วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 04:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: :b41: เรามีข้สงสัยอยากถามท่านผู้รู้ค่ะ :b10:
:b8: การไปปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ การทำบุญและการบริจาคทาน เมื่อเรากรวดน้ำ
อุทิศส่วน ถ้าเราทำแล้วอยากอธิษฐานจิต ขอผลบุญต่างๆช่วยลดเวรกรรมในอดีตให้ผู้อื่นด้วยได้ไม๊คะ
:b7: คือการทำบุญต่างๆ คนทำจะได้เต็มๆ แต่ถ้าเราขอแบ่งบุญเพื่อลดเวรกรรม หรือแบ่งเบาทุกข์ เช่น
ให้พ่อ พี่ๆ น้องๆ จะได้ไม๊คะ เรารู้ค่ะทุกคนมีกรรมเป็นของตน เพียงแต่เวลาเราเห็นพวกเค้าทุกข์กัน
ใจเราก็จะเศร้าไปด้วย ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เราก็จะใช้วิธีนี้น่ะค่ะ เหมือนมันทำให้เรามีสุขเล็กๆน่ะค่ะ :b39:
:b20: :b5: รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ อย่างเช่นตอนนี้พ่อเราอายุมากแล้ว เราเลยอยากให้แกมีความสุขบั้นปลายชีวิต แต่แกปล่อยวางไม่ได้ เหมือนเป็นเวรกรรมทำนองนี้น่ะค่ะ เราก็จะสวดมนต์
ขอแบ่งกรรมของแกให้ลดน้อยด้วยบุญที่เราทำน่ะค่ะ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหลวไหลเลยค่ะ แต่เราก็ขอทุกวันนะคะ รบกวนช่วยอธิบายด้ยนะคะ :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้ตอบ ยากส์....

ถึงแม้ตำราใดๆ จะกล่าวไว้อย่างไร

ก็อยากที่พวกเราจะพิสูจน์รู้ให้ประจักษ์ได้ด้วยตัวเองได้

การที่เรามีจิตปรารถนาดีอย่างนี้ ผมว่า ทำไปเถิด ดีมากๆเลย


ถ้ามัน ลดได้ ก็ดีไป
ถ้ามัน ลดไม่ได้ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น

ทุกคนต้องรับผลแห่งกรรมของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 06:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b16: คุณว่างเปล่า 1 คำตอบของคุณก็ช่วยให้เราดีขึ้น มันเป็นความสุขเล็กๆ :b39:
ที่เราก็จะเพียรทำความดีต่อไป ธรรมะขอบคุณค่ะ :b8: :b8:
:b8: อยากได้แรงใจจากท่านอื่นๆด้วยนะคะ :b8:
:b39: :b39: :b39:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 07:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบยากจริงๆล่ะครับ
ผมพยามจะตอบ 3 ครั้งแล้ว แต่ไม่มั่นใจ กลัวว่าจะพูดผิด
เลยไม่ตอบดีกว่า
ถามง่ายๆนะ แต่ตอบยากมาก


อันที่ตอบได้ชัวร์ๆคือ
1. การแบ่งบุญนั้น บาปบุญของเรามันไม่น้อยลงไปเลยครับ
อย่างถ้าคนที่เรารักเดินมาบอกว่าวันนี้เขาไปทำบุญมาแล้วเขาตั้งใจทำให้เราด้วย
เราจะเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นมาทันทีครับ ความรู้สึกนั้นแหละคือจิตฝ่ายบุญ
ความรู้สึกยินดีในบุญคือการอนุโมทนา
โดยไม่ต้องพูดว่า .."อนุโมทนานะ" แต่กระบวนการอนุโมทนามันสำเร้จไปแล้ว
ในบุญกริยาวัตถุ 10 มีข้อหนึ่งกล่าวว่า "บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา-ปัตตานุโมทนามัย"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สามารถอธิบายได้ด้วยอภิธรรม แต่มันจะยาวและงง
พูดสรุปเอาแบบง่ายๆว่า การที่เราืทำให้ใครสักคนมีความสุข นั่นแหละเขาได้บุญแล้ว
ความสุขนั่นแหละคือบุญ "สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย - บุญเป็นชื่อของความสุข"

เวลาเราทำให้ใครมีความสุข บุญเรามันไม่ได้น้อยลงไปนะครับ แต่คนอื่นก็ได้บุญด้วย
แม่เราเลี้ยงเรามานี่ก้บุญมหาศาล เวลาเรานึกถึงบุญคุณนี้ทีไรใจเรามีความสุขปิติมากมาย ซึ่งก้คือบุญมหาศาลเหมือนกัน
ไม่ได้เป้นเรื่องของปริมาณ หรือสมการคณิตศาสตร์แต่อย่างใด

ถ้าอยากมอบบุญของเราให้ใคร ก็แค่ทำให้เขามีความสุขก็พอ
นั่นเป็นการช่วยให้เขาสร้างบุญเอง ไม่ต้องห่วงว่าบุญเรามันจะน้อยลงไป
บุญแบ่งใม่ได้นะ ของใครของมัน
แต่ใช้คำว่าแบ่งมันก้ใช้ได้นะ เพราะผมก้นึกคำอื่นไม่ออก
แต่อย่าลืมว่าคำว่าแบ่งบุญนี้มันถูกแค่ครึ่งเดียว

บางทีอุตส่าห์แบ่ง แต่ถ้าเขาไม่เอา เขาก็ไม่ได้นะครับ แต่คนให้ก็ไม่เสียอะไรไป เช่น
บางคนเขาเกลียดเรา เราทำบุญให้แล้วไปบอกเขา เขากลับหมั่นไส้เราอีก ด่าเราอีก
นี่คือเขาไม่สามารถจะรับบุญ

บางทีการแบ่งบุญอย่างหนึ่ง แต่คนรับเขากลับไปได้อีกอย่างหนึ่งก้มี
เช่น เขาเป้นสุนัขของเรา เราไปพูดกับเขาว่า วันนี้ทำบุญให้แกนะ มันไม่รู้เรื่องหรอก
แต่ที่หมามันได้บุญเพราะมันรู้ว่าใจเรากำลังมีเมตตา ลูบหัวมันพูดกับมัน กำลังรักมัน สั่นหางรับใหญ่เลย
จะว่าหมารับบุญได้ ก็พูดถูกครึ่งหนึ่ง

2.ทีนี้เรื่องขอแบ่งกรรม (ในความหมายว่า ขอแบ่งวิบากกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย) อันนี้สนุก
คุณ o.wan ระวังให้ดีนะครับ
มันทำนองเดียวกับเรื่องบุญ

ขอแบ่งน่ะ แบ่งได้จริงๆ แล้วรับกรรมได้จริงๆ แต่วิบากกรรมของเขาก็ไม่ได้น้อยลงไปนะ อยู่ครบเท่าเดิม
ที่ว่าแบ่งได้จริงๆก้คือเราไปเก็บเรื่องเรื่องนั้นของเขามา แล้วมากลุ้มอยู่ ทุกข์อยู่
ใจที่ทุกข์อยู่นี่แหละครับ ได้รับวิบากมาเรียบร้อยแล้ว กำลังรับวิบากแทนเขาอยู่เห้นๆจะๆคาตา

ใจที่ทุกข์ไปกะเขานั่นแหละครับ วิบากจิตแท้ๆเลย
เราไม่ได้ก่อกรรม แต่ไปรับรู้มาแล้วก็มาทุกข์ด้วย นี่แหละครับ วิบากจิต

ผมไม่ได้ล้อเล่นนะคุณ owan วิบากจิตพวกนี้ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยมันออกไป
แล้วยิ่งเที่ยวไปรับเอามาไว้กับเรา
หมั่นสั่งสมเอาไว้ในใจเรา วันดีคืนดีเกิดความตายมาแทรก (ซึ่งเรากะเกณฑ์ไมไ่ด้)
ได้เกิดในทุกคติภูมิต่ำกว่าเปรตอีกนะ
ดีหน่อยก็เกิดเป้นสัตว์ทั่วไป ร้ายๆสุดๆคือนรกภูมิ

ถ้าอยากจะช่วยพ่อแม่ ผมแนะให้พาท่านหัดเจริญสติ
หรือถ้ามันยากไป ก้หัดพาไปทำบุญทำทานบ่อยๆ

ถ้ารู้จักเจริญสติ แล้วเวลาตายมีสติขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
อาจจะลุ้นได้ไปเกิดเป้นเทวดาหรือมนุษย์นะ
ถ้าไม่รู้จักเจริญสติเลย ได้ไปทุกคติแน่นอนที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าจะแย่แค่ไหน

คุณ owan ต้องปล่อยวางบ้าง
ในวัฏสงสาร คนที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้นแทบจะไม่มีนะ คัมภีร์ท่านว่าอย่างนั้น
จำนวนชาติที่เราเกิดตายแล้วได้มาจ๊ะเอ๋เป้นคนในครอบครัวเดียวกันมันมากมายขนาดนั้นเลยนะครับ

เมตตาต้องมี กรุณาต้องมี มุทิตาต้องมี แต่สุดท้ายต้องอุเบกขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็นนี้ปัญหาน่าจะอยู่ที่การใช้ภาษาครับ

การแบ่งบุญแบ่งกรรมน่าจะกระทำไม่ได้ครับ

มีแต่การสร้างบุญสร้างกรรมแล้วอุทิศให้ครับ

ฉนั้นการอุทิศบุญทุกครั้งคือการสร้างบุญใหม่ครับ

เสนอมาเพือสนทนาครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คามินธรรม ระวังให้ดีนะครับ
มันทำนองเดียวกับเรื่องบุญ

ขอแบ่งน่ะ แบ่งได้จริงๆ แล้วรับกรรมได้จริงๆ แต่วิบากกรรมของเขาก็ไม่ได้น้อยลงไปนะ อยู่ครบเท่าเดิม
ที่ว่าแบ่งได้จริงๆก้คือเราไปเก็บเรื่องเรื่องนั้นของเขามา แล้วมากลุ้มอยู่ ทุกข์อยู่
ใจที่ทุกข์อยู่นี่แหละครับ ได้รับวิบากมาเรียบร้อยแล้ว กำลังรับวิบากแทนเขาอยู่เห้นๆจะๆคาตา

ใจที่ทุกข์ไปกะเขานั่นแหละครับ วิบากจิตแท้ๆเลย
เราไม่ได้ก่อกรรม แต่ไปรับรู้มาแล้วก็มาทุกข์ด้วย นี่แหละครับ วิบากจิต


ผมไม่ได้ล้อเล่นนะคุณ owan วิบากจิตพวกนี้ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยมันออกไป
แล้วยิ่งเที่ยวไปรับเอามาไว้กับเรา
หมั่นสั่งสมเอาไว้ในใจเรา วันดีคืนดีเกิดความตายมาแทรก (ซึ่งเรากะเกณฑ์ไมไ่ด้)
ได้เกิดในทุกคติภูมิต่ำกว่าเปรตอีกนะ
ดีหน่อยก็เกิดเป้นสัตว์ทั่วไป ร้ายๆสุดๆคือนรกภูมิ

ถ้าอยากจะช่วยพ่อแม่ ผมแนะให้พาท่านหัดเจริญสติ
หรือถ้ามันยากไป ก้หัดพาไปทำบุญทำทานบ่อยๆ

ถ้ารู้จักเจริญสติ แล้วเวลาตายมีสติขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
อาจจะลุ้นได้ไปเกิดเป้นเทวดาหรือมนุษย์นะ
ถ้าไม่รู้จักเจริญสติเลย ได้ไปทุกคติแน่นอนที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าจะแย่แค่ไหน

:b8: :b10: ขอบคุณสำหรับคำอธิบายนะคะ เพราะเราสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่รู้จะถามแบบไหน
และจะถามใคร จริงๆที่คุณว่ามันเป็น วิบากจิต ถ้าเราเก็บมาคิดก็ทุกข์ทันที เพราะเรายังไม่ค่อยได้
ศึกษาเรื่องธรรมะได้ลึกซึ้งในรายละเอียด รู้เพียงผิวเผินเมื่อปฎิบัติไปกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ดีนะคะที่เราได้ถามท่านผู้รู้ ไม่งั้นปฎิบัติแบบคิดเอาเอง แทนที่จะได้บุญ กลับต้องได้วิบากกรรมแทน :b3: :b3:
:b10: :b10: รบกวนถามอีกข้อนะคะ คือ ถ้าเราอยากส่งผลบุญที่เราทำเผื่อท่านในเวลาที่เราบุญ
จะใช้บทสวด หรือคำอธิษฐานแบบไหนดีค่ะ ถ้าไม่ใช่บทแผ่เมตตา คุณคามินธรรมแนะนำด้วยนะคะ :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


O.wan เขียน:
ถ้าเราอยากส่งผลบุญที่เราทำเผื่อท่านในเวลาที่เราบุญ
จะใช้บทสวด หรือคำอธิษฐานแบบไหนดีค่ะ ถ้าไม่ใช่บทแผ่เมตตา คุณคามินธรรมแนะนำด้วยนะคะ


ถ้าเป็นคนญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็บอกไปตรงๆกับเขาเลยครับ
ว่าเราไปทำบุญมานะ ให้เขารับรู้ หรือพาไปทำเลยก็ได้
อย่างนี้คือได้เขาได้บุญกันเห็นๆ

หรือง่ายที่สุดเลย เข้าไปกอด บอกรักหอมแก้มธรรมดาๆนี่แหละครับ
รับประกันได้ว่าคนเป้นพ่อแม่มีความสุขที่สุด ความสุขมากก็หมายถึงบุญมาก
แล้วเราก็งดการพูด-คิด-ทำ อะไรก้ตามที่ทำให้ท่านเคืองใจ เป็นการระงับบาป

ถ้าเป้นผู้ล่วงลับไปแล้วก็ใช้บทแผ่เมตตา ทำบุญกรวดน้ำตามรูปแบบทั่วไปนั่นแหละครับ
เพราะการที่เราจะพูดอะไรออกไป มันก็หมายถึงว่าใจเรามันคิดก่อน แล้วจึงพูดออกไป
ดังนั้น จะพูดออกเสียง หรือคิดในใจก้มีค่าเท่ากัน แต่ขอให้ตั้งใจดีๆ ยิ่งเป็นสมาธิยิ่งดีครับ
บางท่านสมาธิมากๆ สามารถติดต่อสื่อสารกับเขาได้เลยทีเดียว
อย่างในประวัติพระอริยสงฆ์ต่างๆ ท่านสามารถเทศนาให้เทวดาน้อยใหญ่ฟังได้
หรือในหมู่นักปฏิบัติที่พบเห็นเปรตที่มาปรากฏให้เห็น ก็จะนิยมแผ่เมตตาให้ด้วยใจเป้นสมาธิ

ส่วนบทที่นอกรูปแบบ ก็เช่น เราตั้งสมาธิจิตแล้วกล่าวสรรเสริญคุณงามความดีที่เขาทำไว้ในอดีต
เช่นญาติผู้ล่วงลับเขาเคยทำความดีอะไรไว้ตอนมีชีวิต เราก้รื้อฟื้นขึ้นมา ชี้ให้เขาเห้นว่ามันเป้นบุญเป็นประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ควรแก่การยกย่องอนุโมทนาอย่างนั้นอย่างนี้
ึพูดง่ายๆว่าเตือนให้เขาระลึกถึงความดีครั้งหลังที่เคยทำเอาไว้
ถ้าเขาอยู่ในฐานะที่รับรู้ได้ เช่นเป็นเปรต เขาก็จะค่อยดีขึ้น
บางทีอาจจะพ้นภูมิเปรตไปเกิดเป้นเทวดาหรือมนุษย์ได้เลย ถ้ากุศลนั้นแรง

ถ้าเขาไม่ค่ิอยได้ทำบุญทำทานในรูปแบบมากเท่าไหร่ เราก็พูดถึงความดีธรรมดาๆที่เขาทำ
เพียงแต่เขาอาจจะคิดไม่ถึงว่าเป้นความดี เช่นการที่เขาอุตส่าห์ทำมาหากิน เลี้ยงดูอุ้มชูลูกจนเติบใหญ่
และเพราะผลดังนั้นทำให้หลายชีวิตได้มีความสุขความเจริญ หากเขาไม่ได้ทำอย่างนั้นหกลายชีวิตอาจจะยากลำบากกว่านี้ เป็นต้น

หรือไม่เราก็ ตั้งใจทำบุญทำทานให้เขา
แล้วก็ตั้งสมาธิจิตบอกเขาว่าเราได้ทำบุญให้อย่างนั้นอย่างนี้
เกิดคุณประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ให้เขาได้รับทราบ
ถ้าเขาอยู่ในฐานะที่จะรับได้ เขาก็จะรับได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ คำว่า ใครบ้างได้รับผลของทาน ใครบ้างไม่ได้รับ
ผมขอยกบทความในธรรมจักษุมาให้อ่าน เพราะท่านผู้เขียนบทความ
ได้เรียบเรียงสำนวนพระไตรปิฏกซึ่งอ่านยาก ให้เป็นสำนวนพูดของเราในปัจจุบัน ทำให้อ่านง่าย

ใจความสำคัญที่พึงสังเกตุคือ
1. เราทุกคนมีญาติเป้นเปรต ไม่มีใครไม่มีญาติเป็นเปรต
2. บุคคลเมื่อผิดศีล ตายแล้วย่อมตกอบายภูมิ มีภูมิเปรต ภูมิสัตว์เดรัจฉาน ภูมิสัตว์นรก
3. ผู้ล่วงลับที่จะอยู่ในฐานะที่รับผลของทานได้ มีเพียงเปรตบางจำพวกเท่านั้น (ปรทัตตูปชีวี)

อ้างคำพูด:

มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อชาณุสโสณีเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ
ครั้นกล่าวคำปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรทูลถามพระพุทธเจ้าว่า

"ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! พวกข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ มีความเชื่อว่า
ทานที่แล้วย่อมมีผลแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วหลังทำทาน
จึงอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับ
ทานนั้นจะถึงแก่ญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับหรือไม่ ?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ !
ทานที่ให้จะสำเร็จแก่ผู้ที่ล่วงลับหรือไม่
ขึ้นอยู่กับผู้รับถ้าผู้รับอยู่ใน "ฐานะ" (โอกาส) ก็จะได้รับ
ถ้าอยู่ใน "อฐานะ" (ที่มิใช่โอกาส) ก็ไม่ได้รับ"

พราหมณ์ทูลถามต่อว่า "ที่ว่าอยู่ในฐานะและอฐานะนั้นคืออย่างไร"

พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้ว่า
"ถ้าผู้ตายทำกรรมที่เป็นอกุศลไว้ และไปเกิดในภูมิที่ไม่เจริญ คือนรก เดรัจฉาน เป็นต้น
หรือสร้างกุศลไว้แล้วไปเกิดในภูมิที่เจริญ เช่นมนุษย์สวรรค์ เป็นต้น
ชื่อว่าเกิดในที่เป็น "อฐานะ" คือมิใช่สถานที่ที่จะได้รับส่วนบุญ

เพราะอาหารของผู้ที่เกิดในที่นั้นๆ มิใช่ส่วนบุญที่บุคคลอุทิศไปให้
แต่ถ้าทำอกุศลไว้ แล้วไปเกิดในปิตติวิสัย คือภูมิแห่งเปรต
และเฉพาะเปรตที่มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวี"
คือเปรตประเภทที่มีส่วนบุญที่มีผู้อุทิศไปให้เป็นอาหารเท่านั้นจึงจะได้รับ


แต่ต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
ด้วยการอนุโมทนาด้วยตนเองของเปรตทั้งหลาย 1
ด้วยการอุทิศของทายกทั้งหลาย 1
ด้วยการถึงพร้อมด้วยทักขิเณยยบุคคล คือผู้รับไทยธรรมต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ 1.

ส่วนเปรตอีก 3 ประเภทคือ อันตาสิกเปรต (เปรตที่มีอาเจียนเป็นอาหาร)
ขุปปิปาสิกเปรต (เปรตที่มีความหิวกระหายเป็นประจำ)
และ นิชฌามตัณหิกเปรต (เปรตที่มีไฟเผาตัวตลอดเวลา)
ซึ่งแต่ละประเภทมีอาหารที่ไม่ใช่ส่วนบุญที่ญาติสาโลหิตอุทิศไปให้ ก็อยู่ใน "อฐานะ"
คือไม่ได้รับส่วนกุศลที่อุทิศไปให้

พราหมณ์ทูลถามต่อไปว่า
"ถ้าญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครจะได้บริโภคส่วนบุญนั้นเล่า ?"
(คามินธรรม - ถ้าญาติไมไ่ด้เป็นเปรตล่ะ?)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไปไม่เข้าถึงฐานะนั้น
ญาติสาโลหิตแม้เหล่าอื่นของทายกที่เข้าถึงฐานะนั้นมีอยู่ญาติเหล่านั้นย่อมบริโภคทานนั้น"
(คามินธรรม - พระพุทธเจ้าตอบว่า ก็ญาติคนอื่นที่เป้นเปรตไง จะได้รับ?)

พราหมณ์ทูลถามต่อว่า
"ถ้าญาติสาโลหิตที่ล่วงลับไม่เข้าถึงฐานะนั้น ทั้งญาติเหล่าอื่นก็ไม่เข้าถึงฐานะนั้น ใครเล่าจะบริโภคทานนั้น ?"
(คามินธรรม - พราหมน์ถามว่า ถ้าไม่มีญาติเป็นเปรตเลยล่ะ ทานนั้นจะตกถึงใคร)

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พราหมณ์ ! เวลาสังสารวัฏล่วงมาช้านาน
โอกาสที่ญาติสาโลหิตของแต่ละคนไม่ตกอยู่ในฐานนั้นบ้าง เป็นไปได้ยาก
แต่ถึงอย่างไร ผู้ให้ก็ย่อมไม่ไร้ผล"

(คามินธรรม - พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นไปได้ยาก สังสารวัฏมีมานานมากแล้ว
หมายถึงว่าญาติเราไม่ได้มีแค่เท่าที่ีเรานับเอาในชาตินี้ ยังมีชาตินู้นชาตินั้นอีกไม่รู้กี่ชาติที่เราล้วนมีญาติ )

พราหมณ์ค้านว่า "ถ้าเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงตรัสแม้ในอฐานะหรือ ?"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ใช่ เรากล่าวกำหนดแม้ใน "อฐานะ"

คือบุคคลบางคนในโลกประพฤติในอกุศลกรรมบถมีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น
แต่ได้ทำบุญ ให้ข้าว น้ำ ยามาลา และของหอมเป็นต้น เมื่อตายไปเกิดในกำเนิดเดรัจฉาน
เช่น ช้าง ม้า เป็นต้น เขาย่อมได้ข้าว น้ำ และเครื่องประดับในกำเนิดที่เกิดนั้นๆ

อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกเว้นจากอกุศลกรรมบถ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ทั้งทำทานด้วยข้าว น้ำ ของหอม ที่นอน ที่พัก เป็นต้น เมื่อตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
เขาย่อมได้กามคุณอันเป็นของมนุษย์ในมนุษยโลกด้วยกรรมนั้น
แต่ถ้าด้วยอำนาจบุญที่ทำไว้ในโลกมนุษย์มีผลให้เกิดเป็นเทวดา
เขาย่อมได้รับเบญจกามคุณ อันเป็นทิพย์ในเทวโลกนั้นด้วยกรรมนั้น

พราหมณ์ ! แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผลด้วยประการฉะนี้"

อ่านบทความนี้เต็มๆที่ http://mahamakuta.inet.co.th/T-BOOK/january-48.html
อ่านพระสูตรโดยตรงที่ http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 420&Z=6522


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 15:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยนะคะ อย่างเช่นตอนนี้พ่อเราอายุมากแล้ว เราเลยอยากให้แกมีความสุขบั้นปลายชีวิต แต่แกปล่อยวางไม่ได้ เหมือนเป็นเวรกรรมทำนองนี้น่ะค่ะ


หวัดดีค่ะ แวะมาคุยมั่ง :b32:

ถ้าคุณพ่อ ปล่อยวางไม่ได้ เราก็ปล่อยวางก่อนค่ะ แล้วค่อยให้แก ทำตาม ... :b9:
ที่ให้คุณ 0.wan ปล่อยวางก่อนก็เพราะ จิตคุณจะได้มีความสุขเมื่อคิดถึงเรื่องของคุณพ่อ จิตไม่เครียด ไม่เพ่งแต่ทางลบ..
แล้วทีนี้เราก็หากิจกรรมที่เข้าใกล้ธรรมะ มาชวนคุณพ่อทำด้วยกันบ่อยๆ โดยไม่คาดหวังใดๆ.. :b19:

เช่น..คุณพ่อชอบคุยเรื่องอะไร ก็คุยเรื่องเดียวกันแล้วสรุปโยงไปที่ มันไม่เที่ยง มันมีขึ้น แล้วก็ดับไป เช่นม็อบเสื้อสารพัดสี..(แหะๆ ถ้าพ่อติดสถานการณ์การเมือง) มันไม่น่ายึดถือ เป็นเราเขา

หารูปหลวงพ่อที่เคารพ ศรัทธา นำมาให้ท่านดู แล้วหาเรื่องคุยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม,มีงานบุญที่นั่นที่นี่, การทำบุญของเรา แล้วบอกว่าเราทำบุญนั้นๆ มานะคะ จิตท่านก็ได้รับบุญเราไปเรียบร้อย...

เทคนิคในการแบ่งบุญของเรา คือ ต้อง เริ่มจากคิดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขทั้งเราและท่าน
เพราะฉะนั้น ให้เริ่มในสิ่งที่ท่านชอบ ท่านพอใจ แล้วนำธรรมะมาตั้งไว้ ถ้าไม่รู้จะโยงไปยังไง
อาจใช้วิธีถามท่านดื้อๆ เลยเช่น.. พ่อคะที่ได้ยินมาว่า ..เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในตัวตนบุคคลเราเขานี่ มันเป็นยังไงคะ ถ้าท่านบอกว่าไม่รู้ ... งั้นไว้หนูไปหาข้อมูลมาก่อน หรือพ่อมีหนังสือธรรมะที่เขาอธิบายเรื่องนี้บ้างปล่าวคะ...คุณ0.wan ก็ว่าไป ....อันนี้ขึ้นอยู่กับเราพ่อลูกว่ารู้ใจกันขนาดไหนด้วยค่ะ
เพราะบางที เรามาไม้นี้แต่พ่อรู้ทัน ก็ตัวใครตัวมันค่ะ .. :b9: :b9: :b9:

คือโดนมาเหมือนกัน ก็เราออกเก่งขนาดนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเก่งกว่าอยู่แล้ว ไม่งั้นจะเลี้ยงเรามาได้หรอ แหะๆ...


:b4: :b4: :b4:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 15:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เปรตได้รับส่วนบุญที่อุทิศไปให้ได้อย่างไร

จาก นานาปัญหา http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=47
โดย คณะสหายธรรม



ถาม พระคุณเจ้าถามมาว่า อาตมาภาพสงสัยว่า
การทำบุญไปให้ผู้ล่วงลับนั้นที่ได้ไปเกิดเป็นเปรตนั้น เขาจะได้รับอย่างไร
คำว่าบุญนี้แปลออกมาให้ดี คืออะไร
และทำไมต้องอุทิศบุญให้แก่เทวดาด้วย ในเมื่อเทวดามีอาหารทิพย์
ในศาสนาอื่นไม่เห็นเขาทำบุญไปให้กันเลย
อาตมาคิดว่า การทำบุญต้องเป็นของใครของมัน ไม่ใช่แผ่ให้กันได้เมื่อตายแล้ว จริงไหม

ตอบ เรื่องของการทำบุญอุทิศไปให้ผู้ตายนี้
เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ
ทรงรอบรู้ทุกอย่างด้วยพระปัญญา ตรัสรู้ของพระองค์เอง
ซึ่งไม่สามารถจะนำเข้าไปเทียบกับศาสนาอื่น ซึ่งมิได้สัพพัญญุตญาณเช่นพระพุทธองค์

ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการนั้นมี
ทาน การให้
ศีล การรักษากายวาจาให้สะอาด
ภาวนา การอบรมจิตใจด้วยสมถะและวิปัสสนา
เวยยาวัจจะ การขวนขวายช่วยเหลือกิจการงานอันชอบธรรมของผู้อื่น
อปจายนะ กระประพฤติอ่อนน้อม
ปัตติทาน การให้ส่วนบุญที่ตนทำแล้วแก่ผู้อื่น
ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาคือชื่นชมยินดีในบุญที่ผู้อื่นกระทำแล้ว
ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม
ธัมมเทศนา การแสดงธรรม และ
ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

ซึ่งบุญประการสุดท้ายนี้คือปัญญา ถ้าทุกคนมีปัญญารู้ทุกอย่างตามความเป็นจริงแล้ว
ก็จะยอมรับการทำบุญที่เหลืออีก ๙ ประการว่า เป็นสิ่งที่เป็นความจริง

จริงอยู่สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมที่ตนทำไว้
ใครทำดีก็ได้รับผลดี ใครทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว ไม่มีใครรับผลของกรรมแทนกันได้

แม้พวกเปรตที่สามารถรับส่วนบุญที่ญาติมิตรอุทิศไปให้จากโลกนี้ได้
ก็เพราะเปรตได้ทำบุญด้วยตนเองในข้อปัตตานุโมทนา
คือชื่นชมในบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ ถ้าไม่ชื่นชมอนุโมทนาบุญก็ไม่เกิดแก่เปรต

การอนุโมทนานั้นเปรตต้องทำเอง ไม่มีใครทำให้เปรตได้
พวกเราในโลกมนุษย์นี้ทำได้แต่เพียงบุญในข้อปัตติทาน
คืออุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตเท่านั้น ถ้าเปรตยอมรับบุญที่เราอุทิศไปให้ เขาก็จะชื่นฃมอนุโมทนา
เมื่อเขาชื่นชมอนุโมทนา บุญก็จะเกิดแก่เปรต

แต่ถ้าเปรตไม่ยอมรับหรือไม่ทราบ
ไม่ได้ชื่นชมอนุโมทนาบุญก็ไม่เกิดแก่เปรตเปรตก็ไม่ได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้

เมื่อบุญไม่เกิดแก่เปรต เปรตก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป
แต่ถ้าบุญเกิดแก่เปรต เปรตก็จะพ้นจากความทุกข์ทรมาน

บางครั้งถ้ากรรมของเปรตเบาบาง อนุโมทนาแล้วก็ พ้นจากสภาพเปรตเป็นเทวดาทันที
ซึ่งเรื่องเหล่านี้มีเล่าไว้ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ

สำหรับเทวดานั้น แม้ท่านจะมีความสุข มีอาหารทิพย์
แต่ถ้าท่านทราบว่ามีผู้คนในโลกมนุษย์นี้ทำบุญแล้วอุทิศให้ท่าน ท่านก็ยินดีรับ
ถ้าท่านเป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย บุญในข้อปัตตานุโมทนาก็เกิดแก่ท่าน

แต่การอนุโมทนาของเปรตกับเทวดานั้นต่างกัน
เทวดาอนุโมทนาแล้วบุญก็เกิดเทวดาเท่านั้น

แต่สำหรับเปรตนั้น เมื่อเปรตอนุโมทนาแล้ว
นอกจากบุญจะเกิดแก่เปรตแล้ว เปรตยังได้รับข้าวของอันสมควรแก่ฐานะของเปรต ตรงตามที่ผู้อุทิศไปให้ด้วย
เช่นมีผู้ถวายอาหารแล้วอุทิศให้เปรต เปรตอนุโมทนาแล้ว ได้บุญในข้อปัตตานุโมทนาแล้ว
ยังได้รับอาหารอันสมควรแก่ฐานะของเปรตด้วย ทำให้เปรตอิ่มหนำสำราญ พ้นจากความหิวโหย
หรือเราถวายผ้า เปรตก็จะได้รับผ้าทิพย์ปกปิดร่างกาย ทำให้พ้นจากสภาพเปลือยกายได้
เราถวายน้ำแล้วอุทิศให้ เปรตก็ได้ดื่มน้ำทิพย์พ้นจากความหิวกระหายด้วยอำนาจของการอนุโมทนา

การอุทิศบุญที่ทำแล้วให้เปรตนั้น มิใช่หยิบยื่นของส่งให้
เพราะบุญเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เกิดที่ใจ
เมื่อใดที่ใจเกิดบุญ ใจก็จะผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะฉะนั้น
ธรรมชาติของบุญก็คือเป็นเครื่องชำระจิตใจให้ผ่องใส ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุญเป็นชื่อของความสุข
เพราะผู้ที่ทำบุญแล้วย่อมได้รับผลวิบากอันเป็นสุข
ด้วยเหตุนี้ บุญจึงเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า ตราบเท่าที่ยังต้องเกิดอยู่

อีกประการหนึ่ง พระที่ท่านฉันอาหารของเรานั้น
ท่านก็มิได้เป็นบุรุษไปรษณีย์นำบุญของเราไปส่งให้แก่เปรต
ท่านเป็นเนื้อนาที่เราจะหว่านบุญลงไปเท่านั้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านเป็นปัจจัยให้เราเกิดบุญในข้อทานการให้
เมื่อให้แล้ว เรากรวดน้ำอุทิศไปให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว
ถ้าเขาไปเกิดเป็นเปรต และทราบว่าเราอุทิศบุญไปให้เขา
ถ้าเขาชื่นชมอนุโมทนา


บุญและวัตถุทานที่เราอุทิศให้มีข้าว น้ำเป็นต้น
ก็จะเกิดแก่เปรตนั้นตามสมควรแก่ฐานะและภพภูมิของเขา

ไม่ใช่เราถวายแกงส้ม เปรตก็จะได้กินแกงส้ม ไม่ใช่อย่างนั้น
เพราะแกงส้มไม่ใช่อาหารของเปรต

หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้พระคุณเจ้าผู้ถาม คลายความสงสัยลงไปได้



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ว่างๆ ขอเชิญไปหาอะไรอ่านเล่นๆหนุกๆกันที่นี่ครับ

http://www.84000.org/tipitaka/book/
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b27: :b17: คุณคามินธรรม ที่แนะนำเรามากมาย แล้วยังสู่อุตส่าห์แปล :b3: มาให้กระจ่างอีกค่ะ จริงนะคะสำหรับผู้มาใหม่ การปฎิบัติอะไรมันก็ยากไปหมดค่ะ ถ้ามาเจอคุณๆที่เต็มใจแนะนำ
แม้อ่านคำถามแล้วคุณๆยังคงจะ :b10: ว่าเราจะถามอะไร ก็ยังเพียรหาคำตอบให้จนได้ :b8:
:b1: เราสมัครเข้ามาที่นี่ เพราะอ่านโพสต์ต่างๆ แล้วอยากถาม อยากรู้ แต่ก็จดๆจ้องๆ
อยู่นานนะคะ ถึงกล้าสมัคร กล้าถาม เพราะคุณๆมากไปด้วยความรู้ เวลาคุณสนทนาปัญหาธรรม
เราอ่านแล้ว :b23: เลยปัญหาแบบเรา แทบจะไม่มีให้ตอบ แต่เราว่าดีนะ บางทีคุณสนทนาธรรม
แบบหนักๆ พอมาเจอปัญหาเราปุ๊บอาจจะ :b1: :b16: ได้นะคะ
เราต้องขออนุโมทนา (ใช้คำนี้ได้ไม๊ :b10:) การให้ปัญญากับเราในครั้งนี้นะคะ
โดยเฉพาะกับ www.8400.org/tipitaka เราเข้าไปอ่านแล้วหายสงสัยเลยค่ะ
ว่าทำไมคุณๆ ถึงได้รอบรู้ เราอยากอ่านแล้วนะคะตอนนี้ เป็นที่รวมธรรมะเลยนะคะ
ทุกครั้งเวลาเราสงสัยบางคำที่คุณๆสนทนากัน เราก็จะเข้าไปใน Google แล้วกว่าจะเจอนะคะ
บางทีลืมคำถามแล้ว นี่เราเล่าเรื่องตัวเราจริงๆน่ะค่ะ
:b8: :b8: :b8: คุณ คามินธรรม คุณแมวขาวมณี คุณmes และคุณว่างเปล่า ที่แบ่งปันความรู้
มาเป็นธรรมทานให้เราค่ะ :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2009, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุครับ

ผมได้ทราบความรู้สึกของคุณแล้วก็มีความรู้สึกเป็นบุญเหมือนกัน
ยินดีในความรู้สึกนี้ ยินดีในบุญ ได้บุญ ได้ปิติน้ำตาเล็ดเลยครับ

แบ่งบุญให้คนเป้นทำอย่างนี้และครับ บอกกันไปเลย
ใครผ่านไปผ่านมาได้พบได้เห็นแล้วมุทิตาจิต มีความยินดี ก็เรียกว่าได้บุญกันอีก
xerox ได้ไม่รู้จบ ขอแค่เขาได้รับรู้

เห็นไหมครับ ผมรับบุญต้องรับทราบ
ผู้รับบุญต้องยินดีในบุญ ยอมรับบุญ จึงจะได้บุญ

ใครมาเจอแล้วหมั่นไส้ แปลว่าไม่ได้บุญ เพราะไม่ยินดีในบุญ ไม่ยอมรับบุญ

แล้วก็กลับไปสรุปว่าบุญคือสิง่ที่จิตปรุงแต่ง แล้วแต่ใครจะคิดว่าเป็นบุญ มันก็เป็นบุญ
ใครไม่คิดว่าเป้นบุญ มันก็ไม่เป้นบุญสำหรับเขา

ธรรมะพระพุทธเจ้าแม้ซับซ้อนเพียงใด
มันก็จะสอดรับกันไปหมด ไม่มีสวนกระแสกันเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมมีตัวอย่างเรื่องของพ่อครับ คุณพ่อของกระผมเองก็เช่นกันครับ แกเป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยวางอะไร ชอบเอาเรื่องต่างๆของคนในครอบครัวมาเป็นปัญหาของตัวเอง แล้วกระผมก็ทำเหมือนท่านนั่นแหละครับ คือทุกวันที่ปฏิบัติจนเพียงพอแล้ว กระผมจะอฐิษฐานว่า "ธรรมใดที่เรารู้ ขอให้ท่านได้รู้ด้วยเถิด" แล้วทุกวันนี้พ่อของกระผมเองก็เริ่มจะปล่อยวางบ้างแล้วครับ เริ่มมีความเห็นแล้วว่าการพยายามบังคับสิ่งต่างๆให้เป็นอย่างที่ตัวเองปราถนามันไม่มีความสุข นอกจากอฐิษฐานแล้วเวลาพูดคุยเรื่องต่างๆกันในครอบครัวกระผมเองก็มักจะแทรกธรรมเข้าไปในวงสนทนาอยู่เสมอๆ เพื่อให้ท่านได้พิจารณาบ้าง เพราะกระผมเองก็บอกเตือนอะไรก็ไม่ได้เพราะเป็นลูกคนเดียวที่ไม่เคยสร้างความภูมิใจอะไรได้เลยในบรรดาลูก 4 คน(แต่เราเองก็แอบภูมิใจในตัวเองอยู่อย่างที่เป็นลูกคนเดียวที่บวชให้) คือทุกวันนี้ยังไม่มีความมั่นคงอะไรให้แกเห็นเลย ต่างจากพวกพี่ๆที่มีบ้าน มีรถ มีกิจการ กันแล้วทุกคน(ส่วนเรามีบ้านอยู่ตั้ง 3 หลัง แถมไม่ต้องจ่ายตังซักบาทเดียว:b13:) อีกอย่างนึงคือเราแสดงให้เขาเห็นได้ว่าเราเองมีความสุขอยู่แล้วกับการที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรมากมายให้ต้องเป็นภาระ :b9:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 78 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร