ :b8:

อย่ามลืมกำหนดรู้นะคะ เมื่อมีผู้อื่นมาชม กิเลสย่อมทำงานทันที มันเนียนค่ะกิเลส :b12:


ขอบคุณครับคุณพี่

ครูบาร์อาจารย์ท่านเรียกว่า "ติดดี" ใช่ไหมครับ
:b8:


เรื่องภาษานี่ไม่ค่อยจะแน่ใจค่ะ แต่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การติดดี เป็นสิ่งที่ดีค่ะ :b1:

น่าจะเป็นกิเลสที่เป็น มานะกิเลส ทำงานมากกว่ามังคะ เพราะพอมีคนชมเรา แล้วเราไปติดในการยกย่องนั้นๆ ก็อาจทำให้บุคคลนั้นคิดว่า เรารู้มากกว่าเขา ... :b12:

น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่านะคะ ถูก-ผิดอย่างไร ขออภัยด้วยค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2009, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ ท่านคามินธรรม :b8:

อ่านแล้วได้ประโยชน์ ได้ข้อคิดนำมาพิจารณาเตือนใจตนเองเลยครับ...

ผมคิดว่า การรู้ขาด กับการรู้เกินย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของคนเราน่ะครับ หากตราบใดเราไม่ได้บรรลุอรหันต์ ตราบนั้นการรู้พอดีให้ได้ตลอดย่อมเกิดยาก แต่จะต้องพยายามกันต่อไป ในโลกแห่งไซเบอร์นี้ยอมรับว่ามองยากว่าใครขาดใครเกิน เพราะสิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้ :b16:

รู้ขาดบ้าง เกินบ้าง พอดีบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย...คิดว่านะ

สวัสดีครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2009, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีเจอกระทู้ธรรมที่ว่าด้วยเรื่อง "อ ธิ ษ ฐ า น ฤ ท ธิ์ "
ที่คุณมัทนาเอ่ยถึง

ขอเชิญทุกท่าน และ"คุณมัทนา"
ไปศึกษานะครับ นำเสนอโดย"คุณกุหลาบสีชา"ครับ

:b32: :b21:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: ขอบคุณครับ ....K คามินธรรม ผู้รอบรู้ ที่นำอุบายธรรมมาสอนคนอื่นให้รู้ รวมถึงสอนผมด้วย
ผมเลยกำหนดรู้หนอ ๆ ๆ หลังจากเกิดความรู้ความซึ้งใจในเรื่องๆนี้แล้ว

ว่าแต่รู้พอดีคือ รู้จริงด้วยปัญญาของตัวเราเองใช่ไหม ประมาณนี้หรือเปล่า :b40:

เพราะรู้ไม่จริง ก็กลายเป็นรุ้เรื่องที่ไร้สาระมากไป เลยกลายเป็น รู้เกิน แล้วทำให้เราหลงตัวเอง :b39:

เพราะรู้ไม่จริง ก็กลายเป็นรู้ไม่เท่าทันกิเลสมาร เลยขาดปัญญา ขาดสติ ขาดขันติ ไว้ต่อกรกับกิเลสที่เก่งกาจ
:b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 138 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร