วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 18:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใช้ชื่อว่า Passa ถามว่า

ขอถามท่านผู้รู้ครับ :b10: ตามคำถามข้างบน ผมทราบคำตอบแล้วว่า นั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่นั่นจะพอหรือไม่?

เพราะพอผมนั่งเสร็จ ใจก็รู้สึกสงบขึ้นทันทีครับ ก็รู้สึกมีสติอยู่บ้าง แต่พอสองสามวันไปแล้วนั้น มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม อาจจะเป็นเพราะ

ถาม....
1. ทำสมาธิน้อยเกินไป อันนี้ไม่ทราบว่าวันละประมาณ 10 - 15 นาทีนั้น พอหรือเปล่า เพราะยุ่งทั้งวัน ทั้งเรื่องนั้น เรื่องนู้น สารพัดอย่าง ไม่สามารถนั่งได้เหมือนช่วงปีใหม่ครับ (ผมนอนสมาธิด้วย ไม่ทราบถึงเวลา)

ตอบ....
ไม่น้อยขอรับ ถ้าคุณทำสมาธิอย่างแท้จริง นานมากด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีกำลังก็ทำมากกว่านั้น ยิ่งดีขอรับ เพราะถ้าเราทำได้มากขึ้น จิตสงบมากขึ้นเท่าไหร่ ผลแห่งการปฏิบ้ติ ก็คือ บุคคลนั้นจะมี "สติ สัมปชัญญะ"ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เรื่อยๆขอรับ จะเรียกอย่างเข้าใจง่ายก็คือ "สมองไวขึ้น" ก็ได้ขอรับ
และจะนั่ง จะยืน จะเดิน จะวิ่ง จะนอน ทำสมาธิได้ทั้งนั้นขอรับ


ถาม....
2. จิตไม่มีอารมณ์เดียว เพราะ "พุทโธ ๆ" แล้วก็ฟุ้ง แต่ก็ยังรู้สึกใจเย็นขึ้นบ้าง

ตอบ....

การใช้ "พุทโธ" กำกับลมหายใจ ยังไม่ใช่การปฏิบัติสมาธิ อย่างแท้จริงขอรับ เป็นเพียงกลวิธีเบื้องต้น ของคนที่มีจิตฟุ้งซ่านมากๆ เท่านั้น ข้าพเจ้าเอง ก็ฝึกใช้ พุทโธ กำกับ ตามที่อาจารย์ของข้าพเจ้าสอนให้ แต่ต่อมา พบว่ามันไม่ใช่การปฏิบัติ สมาธิอย่างแท้จริง และถูกต้อง อีกทั้งยังมีปัญหา อย่างที่คุณกำลังประสบอยู่นั่นแหละ


ถาม....
ผมนั่งสมาธิตอนเช้า ตอนนั่งรถ ส่วนตอนค่ำก็สวดและนอนสมาธิครับ อย่างไรก็ดี พอตกเย็นสติก็เริ่มหายไป อารมณ์เข้ามาแทนที่ แถมยังเครียดด้วย จะอารมณ์เย็นอีกครั้งก็ตอนสวดมนต์

ตอบ....
ตอนเย็น คุณก็รู้ว่าสติหาย แล้วทำไม ไม่แข็งขืน ไปปล่อยตามความคิดของตัวเองทำไมขอรับ
การปฏิบัติ สมาธิ คือการควบคุม ตัวเอง ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ไม่ใช้เกิดปิติ สุข ตามความคิดของตัวเอง
อาการวิตก วิจารณ์ ที่มีขึ้นกับคุณ เป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคน ที่อินกับหน้าที่การงาน มีความโลภ มีความหลงมาก ที่กล่าวไปไม่ใช่เรื่องเสียหายนะขอรับ เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะมีอาการอย่างนั้น


ถาม....
อยากทราบว่า:
1. จะทำสมาธิอย่างไรดี ให้ได้ผลดีที่สุดครับ ภายในเวลาที่จำกัด เพราะผม "พุทโธ" และกำหนดจิตไว้ที่ฐานจิตแล้วครับ (คือภายในช่วง 2 - 3 ชั่วโมงก็ยังเห็นผลอยู่บ้าง แต่พอตกเย็น สติสัมปัญชัญญะหายไปหมดแล้ว)

ตอบ....
ที่คุณทำอยู่ก็ถูกวิธีอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ถูกวิธีจริงๆ ก็ต้อง นั่งสมาธิ หรือปฏิบัติสมาธิ โดยไม่ต้องใช้คำพูด หมายถึงการไม่ต้องใช้"พุทธโธ" หรืออื่นใดมากำกับลมหายใจ
แต่ใช้ลมหายใจ เอาใจเข้าไปผูกอยู่กับลมหายใจเพียงอย่างเดียว หรือเอาใจจดจ่อไว้กับลมหายใจเพียงอย่างเดียว ไม่คิด ไม่เพ้อเจ้อ นึกถึง อดีตปัจจุบัน อนาคต
ยากสักหน่อยขอรับ ยากตอนแรก ถ้านานวัน ก็สบายๆขอรับ


ถาม....
2. จะทำให้สติดีระยะยาวอย่างไร เพราะช่วงนี้ (ตั้งแต่หลายสัปดาห์ช่วงก่อนปีใหม่แล้ว) นั่งสมาธิและสวดมนต์สม่ำเสมอ ยังไม่รู้สึกว่าสติดีขึ้นเลยครับ คือ บางทีเรารู้ตัวนะครับ แต่บางทีผมเหนื่อย ๆ หายไปหมดเลย มันดีเฉพาะระยะสั้นเท่านั้น หมายความว่า นั่งต่อไปเรื่อย ๆ หรือครับ

ตอบ....
ตามธรรมชาติของมนุษย์ ย่อมมีสติดีและระยะยาว อยู่แล้ว ทั้งนี้ก็จะขึ้นอยู่กับตัวของแต่บุคคลว่า ได้รับการขัดเกลาทางสังคม นับตั้งแต่ กรรมพันธุ์ เป็นต้นมา แต่ว่าคุณต้องการที่จะมีสติดีระยะยาวขนาดไหนกันละ มนุษย์จะมีสติดีระยะยาวได้ ที่เห็นชัดก็คือเวลาทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง และสามารถทำงานนั้นให้สำเร็จลุล่วงไปได้ จะช้าบ้างเร็วบ้าง งานที่ทำเสร็จเร็ววันบ้างนานวันบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับ ลักษณะงานที่ทำ ความยากง่ายของงานที่ทำ อุปกรณ์เครื่องมือฯลฯที่ใช้ทำ ที่กล่าวไปข้างต้นนี้สามารถใช้เป็นเครื่องวัด สิ่งที่คุณเรียกว่า สติดี ระยะยาวได้ขอรับ


ถาม.....
3. มีส่วนเพราะกรรมหรือไม่ ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเมื่อเปรียบเทียบก่อนนั่งสมาธิ แต่ "อารมณ์ชั่ววูบ" "ความโกรธชั่ววูบ" "กิเลสชั่ววูบ" มันมา พยายามกำหนด "ไม่หลงหนอ ไม่หลงหนอ" แล้ว แต่ "สติ" ก็ประคับประคองไม่อยู่ อาจจะมีผลของกรรมด้วยหรือไม่ครับ ถ้ามี จะแก้ไขอย่างไรดีครับ

ตอบ....
ถ้าตอบแบบหลักความจริง "กรรม"คือการกระทำขอรับ ดังนั้น สิ่งที่คุณถามมา หากหมายถึง การที่คุณเกิดอาการ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข ย่อมเกิดจาก "กรรม" แน่นอนขอรับ
การแก้ไข ก็กลับไปอ่านคำตอบทั้งหมด ที่ได้ตอบไป


ถาม....
4. นอกจากนั่งสมาธิและเดินจงกรมแล้ว สามารถทำอะไรได้อีกหรือไม่ครับ ที่จะทำให้ "สัมปชัญญะ" ดี รู้ตัวว่าจะทำอะไร ไม่หลง ไม่ลืม ไม่โกรธ ไม่โลภ รู้ตัว รู้อยู่ ณ ขณะนี้
ขอบคุณครับ :b8:

ตอบ.....
คุณต้องทำความเข้าใจไว้อย่างหนึ่งว่า คำว่า "ปฏิบัติสมาธิ หรือนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม" เป็นศัพท์ภาษาทางพุทธศาสนา มีไว้สอนให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ได้เข้าใจ ในระบบการทำงานของร่างกาย อันปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ภายนอก

คุณต้องทำความเข้าใจ คำว่า "สมาธิ" คืออะไร หมายความว่า คุณต้องรู้ และเข้าใจก่อนว่า "สมาธิ" หมายถึงอะไร เกิดมีได้อย่างไร ฯลฯ เป็นพื้นฐานก่อน ในเวบธรรมจักรนี้ เขามีสอนอยู่แล้ว หรือถ้าคุณอยากจะอ่านที่เข้าใจง่ายขึ้น เพราะเป็นสำนวนภาษาไทย ก็หา"กระทู้ ที่ข้าพเจ้าสอนไว้ในเวบธรรมจักรนี้ อ่านประกอบด้วย" ก็จะเกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ขอรับ


อนึ่ง เมื่อคุณมีความรู้ มีความเข้าใจ พื้นฐานเกี่ยวกับความหมายและแนวทางการปฏิบัติ สมาธิแล้ว คุณก็จะรู้ว่า การปฏิบัติสมาธิ ทำอย่างไรบ้าง ฯ ฉะนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 13:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อีกประการหนึ่ง
การปฏิบัติสมาธิ หรือ สมถะ กัมมัฏฐานนี้
ความจริงแล้ว จัดอยู่ในหมวด อภิธรรมปิฏก
เพราะเป็นการฝึกฝนที่เกี่ยวข้องในทางจิตของมนุษย์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2009, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


อนึ่ง ท่านทั้งหลาย อย่าได้หลงเข้าใจผิดคิดว่า การระลึกได้ หรือสตินั้น มาก่อน สมาธิ
ถ้าคิดอย่างนั้น เป็นการคิดที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง และไม่รู้ตามหลักวิชชาการ โดยเฉพาะในด้าน การทำงานของ ระบบประสาทแห่งสรีะร่างกาย
และก็เช่นเดียวกัน บุคคลประเภท อวดรู้ อวดฉลาด โดยความรู้เท่าไม่ถึงกาล มักทำให้ศาสนาถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริง เขามีความหมายตามสำนวนภาษา อย่างหนึ่ง ดันไปตีความหมายของสำนวนภาษาอีกรูปแบบหนึ่ง แถมยังไม่สนใจว่ามันเป็นไปตามหลักความเป็นจริงหรือไม่ นั่นแหละ "ศาสนาเสื่อม คนเสื่อม จิตใจเสื่อม" ข้าพเจ้าเห็น และประสบมามากแล้วขอรับ

ไม่ต้องคิดอะไรมาก
เอาแค่รู้ความหมายของคำว่า สติ
และ รู้ความหมายของคำว่า สมาธิ ให้ถ่องแท้ซะก่อน ถ้ารู้ความหมาย และรู้จักสถานะของคำสองคำนั้นแล้ว ย่อมเกิดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2009, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อยุติ.....
ในเมื่อมีบุคคลบางกลุ่ม บางบุคคลหลงผิด ด้วยความอวดรู้ อวดฉลาด ชอบบิดเบือนคำสอน และหลักปฏิบัติ ใดใด ทั้งๆที่ มีบทเรียนอย่างชัดแจ้ง เกี่ยวกับ "สมถะกัมมัฏฐาน"อยู่แล้ว แต่กลับ คิดและบิดเบือนหลักการปฏิบัติ ว่า สติ เกิดขึ้นก่อน สมาธิ นี้นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ท่านทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ควรได้ใส่ใจ และสนใจ เป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีบทเรียน ให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติ และพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สมาธิ นั้น เกิดขึ้น ก่อน สติ อันเป็นไปตามระบบการทำงานของสรีระร่างกายของมนุษย์
สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวของท่านเอง ดังการอรรถาธิบาย ต่อไปนี้.-

"ท่านทั้งหลายควรได้ คิด พิจารณา ดูให้ดีว่า ขณะที่ท่านทั้งหลายคิด หรือท่านทั้งหลายไม่คิด ก็ตามแต่ เพราะ คำว่า สติ นั้น แท้จริงแล้ว ก็คือ การคิด รูปแบบหนึ่ง เพียงแต่บางครั้ง จะไม่มีเสียงดังในสมอง อย่างปกติแห่งการคิดทั่วๆไป แต่หากเกิดสติ ความรู้สึกตัวก็จะเกิดขึ้นมา คาบเกี่ยวกัน อาจไม่ได้ยินความคิดในรูปแบบนี้ แต่จะอยู่ในรูปแบบของคลื่นที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่าแสงด้วยซ้ำ บางครั้งเราจึงไม่รู้ว่าเราได้คิด แต่แท้จริงแล้ว สติ ก็คือ การคิดรูปแบบหนึ่ง
ที่นี้คุณก็ลอง นั่งสมาธิ โดยไม่คิดอะไร การนั่งสมาธิ ก็คือการเอาใจจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการเอาใจเข้าไปผูกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แล้วคุณลองทำความเข้าใจซิว่า คุณเอาใจจดจ่อฯ กับลมหายใจ (สมาธิ)
คุณจึงรู้ว่า ลมหายใจกำลังเคลื่อนที่ (สติ) เพราะ สติ ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว หมายถึง อดีต อย่างนี้เป็นต้น
อ่านช้าช้า แล้วพิจารณาโดยตัวเอง ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้
สามารถนำหลักการและวิธีการที่ข้าพเจ้าสอนให้ นำไปเป็นหลักวิชาการ และเป็นหลักบรรทัดฐาน แห่งวิชาการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องได้อีกมากมายฟท่านทั้งหลายควรได้ คิด พิจารณา ดูให้ดีว่า ขณะที่ท่านทั้งหลายคิด หรือท่านทั้งหลายไม่คิด ก็ตามแต่ เพราะ คำว่า สติ นั้น แท้จริงแล้ว ก็คือ การคิด รูปแบบหนึ่ง เพียงแต่บางครั้ง จะไม่มีเสียงดังในสมอง อย่างปกติแห่งการคิดทั่วๆไป แต่หากเกิดสติ ความรู้สึกตัว(สัมปชัญญะ)ก็จะเกิดขึ้นมา(สัมปชัญญะนะขอรับไม่ใช่สมาธิ) คาบเกี่ยวกัน อาจไม่ได้ยินความคิดในรูปแบบนี้ แต่จะอยู่ในรูปแบบของคลื่นที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่าแสงด้วยซ้ำ บางครั้งเราจึงไม่รู้ว่าเราได้คิด แต่แท้จริงแล้ว สติ ก็คือ การคิดรูปแบบหนึ่ง
ที่นี้ท่านทั้งหลายก็ลอง นั่งสมาธิ โดยไม่คิดอะไร การนั่งสมาธิ ก็คือการเอาใจจดจ่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือการเอาใจเข้าไปผูกอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แล้วท่านทั้งหลายลองทำความเข้าใจซิว่า ท่านทั้งหลายเอาใจจดจ่อฯ กับลมหายใจ (สมาธิ)
ท่านทั้งหลายจึงรู้ว่า ลมหายใจกำลังเคลื่อนที่ (สติ) เพราะ สติ ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว หมายถึง อดีต อย่างนี้เป็นต้น
อ่านช้าช้า แล้วพิจารณาโดยตัวเอง ให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้
สามารถนำหลักการและวิธีการที่ข้าพเจ้าสอนให้ นำไปเป็นหลักวิชาการ และเป็นหลักบรรทัดฐาน แห่งวิชาการด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องได้อีกมากมาย"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 136 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron