วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 09:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 15:37
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลข้อกาเม แค่คิดและเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ ในทางเกินเลยมากกว่าเพื่อน เช่นคำพูด ความห่วงใย ที่ทำให้คู่ครองอีกฝ่ายไม่สบายใจ แต่ไม่ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ถือว่าผิดศีลหรือไม่

มีคนบอกว่าสามีมีคนใหม่เพราะภรรยาทำตัวไม่ดีกับครอบครัวเขา มันเป็นผลกรรมที่ภรรยาควรได้รับ อยากทราบว่าการทำกรรมอย่างหนึ่ง เราไม่จำเป้นต้องได้รับผลกรรมในรูปแบบเดียวกันหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


1. ไม่บาปและไม่ผิดศีลข้อ 3 ครับ ถ้าคุณไม่มีความรู้สึกทางเพศ ไม่มีความรัก ไม่มีเยื้อไยอะไรเลยต่อกัน นั่นซิครับผิดปกติมนุษย์

ศีลข้อ 3 จะไม่ผิด ถ้าคุณเป็นเด็กต่างจังหวัด และไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดาแล้ว ไปร่วมเพศกับเขาไม่ถือว่าผิดครับ เป็นการระบายออกทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่ดีกว่าการสำเร็จความไคร่ด้วยตัวเอง แต่ต้องให้เขาใช้ถุงยางด้วยนะครับ

ฝรั่งในอเมริกาหรือในอังกฤษ เมื่อเป็นวัยรุ่น เขาไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดา เขาจึงเสียตัวเป็นปกติ

2. สามีจะนอกใจภรรยาก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ภรรยานอกใจสามีก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ อย่างนี้ทุกคู่แหละครับ หลักของศีลข้อ 3 เป็นหลักของการละเมิด ถ้าสามีจะนอกใจภรรยา หรือภรรยาจะนอกใจสามี แล้วไม่บาป กระทำได้ 2 กรณี

a. คู่ครองของเขาต้องอนุญาต
b. เขาต้องหย่ากัน หรืออีกฝ่ายตายไป

กรณีอื่นอาจมีอีก แต่ขี้เกียจคิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขึ้นชื่อว่าบุญ ต้องเป็นเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส สะอาด ไม่เศร้าหมอง
ถ้าทำแล้วจิตใจสะอาด ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ก็นับว่าเป็นบุญ

ถ้าทำแล้วเฉยๆ จิตใจไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลงเช่น ยืน เดิน นั่ง นอนน หายใจ
อันนี้ก็ไม่จัดเป็นบุญหรือบาป


ที่เหลือจากนี้ นับเป็นบาปครับ
จิตที่บาปจะมีความกระด้าง ไม่อ่อนโยนละมุนละไม ตื้อๆตันๆ ไม่ว่องไวกระฉับกระเฉง
เช่นจิตที่กังวล เศร้าหมอง มีราคะ มีความอยากได้
มีความต้องการครอบครองในของของคนอื่น
มีความโกรธเมื่อไม่ได้ มีความหลงในอารมณ์ ฯลฯ
ส่วนเรื่องบาปในข้อกาเมหรือไม่ บาปแน่นอนครับ
ไม่ได้บาปข้อกาเมอย่างเดียว มุสาก็บาป อทินาทานาก้บาป
และมีแววว่าอาจจะมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้
กลุ้มหนักก็ต้องดื่มเหล้าย้อมใจ


ไม่ถือศีลก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตั้งใจว่าจะมีศีล ก็อย่าหาทางเล่นแง่เล่นมุม
คือถ้าตั้งใจจะรักษาศีล อย่ารักษาแบบศรีธนลไชย
คนไม่ถือศีล แล้วทำกรรมต่างๆนาๆ ยังไม่เท่าคนถือศีลแล้วพยามจะละเมิดนะครับ
พระท่านถึงบอกว่า ข้อไหนไม่ทำ อย่าอาราธนา อย่าปฏิญาน
ถ้าปฏิญานว่าจะรักษาแล้ว ก็อย่าละเมิด ไม่มีใครห้ามให้ถือศีล

ศีลนั้น ถ้ารักษาศีล จะนำความสุขมาให้ ไม่เดือดร้อน
ถ้าไม่อยู่ในศีล จะนำความเดือดร้อนมาให้

เรื่องศีล อย่าไปสนใจคุณที่ชื่อพลศักดิ์เขาพูด
ท่านจะเดือดร้อนหนักกว่าเดิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
ขึ้นชื่อว่าบุญ ต้องเป็นเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส สะอาด ไม่เศร้าหมอง
ถ้าทำแล้วจิตใจสะอาด ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ก็นับว่าเป็นบุญ

ถ้าทำแล้วเฉยๆ จิตใจไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลงเช่น ยืน เดิน นั่ง นอนน หายใจ
อันนี้ก็ไม่จัดเป็นบุญหรือบาป


ที่เหลือจากนี้ นับเป็นบาปครับ
จิตที่บาปจะมีความกระด้าง ไม่อ่อนโยนละมุนละไม ตื้อๆตันๆ ไม่ว่องไวกระฉับกระเฉง
เช่นจิตที่กังวล เศร้าหมอง มีราคะ มีความอยากได้
มีความต้องการครอบครองในของของคนอื่น
มีความโกรธเมื่อไม่ได้ มีความหลงในอารมณ์ ฯลฯ
ส่วนเรื่องบาปในข้อกาเมหรือไม่ บาปแน่นอนครับ
ไม่ได้บาปข้อกาเมอย่างเดียว มุสาก็บาป อทินาทานาก้บาป
และมีแววว่าอาจจะมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้
กลุ้มหนักก็ต้องดื่มเหล้าย้อมใจ



มั่วแล้วครับคุณคามินธรรม ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง นั่นคือพระอรหันต์แล้วครับ

ศีลข้อกาเมสุมิฉาจารคุณก็ไม่รู้ เอามิจฉาทิฏฐิของคุณไปสอนเด็กรุ่นหลัง

คำว่า กาเมสุมิจฉาจาร ชื่อว่า ....มิจฉาจาร หมายถึง หญิง ๒๐ จำพวก ที่บุรุษไม่ควรล่วงละเมิดทางเพศด้วย คือ

๑. หญิงที่มารดารักษา

๒. หญิงที่บิดารักษา

๓. หญิงที่ทั้งบิดาและมารดารักษา

๔. หญิงที่พี่ชายรักษา

๕. หญิงที่พี่สาวรักษา

๖. หญิงที่ญาติรักษา

๗. หญิงที่โคตรสกุลรักษา

๘. หญิงที่ธรรมเนียมรักษา

๙. หญิงที่มีอารักขา

๑๐. หญิงที่มีสินไหมแก่ผู้ละเมิด

๑๑. หญิงที่เขาซื้อมาเป็นภริยา

๑๒. หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยสมัครใจ

๑๓. หญิงที่ยอมเป็นภริยาโดยโภคสมบัติ

๑๔. หญิงที่หอบผ้าหนีตามผู้ชาย

๑๕. หญิงที่แต่งงาน

๑๖. หญิงที่ชายสวมเทริด

๑๗. หญิงที่เป็นทาสีและภริยา

๑๘. หญิงที่เป็นคนงานและภริยา

๑๙. หญิงเชลย

๒๐. หญิงที่ชายอยู่ร่วมชั่วขณะ เช่น หญิงนครโสเภณีที่ชายอื่นจับจองแล้วในเวลานั้น บุรุษอื่นไม่พึงละเมิดแย่งชิง หรือลักลอบร่วมรัก


ข้อ 20 นี้น่าสนใจ เพราะมันแสดงว่า หญิงโสเภณีที่โดนชายอื่นจับจอง เราผู้เป็นนักเที่ยวเหมือนกันจะไปล่วงละเมิด หรือลักลอบร่วมเพศกับหญิงนั้นเป็นบาป แต่ถ้าเขาไม่ได้จับจอง เราไปเที่ยวหญิงนั้นก็ไม่เป็นบาป

อย่างไรก็ตาม ศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารนี้ แม้ว่าเราไม่ได้ล่วงละเมิดภรรยาของผู้ใด หรือไม่ได้ล่วงละเมิดหญิงที่ผู้ครอบครอง 20 จำพวก แต่ถ้าหากเราไปมักมากในกาม และติดใจ ติดจนงอมแงม อันนี้เป็นการยินดีพอใจในอารมณ์ที่ผิด ถือเป็นมิจฉาทิฏฐิแบบหนึ่ง แต่มิได้เป็นบาป

ในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงในประเทศของเขา เมื่อถึงวัยอันควรแล้ว ผู้ปกครองจะปล่อยให้หญิงชายตัดสินใจเอาเองเรื่องคู่ครอง คู่ควง ดังนั้นการร่วมเพศของวัยรุ่นในประเทศของเขา ก็ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ 3 แต่อย่างใดเหมือนกัน แต่ถ้าหญิงคนนั้นแต่งงานแล้ว ถือว่าเขามีผู้รักษาแล้ว การที่เราไปร่วมเพศกับหญิงนั้นจึงถือว่าผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
1. ไม่บาปและไม่ผิดศีลข้อ 3 ครับ ถ้าคุณไม่มีความรู้สึกทางเพศ ไม่มีความรัก ไม่มีเยื้อไยอะไรเลยต่อกัน นั่นซิครับผิดปกติมนุษย์

ศีลข้อ 3 จะไม่ผิด ถ้าคุณเป็นเด็กต่างจังหวัด และไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดาแล้ว ไปร่วมเพศกับเขาไม่ถือว่าผิดครับ เป็นการระบายออกทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่ดีกว่าการสำเร็จความไคร่ด้วยตัวเอง แต่ต้องให้เขาใช้ถุงยางด้วยนะครับ

ฝรั่งในอเมริกาหรือในอังกฤษ เมื่อเป็นวัยรุ่น เขาไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดา เขาจึงเสียตัวเป็นปกติ

2. สามีจะนอกใจภรรยาก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ภรรยานอกใจสามีก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ อย่างนี้ทุกคู่แหละครับ หลักของศีลข้อ 3 เป็นหลักของการละเมิด ถ้าสามีจะนอกใจภรรยา หรือภรรยาจะนอกใจสามี แล้วไม่บาป กระทำได้ 2 กรณี

a. คู่ครองของเขาต้องอนุญาต
b. เขาต้องหย่ากัน หรืออีกฝ่ายตายไป



คุณคามินธรรมครับ - คุณจะค้านผมต้องมีมีหลักเกณฑ์สิครับ ไม่ใช่เอาภาวะอรหันต์(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ) มามั่วว่า ถ้าใครมีราคะ โกรธ หลง ถือว่าบาปหมด อันนี้ใช้ไม่ได้ครับ

บาปกรรมคือ เจตตาอกุศล เห็นแก่ตัว และทำการละเมิดชายหญิงที่มีผู้รักษา ถ้าชายคนนั้นมีเมียแล้ว ท่านผู้ถามไปละเมิดชายที่มีผู้รักษา ถือว่าผิดศีลข้อ 3 กาเมสุมิฉาจาร คำตอบของผมข้อ 2 จึงชัดเจน ส่วนข้อ 1 ก็ชัดเจน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 15:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณคามินธรรมครับ - คุณจะค้านผมต้องมีมีหลักเกณฑ์สิครับ ไม่ใช่เอาภาวะอรหันต์(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง )


เป้นหลักในพระไตรปิฏกเลยล่ะครับ หลักนี้อยู่ในอภิธรรม เรื่องเจตสิก
คนพลศักดิ์ดูไม่ออกเหรอครับว่าผมกำลังตอบด้วยปรมัตถ์ธรรม


เจตสิกมีแค่สามฝ่าย
1. กุศล ( โสภณเจตสิก)
2. อกุศล (อกุศลเจตสิก)
3. อัพยากฤต (อัญญสมานาเจตสิก )
จิตปุถุชน ชั่วขณะจิตหนึ่งๆ มันก็มีแค่ 1 ในสามประเภทนี้เท่านั้นแหละครับ





พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
มามั่วว่า ถ้าใครมีราคะ โกรธ หลง ถือว่าบาปหมด อันนี้ใช้ไม่ได้ครับ

ถ้าราคะ โมหะ โทสะ ไม่ใช่เจตสิกฝ่ายอกุศล แล้วมันคือฝ่ายกุศลหรือครับ
คุณพลศักดิ์ตกม้าตายติ้นๆกับเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร

คุณพลศักดิ์ช่วยดูให้ชัดๆตรงนี้หน่อยนะครับ...
ผมไม่ได้เขียนเองนะ มันอยู่ในพระอภิธรรม

อ้างคำพูด:
อกุลศลเจตสิก
1. กลุ่มโมหะเจตสิก 4 ดวง(โมจตุกะ 4) ได้แก่ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจะ
2. กลุ่มโลภะเจตสิก 3 ดวง(โลติกะ3) ได้แก่ โลภะ ทิฏฐิ มานะ
3. กลุ่มโทสะเจตสิก 4 ดวง(โทจตุกะ 4) ได้แก่ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ




โดยเฉพาะตัวโมหะ มีกันทุกคน มีเกือบตลอดเวลา
เวลาที่ไม่มีโมหะ คือเวลาที่สติเกิด ซึ่งสติจะเกิดประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วกลับมามีโมหะต่อ
สติเป็นมหากุศลจิต เป็นจิตฝ่ายบุญ (อยู่ในหมวดย่อยโสภณสาธารณะเจตสิก)
เมื่อใดมีสติ เมื่อนั้นไม่มีโมหะ

เมื่อขณะใดๆจิตเป้นบาป ขณะนั้นจิตไม่มีบุญ
บาปกับบุญเกิดพร้อมกันไม่ได้
เจตสิกฝ่ายอัญญสมานาเจตสิกเท่าน้นแหละที่เข้ากับบาปก็ได้ บุญก็ได้หรือบุญ


อย่างผมตอบปัญหาธรรมคุณพลศักดิ์ ทั้งด่าก็ด่า
บุญก็ทำ บาปก็เอา จะว่าทำความดีก็ใช่ ความเลวก็ถูก
จะตัดสินว่าการที่ผมตอบคคุณพลศักดิ์เป้นบุญก็ไมไ่ด้ จะบอกว่าบาปก็ไม่ถูก
เพราะมันเป็นทั้งบุญทั้งบาปเกิดขึ้นมากมาย ในการกระทำที่ชื่อว่าตอบกระทู้




พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
บาปกรรมคือ เจตตาอกุศล เห็นแก่ตัว และทำการละเมิดชายหญิงที่มีผู้รักษา ถ้าชายคนนั้นมีเมียแล้ว ท่านผู้ถามไปละเมิดชายที่มีผู้รักษา ถือว่าผิดศีลข้อ 3 กาเมสุมิฉาจาร คำตอบของผมข้อ 2 จึงชัดเจน ส่วนข้อ 1 ก็ชัดเจน


การที่คุณพลศักดิ์มีความเห็นโดยการตัดสินเรื่องทั้งเรื่องว่าบาปหรือบุญ
เพราะคุณเหมาเอาว่าจิตที่ทำกรรมนั้นมีตัวเดียว อันเดียวกันตลอดการกระทำ
เช่นมองว่าเวลาที่ทำกรรมนั้นจิตตั้งอยู่ในกุศลตลอดเวลา เลยได้กรรมดี

มองว่าคนมีเจตนาดีสืบเนื่องกันไปตลอดระยะเวลาที่กระทำการนั้น
ไม่เข้าใจเรื่องเจตสิกที่เกิดดับสืบเนื่องกัน
เลยมองว่ามันเป้นอันหนึ่งอันเดียวสืบกันไป

และเพราะคุณมองว่าจิตมีตัว มีอัน มีอัตตา สืบเนื่องเป็นอันเดียวแบบนี้แหละครับ
นิพพานของคุณพลศักดิ์เลยมีตัวมีตน


การมองอย่างคุณมองแบบนั้นมันก็ใช้ได้ในกรณีพิจารณาคดีต่างๆในศาล
เพราะมันเป้นระบบวัดความดีความชั่วแบบหยาบๆ แค่พอใช้
แต่เอามาตัดสินบุญบาปแบบนี้ มันลูกทุ่งไปหน่อย


คุณพลศักดิ์มีมิจฉาทิฐิฝ่ายปริยัติ เลยทำให้ปฏิบัติแล้วได้ความเห็นผิด
หลักการก็ผิด เลยปฏิบัติก็ผิด ผลลัพธ์ก็ผิด

ที่ผมตอบคุณนี้ไมไ่ด้หรอกนะครับ ปกติผมก็ไม่พยามเข้าไปยุ่งกับคุณอยู่แล้ว
แต่ที่มาวุ่นวายนี้ เพราะเห็นว่าพาชาวบ้านลงคลองด้วย
ผมรู้สึกว่าอยู่เฉยๆไม่ได้ ทุกขัง เลยต้องไปเรียกมารมาสิงใจสู้กับคุณพลศักดิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณคามินธรรมครับ


ตอบอะไรให้มันตรงประเด็นหน่อยสิครับ เฉไปทางนั้นที ทางนี้ที ไม่เข้าประเด็นสักที คำถามของผมคือ

คุณจะค้านผมต้องมีมีหลักเกณฑ์สิครับ ไม่ใช่เอาภาวะอรหันต์(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ) = อัพยากฤต มามั่วว่า ถ้าใครมีราคะ โกรธ หลง ถือว่าบาปหมด อันนี้ใช้ไม่ได้ครับ

เมื่อคุณไม่เข้าใจประเด็น ผมจะบอกให้ พวกเรากำลังอยู่ในโลกของอวิชชา หรือโลกของการปรุงแต่ง บาปเป็นการปรุงแต่งอกุศล และเจตนาทำกรรมเบียดเบียนวิญญาณอื่นที่อยู่ในขันธ์ 5 ผู้อื่น แต่นี่ไม่มีโจทย์มาฟ้อง ไม่มีการละเมิดคนอื่น จึงเป็นบาปไม่ได้ ไม่ใช่เป็นกาเมสุมิจฉาจาร จึงไม่ผิดศีลข้อ 3 เพราะการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีอารมณ์ทางเพศแล้วระบายออก ถือว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ขนาดพระโสดาบันยังตัดไม่ได้เลย

พูดง่ายๆ ราคะเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ มันจะเป็นบาปอกุศล ก็ต่อเมื่อมีการละเมิดผู้รักษาหญิงหรือชายนั้น ถ้าไม่ได้มีการละเมิดผู้รักษาหญิงหรือชายนั้น มันก็เป็นการระบายออกตามธรรมชาติเท่านั้น

เรียนภาคปริยัติมาตั้งเยอะ แต่ไม่ได้อะไรเลย แค่เอาไว้โม้อวดว่า ตนรู้ (แต่ตีความไม่ได้)โยนทิ้งความรู้ไร้สาระคุณไปดีกว่า ยิ่งเรียนยิ่งสับสน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ) = อัพยากฤต


ฮั่นแน่ๆ คุณพลศักดิ์ อย่านะๆ เอาคำพูดข้างบนนี้มาจากไหนครับผมไมได้พูดนะ
คุณนี่ชอบสร้างคำพูดขึ้นมาแล้วจับยัดใส่ปากคนนั้นทีคนนี้ที
ผมไม่ได้พูด ก็ปั้นนำเป็นตัวจะๆคาตา


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณคามินธรรมครับ
ตอบอะไรให้มันตรงประเด็นหน่อยสิครับ
เฉไปทางนั้นที ทางนี้ที ไม่เข้าประเด็นสักที คำถามของผมคือ
คุณจะค้านผมต้องมีมีหลักเกณฑ์สิครับ ไม่ใช่เอาภาวะอรหันต์(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ) = อัพยากฤต มามั่วว่า ถ้าใครมีราคะ โกรธ หลง ถือว่าบาปหมด อันนี้ใช้ไม่ได้ครับ


ผมทำประเด็นชัดเจนดีแล้ว
คุณสิครับ ไม่เข้าใจประเด็น แล้วยังมาเป็นฤาษีแปลงสารกับผมอีก
คุณเข้าใจหรือไม่เข้าใจผมก็ไม่ได้เืดือดร้อนอะไรครับ
ที่ต่อล้อต่อเถียงด้วยนี้ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมครับ
วิญญชนอ่านแล้วก็รู้เองว่าอะไรเป้นอะไร


ย้ำ! จิตราคะ จิตโกรธ จิตหลง คือจิตอกุศล
แถม "ฟันธง!!" อีกด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คามินธรรม เขียน:
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
(ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ) = อัพยากฤต


ฮั่นแน่ๆ คุณพลศักดิ์ อย่านะๆ เอาคำพูดข้างบนนี้มาจากไหนครับผมไมได้พูดนะ
คุณนี่ชอบสร้างคำพูดขึ้นมาแล้วจับยัดใส่ปากคนนั้นทีคนนี้ที
ผมไม่ได้พูด ก็ปั้นนำเป็นตัวจะๆคาตา

......... ..........
ย้ำ! จิตราคะ จิตโกรธ จิตหลง คือจิตอกุศล
แถม "ฟันธง!!" อีกด้วย


คนอะไรฉลาดน้อยปานนี้ ผม พิมพ์ = อัพยากฤต ใส่หมึกแดงลงไป เพื่อชี้ให้เห็นว่า ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง เป็นภาวะชองพระอรหันต์ ซึ่งเป็นอัพยากฤต ไม่ใช่ภาวะมนุษย์ที่มีกิเลสอวิชชาอยู่ จิตของมนุษย์ที่คิดปรุงแต่งจึงเป็นอกุศุล หรือไม่ก็กุศล และไม่ได้เป็นอัพยากฤตตลอด

ใครๆมันก็รู้ว่า จิตราคะ จิตโกรธ จิตหลง คือจิตอกุศล......จะฟันธงไปหาอะไร แต่จะเป็นบาปกรรมหรือไม่ ต้องมีเจตนาตั้งใจกระทำกรรมการละเมิดต่อผู้อื่น ในกรณีกาเมสุมิฉาจาร คือ ละเมิดผู้รักษาหญิงนั้น ซึ่งมี 20 ข้อ ถ้าไม่ได้ละเมิดหนึ่งใน 20 ข้อนี้ก็ไม่ได้เป็นบาปกรรม เป็นการระบายอารมณ์ทางเพศเฉยๆ

เหนื่อย!!! คนมีมิจฉาทิฏฐิ สอนไม่ได้จริงๆ เพราะไปนึกว่าตนเองเป็นอาจารย์ เก่งกว่าคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คนอะไรฉลาดน้อยปานนี้ ผม พิมพ์ = อัพยากฤต ใส่หมึกแดงลงไป เพื่อชี้ให้เห็นว่า
ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง เป็นภาวะชองพระอรหันต์ ซึ่งเป็นอัพยากฤต
ไม่ใช่ภาวะมนุษย์ที่มีกิเลสอวิชชาอยู่


จิตของมนุษย์ที่คิดปรุงแต่งจึงเป็นอกุศุล หรือไม่ก็กุศล และไม่ได้เป็นอัพยากฤตตลอด



เหนื่อยกว่า !!
คุณนี่ช่างมีความสามารถในการแปรรูปพระธรรมจริงๆ ย้ำ !!
คุณจะค้านผมต้องมีมีหลักเกณฑ์สิครับ
ถ้าหากมารไม่สิงใจคุณ คุณจะเข้าใจสิ่งต่อไปนี้ ย้ำ!


หลักฐาน!!!
พระอภิธัมปิฏก ( จิตตุปปาทกัณฑ์ )
อธิบายว่าอัพยากฤตมีถึง 4 ภูมิ
จิตชนิดนี้มีตั้งแต่สัตว์นรกจนถึงพระอรหันต์ จากภูมิที่ต่ำที่สุด ถึงสูงที่สุด


ไม่ใช่ว่าเป็นภาวะที่มีแต่ในภูมิพระอรหันต์อย่างที่คุณพูดสรุปเอาแพะมาชนแกะ


อ้างคำพูด:
พระอภิธัมปิฏก ( จิตตุปปาทกัณฑ์ )
อัพยากฤตจิตมี 4 ภูมิ
( ๑ ) กามาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในกาม ที่เป็นอัพยากฤตหรือเป็นกลาง ๆ มี ๓๔ ชนิด
แบ่งเป็นวิบากจิต ( จิตที่เป็นผล ) ๒๓, กิริยาจิต ( จิตที่เป็นเพียงกิริยา ) ๑๑.

( ๒ ) รูปาวจร คือ จิตที่ท่องเที่ยวไปในรูป ที่เป็นอัพยากฤตหรือเป็นกลาง ๆ มี ๑๐ ชนิด
คือเป็นวิบากจิต ( จิตที่เป็นผล ) ๕, กิริยาจิต ( จิตที่เป็นกิริยา ) ๕.

( ๓ ) อรูปาวจร คือจิตที่ท่องเที่ยวไปในอรูป ที่เป็นอัพยากฤตหรือเป็นกลาง ๆ มี ๘ ชนิด
คือเป็นวิบากจิต ๔, กิริยาจิต ๔.

( ๔ ) โลกุตตระ
คือจิตที่พ้นจากโลก ที่เป็นอัพยากฤตหรือเป็นกลาง ๆ มี ๔ ชนิด
คือเป็นวิบากจิต ๔.

รวมทั้ง ๔ ประเภท คือกามาวจร ๓๔, รูปาวจร ๑๐, อรูปาวจร ๘ และโลกุตตระ ๔
จึงมีอัพยากตจิตหรือจิตที่เป็นกลาง ๆ ทั้งสิ้น ๕๖ ชนิด




เหนื่อยกว่า !!! พวกมิจฉาทิฏฐิชนิดคอมโบรวมมิตร
ชอบยกตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าอวตาร อ้างตนว่ามีถูมิพระอรหันต์บ้าง
อ้างว่าได้รับโองการโดยตรงมาจากพระพุทธเจ้าบ้าง
อ้างว่าไปนิพพานมาแล้วบ้าง อ้างว่าถ้านิพพานแล้วยังกลับมาเกิดได้อีกบ้าง
อวตารของนู่นนี่นั่นบ้าง
แยกร่างมาตอบกระทู้ตัวเองสนับสนุนตัวเองบ้าง
และชอบแปรรูปพระธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ เหนื่อย!!!
ก็เลยต้องเสวยวิบากกรรมอันฉกาจฉกรรจ์ เรื่องอะไรง่ายๆก็กลายเป็นเส้นผมบังภูเขา
เรื่องไร้สาระก็กลายเป็นสรณะขึ้นมาเหนียวแน่น เพราะทำกรรมหนักเอาไว้มากมาย

ที่คุณมาหาว่าผมยกตัวเองเป้นอาจารย์นี่ก็ตลกนะ
สิ่งนี้เรียกว่าการปรุงแต่ง เรียกว่าสังขาร สร้างแล้วก็ยึดถือว่าจริง กลายมาเป็นทิฏฐิตัวตน
คิดไปเอง ตัดสินตีคุณค่า ว่าคนนั้นเป้นอย่างนั้นอย่างนี้ต่างๆนาๆ อย่างกับพวกหมอดู gossip ไม่มีผิด

แต่ก็ดีว่าดีกว่าเมื่อก่อน เพราะเมื่อก่อนคุณให้ราคาผมแค่ว่าเป้นนกแก้วนกขุนทอง
เดี่ยวนี้อวยยศให้เป็นอาจารย์ นับว่ามีพัฒนาการดี น่าปลื้มอยู่
ย้ำ !!! อุๆๆๆ :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 06:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
ที่ท่านมาเห็นการกระทำของผู้ที่เรียกว่ามีธรรมะ
แล้วอาจจะเกิดความรู้สึกผิดหวังในธรรมะ

ธรรมะ กับ ตัวคนที่มีธรรมะ มันคนละอย่างกัน

อย่าไปคิดว่าธรรมะเมื่อเข้าไปอยู่ในใจคนแล้ว คนคนนั้นจะต้องดีขึ้น ต้องดีกว่าคนไม่มีธรรมะ
เพราะในความเป็นจริงแล้วบัวมี 4 เหล่า
มนุษย์เราเข้าใจธรรมะด้วยความสามารถที่แตกต่างกัน

และเมื่อพูดถึงความเข้าใจธรรมะ
บางทีมันก็เป็นแค่ความทรงจำเอาตัวธรรมะไว้เฉยๆ
เหมือนเอาน้ำใส่แก้ว แต่แก้วไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับน้ำ

บางทีมันก็เป็นความเข้าใจธรรมะ
แต่ก็อาจจะเป้นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ ไม่แน่ไม่นอน

แต่ที่สุดของธรรมะนั้นเหมือนกันหมด ได้ผลและรสอันเดียวกัน
อย่าได้เสื่อมศรัทธาในตัวธรรมะ เพียงเพราะเสื่อมศรัทธาในตัวคน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2009, 15:37
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


จากเจ้าของกระทู้ค่ัะ
ไม่ได้เป็นผู้ที่คิดจะกระทำผิดศีลข้อนี้ค่ะ
พี่ๆทั้งหลายอย่าทะเลาะกันเลยะค่ะ แค่มาขอคสามรู้แห่งธรรมค่ะ
คุยกันด้วยความเห็นที่แตกต่างแต่เข้าใจกันนะค่ะ


ถามต่อถ้าหากสามีบอกว่าเลิกภรรยาแล้ว แต่ภรรยายังเข้าใจว่าไม่เลิก เขาและอีกคนจะถือว่าผิดศีลหรือไม่ ทั้งเขาและเธอไม่คิดว่าผิด

และบาปที่กระทำจะตกถึงบุพการี หรือบุตรหรือไม่

ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


weeranit เขียน:
ถามต่อถ้าหากสามีบอกว่าเลิกภรรยาแล้ว
แต่ภรรยายังเข้าใจว่าไม่เลิก เขาและอีกคนจะถือว่าผิดศีลหรือไม่ ทั้งเขาและเธอไม่คิดว่าผิด

และบาปที่กระทำจะตกถึงบุพการี หรือบุตรหรือไม่

ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ


ก่อนจะรู้ว่าผิดศีลหรือไม่ ทำความเข้าใจเรื่องศีลก่อน
ต้องพยามเข้าใจเรื่องศีลก่อนนะครับ
ศีล เป็นหัวข้อหลัก กาเม เป็นหัวข้อย่อยเข้าไป
สมการที่ซับซ้อนเข้าใจยากที่สุดเพียงใดก็ตาม ก็ไม่พ้นหลักพื้นฐาน 4 อย่างคือ
รวมกันเข้า หักออก แบ่งเในจำนวนท่ากัน เพิ่มในจำนวนเท่าๆกัน บวกลบคุณหาร
ถ้าจะเข้าใจในรายละเอียดได้ดี ต้องพยาเข้าใจหลักก่อน

ลองค่อยๆศึกษาไป ไม่ต้องรีบเอาคำตอบนะครับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14509
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=79884
http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html
http://www.wimutti.net/books/wimuttimak/main.htm?a=1


----------------------------


ความเข้าใจเรื่องศีลอย่างง่ายๆ เบื้องต้น

ศีลนั้นมันเป็น"วิธี" , วิธีของใจ
ผู้ใช้"วิธี" คือ "จิตใจ"
ศีลเป็นวิธีที่ทำให้ใจมันรักษา"ความเป็นกลาง ความปกติ"ไว้ได้
ความไม่ปกติของใจมี 2 ด้าน
1. สุขเกินไป เป็นฝ่ายกามสุขัลนุโยค (พิณสายตึง)
2. ทุกข์เกินไป อัตกิลมถานุโยค (พิณสายหย่อน)

ใจที่ตึงเกินไป หรือหย่อนเกินไป จะเจริญปัญญากล่าวคือธรรมะไม่ได้ เราเลยต้องมีศีล
การพยามมีศีล เหมือนเตรียมดินให้พร้อม เมื่อจะปลูกธรรมะลงไป ก็จะเจริญขึ้นได้
ถ้าศีลไม่ดี ก็เหมือนผืนดินไม่ดี ปลูกธรรมะอะไรลงไปก็จะไม่เจริญ เจริญยาก

"ศีล" เป็น "วิธี" ที่ทำให้กลับมาสู่ความเป็นกลาง
ถ้าเจริญศีลที่ใจ ก้จะได้ใจพอดีๆ เป็นกลาง (มโนกรรม)
ใจเป้นประธาน เมื่อ การจะพูด(วจีกรรม) หรือกระทำ (กายกรรม) อะไรก้จะมีความเป็นกลางไปด้วย
เพราะใจที่มีศีลเป้นประธานอยู่

ไม่ว่าเราจะใช้วิธีอะไร ถ้าผลที่ได้คือใจที่เดือดร้อน
ก็พิจารณาได้เลยว่าขาดจากศีล

ผมใช้คำว่า ขาดจากนะไม่ได้ใช้คำว่าผิดศีล

"ใจที่กำลังเสวยอารมณ์ทุกข์"อยู่นั้นคือ"จิตที่กำลังมีบาป" (อกุศลจิต)
จิตที่บาป จะตรงข้ามกับจิตที่เป้นบุญเสมอ
จิตบุญจะมีความรู้สึก เบาสบาย มีความว่องไว ---- จิตบาปจะหนัก ตัน ตื้อ เครียด เฉื่อยชา


อย่าประมาท โดยการมัวหลงทางกับ"วิธี"
ว่าวิธีไหน อากัปกริยาไหน การกระทำไหน มันผิดศีลหรือไม่อย่างไร
ซึ่งเป็นการที่คนเราไปเอารูปการณ์มาตีความต่างๆนาๆ คาดเอาเอาจากอากัปกริยา

แม้ผู้กระทำการณ์ จะมีความรู้สึกว่ามีความสุข
แต่ผลลัพธ์ของความสุขแบบขาดความรู้นี้ นำมาซึ่งความวุ่นวายในครอบครัว คนใกล้ชิด
เหมือนเรากินน้ำหวานมากๆ ตอนกินมันสุขดีนะ แต่ผลลัพธ์มันไม่ใช่ความสุข มันเป็นคือโรคภัย
การที่เราเข้าใจผิดเพราะเราไม่มีศีล ปล่อยให้ใจมันเพลินไปกับความสุขในการกิน
ผลที่ได้คือเป็นโรค


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ คามินธรรม ครับ



เมื่อผมสอนคุณไม่ได้ ให้คุณสอนตัวคุณเองดีกว่า

1.อัพยากฤต ในภพภูมิอื่นๆ มันอยู่ได้นานตลอดหรือเปล่าล่ะครับ และมันไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง หรือเปล่าล่ะครับ แม้แต่อรูปพรหมสูงสุดละความโลภ ความโกรธ ได้แล้ว แต่ก็ยังมีความหลงเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นอัพยากฤตที่ไม่มีราคะ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง และคงอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร จึงมีที่เดียวคือนิพพาน

2. ผมจะไม่สนธนาธรรมในประเด็นอื่นที่ไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้อีกแล้ว คุณอย่าพยายามตีรวนเบี่ยงไปประเด็นอื่นดีกว่า จะคงไว้ซึ่งสัทธรรมปฏิรูป ศาสนาพุทธของปลอมของมาร ที่แพร่ระบาดไปเรื่อยๆ ผมมาเพื่อหยุดวงจรอุบาศน์ ความรู้ไม่จริงของมาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2009, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมยังยืนยันคำตอบผมว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ

1. ไม่บาปและไม่ผิดศีลข้อ 3 ครับ ถ้าคุณไม่มีความรู้สึกทางเพศ ไม่มีความรัก ไม่มีเยื้อไยอะไรเลยต่อกัน นั่นซิครับผิดปกติมนุษย์

ศีลข้อ 3 จะไม่ผิด ถ้าคุณเป็นเด็กต่างจังหวัด และไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดาแล้ว ไปร่วมเพศกับเขาไม่ถือว่าผิดครับ เป็นการระบายออกทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ที่ดีกว่าการสำเร็จความไคร่ด้วยตัวเอง แต่ต้องให้เขาใช้ถุงยางด้วยนะครับ

ฝรั่งในอเมริกาหรือในอังกฤษ เมื่อเป็นวัยรุ่น เขาไม่ได้อยู่ในความปกครองของบิดามารดา เขาจึงเสียตัวเป็นปกติ

2. สามีจะนอกใจภรรยาก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ ภรรยานอกใจสามีก็อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ อย่างนี้ทุกคู่แหละครับ หลักของศีลข้อ 3 เป็นหลักของการละเมิด ถ้าสามีจะนอกใจภรรยา หรือภรรยาจะนอกใจสามี แล้วไม่บาป กระทำได้ 2 กรณี

a. คู่ครองของเขาต้องอนุญาต
b. เขาต้องหย่ากัน หรืออีกฝ่ายตายไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร