วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 11:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

อะไรกำเนิดสรรพสิ่ง ใครเป็นผู้สร้างโลก
เราเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน


มีเพื่อนเป็นคนต่างชาติที่นับถือพระเจ้า
ซึ่งพยายามเป็นอย่างมากที่จะให้ข้าพเจ้าไปศรัทธาและเชื่อในพระเจ้าให้ได้.....

เถียงกันทีไรก็มักจะเอาประเด็นที่ว่าศาสนาใหญ่ๆ ในโลกอย่าง
คริสต์ ยิว อิสลาม ล้วนแต่เชื่อในพระเจ้า และมีพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก


ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า แล้วใครเป็นผู้สร้างโลก...

และเชื่อไหมครับว่า คนที่รู้เรื่องนี้จริง เขาก็จะไม่บอกอะไรออกมา
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังสอนไว้ว่า เรื่องแบบนี้ (การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง) เป็นอจินไตย


ไม่ควรไปคิดและพระพุทธองค์ก็ไม่โต้แย้งกับใครเรื่องนี้...

เพราะไม่ควรคิด ไม่ควรไปโต้แย้ง

มีบันทึกไว้ชัดเจนในพระไตรปิฎกครับ ว่ามีภิกษุรูปหนึ่ง สงสัยเรื่องเดียวกันนี้ว่า

สรรพสิ่งเกิดขึ้นได้อย่างไร (พระเจ้าสร้างขึ้น หรือเกิดขึ้นเอง) และได้เที่ยวถามไปจนถึงพรหมโลก

ก็ไม่ได้คำตอบและเมื่อมาทูลถามพระพุทธเจ้า

พระองค์ก็ไม่ทรงตอบตามคำถามนั้น แต่เสนอวิธีคิดอีกวิธีหนึ่ง


รูปภาพ

การตรัสเรื่อง “มหาภภูต” ไม่หยั่งลงในที่ไหน

เกวัฏฏะ! เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหนหนอ” ดังนี้.

(ความว่า ภิกษุรุปนั้นได้เข้าสมาธิ อันอาจนำไปสู่เทวโลก ได้นำเอาปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้น ไปเที่ยวถามเทวดาพวกจาตุมมหาราชิกา, เมื่อไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาในชั้นดาวดึงส์, เทวดาชั้นนั้นโยนให้ไปถามท้าวสักกะ, ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ, ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพพวกพรหมกายิกา, กระทั่งท้าวมหาพรหมในที่สุด, ท้าวมหาพรหมพยายามหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายที่จะ ไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุดได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลายพากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง เป็นผู้รู้เห็น ไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงไม่รู้ในปัญหาที่ว่ามหาภูตรูปจักดับไปในที่ไหนนั้นเลย. มันเป็นความผิดของภิกษุ นั้นเอง ที่ไม่ไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า).

เกวัฏฏะ ! ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ที่ควร แล้วถามเราว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ! มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน?" ดังนี้.

เกวัฏฏะ ! เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า

“แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่ มีอยู่ว่า พวกค้าทางทะเล ได้พานกสำหรับค้นหาฝั่งไปกัลเรือค้าด้วย. เมื่อเรือหลงทิศในทะเล และแล ไม่เห็นฝั่ง พวกเขาปล่อยนกสำหรับค้นหาฝั่งนั้นไป. นกนั้นบินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบื้องบนบ้าง ทิศน้อยๆ บ้าง. เมื่อมันเห็นฝั่งทางทิศใดแล้วมันก็จะบินตรง ไปยังทิศนั้น, แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม. ภิกษุ ! เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยว หาคำตอบของปัญหานี้มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุดก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก.


ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า “มหาภูตสี่คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน?” ดังนี้เลย,อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า:-

“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? ความ ยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? นามรูป ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน? ดังนี้ ต่างหาก.


ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:

“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฎการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้. ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มี เศษเหลือ. นามรูป ดับสนิทใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้”.

๑. บาลี เกวัฏฏสูตร สี. ที. ๙/๒๗๗-๒๘๓/๓๔๓-๓๕๐.
ตรัสแก่เกวัฏฏคหบดีบุตร ที่ปาวาริ- กัมพวัน เมืองนาลันทา.


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สิ่งสิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฎการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่.

ใน"สิ่ง"นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้.
ใน"สิ่ง"นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้.
ใน"สิ่ง"นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ.
นามรูปดับสนิทใน"สิ่ง"นี้
เพราะการดับสนิท ของวิญญาณ, ดังนี้".



โอ ได้ปัญญาจากคุณน้องฌานอีกแล้ว อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
แต่ว่า " You know who" เขาจะเข้าใจไหมล่ะครับนั่น
55555

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


(ขอยกตัวอย่างคำตอบหนึ่ง ที่เชื่อในพระเจ้า มาให้ทุกท่านได้อ่านก่อนนะครับ ไม่ได้บอกว่าอันไหนถูกหรือผิด แล้วแต่ปัญญาของผู้อ่านวิเคราะห์เอาเอง)

รูปภาพ

ใครนะ...? คือผู้สร้าง ...?

พี่น้องที่รัก และมีเกรียติทุกท่าน... เราทุกคนได้ทราบถึง ความงาม และ ความพิสดาร ที่แฝงเร้น ซ่อนอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งทุกครั้งที่เราได้พินิจ พิจารณา เราจะพบสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้ต้องใช้สติปัญญาทั้งหมดคิด แต่แล้วทุกครั้งเราต้องประหลาดใจ ประทับใจและเป็นปริศนาให้ชวนคิดทุกครั้งไป

ในครั้งนี้เราจะติดตามกันต่อไป เพื่อค้นหาให้ทราบถึงความพิสดารต่างๆที่เราต้องประทับใจและต้องใช้ปัญญาที่มีอยู่เพื่อครุ่นคิด พิจารณา


1. กำเนิดมนุษย์กับอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า....

เพื่อนมนุษย์ พี่น้องร่วมโลกทั้งหลาย... ท่านเคยถามตัวเองไหมว่า...?

ใครนะ.....! ที่สร้างมนุษย์ให้มองเห็น ด้วยกระจกเลนส์สายตา..? ให้ได้ยินด้วยใบหูที่กางผึ่งเหมือนเรดาร์...? ให้ได้พูดด้วยลิ้นที่อ่อนนุ่ม และไร้กระดูก...?

ใครนะ.....! ที่ออกแบบรูปทรงของมนุษย์ และติดตั้งอวัยวะต่างๆ อย่างเป็นระบบในทุกๆคนเหมือนกันหมด แต่..โลกทั้งโลกกลับไม่มีมนุษย์ที่เหมือนกันเลยแม้แต่คู่ฝาแฝดที่เป็นสุดยอดของความเหมือน ก็ยังมีข้อแตกต่างที่สามารถแยกแยะออกว่าใครเป็นใครได้...?

ใครนะ.....! ที่ทะนุถนอมดูแลทารกตอนอยู่ในท้องแม่จากสภาพที่เป็นเพียงน้ำอสุจิ จนเจริญเติบโตกลายเป็นทารกที่มีอวัยวะครบถ้วน หลับตื่น ดื่ม กิน โดดดิ้นไปมา จนกระทั่งเมื่อครบกำหนดก็อำลาจากท้องแม่ เพื่อโดดออกมาสู่โลกกว้างในที่สุด...?

ใครนะ.....! ที่สอนทารกน้อยแรกเกิดให้รู้จักวิธีการดูดนมจากเต้าอกแม่ และเตรียมนมอันโอชะในเต้านมให้เต็มเพื่อให้ทารกน้อยได้ดื่มเพื่อมีชีวิตรอดต่อไป...?

ครับ.....! การที่เรามีสภาพเดียวกันหมดทั้งโลก ในสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้บอกถึงการมีผู้สร้างองค์เดียวกันดอกหรือ.....?


2. ฟากฟ้าและแผ่นดินร่วมกันเป็นสักขี พยาน ยืนยันบ่งบอกถึงการสรรค์สร้างอันละเอียดอ่อน วิจิตบรรจง ของพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างมันขึ้นมา

พี่น้องครับ.....ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ผู้มีสติปัญญาสมบูรณ์และมีชีวิตอยู่เพียงครั้งเดียวในโลกนี้ สมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องใช้สติปัญญา ทบทวนตั้งคำถาม ถามตนเองว่า......

ใครนะ.....! ที่ปูพื้นแผ่นดินให้ราบเรียบ จนเราสามารถตั้งถิ่นฐาน ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย...?

ใครนะ.....! ที่สร้างท้องฟ้าให้เป็นหลังคา โดยไม่มีเสามาค้ำยัน และไม่มีร่องรอยการตอกแม้แต่รูเดียว...?

ใครนะ.....! ที่ประดับประดาท้องฟ้าด้วยหมู่ดวงดาวที่สวยงามระยิบระยับ แข่งกันทอแสงแพรวพราวมอบความสุข ชื่นตาชื่นใจแก่มนุษย์โลก อีกทั้งยังเป็นป้ายบอกทางเมื่อยามหลงทางท่ามกลางความมืดมิดของกลางคืน หรือเมื่อล่องลอยอยู่ในทะเลกว้าง อีกทั้งเป็นสัญญาณในการบอกวัน เดือน ปี เพื่อใช้ในการคำนวณต่างๆ...?

ใครนะ.....! ที่วางสายน้ำ ลำคลองครอบคลุมให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่...?

รูปภาพ
ใครนะ.....! ที่โปรยฝนชะโลมลงบนพื้นแผ่นดิน แล้วส่งพืชพันธุ์หลากสีสัน หลากกลิ่น หลากรสชาด หลากหลายคุณค่าออกจากรอยแยกของพื้นดิน...?

ใครนะ.....! ที่ออกแบบเหล่าต้นไม้และวัชพืช ทำให้เกิดเกสรตัวผู้ตัวเมียและบัญชาแมลงทั้งหลายให้มาช่วยในการผสมพันธ์ เหล่าดอกไม้นั้น...?

ใครนะ.....! ที่จัดแจงห่อหุ้มผลไม้หลากแบบหลากสี ห่อทุเรียนอันอ่อนนุ่มด้วยหนามหนาที่แหลมคม ห่อสะตอด้วยเปลือกยาวเป็นแคปซูล ห่อเงาะอันหวานหอมด้วยเปลือกสีสันอันสดใส ห่อองุ่นด้วยเปลือกอันบางใสและมีสีสันอันงดงาม...?

ใครนะ.....! ที่สร้างระบบความดันไว้ในน้ำ ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม จนเรือที่กว้างใหญ่ และน้ำหนักที่มากหลาย สามารถลอยอยู่ได้โดยไม่จม...?

ใครนะ.....! ที่ทำให้ลมสงบได้เคลื่อนไหว และทำให้ลมที่เคลื่อนไหวสงบลง...?

ใครนะ.....! ที่เหนี่ยวรั้งเมฆที่หนักอึ้งด้วยน้ำฝน ให้สามารถล่องลอยอยู่บนอากาศโดยไม่ตกสู่พื้นดิน...?

ใครนะ.....! ที่เอาความชุ่มชื้นในฤดูฝนใส่เข้าสู่ความแห้งแล้งในฤดูร้อน และเปลี่ยนความหนาวเย็นในฤดูหนาวเป็นความอบอุ่นในฤดูร้อน...?

ใครนะ.....! ที่เอาไก่ออกจากไข่ และเอาไข่ออกจากไก่...?

ใครนะ.....! ที่แต่งตั้งมนุษย์ให้เป็นผู้บัญชามนุษย์ด้วยกันบนแผ่นดิน...? ให้ช้างลากซุง ให้ควายไว้ไถนา ให้ม้าไว้ขับขี่ ให้หมาไว้เฝ้าบ้าน ให้ลาบรรทุกสิ่งของ ให้นกให้เป็นไปรษณีย์ ให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าว ให้ไส้เดือนไว้พรวนดิน ให้แพะไว้บริการนม ให้ไก่เป็นยามขันกู่เตือนเวลา...? และ..ยิ่งไปกว่านั้น มีอีกหลายอย่างที่น่าทึ่ง สำหรับคนที่มีปัญญาต้องคิดทบทวน อย่างต้นหม่อนที่ปลูกมากในภาคเหนือเวลาตัวหนอนกินแล้วจะสร้างเป็นรังไหม...? ผึ้งกินจะออกเป็นน้ำผึง..? แพะกินจะออกมาเป็นน้ำนม.?

ครับ..... น่าคิดไหมครับ...หากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปราศจากผู้ควบคุมแล้ว แน่นอนมันจะต้องแปรรูปออกมาเป็นสิงที่มีสีและสภาพเดียวกันหมด...?


3. ความมืด ความสว่าง ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ร่วมเป็นสักขีพยาน บ่งชี้ถึงการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า..

ใครนะ.....! ที่สร้างกลางคืนให้มืดมิด และสร้างกลางวันให้โปร่งสว่าง..?

ใครนะ.....! ที่บัญชากลางวันและกลางคืนร่วมมือกันเพื่อให้มนุษย์ได้รับผลประโยชน์จากมัน..?

ใครนะ.....! ที่บังคับให้ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก หากดวงอาทิตย์ไม่โผล่ขึ้นมาแน่นนอนกิจการทุกอย่างของมนุษย์จะต้องหยุดลงและล่มสลายไปหมดสิ้น และเช่นกันหากดวงอาทิตย์คงอยู่โดยไม่ยอมลับขอบฟ้า ค้างสว่างจ้าตลอดเวลา มนุษย์ทั้งโลกก็ไม่สามารถพักผ่อนนอนหลับได้ และต้องพินาศล้มตายไปในที่สุด...แต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงกรุณาปรานีไม่ทรงปราถนาเช่นนั้น


พี่น้องครับ.....เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เราก็จะตอบได้แล้วใช่ไหมว่า..

มันเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่โลกนี้จะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้สร้าง

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน... เพราะอะไรนะหรือ..? เพราะถ้าหากโลกใบนี้สร้างตัวมันเองขึ้นมา การสร้างของมันจะต้องอยู่บนสองสมมุติฐานดังต่อไปนี้เท่านั้น


สมมุติฐานที่หนึ่ง... มันไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยตัวของมันเอง

สมมุติฐานที่สอง... มันเกิดขึ้นมาโดยตัวของมันเอง

ครับ..พี่น้องที่รัก..

ตามสมมุติฐานที่หนึ่ง

การที่โลกจะสร้างตัวมันเองขึ้นมาโดยที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสิงที่ไม่มีจะสร้างสิ่งที่มีให้เกิดขึ้นได้อย่างไร และสิ่งที่มีนั้นจะต้องถูกสร้างโดยผู้ที่มีอำนาจ ผู้ทรงรอบรู้ในการสร้างสรรค์เท่านั้น หรือ สมมุติฐานต่ออีกว่า หากสิ่งที่ไม่มีความสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ แน่นอนเช่นอยู่ๆ ก็มีบ้านหลังหนึ่งเกิดขึ้นมาโดยไม่มีใครสร้าง เกิดถนนลาดยางชั่วพริบตา โดยไม่มีผู้วางโครงการ เกิดเด็กทารกโดยไม่มีแม่คลอด ร้องคลานเต็มไปทั่วหมู่บ้าน..มันจะเป็นไปได้กระนั้นหรือ...?


ตามสมมุติฐานที่สอง

คือมันมีอยู่แล้วตอนที่มันสร้างตัวมันเอง ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเมื่อมันมีอยู่แล้วเหตุผลอะไรที่มันจะสร้างสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีก...? และนักวิทยาศาสตร์ก็ย้ำว่า โลกนี้แต่ก่อนมันไม่มี แต่มันเพิ่งมี แน่นอนพระผู้เป็นเจ้า เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่


รูปภาพ

พี่น้องร่วมสายเลือดมนุษย์ ที่รัก... สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ต่างได้บ่งบอกถึงการสร้างของพระผู้เป็นเจ้า ทรงรอบรู้ ทรงมีอำนาจ ทรงความเกรียงไกร และที่เป็นพยานสำคัญในการยืนยัน พระองค์นั้นคือผู้สร้าง เพราะอะไรนะหรือ..?

เพราะว่าไม่มีสิ่งใดหรือมนุษย์หน้าไหนทั่วโลกที่อ้างตนว่าคือผู้สร้างโลกขึ้นมา ทั้งๆที่เราก็ได้ทราบมาแล้วว่ามันเกิดขึ้นเองไม่ได้ มาซิ...มาดูว่าพระเจ้าได้กล่าวเป็นหลักฐานไว้อย่างไร


ถึงการสร้างมนุษย์..

“และขอสาบานว่า แน่นอนข้าได้สร้างมนุษย์ (คนแรก) มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วข้าทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง คือมดลูก และข้าได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือด แล้วข้าได้ทำให้ก้อนเลือด เป็นก้อนนื้อ แล้วข้าได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วข้าหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วข้าได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง”

“และข้าได้ให้น้ำฝนลงมาจากฟากฟ้า แล้วด้วยน้ำนั้นเราได้ให้งอกเงยออกมาเป็นสวนอันหลากหลาย และเมล็ดพืช สำหรับเก็บเกี่ยว”

“และพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า โดยโคจรเป็นปกติ และทรงให้กลางคืนและกลางวันเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า”

ครับพี่น้องที่รัก...หลังจากที่ท่านได้รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะมีข้อเคลือบแคลงใดๆอีกหรือ ...ว่าพระองค์คือผู้สร้างโลกนี้จริง..

ครับ...พระองค์นั้นคือผู้สร้าง และทุกอย่างจะต้องกลับคืนสู่พระองค์

ดังนั้น...ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเราต้องศรัทธา และยึดมั่นต่อ “ผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง” พร้อมทั้งต้องดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระองค์ และแน่นอนเราจะพบกับความสุขที่แท้จริงทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าอย่างแน่นอน

ขอให้ท่านมีแต่ความสันติสุข และโชคดี โดยได้พบทางนำที่ถูกต้อง


ข้างต้นเป็นความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าของศาสนาหนึ่ง และยังมีอีกหลายความเชื่อของศาสนาอื่นๆ ที่ยึดถือในพระเจ้าเช่นกัน กระผมจะไม่ขอนำมาลงทั้งหมด เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นเท่านั้นว่า เราคงต้องให้ความเคารพในความศรัทธาของเพื่อนมนุษย์ที่นับถือศาสนาอื่นด้วยเช่นเดียวกัน

:b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


พัฒนาการศาสนาอเทวนิยม

ศาสนาประเภทอเทวนิยม

โดยทั่วไปหมายถึงศาสนาที่ไม่สอนให้เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกและสรรพสิ่ง
เป็นสาขาหนึ่งคู่ขนานกับศาสนาประเทพเทวนิยม มีอยู่ 2 ศาสนา


คือ ศาสนาเชนกับพุทธศาสนา

ศาสนาเชน

มีกำเนิดที่ชมพูทวีปเช่นเดียวกับศาสนา และเกิดก่อนพุทธกาล ศาสนาเชนเป็นศาสนาระดับชาติ มีศาสนิกเฉพาะในอินเดียเท่านั้น เน้นหนักในการทำทุกกิริยา

รูปภาพ

คือ การทรมานจนให้ลำบากด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การไม่นุ่งห่มผ้า การนอนบนหนามแหลมคม การยืนขาเดียวเป็นเวลานาน การไม่หลับนอนเป็นเวลายาวนาน การนอนบนกระดานแผ่นเดียว การใช้แปลงตาลถอนผม การเพ่งมองดูดวงอาทิตย์กลางวัน รวมทั้งการไม่สนใจความเป็นไปของโลกและสังคม เป็นต้น

ทำให้ศาสนาเชนไม่แพร่ออกไปนอกประเทศอินเดียที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม เพราะปฏิเสธคำสอนและพิธีกรรมเกี่ยวกับพระเจ้าในคัมภีร์พระเวทของพวกพราหมณ์

มีบางท่านกล่าวว่า คำสอนขงจื้อสอนเน้นหนักในเรื่องจริยธรรม เช่น เรื่องการทำตนให้เหมาะสม ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ความรัก การศึกษา ความยุติธรรม การบำเพ็ญประโยชน์ ความเคารพ รู้จักประมาณตน ความสงบ และการค้นหาความจริงเป็นต้น


รูปภาพ

ไม่เกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลกแต่อย่างใด เป็นการสอนเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มีศีลธรรมเป็นพื้นฐาน

แม้แต่มีผู้ถามปัญหาเมตาฟิสิกส์ ท่านขงจื้อก็เลี่ยงเสียไม่ตอบ เช่น เรื่องวิญญาณ ก็เลื่องปฏิเสธว่ายังไม่เข้าใจเรื่องมนุษย์ได้ แล้วจะเข้าใจเรื่องวิญญาณได้อย่างไรเล่า ดังนี้เป็นต้น

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อกล่าวในเชิงวิชาการอย่างเคร่งครัดแล้ว ศาสนาขงจื้อขาดองค์ประกอบคือ นักบวช จะเป็นได้เพียงลัทธิ แต่อย่างไรก็ตาม ศาสนาพราหมณ์ ฮินดูก็ขาดศาสดาผู้ตั้งศาสนา ศาสนาชินโตก็เช่นเดียวกัน เริ่มขึ้นจากประเพณีของชาวญี่ปุ่นโบราณ บูชาเทพเจ้าแบบพหุเทวนิยมจะถือว่าเป็นศาสนา (Religion) ได้หรือไม่ แต่โดยทั่วไปก็อนุโลมว่าเป็นศาสนาอย่างสมบูรณ์


พุทธศาสนา

ที่ได้เชื่อว่าเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม เพราะมีคำสอนที่มีพระศาสดาในฐานะมนุษย์ค้นพบความจริงแล้วนำมาสั่งสอนเพื่อประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์ โดยตรงเป็นศาสนาที่เน้นความสำคัญของมนุษย์

เชื่อว่ามนุษย์พึ่งพาตนเองได้ สามารถนำตนไปสู่เป้าหมายของชีวิตในระดับต่างๆ

ได้ทรงสอนหลักทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา


รูปภาพ

พุทธศาสนาอุบัติขึ้นมา เพื่อดับทุกข์ของมวลมนุษย์โดยตรง ซึ่งอาจบรรลุได้ด้วยความพวกเพียรพยายามของมนุษย์เอง

โดยไม่ต้องอาศัยการช่วยเหลือของพระเจ้าหรืออำนาจภายนอกใดๆ

แม้พุทธศาสนาจะกล่าวถึงเทพเจ้าบ้างว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ก็ในฐานะ สัตว์ (Being) ผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย (จุติ) ด้วยกัน ติดข้องอยู่ในภพภูมิต่างๆ เช่นเดียวกับมนุษย์เทวดา ไม่ใช่สัตว์วิเศษไปกว่ามนุษย์ มนุษย์ที่ประกอบพร้อมด้วยคุณความดี ย่อมเป็นผู้ประเสริฐ

ศาสนาเชนมีศาสดา ชื่อ มหาวีระ มีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกับพระพุทธเจ้า สอนโดยขัดแย้งต่อศาสนาพราหมณ์ คือ ปฏิเสธพระเวทอย่างรุนแรงในเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก สอนตรงกับพระพุทธศาสนาเรื่องอหิงสา คือ การไม่เบียดเบือน แต่ไม่ตรงกับพระพุทธศาสนาในเรื่องอัตตาและเรื่องกรรม เป็นต้น


:b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39: :b39:

สวัสดีครับท่านพี่คามินธรรม :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ข้อแตกต่างระหว่างเทวนิยมกับอเทวนิยม

ศาสนาประเภทเทวนิยมและประเภทอเทวนิยมมีข้อที่แตกต่างกันบนพื้นฐานที่อาจจำแนกได้ดังนี้

1) เรื่องการนับถือและการบูชา

เทวนิยมทุกระบบ

นับถือพระเจ้าเป็นใหญ่สูงสุดเป็นพระผู้สร้างโลกสร้างสวรรค์ สร้างมนุษย์ และสร้างสรรพสิ่งในโลก สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ เช่น ศาสนาพราหมณ์นับถือพระพรหม ศาสนายูดาย คริสต์ นับถือพระยะโฮวา ศาสนาอิสลามนับถือพระอัลลอฮฺ การปฏิบัติศาสนาก็คือ การอ่อนน้อมยอมตนต่อพระเจ้า กล่าววิงวอนและขอพรต่างๆ การลงโทษ และประทานรางวัลขึ้นอยู่กับพระทัยของพระเจ้า ไม่มีใครเข้าใจพระองค์ได้

ส่วนอเทวนิยม

โดยเฉพาะพุทธศาสนานับถือธรรม คือ สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วทรงเทศนาสั่งสอน มีภาคปฏิบัติศาสนาด้วยการปฏิบัติธรรม อันได้แก่ การละชั่ว ประพฤติดี และชำระจิตใจให้ผ่องใส ส่วนการนับถือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ นับถือในฐานะเป็นผู้ทรงสร้างพระคุณอันประเสริฐ มิใช่ผู้บันดาลหรือผู้สร้าง

อิสลามเป็นหนึ่งในศาสนาที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก

พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้และปรีชาญาณ

รูปภาพ

ตามหลักการของอิสลามสอนว่าพระเจ้าทรงอยู่ในทุกที่ มิได้ทรงสถิตอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง หรือเฉพาะในสรวงสวรรค์เท่านั้น ฉะนั้น ไม่ว่าสูเจ้าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะพบพระเจ้าทั้งสิ้น พลานุภาพของพระเจ้าทรงครอบคลุมอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้ ไม่มีสิ่งใดมีอำนาจเหนือพระองค์ หรือไม่มีสิ่งใดหลุดรอดพ้นอำนาจของพระองค์ไปได้ หลักการอิสลามสอนว่าทุกสรรพสิ่งมิได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญอย่างไร้สาระ ทว่าทุกสรรพสิ่งถูกบังเกิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายและสาระในการบังเกิด เพียงแต่ว่าบางครั้งมนุษย์ไม่เข้าใจในเป้าหมายและสาระในการบังเกิดสิ่งเหล่านั้น

รูปภาพ

ตามหลักการของอิสลามการปฏิบัติตามศาสนา คือการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ตามที่ศาสดาได้สั่งสอนเอาไว้ หลักธรรมของพุทธศาสนามิได้แตกต่างไปจากหลักจริยธรรมของอิสลาม ซึ่งนอกเหนือจากความเชื่อและการปฏิบัติแล้วมนุษย์ยังต้องมีการปฏิบัติตน พัฒนา ฝึกฝนตนเองให้บรรลุไปสู่ความเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์ ซึ่งพื้นฐานสำคัญดังกล่าวคือ ความเคร่งครัดที่มีต่อพระธรรมคำสอน มนุษย์ผู้สมบูรณ์หมายถึงบุคคลที่มีจิตใจเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมความดี จิตใจของเขาได้รับการชำระขัดเกลาเรียบร้อยแล้ว ไม่ยึดติดกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ยึดติดกับอัตตาตัวตน มองเห็นทุกสิ่งเป็นความจริงแท้และทุกสิ่งดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางของตน มนุษย์ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์สามารถบรรลุธรรมได้ทุกคน ซึ่งองค์ประกอบสำคัญอันเป็นสาเหตุนำไปสู่การบรรลุธรรมคือ

- การละเว้นจากบาปกรรมทั้งกาย วาจา และใจ
- เคร่งครัดในการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนของศาสนา
- สำรวมตนต่อพระเจ้าตลอดเวลา


ซึ่งรวมเรียกขั้นตอนเหล่านี้ว่า การขัดเกลาจิตใจ เมื่อมนุษย์ผ่านขั้นตอนเหล่านี้ความศรัทธาของเขาจะถูกยกระดับไปสู่ขั้นสูงกว่าปกติทั่วไป เมื่อมีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องบุคคลนั้นจะบรรลุไปสู่ขั้นของ อิลมุลยะกีน หมายถึงการมองเห็นและเชื่อมั่นในวิชาการความรู้เหล่านั้น เห็นทุกคำพูดเป็นจริง มองเห็นสัจธรรมในคำพูด เชื่อมั่นไม่สงสัย คำพูดก่อให้เกิดคุณธรรมในใจมองเห็นความจริงในหลักการเหล่านั้น

รูปภาพ

เมื่อมีการประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องก็จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นไม่สงสัย มองเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาใจ มิใช่ตาเนื้อ ม่านที่คอยปิดบังตาอยู่ระหว่างการตัดสินใจกับการกระทำจะถูกเปิดออก ทำให้มองเห็นความจริงแท้ของสรรพสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หรือที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า การตรัสรู้ นั่นเอง


การตรัสรู้ตามหลักการของอิสลาม

ถือว่าเป็นศาสตร์ขั้นสูงใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถปฏิบัติตัวให้บรรลุไปสู่ขั้นดังกล่าวได้ มีเฉพาะบางคนเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังเป็นเพียงศาสตร์และขั้นตอนหนึ่งเท่านั้น หากจะเทียบกับความเป็นศาสดาที่พระเจ้าทรงประทานแก่ศาสดาของพระองค์ พร้อมวิทยปัญญา และวิชาการที่ไม่มีขอบเขตจำกัดแล้ว แน่นอน ย่อมไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้เนื่องจากความรอบรู้ที่มนุษย์มีหรือคิดค้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หากจะเปรียบเทียบกับความรู้ที่ครอบคลุมและกว้างไกลของพระเจ้าแล้ว ไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ซึ่งความรอบรู้เหล่านั้นพระองค์ทรงประทานแก่ศาสดาของพระองค์ให้มาสอนสั่งปวงมนุษย์ เชิญชวนให้พวกเขาปฏิบัติตาม

รูปภาพ

ส่วนการนับถือศาสดาคือ การเชื่อมั่นว่าศาสดาเป็นศาสนทูตและเป็นตัวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงส่งลงมาให้ทำหน้าที่สั่งสอนเชิญชวนมนุษย์ไปสู่สัจธรรมความจริง แนะนำแนวทางที่ถูกต้องแก่มนุษย์ ในตัวของศาสดาคือแบบอย่างอันดีงามสำหรับมนุษย์ทุกคน

ศาสดาสอนมนุษย์ให้รู้ว่ามนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย มิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

ทว่าพระเจ้าทรงบังเกิดมนุษย์ขึ้นมา ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่ของมนุษย์ทว่าเป็นของพระองค์ มนุษย์จึงมีการเกิดและตายไปตามกาลเวลาที่ถูกลิขิตเอาไว้ เมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ สรรพสิ่ง และจักรวาลขึ้นมาแล้วพระองค์ทรงชี้นำสรรพสิ่งเหล่านั้น ให้ดำเนินชีวิตไปตามวิถีที่ถูกชี้นำไว้ พระองค์ทรงควบคุมดูแลและบริบาลสรรพสิ่งเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด

:b41: :b37: :b37: :b37: :b37: :b37:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


2) เรื่องความบริสุทธิ์

ในฝ่ายเทวนิยม

เมื่อศาสนิกทำบาปหรือล่วงละเมิดคำสั่งแล้ว พระเจ้าจะรับไถ่บาปให้ และใช้น้ำล้างบาปก็ได้ คือ พระเป็นเจ้าเป็นผู้นำศาสนิกให้บริสุทธิ์โดยผ่านทางพิธีกรรม เช่น การสารภาพบาป ผ่านคนกลางที่เรียกว่า นักบวช หรือใช้น้ำ เช่น แม่น้ำคงคา หรือใช้ไฟ เช่น การบูชาไฟ เป็นต้น

รูปภาพ

ส่วนอเทวนิยม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาสอนให้คนต้องเว้นความชั่ว และทำความดีเองจึงจะบริสุทธิ์ คนอื่นจะทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระองค์เองให้บริสุทธิ์เอง และได้แต่เพียงช่วยแนะนำให้เท่านั้น การเว้นการทำชั่วและทำดีเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องกระทำเอง

รูปภาพ

มิใช่ทุกศาสนาเทวนิยมจะมีความเชื่อและสอนเช่นนั้น ตามหลักการของอิสลามสอนว่าการกระทำทั้งปวงทั้งดีและชั่วเป็นของมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้ก่อการกระทำเหล่านั้นขึ้นมา พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอานตรัสว่า ทุกสิ่งมนุษย์เป็นผู้ขวนขวายขึ้นด้วยตัวเอง ฉะนั้น ไม่ว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วล้วนมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น พระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้มนุษย์กระทำแต่อย่างใด

พระองค์ทรงประทานสติปัญญาแก่เขาเพื่อการนึกคิดและใคร่ครวญไตร่ตรอง ดังนั้น มนุษย์ปวงผู้มีสติเท่านั้นเป็นผู้ประสบความสำเร็จ อิสลามยังได้สอนถึงผลตอบแทนสำหรับการกระทำเหล่านั้น ถ้าเป็นกรรมดีย่อมได้รับการตอบแทนจากพระเจ้า ถ้าเป็นกรรมชั่วย่อมได้รับผลกรรมที่ก่อไว้

ที่นี้สิทธิในผลบุญหรือผลกรรมนั้นมี 2 ลักษณะ กล่าวคือถ้าเป็นผลกรรมที่มนุษย์ได้ก่อขึ้นกับมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า ฮักกุลนาซ (สิทธิของมนุษย์) มนุษย์จะต้องกล่าวขออโหสิกรรม หรือกล่าวขออภัยจากคู่กรณี ถ้าหากคู่กรณียินยอมถือว่ากรรมของเขาหมดไป

รูปภาพ

แต่ถ้าคู่กรณีไม่ยินยอมเขาจะต้องเป็นฝ่ายไปชดใช้กรรมนั้น ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าใครคือผู้ตอบแทนผลกรรมของเขา ตามหลักการของอิสลามถือว่า ผู้ตอบแทนกรรมหรือลงโทษไปตามผลกรรมนั้นคือ พระเจ้า


ส่วนกรรมอีกประเภทหนึ่ง เป็นกรรมที่มนุษย์ได้ก่อขึ้นระหว่างตนกับพระเจ้า หรือที่เรียกว่า ฮักกุลลอฮฺ หมายถึงมนุษย์ได้ฝ่าฝืนคำสั่งสอนของพระองค์ล่วงละเมิดในกฎบัญญัติต่างๆ ของศาสนา เช่น หลักการกล่าวห้ามดื่มสุราเมรัย หรือประพฤติผิดในกามเป็นต้น มนุษย์ได้ล่วงละเมิดในสิ่งเหล่านี้ ถือว่าขัดพระบัญชาของพระเจ้า

ฉะนั้น จะต้องถูกลงโทษแต่ถ้ามนุษย์สำนึกผิดได้ด้วยใจตนเอง กล่าวขออภัยและวิงวอนการลุแก่โทษต่อพระองค์ด้วยใจจริง โดยไม่ย้อนกลับไปกระทำสิ่งเหล่านั้นอีก พระองค์จักทรงอภัยแก่เขา มิใช่เป็นการไถ่บาปหรือใช้น้ำล้างบาปให้หมดไป


รูปภาพ

ซึ่งการอภัยในบาปกรรมของพระเจ้า ทำให้มนุษย์นั้นพ้นบาปกรรมเป็นคุณลักษณะพิเศษสำหรับพระเจ้าที่ว่า พระองค์คือผู้ทรงอภัยบาปกรรม ผู้ทรงเมตตาเสมอ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้จะมีความหมายอันใดสำหรับคำว่า การสำนึกผิด หากการสำนึกนั้นมิได้รับการอภัย

ซึ่งในเบื้องต้นของการสำนึกหรือการก่อบาปกรรมขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ทว่ามนุษย์เป็นผู้กระทำเอง ส่วนพระองค์อยู่ในฐานะของผู้ช่วยเหลือหรือผู้สนับสนุน ให้ผู้อื่นมีความบริสุทธิ์ ดังนั้น กรรมใดใครก่อย่อมเป็นของบุคคลนั้นแต่เพียงผู้เดียว


:b54: :b49: :b54: :b54: :b54: :b54: :b54:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


3) เรื่องการเผยแผ่คำสอน

ฝ่ายเทวนิยม

ให้ตั้งอยู่บนความเชื่อที่ไม่ต้องพิสูจน์ (Dogma)

ในพระเจ้าว่าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ทรงอานุภาพทุกประการ และทรงอยู่ในฐานะพระบิดา และเป็นพระผู้ทรงบันดาลแต่เพียงพระองค์เดียว

ศาสนิกมีหน้าที่รักและภักดีต่อพระองค์ให้มากๆ ห้ามมิให้ศาสนิกวิจารณ์หาเหตุผลในคำสอนมาหักล้างข้อเชื่อ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ เมื่อปฏิบัติตามศาสนาแล้วจะต้องวิงวอนขอพรจากรพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงโปรดและประทานให้จึงจะได้รับความเชื่อจึงเป็นมูลบทที่จะต้องถือไว้อย่างมั่นคง

รูปภาพ

สำหรับอเทวนิยม

โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาใช้หลักการเผยแผ่คำสั่งสอน 3 อย่าง กล่าวคือ

ก. สอนศาสนิกให้รู้จริงเห็นจริงในหลักธรรมด้วยตัวเอง เพื่อประโยชน์ของศาสนิกชนเอง
ข. สอนโดยการนำเหตุผลหรือปัญญามาเป็นมูลบท เริ่มจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมก่อน เพื่อให้ผู้ฟังอาจตรึกตรองตามเป็นจริงได้ และให้ใช้ปัญญาคิดค้นหาเหตุผล ในคำสอนอย่างไม่ผูกขาด
ค. สอนมีผลที่พิสูจน์ได้ คือ ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ผลตามที่สอนนั้นด้วยตัวเอง

ตามหลักการของอิสลามมิได้สอนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

การที่คนเราจะเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงต้องผ่านขบวนการพิสูจน์ความจริงขั้นสูงสุด เหล่านั้นเสียก่อนทั้งด้วยเหตุผลทางปัญญาและการกล่าวอ้างในเชิงของเหตุผลอ้างอิง

ห้ามมิให้มีการเชื่อตามผู้อื่นเด็ดขาด กล่าวคือวิทยปัญญาต้องมาก่อนหลังจากนั้นจึงเชื่อและปฏิบัติตาม ส่วนการเชื่อว่าพระองค์บริสุทธิ์และพระองค์ทรงเดชานุภาพ ซึ่งพลานุภาพของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่งนั้น เป็นไปหลังจากการพิสูจน์ด้วยเหตุผลแล้วว่าพระองค์มีอยู่จริง ซึ่งการมีอยู่ของพระองค์ในทุกสถานภาพต้องสูงส่งและดีกว่ามนุษย์ มิเช่นนั้นแล้วจะมีความหมายอันใดต่อการที่มนุษย์ยกย่องว่าพระองค์ คือ พระเจ้า ซึ่งความเชื่อในเรื่องพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ ทรงเกรียงไกร และทรงปรีชาญาณนั้นเป็นความเชื่อที่เกิดจากปัญญามิใช่ความงมงาย หรือเชื่อตามกันตั้งแต่บรรพชนจวบจนถึงปัจจุบัน

ฉะนั้น เมื่อหลักการของศาสนาวางอยู่บนพื้นฐานของสติปัญญา

คำสอนใดที่ไม่เข้ากับสติปัญญาสามารถวิจารณ์ได้ด้วยเหตุผลที่เหนือกว่า

เมื่อพระเจ้าทรงให้เหตุผลว่าสองบวกสองเป็นสี่


มนุษย์มีเหตุผลอะไรที่จะกล่าวว่าไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

รูปภาพ

การที่จะกล่าวว่าผลลัพธ์ของการบวกไม่ถูกต้อง

เราต้องมีเหตุผลที่ถูกต้องอยู่ในมือเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ เหตุผลที่พระเจ้าทรงให้อันเป็นคำตอบของหลักการ ณ วันนี้ยังไม่มีบุคคลใดกล่าวอ้าง

หรือค้นหาเหตุผลมาหักล้างได้ว่า เหตุผลของพระเจ้าไม่ถูกต้อง

เมื่อเป็นเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดสำหรับการวิจารณ์สิ่งถูกต้อง

การกระทำเช่นนั้นย่อมบ่งบอกให้เห็นว่าเราไม่มีสติปัญญา

ตามหลักการของอิสลามกล่าวว่า พระเจ้ามิได้ทรงกำเนิดหรือให้กำเนิดผู้ใด แต่พระองค์ทรงบังเกิดสรรพสิ่งเหล่านั้นด้วยพลานุภาพของพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงมิได้อยู่ในฐานะของพระบิดา ทว่าพระองค์คือพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ดังนั้น ความเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นความเชื่อที่เป็นไปในเชิงของเหตุและผล มิใช่การเชื่อตาม

รูปภาพ
ตามหลักการของอิสลามแหล่งอ้างอิงเพื่อประกอบเหตุและผลมี 4 ประการด้วยกันคือ

- อัล-กุรอาน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระเจ้าเป็นพระดำรัสของพระองค์ ทุกถ้อยคำในคัมภีร์เป็นวิทยปัญญา เป็นเหตุผลและเป็นความจริงขั้นสูงสุด

- วจนะของศาสดา เนื่องจากวจนะของศาสดาเป็นคำสอนเป็นแหล่งอ้างอิงพิเศษ อันเป็นเหตุผลของศาสนา วจนะของศาสดามิใช่คำพูดเพ้อเจ้อ หรือกล่าวขึ้นลอยโดยไม่มีที่มาและที่ไป เป็นคำพูดที่เป็นจริง คำพูดของศาสดาบริสุทธิ์จากการโกหกมดเท็จ เนื่องจากศาสดาเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากบาปกรรม

- สติปัญญา เป็นแหล่งอ้างอิงในเชิงเหตุผลถึงแม้ว่าจะมีอัล-กุรอาน และวจนะของศาสดาเป็นองค์ประกอบสำคัญ แต่ถ้ามนุษย์ไม่ใช่ปัญญาในการขบคิด ก็จะไม่เกิดความเข้าใจในสิ่งที่กล่าวไว้

- การรวมตัวของบรรดานักปราชญ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เนื่องจากปัญหาบางประการมนุษย์เพียงคนเดียวไม่อาจตีความให้สำเร็จลุล่วงลงไปได้ จึงต้องอาศัยทัศนะของนักปราชญ์รุ่นก่อนและนักปราชญ์ในยุคปัจจุบันเป็นองค์ประกอบในการตีความ และการวินิจฉัยปัญหาของตน

ดังนั้น โดยหลักการอิสลามถือว่า สติปัญญา คือแหล่งอ้างอิงสำคัญสำหรับอิสลาม มนุษย์ผู้มีสติปัญญาเท่านั้นจึงจะมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา แต่มนุษย์ผู้วิกลจริตหรือคนบ้าเสียสติ ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติตามหลักการของศาสนาแต่อย่างใด

:b50: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แก้ไขล่าสุดโดย ฌาณ เมื่อ 17 ม.ค. 2009, 22:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

4) เรื่องจุดหมายสูงสุด

เทวนิยมสอนว่า จุดหมายสูงสุดคือการได้เข้าไปเป็นเอกภาพ (Unification) กับพระเจ้า

ส่วนอเทวนิยม โดยเฉพาะพุทธศาสนาสอนว่า การนิพพานคือจุดหมายสูงสุดในชีวิต

ซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้าและการนิพพานแตกต่างกัน กล่าวคือพระเจ้าเป็นอัตตา นิพพานมีธรรมชาติเป็นอนัตตา

ดังในเกวัฎฎสูตร

มีเรื่องเล่าถึงภิกษุรูปหนึ่งข้องใจในปัญหาที่ว่า ธาตุ 4 เป็นต้น จะดับโดยไม่เหลือในที่ไหน ภิกษุรูปนั้นเที่ยวตระเวนถามเทวดาต่างๆ จนกระทั่งท้าวมหาพรหมก็ตอบไม่ได้ ในที่สุดท้าวมหาพรหมขอให้มาถามพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสตอบเป็นใจความรวบยอดว่า ดับวิญญาณเสียได้ ธาตุ4 เป็นต้น ก็ดับไม่เหลือในที่นั้นซึ่งหมายถึงนิพพาน นี้แสดงให้เห็นว่าท้าวมหาพรหมซึ่งพราหมณ์ถือว่าเป็นพระเจ้านั้น ถือว่าไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับนิพพาน และมีธรรมชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

รูปภาพ

กระผมจึงนำแสดงข้อมูลเชิงเปรียบเทียบให้เห็นความเชื่อและศรัทธาต่อศาสนาของทั้งสองแบบ
คือแบบมีพระเจ้าและไม่มีพระเจ้ามาให้ท่านพี่ๆๆน้องๆๆและอาจารย์ทั้งหลายได้อ่านเป็นข้อมูล


เชิงรู้เขารู้เรา

เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขต่อมนุษย์เพื่อนร่วมโลก

อย่างน้อยทุกศาสนาก็สอนให้เราเป็นคนดี อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขบนโลกใบนี้


ก่อนจะลาจากกันไปตามทางของตน


:b8: :b8: :b8: สวัสดีครับ :b23: :b23: :b23:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2009, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณฌาณครับ



ผมตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องพระเจ้า เรื่องผู้สร้าง เรื่องอเทวนิยม เทวนิยม เรื่องสรรพสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นได้อย่างไร เรื่องความมืด ความสว่าง ดวงอาทิตย์ ดวงดาว เรื่องอะไรกำเนิดสรรพสิ่ง ใครเป็นผู้สร้างโลก เราเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน ผมตอบได้ทุกคำถามแหละครับ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม

ตอนนี้ผมเพียงแต่จะบอกว่า ทุกคนในศาสนาต่างๆล้วนเข้าผิดทั้งนั้น ผู้ที่รู้ความจริงเรื่องนี้คือ ผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็เป็นผู้ที่พระพุทธเจ้ามอบหมายเท่านั้น

ตอนนี้ผมแค่ชี้แนะกับคุณก่อนว่า เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถคิดได้จากหัวสมอง พระพุทธเจ้าก็บอกให้สั้นๆอยู่แล้วในคำบริกรรมพุทโธ (ตื่นแล้ว รู้แล้ว) ขณะนี้เราอยู่ในโลกแห่งมายาในจิตพุทธะของเรา ทุกอย่างในจักรวาลมันไม่มี มันเป็นความว่าง หรือสุญญตา ที่แสดงภาพมายาที่เหมือนจริงให้เรารับรู้เท่านั้น

พวกเราเหล่าพุทธะ ตอนที่เป็นจิตประภัสสร และเราอยู่ในนิพพาน เราไม่มีกิเลสอวิชชา เราจึงลองเข้ามาอยู่ในภพภูมิที่มีกิเลสอวิชชา เพื่อทดสอบเปรียบเทียบดูกับพระนิพพานของเรา ตอนที่เราเป็นพุทธะ เราเป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา เราเป็นอมตะ เราก็ลองลงมาในภพภูมิที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และไม่เป็นอมตะดูบ้างว่าจะเป็นอย่างไร

มนุษย์ เทวดา นางฟ้า พรหม เปรต อสูร สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ แม้แต่พระเจ้า ล้วนแล้วแต่เป็นพวกเราเหล่าพุทธะทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับระดับจิตของเราว่าจะอยู่ตรงไหน เราเป็นผู้เลือกเอาเองว่า จะอยู่ใน 31-33 ภูมิอันใด หรือจะอยู่ในภพภูมิของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์(พระบุตรของพระเจ้า)องค์ใหน เช่น ภพภูมิของพระอมิตา ภพภูมิของพระเยซู เป็นต้น หรือเราจะกลับไปนิพพาน เราเป็นผู้เลือกเองทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ คุณฌาณ... :b8:

มนุษย์..แม้มีโลกทัศน์ต่อโลกใบนี้
ด้วยความเชื่อความศรัทธาที่ไม่เหมือนกัน
ภายใต้ปรัชญา และศาสนาที่แตกต่างกัน

แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข
และความสมานฉันท์บนโลกใบเดียวกันนี้...เช่นกัน
:b1: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 01:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ เจริญในธรรม

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2009, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2009, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:b4: :b4: :b4: สวัสดีครับทุกท่าน :b8: :b8: :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร