วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 01:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 07:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


murano เขียน:
ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ฤทธินั้นเกิดจากจิต ไม่ใช่ของติดตัวแบบ Superman ถ้าสมาธิหาย ฤทธิก็หมด



ฤทธิ์ไม่ใช่ของติดตัวตามธรรมชาติ แต่มีเหตุเกิด
ฤทธิ์เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาจากฌาน(ทั้งโลกียะและโลกุตระ)

บางท่านจะสามารถเกิดฌานได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เพราะ จริตนิสัยเป็นเช่นนั้น หรือมีอธิวาสนาติดฝังในขันธสันดารมาจากภพชาติเก่า เช่น บางท่านที่เจริญสมาธิได้ฌานโดยใช้เวลาสั้นๆ ท่านผู้รู้กล่าวว่า ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นเคยบวชเป็นฤาษีในอดีตชาติ.

และ ในกลุ่มที่ได้ฌาน ก็หาใช่ว่าทุกคนจะมีฤทธิ์
ผู้ได้ฌานที่มีฤทธิ์จะต้องมีอิทธิบาท เชี่ยวชาญในฌาน(วสี) ดังเช่นที่แสดงใน อิทธิบาทภาวนา

อภิญญามีหกอย่าง
ห้าอย่างแรกเป็นได้ทั้งโลกียะ และ โลกุตระ.
ข้อสุดท้ายคือ อาสวักขยญาณ คือ ความดับสนิทของเหตุแห่งทุกข์ เป็นเฉพาะโลกุตระ.. เราท่าน มาสนใจอภิญญาข้อสุดท้ายกันดีกว่า




อ้างคำพูด:
แต่รู้สึกว่า เรื่องราวทางจิต ยิ่งศึกษามาก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ อิอิ :b4:


เรื่องราวทางจิตที่นำไปสู่การพ้นทุกข์โดยตรง ยิ่งศึกษามากยิ่งมีประโยชน์
แต่ ต้องศึกษาและ น้อมธรรมมาปฏิบัติ(โอปนยิโก)ด้วย ...ไม่ใช่ศึกษาอย่างเดียว

แต่ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการพ้นทุกข์โดยตรง เข่น เรื่องฤทธิ์ ยิ่งศึกษาโดยใช้ตรรกะเหตุผลมากเท่าใด ยิ่งเพี้ยนง่ายเท่านั้น


ฤทธิ์เป็นสิ่งที่สืบเนื่องจากฌาน

และ ฌานวิสัย เป็นหนึ่งใน สี่ อจินไตย คือ สิ่งที่ไม่สามารถใช่ความคิดตรรกะหยั่งเอาได้ทั้งหมด

คือ ผู้ที่ไม่ได้ฌาน ไม่มีฤทธิ์ ไม่สามารถประจักษ์ในเรื่องเหล่านี้โดยตนเอง...จะไปใช้ความคิดตรรกะหยั่งในเรื่องเหล่านี้เอา ก็คงได้ระดับหนึ่ง. แต่ จะให้แจ่มแจ้งแทงตลอดโดยการใช้ความคิดตรรกะหยั่งเอามันเป็นไปไม่ได้

กล่าวง่ายๆ คือ ถ้าไม่ได้ฌานและไม่เชี่ยวชาญในฌาน(วสี) จะไปคิดหาเหตุผลให้แจ่มแจ้งแทงตลอดเอาในเรื่องเหล่านี้ มีสิทธิ์เป็นบ้าได้



ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านถึงไม่สนับสนุนให้ลูกศิษย์ไปสนใจเรื่องเหล่านี้มาก

เพราะ เป็นเหตุให้ฟุ้งซ่าน และ ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์โดยตรง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาพระไตรปิฏกเต็มๆมาให้ดูกันครับ

Quote Tipitaka:
ภิกษุ ท.! ตถาคตเป็นผู้ประกอบด้วยพลญาณ ๑๐ อย่าง และประกอบด้วยเวสารัชชญาณ ๔ อย่าง จึง ปฎิญญาตำแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักร ในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย. *๑

สารีบุตร ! เหล่านี้เป็นตถาคตพล ๑๐ อย่าง ของตถาคต ที่ตถาคตประกอบพร้อมแล้ว ปฎิญญาตำแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในท่ามกลางบริษัททั้งหลายได้, สิบอย่างคือ:- *๒

(๑) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งสิ่งเป็นฐานะ (คือมีได้เป็นได้)โดยความเป็นสิ่งมีฐานะ, ซึ่งสิ่งไม่เป็นฐานะ (คือไม่มีได้ไม่เป็นได้) โดยความเป็นสิ่งใช่ฐานะ : นี้เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๒) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งวิบาก (คือผล) ของการทำกรรมที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ได้ทั้งโดยฐานะและโดยเหตุ : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๓) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งปฏิปทาเครื่องทำผู้ปฏิบัติให้ไปสู่ภูมิทั้งปวงได้ : นี่ก็เป็น ตถาคตพลของตถาคต.

(๔) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งโลกนี้อันประกอบด้วยธาตุมิใช่อย่างเดียว ด้วยธาตุ ต่าง ๆ กัน *๓ : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๕) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งอธิมุติ (คือฉันทะแลบะอัธยาศัย)อันต่าง ๆ กัน ของ สัตว์ทั้งหลาย : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๖) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความยิ่งและหย่อน แห่งอินทรีย์ของสัตว์เหล่าอื่น ของ บุคคลเหล่าอื่น : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๗) ตถาคต ย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้วความออก แห่งฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติทั้งหลาย : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๘) ตถาคต ย่อมระลึกได้ ซึ่งขันธ์อันตนเคยอยู่อาศัยในภพก่อนมีชนิดต่าง ๆ กัน คือระลึก ได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง *๔ ---ฯลฯ : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๙) ตถาคต ย่อมเห็นสัตว์ ท. ด้วยทิพยจักขุอันนหมดจด ก้าวล่วงจักขุมนุษย์ : เห็นสัตว์ ทั้งหลายผู้เคลื่อนอยู่บังเกิดอยู่ *๕ ---ฯลฯ : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

(๑๐) ตถาคต ย่อมทำให้แจ้ง เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะเพราะความสิ้นไปแห่ง อาสวะ ท. ได้ *๖ ---ฯลฯ : นี่ก็เป็นตถาคตพลของตถาคต.

สารีบุตร! เหล่านี้แล เป็นตถาคตพลสิบอย่าง ของตถาคต ที่ตถาคตประกอบแล้ว ย่อม ปฎิญญาตำแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรให้เป็นไปในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย.


เชิงอรรถ ----
๑. บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๓/๖๕. ตถาคตพลสิบ เรียกกันว่า ทสพลญาณ.
๒. บาลี มหาสีหนาทสูตร มู.ม. ๑/๑๔๐/๑๖๖. ตรัสแก่พระสารีบุตร ที่ชัฎป่า นอกนครเวสาลี.
๓. เช่นรูปธาตุ นามธาตุ เป็นต้น ซึ่งแยกกระจายออกได้อีกมาก.
๔. ดูที่จำแนกพิสดารในภาค ๒ ตอนการตรัสรู้ ว่าด้วยวิชชาที่หนึ่ง.
๕. ดูที่จำแนกพิสดารในภาค ๒ ตอนการตรัสรู้ ว่าด้วยวิชชาที่สอง.
๖. ดูที่จำแนกพิสดารในภาค ๒ ตอนการตรัสรู้ ว่าด้วยวิชชาที่สาม.

(ในบาลีแห่งอื่น มีกล่าวถึงตถาคตพลญาณเป็นอย่างอื่น คือกล่าวถึงตถาคตพลญาณ เพียง ๖ โดยเว้นข้อ (๓) (๔) (๕) และ (๖) เสียจากจำนวน ๑๐ ที่มีกล่าวอยู่ในที่นี้. -ฉกํก. อํ. ๒๒/๔๖๖/๓๓๕. บาลีอีกแห่งหนึ่ง กล่าวถึงตถาคตพลเพียง ๕ ดังที่มีอยู่ในหัวข้อถัดลงไปจากนี้)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ เราคิดแบบนี้นะ...
จริงอยู่ที่เรื่องราวของฤทธิ์ต่างๆ นั้น เป็นเพียงผลพลอยได้จากการปฏิบัติ ของบางคน และไม่ใช่สาระสำคัญของศาสนาพุทธ แต่ว่า...
สังคมเราไม่ได้เป็นสังคมอุดมคติ มีเื่รื่องราวของผู้ (แอบอ้าง) มีฤทธิ์มีเดชต่างๆ นานา การศึกษาถึงขอบเขต และลักษณะของฤทธิ์ อาจเป็นเพียงแค่หลักทั่วไปอย่างกว้างๆ ก็ย่อมมีผลต่อ ภูมิคุ้มกันทางสังคม ไม่มากก็น้อย (ซึ่งแปลว่า มาก :b32: )

แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้ พระสงฆ์ (โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่มีอภิญญา) อาจถือว่า เป็นเรื่องแล้วแต่กรรมของคน กรรมของสังคม หรือกรรมของโลก และย่อมไม่ใช่กิจของสงฆ์ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่เราคิดว่า การตีแผ่เรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กว่ามาก เช่น
หากลำดับของอภิญญานั้น เป็นจริง คนทั่วไปก็ย่อมสามารถตั้งข้อสงสัยถึงผู้มีฤทธิต่างๆ ได้ (แม้ไม่ทั้งหมดก็ตาม) ซึ่งย่อมดีกว่า ปล่อยไปตามยถากรรมกับคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

หรือการเปิดเผยเรื่องนิมิตต่างๆ ก็ย่อมเป็นการช่วยให้คนที่ติด กับดักสมาธิ ได้ตระหนักและหาทางเดินที่ถูกต้องต่อไป

และแม้จะมีคนจำนวนน้อย ที่สามารถฝึกจิตได้ถึงระดับสูง แต่หากมีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ ก็ย่อมเป็นกำลังใจให้คนมาปฏิบัติมากขึ้น (อย่างน้อย ก็ในคนจำนวนน้อยนั่นแหล่ะ)

แต่ความคิดคนเราเปลี่ยนแปลงได้ วันข้างหน้าเราจะเปลี่ยนก็ได้...


ปล. นี่เรายังไม่รู้เลยว่า ได้ญาณหรือเปล่า แต่คิดว่าคงได้ เพราะสงสัยอดีตชาติ เคยเป็นฤาษีตี๋หิด :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนในเรื่องของการพิสูจน์ การมีอยู่จริงของอภิญญา นั้น เราคิดว่าสำคัญ หากอภิญญาที่ 1 มีจริง สามารถแสดงฤทธิได้จริง มันก็พอจะอนุมานไปได้ว่า อภิญญาต่อๆ ไป ก็น่าจะมีอยู่จริง และนั่นย่อมเป็นผลดีต่อตัวศาสนาเอง (ในอีกมุมหนึ่ง มันอาจทำให้เกิดสังคมเวทย์มนต์คาถาก็ได้ ซึ่งก็น่าคิด)

ที่เราสนใจอีกเรื่องในตอนนี้ ก็คือ ขอบเขตของฤทธิ
แน่นอนว่า ฤทธิในการดลบันดาล หรือขับเคลื่อน สิ่งที่มีมวลเบาบาง (หรือในระดับพลังงาน) นั้น ทำได้ เช่น บันดาลให้เกิดลม ฝน ความร้อน ไฟฟ้า (ฟ้าผ่า) นั่นย่อมหมายความว่า การบันดาลให้เกิดไฟ ย่อมเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับกำลังจิต
แต่สิ่งที่ยังต้องพิจารณาคือ มวลที่หนาแน่นขึ้น (ของเหลว) และมวลที่หนาทึบ (ของแข็ง)
หากฤทธานุภาพ สามารถบันดาลความเป็นไปของมวลเหล่านี้ได้ทั้งหมด ก็ย่อมเท่ากับว่า ฤทธินั้น ไม่มีขอบเขต
ฤทธิสืบเนื่องจากจิต กลายเป็นเซน ทุกสิ่งในจักรวาลคือสิ่งเดียวกัน อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หากลำดับของอภิญญานั้น เป็นจริง


อภิญญานั้นไม่เรียงลำดับหรอกครับ

เพราะ พระอรหันต์ส่วนใหญ่เป็นปัญญาวิมุติ ท่านบรรลุเพียงอาสวักขยญาณ(ลำดับที่หกซึ่งเป็นข้อสุดท้าย)อย่างเดียว อภิญญา5ข้อแรกท่านไม่บรรลุ

และ พระอรหันต์เตวิชโช ที่ท่านบรรลุทิพยจักษุจุตูตปปญาณ(คือ มีอภิญญาข้อ4และข้อ5) ท่านเองก็ไม่ได้อิทธิวิธี(ข้อ1)



อ้างคำพูด:
หรือการเปิดเผยเรื่องนิมิตต่างๆ ก็ย่อมเป็นการช่วยให้คนที่ติด กับดักสมาธิ ได้ตระหนักและหาทางเดินที่ถูกต้องต่อไป


อาจจะกลายเป็น
เหล้าดี ยิ่งกินยิ่งเมา (คำสอน หลวงปู่ ชา สุภัทโท)





ในสมัยพุทธกาล มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์

เพราะ ในสมัยนั้น จะมีเจ้าลัทธิที่เป็นฤาษีชีไพรออกบวชเนกขัมมะบำเพ็ญฌานกันมากมาย และ ก็น่าจะมีฤทธิ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกัน....
ท่านเหล่านี้ จะมีอัตตาในลักษณะหนึ่งว่า "ข้ายิ่งใหญ่ด้วยจิต".
แต่ ท่านเหล่านี้ ก็เป็นผู้ที่ออกจากกามแล้ว ซึ่งเอื้อต่อการบรรลุธรรมขั้นสูง(อ่าน โพธิราชกุมารสูตร เปรียบผู้บำเพ็ญเนกขัมมะด้วย ไม้แห้งไม่ชุ่มน้ำ ย่อมสามารถก่อไฟง่าย คือ บรรลุธรรมขั้นสูงง่าย)

การที่พระอรหันต์จะไปเทศน์ให้พวกเหล่านี้ฟัง ก็ต้องสามารถคลายทิฏฐิปราบพยศได้ ถ้าไม่เช่นนั้นยากที่บุคคลเหล่านี้จะฟัง
สิ่งที่จะทำให้บุคคลเหล่านั้นยอมศิโรราบฟังธรรม ก็คือ ฤทธิ์ที่เหนือกว่า

ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรมานชฎิลสามพี่น้อง และบริวารอีก1000 จึงสามารถประกาศพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างหนักแน่น และ พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์มคธ(มหาอำนาจในสมัยนั้น)ก็บรรลุโสดาบัน ในเวลาถัดมาเล็กน้อย ซึ่งเป็นคุณูปการมหาศาลในการประกาศพระศาสนา

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... =40&t=7914

หรือ พระมหาโมคคัลานะ ที่ใช้ฤทธิ์คลายทิฏฐิฤาษี นาค ต่างๆ

ฤทธิ์จึงมีความจำเป็นในการเผยแผ่พระศาสนาในยุคนั้นมาก



แต่ ในยุคปัจจุบัน การเสวนาเรื่อง ฤทธิ์ มากเกินไป อาจจะพาคนเข้าป่าเข้าดงง่ายๆ ถ้าไม่รอบครอบเพียงพอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ฤทธิ์ อภิญญานี่ มีได้ก็เสื่อมได้ ดูอย่าง พระเทวทัตสิ ปัจจุบันยังต้องไปอยู่ในอบายภูมิ แม้จะมีฤทธิ์มาก

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็จริงครับ แต่ถ้าเราอยากจะแทรกศาสนาพุทธ เข้าไปในโลกของวิทย์ มันอาจจำเป็นที่จะต้องมีบางสิ่งบางอย่าง ในการท้าทายวิทยาศาสตร์ ว่าไม่ได้อยู่เหนือทุกสิ่ง

แต่ก็นั่นล่ะ มันมีแนวโน้มจะเข้าป่ากันมากกว่า กลายเป็น สังคมอุดมไสยศาสตร์
เหล้าดี ยิ่งกินยิ่งเมา :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2009, 22:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเจอแหล่งข้อมูล พระอภิธรรม ฉบับภาษาชาวบ้านแล้ว แต่ยังไม่ขออ่านมาก เพราะยังไม่อยาก ละกิเลสก่อนวัยอันควร :b4: แต๊งๆ ที่เข้ามาเสวนาด้วย :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 67 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร