วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 19:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์

แล้วอะไรที่ประกอบขึ้นมา หรือเป็นปัจจัย ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของนิพพานละครับท่าน

นิพพานยังมีตัวตนหรืออัตตาอีกหรือ

ถ้ามีก็ต้องเสื่อมสลายอีก

เป็นอนิจจัง อนัตตา

เฮ้อ

ชาติก่อนคงทำร้ายพระอริยบุคคลจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 20:37
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ใจกว้างกันหน่อยสิครับทุกท่าน หลักฐานเรื่องอัตตาน่ะ มันแน่น แต่คุณๆ ก็ยังไม่ค่อยจะรับกัน ทิฏฐิมันก็บังคุณๆอยู่เหมือนกัน

ถ้าผมจะบอกว่านิพพานคือนิพพาน คุณจะรับกันได้มั้ย แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นอนัตตา น่ะ ไม่ได้แน่นอน ถ้านิพพานเป็นอนัตตาที่อยู่ในไตรลักษณ์ นิพพานก็ไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ แน่ๆ จริงมั้ย

แต่ถ้าบอกว่า อนัตตาจากกิเลสน่ะใช่ ในอรรถกถาท่านว่า เหมือนเรือนว่าง หม้อว่าง แต่เรือนกับหม้อน่ะมี พอใจยัง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ท่านแก้ว่าอนัตตาหมายเอาธรรมในภูมิ ๓ ไม่ใช่ธรรมในภูมิ ๔ คือ มรรค ผล นิพพาน เข้าใจมั้ย เฮ้อ

คุณๆ ถ้าจะเถียงเรื่องอัตตา อนัตตา อย่าตามกระแส ต้องรู้จริง

เขาก็อธิบายกันมาตั้ง ยุคพันต้นๆแล้ว รู้เปล่า เคยศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาจริงจังกันไหม หรือตามกระแส อยากโชว์กัน หรือเกลียดวัดรรมกาย

ตัดเรื่องวัดพระธรรมกายทิ้ง รายนั้นไม่มีความรู้จริงจากครูอาจารย์เขาเท่าไร ตัดทิ้งไปเลย
แล้วคุณๆก็อย่าเชื่อตามเจ้าคุณ ปอ.ปยุตโต ไปซะทุกเรื่อง นักปราชญ์ ก็ยังผิดพลาดได้

เอาเป็นว่ายุคพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสตรงๆเพราะกลัวนักบวชในยุคนั้นหลงผิดว่าอันเดียวกับ ปรมาตมัน ปัญจวัคคีย์ก็ทรงสอนพระสูตรอื่นก่อน บรรลุโสดาบันแล้วค่อยมาสอน อนัตตลักษณ์ น่ะ

สรุป นิพพาน คือ นิพพาน ไม่ใช่อนัตตา(ไตรลักษณ์) ไม่ใช่อัตตา(นุทิฎฐิ) ยุติครับพี่น้อง

ตัดอคติ และ การตามกระแสทิ้ง ตัดวัดธรรมกายทิ้งไปเลย แล้วคุยกันอย่างนักปฏิบัติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่ถ้าบอกว่า อนัตตาจากกิเลสน่ะใช่ ในอรรถกถาท่านว่า เหมือนเรือนว่าง หม้อว่าง แต่เรือนกับหม้อน่ะมี พอใจยัง สัพเพ ธัมมา อนัตตา ท่านแก้ว่าอนัตตาหมายเอาธรรมในภูมิ ๓ ไม่ใช่ธรรมในภูมิ ๔ คือ มรรค ผล นิพพาน เข้าใจมั้ย เฮ้อ


ไม่ทราบว่าอรรถกถาท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ หรือปัจเจกพุทธหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามต่อ

ความว่างอยู่กลางหม้อเราเรียกว่าหม้อ

ความว่างที่อยู่กลางหลุมใหญ่ระหว่างหุบเขาเรียกว่าเหว

ใช่หรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.พ. 2009, 20:37
โพสต์: 5


 ข้อมูลส่วนตัว


ครูอาจารย์ไม่เคยสอนหรือครับ

หลักการพิจารณาพระธรรมวินัย

ชั้น หนึ่ง พระไตรปิฎก

ชั้น สอง อรรถกถา

ชั้น สาม ฎีกา อนุฎีกา

แล้วคุณล่ะ เก่งกว่าเตี่ยคุณหรือเปล่า

อย่างน้อยสุด ผมก็ไม่หลบหลู่ อรรถกถา

รีบๆไป กาเยน วาจาย ว เจตสา วา ฯ ได้แล้ว

ก็เหว อุจเฉททิฏฐิ ไง ไปลึกกว่าทุกๆทิฏฐิ แบบว่าลงเหวนี้แล้ว ไม่ต้องขึ้นอีกเลย เชิญตามสบาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณใจกว้างครับ



พระธรรมปิฎกเป็นแหล่งต้นตอของสัทธรรมปฏิรูปเลย คุณเสถียรพงษ์ ก็เป็นปราขญ์ราชบัญฑิต พวกนี้เป็นพวกที่โดนมารหลอกง่ายมาก เพราะปฏิบัติไม่ถึงขั้น พวกเขายอมรับอยู่แล้วว่าเข้าใจผิด แต่ปากแข็งครับ กลัวเสียหน้า

อนัตตาแปลว่าอะไร พวกนี้ก็ยังไม่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


mes เขียน:
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์

แล้วอะไรที่ประกอบขึ้นมา หรือเป็นปัจจัย ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของนิพพานละครับท่าน

นิพพานยังมีตัวตนหรืออัตตาอีกหรือ

ถ้ามีก็ต้องเสื่อมสลายอีก

เป็นอนิจจัง อนัตตา

เฮ้อ

ชาติก่อนคงทำร้ายพระอริยบุคคลจริงๆ


1. อัตตาที่ต้องเสื่อมสลาย คือ อัตตาปลอม หรือ อนัตตา หรือ อัตตาทิฏฐิ หรือ อัตตาอุปทาน

2. ชาติก่อนผมไม่เคยทำร้ายพระอริยะบุคคล ชาตินี้ปัญญาผมจึงเปิด ชาติก่อนคุณคงทำร้ายพระอริยบุคคลจริงๆ ทำยังไงๆก็ไม่เข้าใจสักที

3. ธรรมชาติ” นั้นมีอยู่ ๒ ส่วน 1.ธรรมชาติแห่งโลกียวิสัย (สังขตธาตุ) กับ 2. ธรรมชาติแห่งโลกุตตระ(นิพพาน หรือ อสังขตธาตุ)

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอายตนนิพพานว่า:

“ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เหล่านี้ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ได้กล่าวถึงอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยไม่ได้ ไม่ได้เป็นไป หาอารมณ์ไม่ได้ นั่นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”


พระอวโลกิเตศวรตรัสกับพระสารีบุตรว่าในปารมิตาหฤทัยสูตรว่า

ธรรมกายก็คือ ปรัชญาปารมิตา ซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีตฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาล”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ไม่มีประโยชน์ ที่จะมาถกเถียง
เราต้องปฏิบัติไปให้มันถึงเอง รู้เองเห็นเอง

การที่เรามาตีหรือแปลความหมายพระไตรปิฎกตามความเข้าใจ
เหมือนการแปลไทย ให้เป็นไทย แล้วแปลตามความเข้าใจของตัวเอง
มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจากความเป็นอัตตาที่จะเพิ่มขึ้น

ใครยึดอัตตา ใครถืออัตตา
เราก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องเอาอัตตาของเราไปคัดค้าน
มาทำความเห็นของตัวเอง ให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิจะดีกว่า
มาเปลี่ยนที่ตัวเองเถอะครับ

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 13:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจกว้าง เขียน:
ครูอาจารย์ไม่เคยสอนหรือครับ

หลักการพิจารณาพระธรรมวินัย

ชั้น หนึ่ง พระไตรปิฎก

ชั้น สอง อรรถกถา

ชั้น สาม ฎีกา อนุฎีกา

แล้วคุณล่ะ เก่งกว่าเตี่ยคุณหรือเปล่า

อย่างน้อยสุด ผมก็ไม่หลบหลู่ อรรถกถา

รีบๆไป กาเยน วาจาย ว เจตสา วา ฯ ได้แล้ว

ก็เหว อุจเฉททิฏฐิ ไง ไปลึกกว่าทุกๆทิฏฐิ แบบว่าลงเหวนี้แล้ว ไม่ต้องขึ้นอีกเลย เชิญตามสบาย


ใจกว้างจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการคือ

อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่


นี่คือหลักในการพิจารณาธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสั่งสอนเวไนยสัตว์

อรรถกถาจารย์ที่ไม่บรรลุนิพพานมาอธิบายเรื่องนิพพานก็เหมือนตาบอดครำช้างแน่นอน

การแสดงเหตุผลไม่ใช่เป็นการลบหลู่

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาว่าด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความงมงาย

คุณใจกว้างจะเชื่ออะไรก็เป็นเรื่องของคุณใจกว้าง

เช่นเดียวกับผม

และเตี่ยของผมมาเกี่ยวอะไรด้วย

(เตี่ยผมเพิ่งจากไปไม่นานนี้ครับเลยสะเทือนใจนิดหน่อย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สำนวนคุ้นๆกับคนที่โจมตีท่านพุทธทาส

ผมอโหสิกรรมให้

ตามพระธรรมของตถาคต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เรื่องมหาปเทศ ๔ อย่าง

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนคร แล้ว ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค
ประทับ ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง มหาประเทศ ๔ เหล่านี้ พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัส
ของพระผู้มีภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้

[๑๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะ
พระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม
ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวน ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้
เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาค
แน่นอน และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึง ทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนใน
พระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงใน พระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำ สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศ
ข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ

[๑๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของ
พระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะ
เหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตรเทียบเคียง
ในพระวินัย ลงในพระสูตร ไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น
พวกเธอพึงทิ้ง คำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระ สูตรได้
เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน
และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สองนี้ไว้ ฯ

[๑๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น
เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้า
พระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็น ธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึง คัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบ
เคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้
ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความ ตกลงในข้อนี้ว่านี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค
แน่นอน และพระเถระเหล่านั้น จำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลง
ในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูก ต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สามนี้ไว้ ฯ

[๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น
เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรง วินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้า
พระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบ สวนในพระสูตร เทียบเคียงใน
พระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้
ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค
แน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบ
สวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้เป็นคำของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอพึงทรงจำ
มหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำ มหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ


นี่คือคำตรัสของพระพุทธะจ้าก่อนมหาปรินิพพาน

ในมหาปรินิพพานสูตร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พุทธอุทาน

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความนั้นแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

[๑๒๗] บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรย่อมไม่ก่อแก่ผู้สำรวมอยู่ คนฉลาด เทียว ย่อมละกรรมอันลามก
เขาดับแล้วเพราะราคะ โทสะ โมหะ สิ้นไป ฯ


สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เรื่องสุภัททปริพาชก

[๑๓๘] ก็สมัยนั้น ปริพาชกนามว่า สุภัททะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา สุภัททปริพาชกได้สดับว่า พระสมณโคดม
จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรี ในวันนี้แหละ สุภัททปริพาชกได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ก็เราสดับถ้อยคำของพวก
ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก
ในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจัก ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้
ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่เรา
โดยประการที่เราจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัย นี้ได้ ฯ

ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกเข้าไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักของพวกเจ้า มัลละ เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และ
ปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้ง บางคราว พระสมณโคดม
จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าก็มีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าโดย ประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ข้าแต่ท่านอานนท์ ขอโอกาส เถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้าพระ
สมณโคดม เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า อย่าเลย สุภัททะ
ท่านอย่า เบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว แม้ครั้งที่สอง สุภัททปริพาชก ... แม้ครั้ง
ที่สาม สุภัททปริพาชกก็ได้กล่าวว่า ข้าแต่ท่านอานนท์ ข้าพเจ้าได้สดับถ้อยคำของพวกปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลก ในบางครั้ง บางคราว พระสมณโคดมจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมเป็นที่สงสัยนี้ ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า
ก็มีอยู่ ข้าพเจ้าเลื่อมใสใน พระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมย่อมสามารถจะแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า โดยประการที่ข้าพเจ้าจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ขอโอกาสเถิด ข้าพเจ้าควรได้เฝ้า
พระสมณโคดม แม้ครั้งที่สาม ท่านพระอานนท์ ก็ได้กล่าวตอบสุภัททปริพาชกว่า อย่าเลย สุภัททะ
ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคทรงลำบากแล้ว

พระผู้มีพระภาคทรงได้ยินถ้อยคำท่าน พระอานนท์เจรจากับสุภัททปริพาชก จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์
มารับสั่งว่า อย่า เลยอานนท์ เธออย่าห้ามสุภัททะ สุภัททะจงได้เฝ้าตถาคต สุภัททะจักถามปัญหา อย่างใดอย่าง
หนึ่งกะเรา จักมุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งความเบียดเบียน อนึ่ง เราอัน สุภัททะถามแล้ว จักพยากรณ์ข้อความอันใด
แก่สุภัททะนั้น สุภัททะจักรู้ทั่วถึงข้อ ความนั้นโดยฉับพลันทีเดียว ฯ

ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้บอกสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิดสุภัททะ พระผู้มีพระภาคทรงทำโอกาสแก่ท่าน สุภัททปริพาชกเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้น
ผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่ พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่านี้ใด เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมาก สมมติ
ว่าเป็นคนดี คือบูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญาของตนๆ หรือว่าทั้งหมด ไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวก
ไม่ได้ตรัสรู้ ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อย่าเลย สุภัททะ ที่ข้อถามนั้นงดเสียเถิด


ทรงแสดงธรรมแก่สุภัททะ

ดูกรสุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว สุภัททปริพาชก
ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยใด ไม่มีอริยมรรค
ประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น ไม่มีสมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ในธรรมวินัยใด
มีอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ในธรรมวินัยนั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ดูกรสุภัททะ ในธรรมวินัยนี้ มีอริยมรรคประกอบด้วย องค์ ๘ ในธรรมวินัยนี้เท่านั้น มีสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ หรือที่ ๔ ลัทธิอื่นๆ ว่างจาก
สมณะผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ

[๑๓๙] ดูกรสุภัททะ เราโดยวัยได้ ๒๙ ปี บวชแล้ว ตามแสวงหาว่า อะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เรา
บวชแล้ว นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะผู้ เป็นไปในประเทศแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอก
แต่ธรรมวินัยนี้ ฯ

สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ หรือสมณะที่ ๔ ก็มิได้มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะ ผู้รู้ทั่วถึง ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ
โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย ฯ


ติตถิยปริวาส

[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สุภัททปริพาชก ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ
พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด
พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้น เหมือน กัน ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบท ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุ ทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุ
ก็แต่ว่า เรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้ ฯ สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้ที่เคยเป็น
อัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาสสี่เดือน เมื่อล่วงสี่เดือน ภิกษุทั้งหลาย
เต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบท เพื่อความ เป็นภิกษุไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาสสี่ปี เมื่อล่วงสี่ปี
ภิกษุทั้งหลายเต็มใจแล้ว จึงให้บรรพชา ให้อุปสมบทเถิด ฯ


สุภัททสำเร็จอรหัต

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัทท
ปริพาชกบวชเถิด ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคแล้ว สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่าน
พระอานนท์ว่า ดูกรท่านอานนท์ ผู้มีอายุ เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดาทรงอภิเษกด้วย
อันเตวาสิกาภิเษก ในที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้ สุภัททปริพาชกได้บรรพชา อุปสมบท ในสำนักพระ
ผู้มีพระภาค ก็ท่านสุภัททปริพาชกได้บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียว เป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ ไม่ช้านานนัก ก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตร
ทั้งหลายผู้มีความต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ด้วยปัญญา อันยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบัน
เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบ แล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี
ท่านสุภัททะ ได้เป็นอรหันต์รูปหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเป็นสักขิสาวกองค์ สุดท้ายของพระผู้มี
พระภาค ฯ


ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์

[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมี
ความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
ธรรมและวินัย อันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็น
ศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา

ดูกรอานนท์ บัดนี้ พวกภิกษุยัง เรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโส ฉันใด โดยกาลล่วงไป
แห่งเรา ไม่ควรเรียกกัน ฉันนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า โดยชื่อหรือโคตร หรือโดยวาทะว่า อาวุโส แต่ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภันเต หรืออายัสมา ดูกรอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเรา สงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้ โดยล่วงไป แห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ ท่านพระอานนท์กราบทูล
ถามว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ก็พรหมทัณฑ์เป็นไฉน พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์
ฉันนภิกษุพึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่า ไม่พึงกล่าว ไม่พึง สั่งสอน ฯ

[๑๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือ
แคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใน มรรค หรือในข้อปฏิบัติ จะพึงมีบ้างแก่ภิกษุ แม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มีความร้อนใจภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว ยังมิอาจ ทูลถามพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะ
พระพักตร์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันนิ่ง แม้ครั้งที่สอง ... แม้ครั้งที่สาม พระผู้มี
พระภาครับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์
ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติจะพึงมีบ้างแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง พวก เธอจงถามเถิด อย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเรา แล้ว เรายังมิอาจทูลถามพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะพระพักตร์ แม้ครั้งที่สามภิกษุ
เหล่านั้น ก็พากันนิ่ง ฯ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บางทีพวกเธอไม่ถาม แม้เพราะความ
เคารพในพระศาสดา แม้ภิกษุผู้เป็นสหาย ก็จงบอกแก่ภิกษุผู้สหายเถิด เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุ
พวกนั้น พากันนิ่ง ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระ องค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์
ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุสงฆ์อย่างนี้ว่า ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ในมรรค หรือใน ข้อปฏิบัติ มิได้มีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร อานนท์ เธอพูดเพราะความเลื่อมใสตถาคตหยั่งรู้ในข้อนี้เหมือนกันว่า ความสงสัย เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติ มิ ได้มีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้ บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ภิกษุรูป
ที่ต่ำที่สุด ก็เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า ฯ


พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือน
พวกเธอว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาท
ให้ถึงพร้อมเถิด ฯ นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ


สัจจธรรมของพระตถาคต

ไม่ต้องอธิบาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านข้อความของท่านใจกว้างแล้วคิดถึงคุณยุติธรรมเหลือเกิน..... :b32: :b32:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร