วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 23:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 23:07
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


เสียคุณแม่ไปเมื่อ 24/12/51 ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เลย เจ็บปวดในหัวใจตลอด คิดถึง อยากทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน สบายดีไหม ลำบากไหม หนาวไหม ใครดูแลแม่อยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


suchi เขียน:
เสียคุณแม่ไปเมื่อ 24/12/51 ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เลย เจ็บปวดในหัวใจตลอด คิดถึง อยากทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน สบายดีไหม ลำบากไหม หนาวไหม ใครดูแลแม่อยู่

เสียใจด้วยครับ.....
แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ครับ เสียใจก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ การพลัดพรากจากคนที่รักเป็นความทุกข์ ท่านเป็นคนมีความกตัญญู นี่แสดงว่าแม่ของท่านมีบุญอยู่มากครับจึงมีลูกกตัญญู ดังนี้แล้วแม่ของท่านก็คงไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด แต่ถ้าท่านยังไม่คลายความกังวลใจก็หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านก็ได้ครับ....

ขอสัจธรรมจงแจ้งแก่ใจท่าน... :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของคุณเจ้าของกระทุ้ดี
เพราะข้าพเจ้าก็สูญเสียแม่ไป ด้วยวัยที่แม่ยังไม่สมควรจากไป นอกเหนือไปจาก วัฒนธรรมประเพณี ที่แต่ละชุมชนปฏิบัติสืบทอดกันมาเกี่ยวกับการ บำเพ็ญกุศลถึงผู้วายชนม์ ซึ่งคุณเจ้าของกระทู้ ควรกระทำแล้ว
ข้าพเจ้าจะเล่าให้คุณได้อ่าน และคิดพิจารณา ถือว่า เป็นคำตอบให้กับตัวคุณว่า ตัวคุณควรจะทำอย่างไรเมื่อแม่ของคุณเสียชีวิตไปแล้ว ดังนี้

แม่ของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง ห้าสิบเศษๆ ตอนนั้นข้าพเจ้าก็อายุเพียง สามสิบหก สามสิบเจ็ด
ข้าพเจ้าทั้งโกรธตัวเอง โมโหตัวเอง ร้องไห้อย่างไม่อาย เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยแม่ของข้าพเจ้าได้
ด้วยความรักที่มีต่อแม่ ข้าพเจ้าโกรธตัวเองมาก ตอนนั้นข้าพเจ้าเองก็ป่วยข้อเท้าซ้ายอักเสบ ใส่เฝือกอยู่ ทั้งร้องไห้ ทั้งบ่นด่าว่าให้ตัวเอง ไม่สนใจแม่ ไม่ช่วยแม่ให้รอดพ้นจากความตาย ก่อนวัยอันสมควร
เพราะความเสียใจที่แม่จากไป และด้วยความโกรธและโมโหตัวเอง พอข้าพเจ้าหายป่วย วันหยุดข้าพเจ้าก็เดินไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับ ระบบการทำงานของร่างกาย
ตำราเกี่ยวกับการแพทย์ด้านต่างๆ ราคา ห้าหกร้อยบาทบ้าง สี่ห้าสิบบาทบ้าง สองสามร้อยบาทบ้าง เอามาอ่าน อย่างหูดับตับไหม้ เพราะแม้ข้าพเจ้าจะศึกษาค้นคว้าทางด้านพุทธศาสนา มีความรู้มีความเข้าใจหลายด้าน แต่ด้านสรีระร่างกาย กับได้รับการศึกษาและเข้าใจเกี่ยวกับสรีะร่างกายน้อยมาก

เมื่อศีกษาแล้วก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น และก็เพราะแม่โดยแท้ที่ข้าพเจ้าเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ถึง ความทุกข์ และการหลุดพ้น อันเกิดจาก การครองเรือน และ ความคิดอันเกิดจากการครองเรือน ของมนุษย์ แม่ของข้าพเจ้าเป็นอาจารย์ที่ใช้ตัวของแม่เอง ชีวิตของแม่เอง แลกให้ได้มาซึ่งความรู้ ความเข้าใจ ในทางศาสนาต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจึงมัก คิดอยู่เสมอว่า ขอให้แม่ได้กลับมาเกิดอีกครั้ง เพื่อข้าพเจ้าจะได้ตอบแทนคุณให้แม่ได้อยู่สุขสบาย และ
แม่ของข้าพเจ้าก็ได้กลับชาติมาเกิด จริงๆขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียใจด้วยครับ :b8:

อยากให้อ่านข้อความนี้ครับอาจจะทุเลาอาการเศร้าโศกได้บ้างครับ

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย แล้วได้ตรัสว่า...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ กับน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ สิ่งไหนจะมากกว่ากัน

ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ย่อมทราบธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วว่า น้ำตาที่หลั่งไหลออกของพวกข้าพระองค์ ผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะการประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้แหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถูกละ ๆ พวกเธอทราบธรรมที่เราแสดงแล้วอย่างนี้ ถูกแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออก ของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา โดยกาลนานนี้แหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ของพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว ของบุตร ของธิดา ความเสื่อมแห่งญาติ ความเสื่อมแห่งโภคะ ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งออกของพวกเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจนั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2006, 19:45
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นเรื่องยากนะ ที่เราจะบอกกับคนที่สูญเสียให้ทำใจ เพราะว่าของอย่างนี้ไม่เกิดขึ้นกับใคร ไม่มีใครรู้ แต่ว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป จิตใจเราจะดีขึ้นเอง. ผู้เขียนเองก็เหมือนกัน แม่จากไปเมื่อสามปีก่อน ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงท่าน ขนาดว่า อาตมาเป็นพระก็รู้หลักธรรมะตั้งมากมาย ปฏิบัติธรรมก็เป็นสิบกว่าปี แต่สุดท้ายเมื่อเจอกับเหตุการณ์แห่งความสูญเสีย มันก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยไป เดี๋ยวจิตใจเราจะดีขึ้นเอง เป็นกำลังใจให้ เราไม่จากท่าน ท่านก็จากเรา นี่คือสัจจธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: เสียใจด้วยค่ะ...
แต่เวลาจะทให้จิตใจเราดีขึ้น หาหนังสือธรรมะมาอ่านนะคะ ทุกวันพระถ้ามีโอกาสก็ไปรักษาอุโบสถศีล แล้วอุทิศให้ท่าน หมั่นทำบุญและทำสมาธิ ศึกษาให้มากๆ ให้จิตไม่ว่างเข้าไว้ค่ะ อ่านและอ่านกระทู้หรือบทความต่างๆในเว็บนี้ แล้วลองนำไปปฏิบัติค่ะ มีสติ ทำสมาธิ จะเกิดปัญญา

ที่แห่งนี้มีเพื่อนและธรรมะค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 20:09
โพสต์: 112


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

อ้างถึง http://www.84000.org/one/2/12.html

•อุ้มศพลูกหาหมอรักษา
นางได้อยู่ร่วมกับสามีจนมีบุตรหนึ่งคนในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้เท่านั้น
ก็ถึงแก่ความตาย นางห้ามมิให้คนนำบุตรของนางไปเผาหรือไปทิ้งในป่าช้า เพราะนางไม่เคยเห็น
คนตาย จึงอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้นเที่ยวเดินถามตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่ามียารักษาบุตรของ
นางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลายพากันคิดว่า “นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตายให้ฟื้น”
อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่งเห็นกิริยาของนางแล้วก็คิดว่า “นางคงจะมีบุตรคนแรกจึงรัก
บุตรมาก และคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร เราควรจะแนะนำทางให้
นางดีกว่า” จึงกล่าวกับนางว่า:-
“แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้ประทับอยู่ที่
พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่านรู้จักยาที่รักษาลูกของเธอได้”
นางรู้สึกดีใจที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกน้องของนางมให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อยรีบ
มุ่งหน้าตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วทูลถามหายาที่จะ
มารักษาลูกของนางให้หายได้
พระพุทธองค์รับสั่งให้นางไปหาเมล็ดพันธุผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่อปรุงยา แต่
มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมก่อนเท่านั้นจึงสามารถใช้
เป็นเครื่องปรุงยาได้

•พระศาสดาบอกยาให้
ในดวงจิตของนางคิดว่า ของสิ่งนี้หาไม่ยาก นางอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ออก
ปากขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้านมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น
แต่พอถามว่าที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้านต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า “ที่บ้านนี้ คนที่
ยังเหลือยู่นี้น้อยว่าคนที่ตายไปแล้ว” เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบนอย่างนี้นางจึงเข้าใจว่า “ความตาย
นั้นเป็นอย่างไร และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตายเฉพาะลูกของเธอเท่านั้น ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย
เหมือนกันหมด” นางจึงวางร่างลูกน้อยไว้ในป่าแล้วกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดาว่า “ไม่
สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีคนตายได้”
พระพุทธองค์ได้สดับคำกราบทูลของนางแล้วตรัสว่า:-
“โคตมี เธอเข้าใจว่าลูกของเธอเท่านั้นหรือที่ตาย อันความตายนั้นเป็นของธรรมดาที่มีคู่
กับสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก เพราะว่ามัจจุราชย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยม
ไปด้วยกิเลสตัณหา ให้ลงไปในมหาสมุทรคือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนว่าห้องน้ำใหญ่ ฉะนั้น”
นางได้ฟังพระดำรัสของพระบรมศาสดาจบลงก็ได้บรรลุอริยผลดำรงอยู่ในพระโสดาบัน
แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดารับสั่งให้ไปบรรพชาในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ นาง
บวชแล้วได้นามว่า “กีสาโคตมีเถรี”
วันหนึ่งพระเถรีได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ลุกโพลงขึ้น
แล้วหรี่ลงสลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์ กรรมฐานว่า “สัตว์โลกก็เหมือน
กับแสนประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึงพระนิพพานไม่เป็นอย่างนั้น”
ขณะนั้น พระผู้มีประภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฎิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่านาง
กำลังยึดเอาเปลวดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่ง
ว่าพระองค์ประทับนั่งตรงหน้าของนางแล้วตรัสว่า:-
“อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและดับไป เหมือนเปลวดวงประทีปนี้
แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็นพระ
นิพพาน ย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานนั้น”
เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ดำรงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัด
ในการใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมองเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง
ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า
ภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

..จากเรื่องข้างต้นคงพอทุเลาความเศร้าคุณได้บ้างน่ะครับ
..สวดมนต์เยอะๆครับ..แล้วจิตจะเข้มแข็ง...ทำสมาธิแผ่ส่วนกุศลถึงคุณแม่
..ท่านคงจะดีใจถ้าคุณเข้มแข็งน่ะครับ..

:b8: เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเนื้อความมาจากหนังสือ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มูลปณิธานสูตร น่ะครับ
เป็นเรื่องที่ พระพุทธองค์ ขึ้นไปจำพรรษา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ น่ะครับ ตัดมาให้อ่านบางส่วน
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ โปรดสัตว์อยู่ในนรก โดยท่านมีปณิธานว่า ถ้าหากขุมนรกยังไม่ว่างเว้นจากเหล่าวิญญาณ เราจะไม่ยอมเข้าสู่พุทธภูมิ อันนี้เป็นพระสูตรของทางมหายานน่ะครับ แต่เอามาให้ลองอ่านดู เพื่อการศึกษาธรรมด้วยใจอันเป็นอิสระ


กุศลผลบุญของผู้ที่ล่วงลับไป

........หากบุคคลใดขณะมีชีวิตอยู่สร้างกรรมชั่วไว้มากกว่ากรรมดี แต่เมื่อใกล้จะตายญาติพี่น้องได้ทำบุญสร้างกุศลอุทิศให้แก่เขา เช่นนี้แล้วหากบุญกุศลทั้งหลายมี 7 ส่วนผู้ตายจะรับ 1 ส่วน อีก 6 ส่วน ญาติพี่น้องผู้ที่กระทำจะได้รับผลบุญนั้นเอง
เหตุฉะนี้ หากบุคคลใดสามารถฉวยโอกาสในยามที่มีชีวิตอยู่และสังขารร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์ดี มารีบเร่งบำเพ็ญธรรมสร้างกุศลเสียแต่เนิ่น ๆ เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เขาผู้นั้นก็จะได้รับบุญกุศลที่ตนเองทำไว้ทั้งหมด

อนิจจังไม่เที่ยง....สักวันหนึ่งเมื่อตายไป ถึงเวลาที่ยมฑูตมาเอาตัวไปไว้ยังสถานที่พักวิญญาณแล้ว ในขณะนั้นวิญญาณทั้งหลายต่างก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนมีบุญหรือบาปติดตัวอยู่มากน้อยเท่าไร ทั้งนี้เพราะคนที่ตายแล้วภายใน 49 วัน วิญญาณของเขาก็เหมือนกับคนที่หูหนวกตาบอด ยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเขาจะต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาตัดสินของพญายมผู้เป็นใหญ่
ทว่าในช่วงเวลาก่อนการพิพากษาตัดสินเหล่าวิญญาณทั้งหลายจะเป็นทุกข์กระวนกระวายใจอย่างที่สุด

ก่อนจะถึงการตัดสินโทษ วิญญาณของคนที่ตายไปจะมีความกระหายร้อนรนอย่างยิ่งที่จะให้ญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทั้งนี้เพราะหลังจาก 49 วันไปแล้วพวกเขาจะต้องถูกนำตัวไปรับโทษทัณฑ์ตามบาปกรรมที่ตนได้ก่อไว้ทันที
ถ้าหากเป็นคนบาปหนาก็จะต้องไปรับโทษเป็นเวลาถึงร้อยปีพันปี และถ้าทำบาปนักถึงขั้นตกนรกอเวจี ก็จะต้องได้รับทุกข์ทรมานไปเป็นเวลานานหลายอสงไขย
แต่หากญาติพี่น้องของวิญญาณบาปเหล่านั้นเป็นผู้มีจิตศรัทธา กราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่จะรับประทานอาหารมังสวิรัตก็ยกทูนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อระลึกถึงและขอบพระคุณฟ้าดิน ตลอดเวลาไม่เคยเหยียบย่ำหรือทิ้งขว้างแม้ข้าวสักเพียงเมล็ดหนึ่ง

"หากคนในครอบครัวปฏิบัติตนด้วยความมุ่งมั่นเช่นนี้ ดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญด้วย ฉะนั้นบุคคลใดที่บิดามารดาหรือญาติที่น้องได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หากเขาสามารถนำภัตตาหารมังสวิรัตไปถวายสักการะและบริจาคทานเป็นพลีบูชาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์แล้วแผ่กุศลผลบุญไปให้วิญญาณผู้ตาย
อานิสงส์จากการกระทำดังกล่าวจะบังเกิดขึ้นทั้งต่อผู้ปฏิบัติที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ล่วงลับไปแล้วพร้อม ๆ กัน"
ครั้นพระกษิติครรภโพธิสัตว์มีพระดำรัสจบลง เหล่าพุทธะ โพธิสัตว์ เทพยดาทุกหมู่เหล่า ต่างก็ได้เปล่งอุทานด้วยความปลาบปลื้มปิติ.....

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้ท่าน ถ้า ฟลุ๊ค
อาจมี ตาทิพย์ ไปเห็นท่านว่า กะลัง ทำไร อยู่ที่ไหน
จตุสัมพิทาญาณ1 หูทิพย ตาทิพย
2เหาะ เหินเดินอากาศ
3รู้ อดีต อนาคต
4รู้การเกิด ตาย ของสัตว์

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2009, 00:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2009, 22:30
โพสต์: 61


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าจมอยู่กับความคิดถึงแม่แบบเดิมๆ สลัดทิ้งไป ให้คิดถึงท่านในแง่ใหม่ๆ ในด้านใหม่ๆ เปิดมุมมองให้ความคิดของตัวเองใหม่ๆ คุณก็จะไม่เศร้า ถ้าตราบใดคุณยังคิดแบบเดิมๆ ไม่มีทางที่จะหายเศร้าได้เลย จะกี่วันกี่เดือนกี่ปี คุณก็จะคิดแบบเดิมๆ ไปตลอด มันก็วนเวียนกับความคิดเดิมๆ อยู่นั่นแหละ :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


เทียบเคียงเอา น่าจะให้ผลดีไม่น้อยเลยจ้า

ทุกข์เพราะลูกตาย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20095

ทุกข์เพราะเหงาและว้าเหว่
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20078

ทุกข์เพราะคนรักหนีจากไป
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=20079


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2009, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้ เกิดได้กับทุกคนในยามที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งหรือบุคคลผู้เป็นที่รัก
ความตายเป็นธรรมชาติ เป็นของเปิดเผย แต่ก็น้อยคนที่จะยอมรับได้ว่า สักวันหนึ่งจะถึงเวลาของเรา หรือเวลาที่ต้องจากกันกับคนอันเป็นที่รัก
แม้เรื่องอย่างนี้ในอดีตกาลนานมาแล้ว ก็เคยเกิดขึ้น... ปัจจุบันก็ยังเกิดอยู่ ...และต่อไปก็จะต้องเกิดขึ้นอีก... เป็นธรรมดา

ดังตัวอย่างของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่ท่านรักพระมเหสีที่ชื่อ พระนางมัลลิกาเทวีมาก นางได้ตายจากท่านไป ทำให้พระองค์ทรงโทมนัสยิ่งนัก กินแทบไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ทรงพระวรกายผ่ายผอมเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ในที่สุดวันหนึ่งก็เสด็จมาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ท่านทรงทราบเรื่องดี จึงตรัสเรื่อง ฐานะ 5 ประการ ที่ใครๆไม่พึงได้...
ฐานะ 5 ประการที่บุคคลไม่พึงได้ นั้น เป็นไฉน?
1. ขอให้สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดา (ของเรา) จงอย่าได้แก่
2. ขอให้สิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา (ของเรา) จงอย่าได้เจ็บไข้
3. ขอให้สิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดา (ของเรา) อย่าได้ตาย
4. ขอให้สิ่งที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดา​(ของเรา) จงอย่าได้ฉิบหาย
5. ขอให้สิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา (ของเรา) จงอย่าได้สิ้นไป



ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศรคือความโศกที่มีพิษแทงเข้าแล้ว ย่อมทำตนให้เดือดร้อน...เดือดร้อนอย่างไร?
เดือดร้อนเพราะความเศร้าโศกเสียใจนั่นเอง...ดังนั้น พระองค์จึงทรงแสดงต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
"ประโยชน์ แม้เล็กน้อยในโลกนี้ อันใครๆย่อมไม่ได้เพราะการเศร้าโศก เพราะการคร่ำครวญ...
พวกอมิตร ทราบว่า เขาเศร้าโศก เขาเป็นทุกข์...ย่อมดีใจ
ก็คราวใด บัณฑิตผู้พิจารณาเนื้อความ ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด คราวนั้น พวกอมิตรย่อมเห็นหน้าอันไม่ผิดปกติของบัณฑิตนั้น ยิ้มแย้มตามเคย ...อมิตรย่อมเป็นทุกข์
บัณฑิตพึงได้ประโยชน์ในที่ใดๆ ด้วยประการใดๆ เพราะการสรรเสริญ เพราะความรู้ เพราะกล่าวคำสุภาษิต เพราะการบำเพ็ญทาน หรือเพราะประเพณีของตน..ก็พึงบากบั่นในที่นั้นๆ
ถ้าพึงทราบว่า ความต้องการอย่างนี้ อันเราหรือผู้อื่นไม่พึงได้ไซร้ จากความเศร้าโศก ก็ไม่ควรเศร้าโศก
ควรตั้งใจทำงานโดยเด็ดขาดว่า บัดนี้ เราทำอะไรอยู่ ดังนี้"

ขอน้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์จาก ฐานสูตร มาแสดงให้ท่านทราบ และ พิจารณา
ปัญญาที่เกิดขึ้น ย่อมคลายความรัดรึงของลูกศรที่มีพิษที่ได้แทงอกอยู่นั้น ให้หลุดออกไป ความเจ็บปวดยอกแสยงอันใดที่เคยปรากฏเพราะพิษนั้น ย่อมสิ้นสุดลงได้...

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต


๗. ฐานสูตร

[๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น
ความแก่ไปได้ ๑ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๑
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๑ เราจะต้องพลัดพรากจาก
ของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรม
เป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่ว
ก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น
ความแก่ไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวมีอยู่แก่สัตว์
ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขา
พิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวนั้นได้โดย
สิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์
นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามี
ความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วง
พ้นความเจ็บไข้ไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในความไม่มีโรคมีอยู่แก่
สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลาย ประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ
เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในความไม่มีโรคนั้นได้โดย
สิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์
นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามี
ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น
ความตายไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความมัวเมาในชีวิตมีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย ซึ่ง
เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขาพิจารณาฐานะ
นั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความมัวเมาในชีวิตนั้นได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลง
ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้น
ความตายไปได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของ
ชอบใจทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความพอใจ ความรักใคร่ในของรักมีอยู่แก่สัตว์
ทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อเขา
พิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ ย่อมละความพอใจ ความรักใคร่นั้นได้โดยสิ้นเชิง
หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล
สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้อง
พลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สตรี บุรุษ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่ง
กรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด
ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายทุจริต
วจีทุจริต มโนทุจริต มีอยู่แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อเขาพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ
ย่อมละทุจริตได้โดยสิ้นเชิง หรือทำให้เบาบางลงได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัย
อำนาจประโยชน์นี้แล สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต จึงควรพิจารณา
เนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจัก
เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่
ผู้เดียวเท่านั้นที่มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ โดยที่แท้ สัตว์
ทั้งปวงบรรดาที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีความแก่เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรค
ย่อมเกิดขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเสพ
อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อริยสาวก
นั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่มีความเจ็บไข้เป็น
ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวงบรรดาที่มีการมา
การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้
ไปได้ เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้น อริยสาวก
นั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรค
นั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็น
ดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตาย
ไปได้ โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวงบรรดาที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วน
มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะ
นั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้น อริยสาวกนั้น ย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่ง
มรรคนั้น เมื่อเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้
อนุสัยย่อมสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ผู้เดียว
เท่านั้นที่จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวง
บรรดาที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนจะต้องพลัดพรากจากของรักของ
ชอบใจทั้งสิ้น เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะนั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้น
อริยสาวกนั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเสพ อบรม ทำให้
มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อริยสาวกนั้นย่อม
พิจารณาเห็นดังนี้ว่า ไม่ใช่เราแต่ผู้เดียวเท่านั้นที่มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาท
แห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด
ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น โดยที่แท้ สัตว์ทั้งปวงบรรดา
ที่มีการมา การไป การจุติ การอุบัติ ล้วนมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่ง
กรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด
ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น เมื่ออริยสาวกนั้นพิจารณาฐานะ
นั้นอยู่เนืองๆ มรรคย่อมเกิดขึ้น อริยสาวกนั้นย่อมเสพ อบรม ทำให้มากซึ่ง
มรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ฯ
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้
เป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา สัตว์ทั้งหลายย่อม
เป็นไปตามธรรมดา พวกปุถุชนย่อมเกลียด ถ้าเราพึงเกลียด
ธรรมนั้น ในพวกสัตว์ผู้มีอย่างนั้นเป็นธรรมดา ข้อนั้นไม่
สมควรแก่เราผู้เป็นอยู่อย่างนี้ เรานั้นเป็นอยู่อย่างนี้ ทราบ
ธรรมที่หาอุปธิมิได้ เห็นการออกบวชโดยเป็นธรรมเกษม
ครอบงำความมัวเมาทั้งปวงในความไม่มีโรค ในความเป็น
หนุ่มสาว และในชีวิต ความอุตสาหะได้มีแล้ว แก่เราผู้
เห็นเฉพาะซึ่งนิพพาน บัดนี้ เราไม่ควรเพื่อเสพกามทั้งหลาย
จักเป็นผู้ประพฤติไม่ถอยหลัง ตั้งหน้าประพฤติพรหมจรรย์ ฯ


http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=22&item=57&items=1&preline=1

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร