วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 12:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 16:30
โพสต์: 411


 ข้อมูลส่วนตัว


แผนการทำลายล้างพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

คัดจาก......
พุทธศาสนาทรรศนะและวิจารณ์
ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต

หน้าที่ 27 (พิมพ์หนแรกปี 2529...ยี่สิบปีมาแล้วเอง หนที่ 4 พิมพ์ปี 2543)

ความว่า................

ขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องเหยียบย่ำพระพุทธศาสนาได้เกิดขึ้นมานานพอสมควรแล้ว ผมในฐานะพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งได้อดทนดูพฤติการณ์นี้มาโดยตลอด จนสุดจะบำเพ็ญขันติธรรมต่อไปอีกแล้ว จึงต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ปกป้องพระพุทธศาสนาที่คารพนับถือของผมเสียบ้าง

เมื่อเห็นเดียรถีย์มาย่ำยีพระพุทธศาสนา “จับเอาพระพุทธรูปมาหักคอเล่น” ยังมาทำปัญญาอ่อนยืนยิ้มอยู่ ก็ไม่รู้จะเป็นชาวพุทธหาสวรรค์วิมานอะไร เพื่อความกระจ่างผมขอปูทางให้เห็นที่มาของปัญหาเสียก่อน ย้อนตั้งแต่ต้นเลย ภาพจะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ศาสนาโรมันคาทอลิกนั้น (ผมไม่ใช้คำว่า คริสต์ศาสนาเพราะว่ามีนิกายอื่นคือ โปรเตสเตนต์ มิได้มีส่วนร่วมในการย่ำยีพุทธศาสนาครั้งนี้ จึงไม่อยู่ในขอบข่ายที่ผมจะพูดพาดพิงถึง) ได้เข้ามาเผยแผ่ที่เมืองไทยมาตั้งแต่สมัยอยุธยารัชสมัยพระนารายณ์มหาราชจนกระทั่งปัจจุบัน มีศาสนิกประมาณแสนเศษ ทางคริสต์ศาสนจักรคาทอลิก หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่ ได้ประชุมทบทวนหลักการและวิธีการเผยแผ่ศาสนาในประเทศที่มิใช่คริสต์ เรียกกันว่า “สังคายนาวาติกัน” ได้กระทำมาแล้วทั้งหมด ๒ ครั้ง ครั้งแรกระหว่างเดือนธันวา ๒๔๑๒ - กรกฎาคม ๒๔๑๓ ครั้งสุดท้ายระหว่าง ๑๑ ตุลาคม ๒๕๐๕ - ๘ ธันวาคม ๒๕๐๘

ผลของการสังคายนาครั้งที่ ๒ นี้สรุปออกมาว่า แผนการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศไทยนี้ประสบความล้มเหลว ไม่คุ้มค่าเวลาและทุนมหาศาลที่ทุ่มลงไปเพื่อการนี้ สาเหตุที่วิเคราะห์ได้คือ ชาวไทยพุทธรับไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนท่าทีใหม่แทนที่จะมองศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่นที่มิใช่คริสต์เป็นศัตรูเหมือนในอดีต ก็ให้เปลี่ยนใหม่เป็นมอบและยอมรับสิ่งที่ดีงามในศาสนาอื่นได้ โดยถือว่าสิ่งที่ถูกต้องดีงามนั้นไปจากพระเจ้า ศาสนาอื่นเป็นหนทางนำไปสู่คริสต์ศาสนา

เมื่อวาง “ท่าทีใหม่” อย่างนี้แล้ว ก็ดำเนินนโยบายกลมกลืนและดูดกลืนพระพุทธศาสนา เช่น

-ปลอมปนศาสนพิธี จัดพิธีกรรมแบบพุทธขึ้น เอาเนื้อหาสาระและความหมายแบบคริสต์ใส่แทน เช่น มีการมอดผ้าป่าแบบคริสต์ ทอดกฐินแบบคริสต์ เอารูปแบบพิธีกรรมของพุทธศาสนาไปใช้โดยเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระและเป้าหมายของพิธีกรรมไปรับใช้คริสต์ศาสนา

-ปลอมปนเครื่องประกอบพิธี เช่น จัดโต๊ะหมู่บูชาแบบพุทธ แต่แทนที่จะตั้งพระพุทธรูปบนโต๊ะบูชาก็เอากางเขนขึ้นมาตั้งแทน

-ปลอมปนศาสนาสถาน แม้กระทั่งรูปแบบของศาสนสถานและการเรียกชื่อ

-ปลอมปนศาสนกิจ เช่นในภาคอีสานมีบางท้องถิ่นมีบาทหลวงออกมาบิณฑบาต

-ปลอมปนภาษา นำคำศัพท์เฉพาะทางพุทธศาสนามาใช้ เช่น ใช้ศัพท์ธรรมของพุทธศาสนา คือ เรียกวัดแทนโบสถ์ อุปสมบทแทนการบวช พระภิกษุหรือสงฆ์แทนบาทหลวง พระสังฆราชแทนตำแหน่งบาทหลวงผู้นำทางศาสนา ทำให้สับสนไขว้เขว และลดความสำคัญประมุขสงฆ์ทางพุทธศาสนา

-ปลอมปนคำสอนและลดความสำคัญของพระพุทธเจ้า ที่สำคัญที่สุดและเป็นอันตรายที่สุดคือ การปลอมปนหลักคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยการใช้ศัพท์เฉพาะของพระพุทธศาสนาที่ไม่ใช้ในศาสนาเดียรถีย์อื่น แล้วอธิบายให้บิดเบี้ยวเข้ากับศาสนาของตน อ้างว่าหลักธรรมอย่างนี้ ๆ มีอยู่ในศาสนาคริสต์ ขณะเดียวกันก็บังอาจเหิมเกริมลดฐานะพระพุทธเจ้าอันเป็นที่สักการะนับถือสูงสุดของพุทธศาสนิกว่าเป็นเพียง “ทาสรับใช้” พระเจ้าของเขา พระเจ้าแกใช้ให้พระพุทธเจ้ามาตรสรู้สั่งสอนประชาชนเป็นการปูทางให้พระเยซูคริสต์ ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มิใช่พูดลอย ๆ ไม่มีเหตุผล ขออ้างหลักฐานให้กระจะ (?) กันเลยว่า เขาปลอมปนเหยียบย่ำกันอย่างไร

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 16:30
โพสต์: 411


 ข้อมูลส่วนตัว


ในวารสารแถลงกิจ ฉบับที่ ๑๐ เดือนมีนาคม ๑๙๖๙
ของสำนักเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนาแห่งสำนักวาติกัน
ได้ประกาศแผนการไว้อย่างชัดแจ้งว่า

“……งานเผยแผ่ของพวกเรา จะต้องช่วยให้พวกเราเป็นที่รู้จักแก่ผู้นับถือพุทธศาสนา
การที่จะให้งานนี้สำเร็จผลได้ในสมัยปัจจุบันเป็นต้องมีการปรุงแปลงวิธีการใหม่
ทั้งวิธีการแต่งบทสนทนาโต้ตอบ วิธีการสอนบทสนทนานั้น และวิธีสื่อสารทางสังคม……”

“……แต่การร่วมงานที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คือ งานที่ผู้เชี่ยวชาญของเรา
จะไปจัดไปทำเอากับคัมภีร์และตำรับตำราทางพุทธศาสนา
เพื่อจะดูดกลืนเอาหลักธรรมที่ดี ๆ เข้ามาไว้ในวัฒนธรรมคริสต์ของท้องถิ่น……”

วิธีการผสมผสานกลมกลืนทางขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและพิธีกรรมทางศาสนานั้น
ถ้ามองในแง่บวกก็ไม่น่าเสียหายอะไร เพราะเขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับ
สภาพบรรยากาศของเมืองพุทธ ดีเสียอีกจะได้สร้างบรรยากาศอันเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
เขาจะยืมของเราหรือเราจะยืมของเขาไปใช้บ้างก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง
มองเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้ามองให้ลึกแล้วจะเห็นว่า
เบื้องหลังการ “ปรับตัว” เข้ากับสภาพบรรยากาศแบบเรานั้น
มีเจตนาอันไม่บริสุทธิ์แอบแฝงอยู่

นั่นคือ อาศัยน้ำใจไมตรีอันจอมปลอมที่พยายามสร้างขึ้น
เพื่อให้ชาวพุทธตายใจแล้วทำลายพุทธศาสนาให้สิ้นซากในที่สุด
และการทำลายที่ได้ผลที่สุด ก็คือ
“งานที่ผู้เชี่ยวชาญของเรา (ชาวคริสต์) ไปทำเอากับคัมภีร์และ
ตำรับตำราทางพุทธศาสนาเพื่อดูดกลืนเอาหลักธรรมดี ๆ
เข้ามาไว้ในศาสนาคริสต์”นั่นเอง

นี่มิใช่เพียงการ “หักยอด” แต่เป็นการ “ขุดรากถอนโคน” อีกด้วย
เขาทำกันอย่างไร ลองมาดูกันต่อ

เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์นี้ได้เกิดขบวนการ สัทธรรมปฏิรูป
(การปลอมคำสอน) ขึ้นมาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คือ

- เกิดวารสารชื่อ สัปดาห์สาร ของสำนักบาทหลวงบ้านโป่ง ราชบุรีขึ้น
เปิดคอลัมน์ “ศาสนสัมพันธ์ - แนวการอธิบายคริสต์ศาสนา
โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา”
เอาหลักธรรมสำคัญของพุทธศาสนามาอธิบายบิดเบือนให้เป็นคริสต์
เป็นงานเผยแผ่ระดับชาวบ้านหรือประชาชนทั่วไป
ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานระดับประชาชนนี้
คือ บาทหลวง (ชื่อนามสกุลของคนเชื้อชาติ/สัญชาติไทยคนหนึ่ง)
สังฆราชแห่งมณฑลเชียงใหม่
ผลงานบิดเบือนพุทธธรรมของบาทหลวงผู้นี้
รวบรวมตีพิมพ์เป็นรูปเล่มสมบูรณ์ต่างหาก นอกจากที่ลงในวารสารสัปดาห์สารด้วย

-วารสารแสงธรรมปริทัศน์ ของวิทยาลัยแสงธรรม
สถาบันฝึกอบรมผู้เตรียมจะบวชเป็นบาทหลวงที่สามพราน นครปฐม
ได้ตีพิมพ์บทความในแนวที่เรียกว่า ศาสนสัมพันธ์
รวมทั้ง แนวทางการอธิบายคริสต์ศาสนาแก่ชาวพุทธ
โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา ออกมาอย่างต่อเนื่อง

-ในระยะกลางปี ๒๕๒๕ สำนักเลขาธิการเพื่อผู้ไม่นับถือคริสต์ศาสนาแห่งวาติกัน
ได้จัดทุนก้อนหนึ่งเสนอเสนอฝ่ายสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทยให้จัดตั้ง
“ศูนย์ศาสนสัมพันธ์” เพื่อเป็นที่รวมหนังสือทางพุทธศาสนา ให้บริการห้องสมุด
จัดปาฐกถา สัมมนา ฝึกสมาธิ ทั้งในและนอกสถานที่ พร้อมทั้งจัดพิมพ์เอกสารต่าง ๆ
เพื่อเผยแผ่ความรู้พุทธศาสนาในแนวคริสต์ศูนย์ดังกล่าวนี้ขึ้นตรงต่อวาติกัน
เป็นการจัดเตรียมให้รับพุทธศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคริสต์ศาสนา
หรือพูดให้ชัดคือ เตรียมกลืนให้หมดสิ้น การตั้งคาร์ดินัลในประเทศนี้ก็คือ
การกว้านซื้อที่ดินตามต่างจังหวัดแห่งละเป็นหมื่น ๆ ไร่
เพื่อจัดตั้งนิคมชาวคริสต์ แบ่งที่ทำกินแก่คนยากจนฟรี
โดยยื่นเงื่อนไขว่าต้องละทิ้งศาสนาดั้งเดิมก็ดี ล้วนเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาแทนที่พุทธศาสนาได้รวดเร็วขึ้น

เมื่อนั้นแหละครับ ก็จะมาถึงเวลา

“พระปฏิมาจะร่ำไห้
ชลเนตรรินไหลเป็นเลือดข้น
เกะกะโบสถ์วิหารจน
โป๊ปแกจะขนลงทิ้งน้ำ”

แล้วแกก็จะนำเอาไม้กางเขนมาประดิษฐานแทนอย่างสง่า

- ส่วนงานด้านการเตรียมการทางด้านปัญญาชน ที่อาศัยคราบของนักวิชาการ
กระทำอย่างลึกซึ้งและแนบเนียนก็คือหนังสือ
“ปรัชญาอินเดีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธปรัชญา) สำหรับชาวคริสต์”
ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และหนังสือชื่อ “พระไตรปิฏกสำหรับชาวคริสต์”
ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ทั้งสองเล่มเป็นผลงานวิจัยของท่านหนึ่ง

จุดประสงค์ของงานทั้งสองชิ้นนี้เด่นชัดอยู่ว่า
“คริสต์ศาสนาของเราไม่มีปรัชญาของตนเองโดยเฉพาะ
หากรับเอาปรัชญาที่พบว่าเหมาะสมมาอธิบายข่าวดีของพระเยซูมาตลอด
ในอดีตและในตะวันตก คริสต์ศาสนาใช้ปรัชญากรีกอธิบายคำสอนของตน
เมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามาในประเทศที่มีวัฒนธรรมและพุทธศาสนา
จึงควรใช้คำสอนของพุทธศาสนาแทนปรัชญากรีก”

“จะต้องดำเนินการวิจัยต่อไปในขั้นอื่น ๆ กล่าวคือ
ต้องวิจัยแต่ละเรื่องอย่างจริงจังพร้อมทั้งรายละเอียดเพื่อดูว่า
อาจจะนำเอาไปใช้ในคริสต์ศาสนาได้อย่างไรบ้าง เช่น
เรื่องกฎแห่งกรรม ความทุกข์ การหลุดพ้น อนัตตา
การเวียนว่ายตายเกิด ปฏิจจสมุปบาท สมาธิ อภิญญา
หรืออาจจะวิจัยโดยเขียนอรรถกถาคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นใหม่
ใช้อธิบายหลักคำสอนของคริสต์ศาสนาได้”

“ทดลองค้นคว้าสืบเนื่องต่อมาว่า
พระสูตรต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกอาจจะนำไปใช้เสริม
คำอธิบายคำสอนของพระเยซูในเรืองใดได้บ้างหรือไม่ อย่างไร”

“ควรมีการวิจัยหาคำอธิบายในพระไตรปิฎก
ให้ชาวคริสต์นำไปใช้ได้อย่างสะดวกใจที่สุด”

เห็นหรือยังครับว่า เจตนาที่แท้จริง คืออะไร
แกรู้ตัวว่าศาสนาของตนไม่มีปรัชญาอะไรลึกซึ้ง
ที่จะสนองตอบปัญญาชนในยุคปัจจุบันได้
จึงต้องหันมาหาพระไตรปิฎก เพื่อจะหาลู่ทางนำไปอธิบายคริสต์ศาสนาให้ฟัง
ได้มีเหตุมีผลขึ้นที่ไหนพอจะบิดให้มันเบี้ยวเข้าไปรับใช้ศาสนาของตนได้
ก็หยิบฉวยเอาซะเลย หรือหากหาไม่ได้จริง ๆ ก็อาจต้องลงทุน
“เขียนอรรถกถาคัมภีร์เล่มใดเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่เพื่อรับใช้ศาสนาคริสต์ได้”

การบิดเบือนปลอมแปลงคัมภีร์ศาสนาเป็นบาปมหันต์
เป็นการทำลายศาสนาอย่างร้ายแรง พระพุทธองค์ตรัสว่า
ผู้ใดกล่าวตู่พุทธพจน์ที่พระองค์ไม่เคยตรัสเลยเอาไปใส่พระโอษฐ์พระองค์
หรือตรัสอีกอย่าง ไปบิดเบือนอีกอย่างหนึ่ง เป็นผู้ทำลายศาสนา
มีบาปอุกฉกรรจ์ (ยิ่งกระทำโดยคนนอกศาสนาแล้ว
ยิ่งถือว่าเป็นความเลวร้ายชนิดที่ไม่น่าจะอภัยให้ชั่วกัลป์กัลป์ทีเดียว)

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 16:30
โพสต์: 411


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าจะเถียงว่าข้อเขียนเหล่านี้เป็นเพียงทรรศนะทางวิชาการส่วนตัวของนักวิชาการเท่านั้น
ไม่ควรโยงใยไปถึงแผนการของวาติกันซึ่งดูเป็นการตั้งสมมติฐานไกลเกินเหตุ
ก็ขอบอกว่าอย่าแก้ตัวเลย การที่พวกท่านประชุมลับกันวางนโยบายกันอย่างไร ที่ไหน เมื่อไรบ้าง
เอกสารลับ (ที่ท่านนึกกระหยิ่มว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากพวกท่าน) อยู่ในมือผมหมดสิ้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “นตฺถิ โลเก รโห นาม” ชื่อว่าความลับไม่มีในโลก
โปรดสำเหนียกไว้ด้วย

ต่อไปนี้ลองมาดูการถูกเหยียดหยามพระพุทธองค์และพระพุทธศาสนา
แบบปัญญาชนของเขาบ้าง (การอ้าง การอธิบายทางวิชาการบังหน้า
ก็เพื่อลวงตาคนส่วนมากว่านี่เป็นวิชาการล้วน ถ้ารู้ไม่เท่าทัน รู้ไม่ถึง
ก็อาจจะไม่เห็นว่าเป็นการดูหมิ่นอะไร)

“พระเจ้าคือ องค์ความจริง ความจริงทุกอย่างย่อมมาจากพระเจ้า
ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนความจริง ความจริงนั้นย่อมมาจากพระเจ้าเช่นกัน”

“การรับรู้ธรรมะของชาวพุทธ ต้องนับว่าเป็นการรับรู้พระเจ้าในลักษณะหนึ่ง”

“วิถีทางแห่งการบรรลุชีวิตพระเจ้าก็คือ ไตรสิกขา อันได้แก่
การถือศีล (บัญญัติ ๑๐ประการและอื่น ๆ ในพระไตรปิฎก)
ฝึกสมาธิ (ตามแนวทางของวิสุทธิมรรค) เพื่อบรรลุถึงการมีชีวิตพระเจ้า
(อภิญญารวมกับอภิปัสสนาหรือปิติฟิควิชั่น)”

“ปฐมเหตุของสรรพสิ่งคือพระเจ้า พระผู้สร้าง พระองค์สยมภู
พระองค์เป็นผู้สร้างสากล จักรวาลและทรงตั้งกฏปฏิจจสมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก”

“การเรียนรู้กฏปฏิจจสมุปบาทไม่ขัดต่อการเป็นคริสต์ศาสนิกชน
ปฏิจจสมุปบาท คือ แผนที่ของพระเจ้าที่มีต่อโลกมนุษย์
พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้และนำมาตีแผ่”

“พึงระวังไม่ลดองค์พระคริสต์ให้ต่ำลงระดับผู้วิเศษ
หรือในระดับเท่ามหาบุรุษอื่น ๆ
ในโลกนี้ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น เช่น พระพุทธเจ้า”

“ถือได้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นปกาศกองค์หนึ่งของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มอบภารกิจ
ให้มาเตรียมประชาชนชาวตะวันออกรับเสด็จพระคริสต์ เพราะชาวคริสต์ถือว่าพระเมสสิอา
หรือพระศรีอาริย์นั้นได้เสด็จมาแล้วเมื่อราว ๕๐๐ ปีหลังพุทธกาลพอดี
ยุคพระศรีอาริย์หรือพระเมสสิอานั้นเริ่มต้นแล้วนับแต่พระคริสต์บังเกิด”

“ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คริสต์ศาสนาก็สอนเหมือนกัน
เพราะเป็นความจริงสากลสภาพเปลือย คือ อนัตตา
ความสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่และความตายก็คือ อนัตตา คือไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่น
ความอยากกินผลไม้ต้องห้ามเป็นอวิชชาทำให้เกิดตัณหา”

โปรดสังเกตว่า นักบวชปลอมแปลงเหล่านี้มีความ “อยาก” (ตัณหา) จนเกิด “ความโง่”
(อวิชชา) เพราะมุ่งเอาแต่จะได้โดยลืมนึกไปว่าตนเองพูดขัดกันเอง หรือเดินขัดขาตัวเองอย่างไม่เป็นท่า พูดอยู่หยก ๆ ว่า ศาสนาคริสต์คาทอลิกของตนไม่มีปรัชญาลึกซึ้งอะไร ต้องมาจัดทำเอากับพุทธศาสนา คือมาหยิบฉวยเอาของดีจากพุทธศาสนาไปดัดแปลงศาสนาคริสต์จึงจะอยู่รอดได้

เมื่อคริสต์ศาสนาไม่มีธรรมะขั้นสูงทีมีเหตุมีผลเพียงพอก็แสดงอยู่ในตัวว่าเยซูคริสต์แกรู้อย่างตื้นเขิน สอนได้แค่ธรรมะพื้น ๆ แล้วไฉนจึงบังอาจพูดว่า
“ให้ระวังอย่าได้ลดองค์พระเยซูให้เสมอหรือต่ำกว่าพระพุทธเจ้า” หรือ
“พระพุทธเจ้าเป็นเพียงแค่ปกาศกผู้รับใช้พระเจ้า ได้ตรัสรู้
ปฏิจจสมุปบาทก็เพราะพระเจ้าประทานมาให้และสั่งให้เตรียมการไว้รอรับพระเยซู”

การอธิบายอนัตตาเป็นภาพโป๊ภาพเปลือย ก็ลามกจกเปรตบิดเบือนจนเหลือจะทานทนแล้ว ยังมาล่วงล้ำก้ำเกินเหยียบย่ำน้ำใจกันไปถึงไหน
ศาสนาใคร ใครก็รัก ศาสดาใคร ใครก็เคารพนับถือ ให้เกียรติให้ความเคารพเสมอ
พวกท่านจะทำอย่างนั้นบ้างไม่ได้หรือ

มันน่าน้อยใจก็ตรงที่พอมีคนมาย่ำยีศาสนาพุทธ หาว่าพระพุทธเจ้าเป็นปกาศกรับใช้พระเจ้า คอลัมนิสต์ชื่อดังบวชเรียนมาก็นาน เขียนบทความในทำนอง ไม่เห็นจะเป็นการย่ำยีดูถูกอะไรเลย คำว่า “ปกาศก” แปลว่า ผู้ประกาศ พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจธรรมก็เหมาะสมอยู่แล้ว

ท่านอ่านข้อความจบประโยคหรือเปล่า หรือหยิบฉวยมาแต่คำว่า “ปกาศก” แล้วมาพูดว่าไม่เป็นการเหยียบย่ำ อยากขอให้ท่านกลับไปอ่านข้อความให้เต็มประโยคแล้วตรองดูว่า เป็นการให้เกียรติพระพุทธเจ้าหรือดูหมิ่นพระพุทธเจ้า และคำว่า Prophet ที่แปลไทยว่า “ประกาศก” (เขียนแบบสันสกฤต ในขณะที่คำแรกเขียนแบบบาลี : ผู้แปะ) นั้น ในความหมายของคริสต์ศาสนิกชนคืออะไรรู้บ้างไหมจะนำมาใช้กับพระพุทธเจ้าหาได้ไม่ (แปลทำนองว่า ผู้นำสาสน์จากพระเจ้ามาประกาศ จึงเป็นการลดศักดิ์ศรีพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็นอย่างยิ่ง : ผู้แปะ)

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดกรณีคริสต์- พุทธขึ้น ทางราชการ (กระทรวงมหาดไทย) ได้ออกคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศไทยบรรยายถึงพฤติกรรมอันไม่สมควรของชาวคริสต์คาทอลิกกระทำต่อพุทธศาสนาอย่างยาวเหยียด แล้วสุดท้ายแทนที่จะขอร้องให้พวกเขายุติการกระทำอันนั้นเสีย กลับบอกให้เจ้าหน้าที่ปกครองคอยสอดส่องพฤติกรรมของชาวพุทธอย่าให้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น

มันน่าเจ็บใจน้อยไปหรือ

ถ้าสมมติว่าผมไปเหยียบไม้กางเขนโป๊ปแกเข้า
ชาวคริสต์พากันฮึดฮัดต่อต้านการกระทำของผม
อยากรู้นักว่าทางราชการจะออกจดหมายสั่งให้สอดส่องพฤติการณ์
ของชาวคริสต์ออกมาต่อต้านผมไหมหนอ

สยามเมืองยิ้มนี้ สามารถยืนยิ้มอยู่ได้ไม่วิตกทุกข์ร้อนอะไร
แม้ว่าเดียรถีย์นอกศาสนาขนเอาพระพุทธรูปมาหักคอเล่นกระนั้นหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 15:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นเสียงหนึ่งที่วางเฉยครับท่าน

การปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ให้แจ้งในอริยสัจ
ย่อมเป็นเครื่องการันตีความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา
เป็นการสืบทอดที่แท้จริง และสืบทอดได้อย่างหมดจด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ที่ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. สี่อย่างอะไรกันเล่า ? สี่อย่างคือ:-

ภิกษุ ท.! พวกภิกษุเล่าเรียนสูตร อันถือกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันผิด ; เมื่อบทและพยัญชนะใช้กันผิดแล้ว แม้ความหมายก็มีนัยอันคลาดเคลื่อน. ภิกษุ ท.! นี้ มูลกรณีที่หนึ่ง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือน จนเสื่อมสูญไป

ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่น.ภิกษุ ท.! นี้มูลกรณีที่สอง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือน จนเสื่อมสูญไป.

ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท). ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่บอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ ; เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาดผู้เป็นมูลราก (อาจารย์) ไม่มีที่อาศัยสืบไป. ภิกษุ ท.! นี้ มูลกรณีที่สาม ซึ่งทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือน จนเสื่อมสูญไป.

ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง พวกภิกษุชั้นเถระ ทำการสะสมบริกขารประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา มีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ ไม่เหลียวแลในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง. ผู้บวชในภายหลังได้เห็นพวกเถระเหล่านั้นทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ ก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่าง จึงทำให้เป็นผู้ทำการสะสมบริกขารบ้าง ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา มีจิตต่ำด้วย อำนาจแห่งนิวรณ์ ไม่เหลียวแลในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง,ตามกันสืบไป. ภิกษุ ท.! นี้ มูลกรณีที่สี่ ซึ่งทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้แล ที่ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๗/๑๖๐.

---------------------------------------------------
ผู้ไม่ทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ย่อมทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้
ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. สี่ประการอะไรบ้างเล่า ? สี่ประการ คือ:-

(๑) ภิกษุ ท.! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก
ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่งซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๒) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เป็นคนว่าง่าย ประกอบด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่าง่าย
อดทน ยอมรับคำสั่งสอนโดยความเคารพหนักแน่น.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นกรณีที่สอง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๓) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ
ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุเหล่านั้น เอาใจใส่ บอกสอน เนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ,
เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็ไม่ขาดเป็นมูลราก (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สาม ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๔) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุผู้เถระ ไม่ทำการสะสมบริกขาร ไม่ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไม่มีจิตตกต่ำ ด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไปในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารภความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.
พวกภิกษุที่บวชในภายหลัง ได้เห็นพระเถระเหล่านั้น ทำแบบฉบับเช่นนั้นไว้ก็ถือ
เอาเป็นตัวอย่าง, พวกภิกษุรุ่นหลัง จึงเป็นพระที่ไม่ทำการสะสมบริกขาร ไม่
ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไมมีจิตตกต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไป
ในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารถความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่
ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สี่ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้แล ย่อมทำให้รพะสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไปเลย.
- จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๘/๑๖๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้รู้เท่าทัน จะได้ป้องกันตนเองได้ในระดับหนึ่ง :b8: :b8: :b8:

ส่วนเราชาวพุทธควรมีหน้าที่ในการสืบสานศาสนาพุทธ ที่ได้มาแสนยากให้แก่ชนรุ่นหลังด้วย เพื่อตนเองก็ได้ประโยชน์ด้วย คือ

ธุระสองประการ ได้แก่
๑.คันถธุระ คือ การเรียนอารมณ์ปัญญาของพระพุทธเจ้า ได้แก่การศึกษาปริยัติธรรม พระอภิธรรม เพื่อจะได้เข้าใจถึงปรมัตถธรรม อันจะเป็นความรู้ความเข้าใจที่ประกอบเหตุผลมากที่สุด เป็นไปเพื่อสัมมาทิฏฐิเป็นไปเพื่อกัมมัสสกตาปัญญา (ปัญาที่เข้าใจเรื่องกรรม ผลของกรรม เป็นต้น)
๒.วิปัสสนาธุระ เมื่อเข้าใจความจริงแล้ว บุคคลย่อมขวนขวายทำธุระในการเจริญสติปัฏฐาน เจริญวิปัสสนา เพื่อเป็นปัจจัยแก่วิปัสสนาปัญญา เพื่อการพ้นทุกข์ในเบื้องหน้า

หากธุระทั้งสองประการนี้ยังมีอยู่ในโลก พระศาสนา ก็ยังได้ชื่อว่า ยังคงมีอยู่ ต่อเมื่อใด สติปัฏฐานหมดไปแล้ว วิปัสสนาหมดไปแล้ว พระอภิธรรมหมดไปแล้ว พระสูตรหมดไปแล้ว พระวินัยหมดไปแล้ว..ก็ชื่อว่าเข้าถึงยุคศาสนาอัตรธาน ดังนั้น ชาวพุทธจึงสมควรหันมาใส่ใจมรดกที่พระพุทธเจ้ามอบให้เพื่อประโยชน์ตนด้วย เพื่อสืบต่อพระศาสนาด้วย เพราะผู้ที่จะรักษาศาสนานั้น ได้แก่ "ปัญญา" ของชาวพุทธ

และปัญญาที่จะนำมารักษาพระศาสนานั้น ก็ต้องมาจากการทำธุระทั้งสองประการนั่นเอง

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 13:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2008, 16:30
โพสต์: 411


 ข้อมูลส่วนตัว


วัดพุทธควรรู้ไว้
ถ้าท่านเป็นคนไทยพุทธที่รักชาติโปรดรับรู้ไว้ นี่คือเรื่องจริงที่กำลังจะเกิดในไม่ช้า

แผนปฏิบัติการของการก่อการร้ายในประเทศไทย
หลักการและเหตุผล
เนื่องจาก มุสลิมโลก ต้องการครองโลก และโดดเดี่ยว สหรัฐอเมริกาและยุโรป ด้วยการเอาเอเชีย (ไทย-ลาว-เขมร-เวียดนาม-พม่า-และมาเลเซีย) รวมเป็นรัฐอิสลาม หรือเป็นเครือข่าย ผนวกกับอินโดนีเซียเป็นฐานต่อสู้อเมริกาและยุโรป โดยใช้มาเลเซียเป็นรัฐบาลกลาง โดยมุสลิมโลก นำมุสลิมจากซีเรีย ลิเบียและอาฟกานิสถาน เข้ามาฝึกอาวุธและการสื่อสาร ให้มุสลิมในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงอินโดนีเซีย (ซึ่งมีคนจนมาก) เชื่อมโยงถึงฟิลิปปินส์ (ซึ่งมีคริสต์มาก) และมาเลเซีย (อิสลามเข้มแข็ง) โดยเฉพาะประเทศไทย(เพราะมีพุทธมาก) ซึ่งในปัจจุบันให้ ดร.มหาเธ แห่งมาเลเซีย เป็นผู้นำมุสลิมในภูมิภาคเอเซีย
แผนการระยะยาว
ได้เริ่มปฏิบัติการมาราว 40 ปีแล้ว โดยพยายามเพิ่มประชากรมุสลิมในประเทศไทย ด้วยวิธีของศาสนาอิสลาม คือชายอิสลามให้มีภรรยาประจำได้ 4 คน (เมื่อมีลูกแล้วจะหย่าหรือเลิกไปมีภรรยาใหม่อีกก็ได้ เพื่อจะได้เร่งการมีลูกมีประชากรอิสลามได้มากและเร็วขึ้น)
จากนั้น กก.อิสลาม จะส่งเด็กไทยอิสลามไปเรียนในระดับประถมและมัธยมหรืออาชีวะในประเทศมาเลเซีย-อินโดนีเซียหรือชาติอาหรับ (เพื่อให้เลือดมุสลิมเข้มข้น) เพราะค่าใช้จ่ายถูก โดยกก.อิสลามในประเทศไทยส่งเงินไปช่วยจนจบ (สำหรับใครที่ไปบรูไนเรียนฟรี) ส่วนคนมีฐานะให้ไปเรียนระดับปริญญาที่ลิเบีย อิหร่านเป็นต้น ต่อจากนั้นได้มีการ วางคนมุสลิมเข้าไปในวงการเมืองและในวงราชการ เพื่อให้นักการเมืองมุสลิมได้บริหารบ้านเมือง และไปจัดแถวให้ข้าราชการมุสลิมอยู่ในตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานราชการ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศมุสลิม
แผนการระยะสั้น เรียกแผน ตาลาตี๊ต่ำปง เป็นแผนต่อจากแผนแรก โดยมุ่งจะยึดครองประเทศไทยเป็นประเทศมุสลิมให้ได้ ภายใน 10 ปี (2547-2557)
เป้าหมายสำคัญ คือในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ.2563) จะยึดประเทศไทยได้ทั้งหมด โดยแผนระบุไว้ว่า "วันที่ไทยจะเศร้าที่สุด คือวันที่ในหลวงสิ้นประชนม์" โดยมาเลย์จะเป็นผู้รับแผนปกครองไทย และจะใช้กฎหมายอิสลามปกครองประเทศ (มีหนังสือปกที่มหาเธใส่เสื้อสีแดง ในเอกสารลับของมุสลิม)
เป้าหมายและวิธีดำเนินการ
ผู้นำย้ำให้พยายาม ทำให้คนไทยแตกแยกกัน ทำให้พุทธแตกแยก ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้โครงการ ตาลาตี๊ต่ำปง มุ่งหมายทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย โดยวางมุสลิมเป็นนักการเมือง เข้าสังกัดทุกพรรค
นโยบายเชิงรุกในการยึดครองแผ่นดินไทย ภายใน 10 ปี

กลยุทธ์ที่ใช้มีดังนี้ (ตาลาตี๊ต่ำปง) ต้องเจาะให้ไทยมันเลือดไหลหมดตัว แล้วมันจะค่อยๆตายโดยที่
1. ต้องยุยงมันให้ทะเลาะกันในหมู่พระสงฆ์ นักการเมือง นักศึกษา ประชาชน ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องใช้เงินในการทำ CD ให้สถาบันเสื่อม ต้องใช้เงินมากก็ยอม ทำลายติดต่อกัน โดยส่งคนเข้าทุกพรรค
2. การขโมยเด็กไทยพุทธที่ทำมา 39 ปีแล้ว ต้องทำต่อ นำมาฝึกการโจรกรรม ทำระเบิด เด็กที่ฝึกไว้เหลือไม่กี่ร้อย คงต้องใช้เงินไปซื้อเด็กทางภาคเหนือ อิสาน หรือแหล่งสลัมในภาคกลาง ถ้าไม่ได้เด็กไทยพุทธตามจำนวน ก็ต้องหลอกล่อพ่อแม่มุสลิมว่า ขอลูกส่งไปเรียนนอกประเทศไทย แต่ต้องไปเรียนภาษาอาหรับที่ปอเนาะทางภาคใต้ก่อน เอาเด็กอายุ ไม่เกิน 10 ปี
3. การจ้างคนทำลายพระสงฆ์และวัดไทย ยังต้องทำต่อเนื่อง เอาคนของเราแทรกเข้าไปในวัดไทยให้มากที่สุด และวางคนตีโอบทางภาคเหนือลงมาโดยเร็ว โดยใช้มุสลิมผู้ใหญ่เข้าไปค้าขายโรตีและของที่ระลึก
4. อย่าให้คนไทยพุทธและอิสลาม 3 จังหวัดใต้มีการศึกษา ให้เผาโรงเรียน ฆ่าครู สร้างปอเนาะเพื่อการปลุกระดม
5. เพิ่มประชากรมุสลิม ให้ชายหญิงแต่งงานเมื่อมีอายุ 12-13 ปี เพื่อเร่งสร้างกลุ่มมุสลิมที่เข้มแข็ง
6. ดึงเศรษฐกิจไทยมาเป็นของเรา ต้องเร่งทำ ให้ใช้มุสลิมพื้นที่เข้าซื้อที่ดินและกิจการรีสอร์ทโรงแรมตามชายทะเลทุกแห่ง และทุกแหล่งท่องเที่ยว ต้องให้เปลี่ยนมือมาเป็นของมุสลิมและให้คลืบคลานไปถึงกรุงเทพฯ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน
7. เร่งทำลายกิจการในทุกพื้นที่ทุกกิจการ โดยเรียกคนมุสลิมที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพ เข้ามาวางระเบิดธนาคาร สถานที่ราชการ การไฟฟ้า โชว์รูมรถ สถานีรถไฟ รถขนส่ง ท่าอากาศยาน ศูนย์การค้า ปั๊มน้ำมัน ก่อนลงมือทำต้องแจ้งให้มุสลิมในพื้นที่รู้ก่อน จะได้ไม่ไปโดนลูกหลง
8. ให้เพิ่มเจ้ามือหวยมาเลย์ ไปยังทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน เราต้องเป็นเจ้ามือเพียงผู้เดียว พื้นที่ใดยังมีคนพุทธเป็ฯเจ้ามือ ให้ฆ่าทิ้งเสีย รับซื้อหวยรัฐบาล หวยออมสิน อื่นๆ แม้เพียง 1 บาทก็รับซื้อหมด ให้มันงมงายเล่นหวยมาเลย์ ออกรางวัล สัปดาห์ละ 4 ครั้ง เดือนละ 16 ครั้ง รางวัล ABCD 4ตัว มันไม่ถูกเรารวย เงินฆ่ามันเอง เราครอบครองได้ทั้ง 3 จังหวัด เพราะรางวัลสูงกว่าหวยไทย ไอ้ทักษิณ ไปแล้วยิ่งทำง่าย
โดย: [0 3] ( IP )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 1

9. การฆ่าคนพุทธเพิ่มมุสลิม ทำให้ได้วันละ 2,000 คน เดือนละหกหมื่นคน ปีละ 720,000 คน การที่คนของเราไปแต่งกับพุทธดึงคนมา ได้ลูกจะเป็นมุสลิมปีละ 5 ล้านคน อันนี้ต้องทำให้ได้ หลังจากนั้นจะทวีคูณ เป็นการกลืนคนโดยง่าย การมีมุสลิมมากไว้ต่อรองเป็นสิ่งสำคัญ
10. แย่งชิงผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี โดยใช้สุลต่านหรือองค์หญิงที่เกิดจากรายา ประไหมสุหรี่ ก็ต้องทำ เลือกแต่งงานกับคนมีเงินมีตำแหน่งในรัฐบาล กิจการทองคำ สายการบิน เรือเดินทะเล นักการเมือง กระจายเรื่องนี้ลงในมุสลิมทุกคน
11. การครอบงำกิจการการเงินทุกองค์กร การมีเงินคือการมีอำนาจ ใส่หัวมุสลิมทุกคนไว้ โดยการช่วยให้มุสลิมคุมการคลัง การเงินทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทุกกระทรวง และกิจการโทรคมนาคม วางมุสลิมไว้ในตำแหน่งสูงๆ ทุกจังหวัด ทุกอำเภอทุกตำบล หรือแม้แต่การเงินในวัดไทยก็ต้องใช้คนมุสลิมเข้าไปใกล้ให้ได้ทำบัญชีของวัด ในกิจการของ KTB ได้ผลพอประมาร ต้องเข้าไปในธนาคารอื่นด้วย เช่นธนาคารสงเคราะห์ และธนาคารของของชาติต่างๆ
12. การสร้างสถานการณ์เรื่องมุสลิมใต้ถูกรังแก ต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากๆ ให้กลุ่มอัลไคด้ารู้ เพื่อส่งต่อให้เจไอ เข้าวางแผนทำลายล้างมัน
13. การทำแผนที่จุดสำคัญในกรุงเทพและเมืองใหญ่ๆในไทย ต้องเร่งทำให้เสร็จ เด็กเราส่งไปเรียนตามสถาบันต่างๆ เวลาว่างให้ช่วยเร่งทำ การเงินไม่ต้องห่วง ใช้เงินค่าแรงจากเงินที่เรียกค่าคุ้มครอง 4 จังหวัดภาคใต้ เสร็จแล้วส่งให้ MD ดำเนินการต่อ MD[มหาเธ]
14. การปลุกระดมโดยวางคนเข้าไปในกลุ่มมุสลิมในอยุธยา นครสวรรค์ ดอยปุย และที่บ่อเกลือชายแดนเหนือทุกจังหวัด ต้องเร่งทำให้เหมือนที่ทุ่งครุ ตลิ่งชัน หนองจอก มีนบุรี พัทลุง เชียงราย บางแสน ให้ทำต่อเนื่อง ส่วนโรงเกลือ มุสลิมเราเอาคนข้ามไปฝั่งเขมรได้หุ้นคาสิโน และตามออเดอร์ ตะเข็บชายแดน รวมซื้อหุ้นคาสิโนที่เกาะสอง เราจะเอาภาคใต้ทั้งหมดไว้ก่อน เร่งสร้างมัสยิดเล็กๆ อย่าให้คนไทยพุทธรู้ตัว เร่งแทรกซึมเหมือนน้ำ
15. รวบรวมเงินของมุสลิมที่ร่ำรวยให้มากกว่าเดิม ส่งเด็กมุสลิมอื่นที่ไม่ใช่ลูกไปเรียนที่อัฟกานิสถานเดิมได้ผลดีเร่งทำต่อเนื่อง เราต้องยึดไทยให้ได้เหมือนที่ยึดอินเดียใน 10 ปีเราจะกลืนไทยพุทธให้หมดและจะเร็วยิ่งขึ้น ถ้ามุสลิมได้เรียนเพิ่มแขนงแพทย์ให้มากๆ
16. การวางคนสืบทอดระยะยาว ปลูกจิตสำนึกบ่อยๆ ท่าน MD บอกว่า ถึงแม้รุ่นท่านไม่ทันก็ต้องทำต่อไป โดยมีรุ่นเรารุ่นเด็กสืบทอดไปในทุกเรื่องที่วางแผนไว้ เลือกเด็กฉลาดรับงานด้านศาสนา ปลูกฝังทำเพื่ออัลเลาะห์ ได้ขึ้นสวรรค์ การสร้างผู้นำในทุกๆกลุ่มสำคัญ โดยเฉพาะนักรบแผน 2 4 8 16 32 ใช้ได้เสมอ เน้นการฟังมวลชนผู้ใหญ่
17. การล่อใจให้คนไทยพุทธให้เปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิม โดยให้กู้เงินดอกเบี้ยไม่มีดอก ปีต่อไปมีดอกเล็กน้อย หวังผลภายหน้า เขาจะช่วยเงินกลับมาภายหลัง ให้ทำต่อไปเหมือนโซ่
18. การเข้าฮุบกิจการของหุ้นส่วน ให้ดูว่าส่วนใดไม่ระวังตัว ให้บอกเจไอเข้าดำเนินการฆ่าหุ้นส่วน แล้วดึงกิจการมาเป็นของเรา ต้องให้อยู่ในมือมุสลิมเท่านั้น
19. ให้อำนวยความสะดวกตามชายแดนที่ติดกับไทย ให้มันเล่นคาสิโนของเราให้ได้เงินมันมากที่สุด ส่งคนของเราตีสนิท สืบถามเรื่องกิจการภูเก็ต กระบี่ พังงา ให้ช่วยติดต่อซื้อกิจการด้านการท่องเที่ยวให้อยู่ในมือเรา
20. เป็นที่น่ายินดีขณะนี้เร่งส่งคนของเราเข้าแดนไทยให้มากที่สุด ก่อนที่มันจะสำรวจทะเบียนใหม่ การมีถิ่นฐานในไทย เราจะได้ซื้อที่ดินของมันให้มาก ก่อนที่มันจะกั้นแดน เราล้ำที่ดินทุกตารางเซ็นต์
21. ทุกครั้งที่มีโอกาสต้องขอโน่นขอนี่ให้มากที่สุด การวางตัวคนเข้าพรรคการเมืองและเป็นข้าราชการระดับสูง สู่เส้นทางบริหาร และเข้าใกล้ KING (ในหลวง) และแหล่งศาสนาที่ใหญ่มากที่สุดคือ ธรรมกาย เอาคนของเราใช้เงินไปทำบุญซื้อใจ เมื่อเสร็จแล้ว แฟกซ์ส่งไปที่ KLS จำไว้
22. เร่งการต่อรองให้เราปกครองตนเอง ให้มีกฎหมายอิสลามใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องเร่งทำ เพื่อการแยกดินแดนออกมาง่ายภายหลัง
23. ปลุกเร้าให้มุสลิมขับไล่ทหารออกไปโดยเร็ว ไม่ให้คุ้มครองครู มุสลิมและคนพุทธที่นอกกรอบให้ออกไปจากพื้นที่ 3 จังหวัดขณะนี้การฝึกเด็กของเราทำไม่สะดวก กลุ่มปะนาเระถูกจับตา เราต้องเข้าป่าทางบาโจ และบูโด ให้หน่วยกล้าตายของเราฆ่าคนของพุทธ ในเขตหนองจิก เพื่อดึงความสนใจไปด้านโน้น
24. เรื่องยาเสพติด ถ้าโดนกวนมากๆ ให้ย้ายฝั่งไปเขมรหรือลาว ของที่ผลิตแล้วในเกาะสองให้เร่งขาย สะสมเพื่อกิจการใหญ่ของเรา ถ้าโดนจับให้ทุ่มเงินจ่ายตำรวจท้องถิ่น ถ้ามันขัดขืนฆ่าทิ้งแถวพรุ
25. การแลกเงินไทยเป็นดอลล่าร์ ให้แลกเปลี่ยนทุกวัน ไม่ให้ธนาคารไหวตัว ทำเศรษฐกิจมันให้ทรุด ให้มุสลิมซื้อบัตรเงินหรือแซงวั่นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเงิน ให้แทรกแทรงกิจการการเงินให้ได้มากที่สุด รวมทั้งการดึงเงินในพระสงฆ์ไทย ให้มาฝากในธนาคารของเรา
โดย: [0 3] ( IP )

--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 2

26. การนำรายได้เพิ่มจากอาหารคนและสัตว์ดีมาก เร่งสร้างอาหารฮาราล ส่งขายอาหรับ เงินจากการขายอาหารแมวสุนัข ะช่วยเพิ่มมุสลิมในยุโรป จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส
27. ระวังการดักฟังสื่อสาร เอกสารทุกเรื่องที่ประชุมเก็บให้มิดชิด เด็กใหม่ที่รับคำสั่งให้แน่ใจว่าข้อมูลไม่รั่วไหล อย่าให้จดบันทึกบ้านไทยพุทธที่พ่อแม่ถูกฆ่า ดึงเด็กมาเป็นของเรา สอนให้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ ย้ำประวัติศาสตร์ อิหม่ามถูกฆ่า1ให้ฆ่าพระ 10 อุสต๊าสถูกฆ่า 1 ให้ฆ่าครู 10 ประโคมข่าวมุสลิมลี้ภัยไปหา MD สร้างเหตุการณ์มุสลิมลี้ภัยใต้ให้มากยิ่งขึ้น ออกข่าวให้มุสลิมกลางส่งเงินมา ขอความเห็นใจจากทั่วโลก ทำให้มันเสียชื่อมากที่สุด เราจะได้ยึดครองได้ง่าย เร่งดึงเด็กไทยพุทธให้ไปเรียนที่ปีนัง อัพแลนด์ ให้ได้ 1,000 คน เพื่อการปลูกฝัง ขณะนี้สายรายงานว่า ได้ปักธงลงบางพื้นที่ว่า เราได้ดินแดนไทย
28. ผูกขาดการขายสินค้ากัยพ่อค้าชาวไทย ให้เปลี่ยนชื่อสินค้าทุกชนิดของเราเป็นชื่อทางยุโรป รวมถึงน้ำมันปิโตรเลียม ซื้อเข้าเมื่อราคาไทยต่ำ ส่งกลับให้มากเมื่อราคาไทยสูง
29. ให้เงินเจ้าหน้าทางชายแดนไทย ให้ช่วยเหลือกิจการของเรา ซื้อพรรคการเมืองไทย ทำลายศาสนาพุทธ สถาบันชาติ สถาบันกษัตริย์ โดยด่วน


ผู้ที่ได้เอกสารนี้ กรุณาถ่ายเอกสาร แจกให้อ่านกันให้ทั่ว ถ้าท่านเป็นชาวพุทธที่รักชาติไทย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าเชื่อว่า.......
พระพุทธศาสนาตั้งมั่น 5,000 ปี
มีพระพุทธเจ้า เพียง 1 พระองค์ ที่มาบังเกิด ในแต่ละยุคเท่านั้น
หามี 2 - 3 องค์มาเกิดร่วมไม่

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2009, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


5000 ปี ไม่ใช่คำของ พระพุทธเจ้า
5000 ปี ก็ไม่มีในพระไตรปิฏก ครับ

ขอบคุณครับ
----------------------
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า “มหาภูตสี่
คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน?” ดังนี้เลย,
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า:“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้
ในที่ไหน? ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม
ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน? ดังนี้ต่างหาก.

ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ,
นั้นมีอยู่. ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง”
นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม
ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ.
นามรูป ดับสนิทใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้”.

เกวัฏฏสูตร สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓. ตรัสแก่เกวัฏฏะคหบดี ที่ปาวาริกัมพวัน เมืองนาลันทา
-------------------------------------
ภิกษุ ท.! สังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม ๓ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. มีการเกิดปรากฏ (อุปฺปาโท ปญฺญายติ);
๒. มีการเสื่อมปรากฏ (วโย ปญฺญายติ) ;
๓. เมื่อ ตั้งอ ยู่ ก็ม ีภ าวะอ ย่างอื่น ป ราก ฏ (ิตสฺส อญ ฺญถตฺตํ ปญฺญายติ).
ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คือสังขตลักษณะแห่งสังขตธรรม.

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
. สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด (น อุปฺปาโท ปญฺญายติ) ;
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม (น วโย ปญฺญายติ) ;
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ (น ิตสฺส อญฺ ญถตฺตํ ปญฺญายติ).
ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.
- ติก. อํ. ๒๐/๑๙๒/๔๘๖-๔๘๗.
---------------------------

เบญจขันธ์เป็นที่บัญญัติกฎแห่งสังขตะ
อานนท์! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามเธออย่างนี้ว่า
"ท่านอานนท์!กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้ว จักถูกบัญญัติ และย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่ธรรม
เหล่าไหนเล่า ?"
ดังนี้, อานนท์! เธอถูกถามอย่างนี้แล้ว จะตอบเขาว่าอย่างไร ?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ถ้าคนทั้งหลาย จะพึงถามข้าพระองค์เช่นนั้นแล้ว
ข้าแต่พระองค์จะตอบแก่เขาอย่างนี้ว่า 'ผู้มีอายุ' ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เหล่าใด ล่วงไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่ง
ความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้ว
แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น, ผู้มีอายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล่าใด
ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่ง
ความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี จักถูกบัญญัติ แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น,
ผู้มีอายุ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล่าใด เป็นสิ่งเกิดอยู่แล้ว ปรากฏ
อยู่แล้ว; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็น
อย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น' ดังนี้. ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์ เมื่อถูกถามอย่างนั้น จะพึงตอบแก่เขาอย่างนี้."

ถูกแล้ว อานนท์ ! ถูกแล้ว อานนท์ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณ เหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว; กฎแห่ง
ความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น
จากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี ได้ถูกบัญญัติแล้ว แก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น. อานนท์ !
รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เหล่าใด ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ;
กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี กฎแห่งความเสื่อมไปก็ดี กฎแห่งความเปลี่ยนไปเป็น
อย่างอื่นจากที่เป็นอยู่แล้วก็ดี จักถูกบัญญัติแก่หมู่แห่งธรรมเหล่านั้น, อานนท์!
รูป เวทนา สัญ ญ า สังขาร และวิญ ญ าณ เหล่าใด เป็น สิ่งเกิดอยู่แล้ว
ปรากฏอยู่แล้ว; กฎแห่งความบังเกิดขึ้นก็ดี ย่อมถูกบัญ ญั ติอยู่ แก่หมู่แห่ง
ธรรมเหล่านั้น. อานนท์ ! เธอ เมื่อถกถามอย่างนั้นแล้ว พึงตอบแก่เขาอย่าง
นี้เถิด.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๔๗-๔๙/_๘๑-๘๒.

----------------------------------------

ภิกษุ ท .! เราจักแสดง ซึ่ง อ ส ัข ต ะ (สิ่งที่ไม่ถูกอะไรป รุงแต่ง) แก่พวกเธอทั้งหลาย, พวกเธอทั้งหลาย จงฟังความข้อนั้น.
ภิกษุ ท.! อสังขตะ เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท.! ความสิ้นไปแห่งราคะ, ความสิ้นไปแห่งโทสะ, ความสิ้นไปแห่งโมหะ, อันใด;
ภิกษุ ท.! อันนี้แล เราเรียกว่า อสัขตะ.
- สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑/๖๗๔.

--------------------------
ความเห็นของกระผมครับ ท่านโปรดพิจานณาเองเถิด

ธรรมชาติ มี่อยู่สองกลุ่ม คือ สังขตธรรม (สมมุติ) และ อสังขตธรรม (วิมุติ)

การเกิดขิ้น ตั้งอยู่ ดับไป (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ได้ถูกบัญญัติแล้ว จักถูกบัญญัติ และย่อมถูกบัญญัติอยู่ แก่ธรรมชาติที่เป็นสมมุติ

แท้จริงแล้ววิมุติไม่สามารถอธิบายด้วยสิ่งสมมุติ แต่ท่านพยายามจะอธิบายโดยเทียบเคียง ในสิ่งที่คนทั่วไปรู้ เช่น

"สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ไม่มีที่สุด
แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ,
นั้นมีอยู่. ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง”
นั้นแหละความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม
ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ.
นามรูป ดับสนิทใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ"

ดังนั้น นิพพาน คือ นิพพาน ไม่ไช่ทั้ง อนัตตา หรือ อัตตา
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ม.ค. 2009, 16:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์ครับ อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ท่าน ปธ. 9 ประโยค
ท่านไม่ทำเนื้องอกออกมาจากพระไตรปิฏก
หรือเอาคำพูดพระพุทธเจ้ามากลับข้าง (นิเสธ) แบบคุณทำหรอกครับ

ท่านพูดไปตามปรากฏในพระคัมภีร์

พระพุทธเจ้าก็ไม่สอนว่านิพพานเป็นอัตตานะครับ
ไม่ทราบว่าคุณพลศักดฺ์ช่วยไปยกมา ให้ดูหน่อยได้ไหมว่า
ตรงไหนพระพุทธเจ้าพูดว่านิพพานเป็นอัตตา
ผมเห็นแต่คุณพูดอยู่แจ้วๆ อยู่ว่าเป็นอัตตาอยู่นั่นแหละครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร