วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:05
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็คนหนึ่งนะที่เกิดมาแสวงหาความสุข....

ถ้าผมจะบอกว่าใครๆ ในโลกนี้หนีไม่พ้นคำกล่าวนี้คือ

"เราเกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขกันทุกคน"

ทุกท่านเห็นพ้องหรือต่างจากคำกล่าวนี้ไหม เพราะเหตุไร

แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าท่านจะกล่าวว่าเกิดมาเพื่ออะไรก็ตาม ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกภาษา

ก็หนีไม่พ้นคำกล่าวนี้แน่นอน.......จริงไหม...ครับ...ลองนึกดูสิครับ

:b8:

.....................................................
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้ว มีสติในกาลทุกเมื่อ

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนเราเกิดมา เราเลือกไม่ได้เลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าเกิดมาทำไม
จึงกล่าวไม่ได้ว่า "เราเกิดมาเพื่อ..."
เราเกิดเพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นเองตามธรรมชาติ เกิดเพราะมีเหตุและปัจจัย

เกิดมาพักนึงแล้ว ระบบประสาทโตแล้ว มีวิจารณญานประมาณหนึ่งแล้ว
ถึงเริ่มสงสัยว่าเกิดมาทำไม แล้วก็เที่ยวเสาะหาสิ่งที่ตัวเองพอใจชอบใจ หลีกหนีอะไรที่ไม่ชอบใจ

บางคนเสียอะไรไป แล้วถึงจะมีความสุข
บางคนได้อะไรมา ถึงจะมีความสุข
บางคนไม่ได้ไม่เสียอะไรก้มีความสุข
เรานิยามไม่ถูกหรอกว่า "อย่างไรคือคือความสุข"
ความสุขในใจคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน


บางคนชอบสีฟ้า บางคนเกลียดสีฟ้า
ดังนั้นตัวสีฟ้าจึงไม่ใช่ความสุข แต่เป็นจิตที่ไปปรุงว่าชอบสีฟ้า หรือไม่ชอบสีฟ้า
คำว่า 'ฉันชอบสีฟ้า สีฟ้าทำให้ฉันมีความสุข" จึงเป็นจริงกับคนคนหนึ่ง แต่เป็นเท็จกับคนคนหนึ่ง


ความสุขจริงๆไม่มีจริงหรอกครับ
มันเป้นความหลงว่าชอบสิ่งนั้น (ภวตันหา) ไม่ชอบสิ่งนั้น (วิภวตันหา)
การชอบไม่ชอบ ก้เกิดจากประสบการณ์ทั้งหมดของชีวิตนั่นแหละครับ
ฝรั่งไม่ชอบน้ำพริกปลาร้า คนไทยไม่ชอบชีสเนย อะไรทำนองนั้น
คนเกิดภาคเหนือก็มีสำเนียงเหนือ คนเกิดภาคใต้ก้สำเนียงใต้ อะไรทำนองนั้น
สรุปแบบพูดง่ายๆเบื้องต้นว่า "ตัวตนของเราที่ก่อร่างมาจนถึงตอนนี้" นั่นแหละครับ
ที่ทำให้เกิดทิฐิความเห็นว่าชอบสิ่งหนึ่ง เกลียดสิ่งหนึ่ง



เราเข้าใจว่าเราเกิดมาพื่อแสวงหาความสุขนั้น ไม่ใคร่จะถูกนัก
ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า
ที่จริงเราเกิดมาพร้อมกับ"ความอยาก (ตันหา)" และ"ความไม่รู้"
เพราะไม่รู้ จึงมีตันหา
เพราะมีตันหา เกิดมาแล้ว จึงอยากได้สิ่งหนึ่ง ไม่อยากได้สิ่งหนึ่ง
วนเวียนอยู่แค่นี้


บางคนชอบบู๊ บู๊แล้วมีความสุข แบบพวกนักเรียนนักเลงหรือพวกโจรที่ชอบการปล้น ชอบความชั่ว
บางคนชอบเลือด บางคนชอบฆ่าคน บางคนชอบโกง บางคนชอบกินเนื้อสดๆ ฯลฯ
แต่เขาก็มีความสุขนะ เวลาทำสิ่งเหล่าันนั้นแล้วมันสนุก มีความสุขที่ได้ทำ
กล่าวได้ว่าพวกเขาเหล่านี้ก็แสวงหาความสุขเหมือนกัน

แต่เราพวก"ติดดี" อาจจะมองพวก"ติดไม่ดี" ว่า"หลงผิด"
มองว่าเขาหลงผิด จริงเกลียดความดี รักความชั่ว

แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเกลียดความชั่ว แล้วรักความดี
ในมุมมองของพระพุทธเจ้าก็จัดว่าหลงเหมือนกัน

ท่านมองละเอียดนะครับ ละเอียดมาก
ติดดีก็เป็นตันหา ติดชั่วก็เป้นตันหา
และเพราะหลงติดตันหาอยู่ จึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร
ท่านถึงสอนให้ทำความหลุดพ้นให้แจ้ง จะได้หลุดจากความหลงอันเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 26 ม.ค. 2009, 18:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 18:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องไปเรียนถามท่านastroboy

ท่านคงให้คำตอบที่ดีได้

ผมเคยโต้แย้งกับท่านที่เวปนี้

ผลคือ

ผมถูกเตือนใช้คำไม่เหมาะสม ผมยอมรับ

แต่การมาลบกระทู้ที่ผมเขียนทุกกระทู้แม้แต่ด้วยเหตุด้วยผล

ผมไม่ยอมรับ

ทีกระทู้ไร้สาระนอกพระธรรมของพุทธศาสนาเห็นโพสได้โพสดี

วันนี้ขอบ่นหน่อย

เพราะไม่ยุติธรรม ไม่มีมาตรฐาน

ไม่เป็นธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b52: :b52: :b52: :b52: :b52:
:b52: :b52: :b52: :b52: :b52: :b52:
:b52: :b52: :b52: :b52: :b52: :b52:
:b52: :b52: :b52: :b52: :b52: :b52:

ขอมอบดอกไม้ ให้กำลังใจครับคุณพี่ mes :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 19:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้อริยสัจรีบด่วนกว่าการดับไฟที่กำลังไหม้อยู่บนศรีษะ

ภิกษุ ท.! เมื่อไฟลุกโพลง ๆ อยู่ที่เสื้อผ้าก็ดีที่ศีรษะก็ดี บุคคลนั้นควรจะทำอย่างไร ?

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เมื่อไฟลุกโพลง ๆ อยู่ที่เสื้อผ้าก็ดีที่ศีรษะก็ดี, เพื่อจะ
ดับเสียซึ่งไฟ ที่เสื้อผ้าก็ดี ที่ศีรษะก็ดี สิ่งที่บุคคลนั้นพึงกระทำโดยยิ่งก็คือ ฉันทะ วายามะ
อุสสาหะ อุสโสฬหี อัปปฏิวานี สติ และสัมปชัญญะ (เพื่อจะดับไฟนั้นเสีย)."


ภิกษุ ท.! (แม้กระนั้นก็ดี) วิญญูชนจะไม่ใส่ใจ จะไม่เอาใจใส่กับเสื้อผ้าก็ดีศีรษะก็ดีที่ไฟกำลังลุกโพลงอยู่; แต่จะรู้สึกว่า สิ่งที่ควรกระทำโดยยิ่ง ก็คือฉันทะ วายามะ อุสสาหะ อุสโสฬหี (ขะมักเขม้น) อัปปฏิวานี (ไม่ถอยหลัง) สติ และสัมปชัญญะ เพื่อรู้เฉพาะตามเป็นจริง ซึ่งอริยสัจทั้งสี่ที่ตนยังไม่รู้เฉพาะ.
อริยสัจสี่ อย่างไรเล่า ?

สี่อย่างคือ อริยสัจทุกข์ อริยสัจคือเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อริยสัจคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยคกรรมอันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า "ทุกข์เป็นอย่างนี้. เหตุให้เกิดแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้" ดังนี้.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๕๐/๑๗๑๗.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:05
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


จิตสุดท้ายก่อนตายยังมีทุกข์ วิตก กังวล ดิ้นรนกระวนกระวาย..ไฟยังไม่ดับ...จิตย่อมยังเกิดต่อ

โอเค....ตอนมาเกิดเราไม่รู้หรอก ตอนเด็กๆนะว่าเกิดมาทำไม...คุณพูดถูก

แต่ในดวงจิตลึกๆ(ใต้สำนึก)ย่อมรู้แน่นอนว่าที่มาเกิดเพราะ
ยังหาความสุขอันแน่นอน นิรันดร์จริงๆไม่ได้

เพราะโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้น....อย่างที่คุณกล่าวไว้นั้นถูกต้องแล้ว

เมื่อจิตยังไม่สงบ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เรื่อยไป

แต่เมื่อทุกดวงจิตพบความสุขอันนิรันดร์ (นิพพานัง ปรัง สุขัง)
จิตนี้ไม่ดิ้นรน ไม่ทุกข์แล้ว ย่อมไม่มาเกิดอีก

ดังนั้นคำกล่าวว่า เราเกิดมาเพื่อหาความสุขนั้น ผมว่าถูกต้องแน่นอน

:b8:

.....................................................
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้ว มีสติในกาลทุกเมื่อ

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

น้องคามินธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 19:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


BlackHospital เขียน:
เกิดมาเพื่อหาความสุขนั้น ผมว่าถูกต้องแน่นอน


ในมุมของผม ขอตัดคำว่า "เกิดมาเพื่อ.." ออกไป
แล้วพูดใหม่ว่า "เกิดมาแล้ว รักสุข เกลียดทุกข์" น่ะคับ

ซึ่งก็มาจากคำพูดที่พระท่านชอบพูดกันว่า ธรรมดาสัตว์โลก รักสุขเกลียดทุกข์ ด้วยกันทั้งสิ้น

:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 27 ม.ค. 2009, 19:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2008, 14:42
โพสต์: 121


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: แต่ในความคิดของข้าพเจ้าว่า ความสุขกับความทุกข์มักมาคู่กัน ต่อให้คนเราแสวงหาความสุขเท่าไรก็ต้องหนีไม่พ้นความทุกข์ของใจ ความทุกข์ของใจก็คือการที่แสวงหาความสุขนั่นละ :b6: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 09:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกะท่านคามินครับเรื่อง "เกิดมาเพื่อ"

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


แค่เราขยับตัว เปลี่ยนอิริยาบถ จาก ท่า หนึ่ง ไปเป็นอีกท่าหนึ่ง

ถ้าเรา สติระลึกรู้ดีๆ

จะเห็นว่า เป็นไปในความสุข :b3:

ถ้าไม่เปลี่ยน มันก็จะมีทุกข์ :b2:


สุข นั้น เป็นอารมณ์ ที่มนุษย์ เสวย ตลอดเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:05
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ :b8:

.....................................................
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้ว มีสติในกาลทุกเมื่อ

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ม.ค. 2009, 10:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:05
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


บางคนบอกว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม

-- ฟังแล้วการใช้ชีวิตคงเหนื่อยเกินไป

ถ้าเราเกิดมาเพื่อเกิดมา เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ ไม่มีความลึกซึ้งอะไร
-- ฟังดูแล้วสิ่งที่เราทำไปทุกอย่าง ก็ไร้สาระสิ้นดี

ลึกๆ เราเชื่อว่า...มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุข
ต้องสร้างความสุขกับตัวเอง
และสร้างความสุขให้กับคนอื่น....

ถ้าเราจะพูดกันถึงความสุข ที่เราปรารถนากันอยู่ทุกคนนั้น

ย่อมไม่พ้นจากอารมณ์ที่น่ายินดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ถ้าพิจารณานดูความเป็นมา ของชีวิตในวัยเด็กของบางคน

ก็จะเห็นว่าความสุขของเด็กคือการได้กิน ได้เที่ยว ได้เล่น

ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความยินดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตต้องอดทน ต่อสู้ เพื่อความเป็นอยู่

โดยเฉพาะ ท่านที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ย่อมจะมีภาระหนัก

ทำให้เหน็ดเหนื่อย ทั้งกายทั้งใจ ผู้ใหญ่บางคน อาจรู้สึกว่า

ถ้าได้กลับไปมีชีวิตอย่างวัยเด็กอีก คงดีไม่น้อย................


ในช่วงชีวิตที่เป็นนักเรียน ก็คิดว่า เมื่อพ้นจากการเป็นนักเรียนแล้ว

คิดว่า ทำงานหาเงินใช้ได้เอง คงจะมีความสุข แต่พอได้ทำงานเข้าจริงๆ

ก็ประสบปัญหาในเรื่องงาน เกิดท้อใจ อาจจะอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีก

เมื่อเริ่มทำงาน ก็พอใจกับเงินเดือนขั้นแรกที่ได้รับ ทำๆไป ก็เกิดไม่พอใจ

อยากได้เงินเดือนเพิ่ม บางคนทำงานไปนานๆ ก็เบื่อ อยากเปลี่ยนงานใหม่

บางคนที่เป็นข้าราชการก็อยากเป็นพ่อค้าเพราะคิดว่าทำการค้าคงจะดีกว่า

บางคนที่เป็นพ่อค้าทำกิจการไป เกิดขาดทุนขึ้นมา ก็คิดว่า เป็นข้าราชการ

มีสวัสดิการ และเงินเดือนที่มั่นคง ไม่เสี่ยงกับการลงทุน ขาดทุน ล้มละลาย

............................อย่างนี้เป็นต้น.


ถาม: เกิดมาทำไม
ตอบ: เกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ เกิดมาเพื่ออยู่อย่างอย่าทนทุกข์ (ข้อนี้ ยืมคำตอบมาจากท่านพุทธทาส)

ถาม: แล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
ตอบ: มนุษย์ทุกคนต้องการมีความสุขทั้งกายและใจ

ถาม: แล้วความสุขที่ว่าคืออะไรบ้าง
ตอบ: ผู้มีปัญญา ก็ตอบว่า การดับทุกข์ไม่มีเหลือไง

ผู้มืดบอดทางปัญญา ก็ตอบว่า กิน กาม เกียรติ์ ไง
บางคนจิตอ่อนแอ มันก็น้อมไปสู่ทางต่ำ เช่น ติดยา การพนัน สุรา นารี เพราะมันคิดว่าสิ่งนี้แหละคือความสุขของมัน รักความสบาย ทำอะไรไปตามใจอยาก

ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งการข่มตน

ถาม: แล้วการดับทุกข์ไม่มีเหลือแล้วมีวิธีการยังไง
ตอน: ก็มรรคมี 8 แปดไง ตามที่พุทธองค์ทรงค้นพบ (สำหรับข้อนี้ผู้เขียนตอบตามหนังสือ เพราะยังไม่บรรลุ ฮา)

:b8:

.....................................................
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้ว มีสติในกาลทุกเมื่อ

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร