วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 16:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2009, 15:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังเรื่องศาสนาใหม่ที่คุณตรงประด็นแนะนำให้เข้าไปดู
มัน็ชวนคิดดีนะครับ

แต่ผมกลับคิดย้อนไปยังศาสนาเก่าที่ดับสิ้นไปแล้ว
การมีอยู่ ก็มีอยู่เพราะมีคนเชื่อ
ไม่มีอยู่ก็เพราะคนเชื่อหมดไป

ไม่ว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร สุดท้ายก็เป็นความเชื่อ
อาศัยศรัทธาในการยืนยันความเชื่อของตน
ไม่มีวิธีพิสูจน์ไม่ว่าในวิธีของรูป หรือวิธีของนาม


แต่ศาสนาพุทธเราไม่เกี่ยวกับความเชื่อ
มันเป็นเรื่องที่พระศาสดาของเราเป็นบรรณาธิการ รวบรวม เรียบเรียง สิ่งที่มีอยู่แล้วจริงๆในธรรมชาติ
มาอธิบายเป็นภาษาคนให้เราฟัง
จะมีคนเชื่อหรือไม่ มีมนุษย์หรือไม่ บรรดาสัจจธรรมนั้นมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เกิดขึ้นจริงกับหินทุกก้อน น้ำทุกหยด จิตทุกดวงไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์

ถ้านิยามคำว่าศาสนา หมายถึงแบบ ศาสนาอื่นๆทั้งหมด
ผมคิดว่าผมไม่อยากจะเรียกศาสนาพุทธว่าศาสนา
เพราะมันคนละ pattern กัน
คนละเรื่องกันเลยกับศาสนาอื่นๆ
แล้วก็ไม่ใช่ปรัชญาที่เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จ

พุทธน่าจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ปรัชญา หรือศาสนา

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2009, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆครับ คุณคามินธรรม สำหรับความรู้ แบบนี่แหละที่ผมต้องการแหละครับ

ว่าจะไม่พูดถึงศาสนาของผมแต่ก็ไม่ได้แล้ว แต่กับคุณนี้ต้องลากเข้ามาแล้ว เพราะว่าคุณยังเป็นคนมองด้านเดียว

และเรียนถึงคุณ ตรงประเด็น ด้วยนะครับ ว่าบอกไปอย่างชัดแจ้งแล้วหรือคุณไม่ได้อ่านคอมเม้นผมเองว่าผมนับถือศาสนาอะไร หรือว่าเป็นคุณไม่ยอมที่จะอ่านและจับใจความสิ่งที่ผมพิมพ์ไปตั้งมากตั้งมาย ถ้าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับตัวเองคุณจะไม่สนใจเลยเหรอ ส่วนเรื่องการนำวิทยาศาสตร์เข้าโพสต์ให้เห็นนั้น ผมว่ามันเหมือนการโฆษณาเลยครับ และสำหรับผม เรื่องพวกนี้ธรรมดามากครับ และเป็นการนำเสนอข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น

ผมจะลองวิเคราะห์คุณคามินธรรมให้ดูเพื่อที่ผมและคุณจะได้มีใครสักคนที่ตาสว่าง

- ส่วนคำว่าสัจธรรมนั้น คำนี้คนตีความกันไปต่างๆนาๆ
อย่างศาสนาคริสต์ เขากล่าวว่าตัวพระเจ้านั่นแหละคือความจริงอันสูงสุด
ซึ่งเป็นคนละนิยามกับคำว่าสัจธรรม(ความจริงอันสูงสุด-ปรมัตถ์ธรรม)ในศาสนาพุทธ


สัจธรรมที่พูดนี้นั้นผมก็ได้กล่าวไว้ในบอร์ดนี้แล้ว ว่าล้วนเกิดจากตรรกะหรือเหตุและผล ความเป็นจริง สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นทราบได้ ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเห็นของใครบางคนหรือเป็นอารมณ์หรือความรู้สึกที่เป็นสิ่งที่คนทั้งโลกเห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดขัดแย้ง หรือ ความจริงอันสูงสุดที่คุณพยายามกล่าวถึงนี้ แล้วมันอะไรความจริงอันสูงสุด สิ่งนี้แหละที่เปิดบอร์ดนี้ขึ้นมาครับเพื่อค้นหาคำตอบและรวบรวมแนวคิดทุกอย่างขึ้นมาวิเคราะห์ครับ

การทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบสมติฐานเพื่อหาเหตุผล และข้อพิสูจน์ที่จะยืนยันเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ต่างๆในธรรมชาติ ซึ่งบางสิ่งถ้าให้เราไปทดลองก็คงไม่มีความสามารถทำได้ เนื่องจากขาดเงิน หรือปัจจัยอื่นๆก็ตาม แต่ถ้าสามารถอธิบายและอ้างอิงถึงหลักตรรกะได้แล้วโดยมิใช้เพียงสมมติฐานอีกต่อไป ก็เรียกสิ่งนั้นว่าความจริง ซึ่งแน่นอนบางอย่างเป็นเรื่องที่คนธรรมดายากที่รู้หรือเข้าถึงความจริงข้อนี้ แต่ถ้าคนผู้นี้ต้องการที่จะรู้จริง ก็สามารถที่จะทำศึกษาทำความเข้าใจถึงหลักความจริงนี้ได้แน่ เช่น เป็นสิ่งที่แน่นอนเลยที่โลกนี้ไม่มีใครเกิดมาแล้ว ดิฟ หรืออินทีเกรตเป็น ถ้าอยู่ดีๆจะให้มานั่งดิฟแล้วได้ผลลัพท์เลยย่อมไม่มีทางเป็นไปได้แน่ และแน่นอนถ้าต้องการเข้าใจถึงหลักตรรกข้อนี้จริงๆ คือต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นพื้นฐานของการบวกลบเลข แล้วจึงค่อยต่อยอดไปสู่การคำนวณเชิงตรรกะชั้นสูงได้ และเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่คุณจะเริ่มต้นตั้งแต่การสร้างตัวเลขขึ้นมา คุณต้องอาศัยการอ้าวอิงที่มันมีอยู่ก่อนหน้านี้
Astroboy เขียน:
2. จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ

- คุณต้องตีความเสียก่อนว่า คำว่าถูกต้องของคุณคืออะไร

บางคนบอกว่าพระเจ้ามีจริง นั้นคือความถูกต้อง นั่นคือสัจธรรม

บางคนบอกว่าการฆ่าแพะแกะวัวในการสังเวยเทพของเขาเป็นความถูกต้อง
แต่บางศาสนาเช่นถือเป็นบาป

บางคนบอกว่า อะไรก็ตาม ถ้าจะเป็นความถูกต้อง
มันต้องตรวจวัดชั่งพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวทิยาศาสตร์
หากพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ เขาจะไม่ยอมรับว่าถูกต้อง
ทั้งๆที่เขาก็เป็นคนธรรมดาที่มีอารมณ์ความรู้สึก มีความรัก รู้ทั้งรู้ว่าความรักมีจริง
แต่ชั่งตวงวัดความรักไม่ได้ ไม่รู้ว่าความรักอยู่ตรงไหน หาเครื่องมืออะไรมาวัดก็ไม่ได้
เรียกว่าหาวิธีทางวิทยาศาสตร์มาวัดไม่ได้เลยว่าความรักมีจริงหรือไม่
แต่ก็จำยอมในการยอมรับความรักว่ามีอยู่จริง


นี่แหละ คำว่าความถูกต้อง
ความถูกต้อง เป็นผลผลิตของความคิด
ความคิด เป็นผลิตจากการปรุงข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่
ข้อมูลที่ตัวเองมีอยู่ก็คือสิ่งที่คนเรามีไม่เท่ากัน แล้วแต่ใครจะมีปัญญาอย่างไร มีประสบการณ์อย่างไร
มีอะไรในความทรงจำบ้าง
คำว่าความถูกต้องมันก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวเรามีขอบเขตการรับรู้แค่ไหนเพียงไร

อย่างถามมดว่าโลกกลมหรือแบน มันไม่มีทางตอบเราได้
เพราะมันไม่มีขอบเขตการรับรู้ขนาดนั้น

หรือเอาตัวอย่างที่เป็นจริงหน่อยนึง เช่น
ถามเด็กๆว่าความรู้สึกถึงจุดสุดยอดในการร่วมเพศเป็นอย่างไร
เด็กๆเขาไม่รู้หรอก หรือผู้ใหญ่บางคนยังไม่รู้เลย เพราะไม่เคย
นี่คือข้อมูลที่คนเรามีไม่เท่ากัน
ใครที่ไม่เคยร่วมเพศ ย่อมไม่มีทางจะอธิบายรสชาดนั้นว่าเป็นอย่างไร
ต่อให้เขาใช้ถ้อยคำที่มีทั้งหมดในโลกนี้ก็ตามที


ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าศาสนาพุทธถูกต้องอย่างไร
ก็ต้องเรียนรู้ว่าคำว่าความถูกต้องในศาสนาพุทธ คืออะไร
มีขอบเขตอย่างไร (ถ้ามีความเพียรอยากจะหาคำตอบจริงๆน่ะนะ)


ศาสนาพุทธนั้นไม่สอนให้เชื่อ แต่สอนให้ลงมือพิสูจน์จนเกิดประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง
ส่วนวิธีการพิสูจน์ เป้่าหมาย และการตรวจคำตอบนั้น ทรงชี้แจงไว้ให้หมดแล้ว

เหมือนสมุดตำราอาหารชนิดหนึ่งที่เราไม่รู้จัก
หนังสือเขาบอกเราหมดว่าต้องทำอย่างไร เช่น เกลือกี่ช้อน น้ำตาลกี่ช้อน เอาอะไรใส่ตอนไหน
ถ้าเราลงมือทำตามนั้น ในที่สุด เราก็จะได้รู้จักอาหารชนิดนั้นทั้งได้เห็น ทั้งได้กิน ได้ลิ้มรส
รับทราบอย่างถ่องแท้ไม่ผิดเพี้ยน

แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำ แต่ก็อาจจะเอาหนังสือมากางออก
แล้วพูดได้ว่า รสชาดดีอย่างนั้น หน้าตาอย่างนี้ ได้เป้นตุเป็นตะ
ซึ่งก็จัดว่าพูดไม่ผิด เพราะพูดตามหนังสือจึงไม่ผิด
แตว่ามันเป็นคนละ "รู้" กับแบบคนที่เขาลงมือทำเอง

กระบวนการศึกษาให้ค้นพบความจริงในพระพุทธศาสนามี 3 องค์ประกอบ
คือ ปริยัติ ก็คือการอ่านตำราทำกับข้าวเล่มนั้นนั่นแหละ
ปฏิบัติ คือลงมือทำตามนั้น
ปฏิเวธ คือความรู้ที่เกิดจากการทำตามแล้วในที่สุดประสบผลสำเร็จ
จึงได้กินอาหารจานนั้น จึงเข้าใจในรสชาตินั้นอย่างแจ่มแจ้ง
ที่ถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไร จึงเป้นเรื่องของคนถามว่า
พระพุทธเจ้าเขียนสุตรอาหารและวิิธีทำให้แล้ว ถ้าท่านอยากรู้จริง อยากพิสูจน์จริงๆ
ก็ต้องลองทำดู ให้เกิดประสบการณืตรงเอง (ปัตจัตตัง)

ไม่งั้นมันก้เป็นเพียงคนที่หาเรื่องถามสนองตันหาอยากรู้ไปอย่างนั้นเอง


ถ้าเกิดเราและเพื่อนๆของเราค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมคาร์บอน ทำตามขั้นตอนแบบที่คุณกล่าวไว้ทุกประการ จนในที่สุดเราก็ได้สรุปเรื่องราวของแบบจำลองอะตอมเรามารูปแบบหนึ่ง เพื่อนของเราคนอื่นๆได้แบบจำลองมาคนละแบบ เราเองพอใจในแบบจำลองอะตอมของเรามาก เราพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกก็น่าจะได้แบบจำลองอะตอมอย่างนี้ ซึ่งตามหลักตรรกะและความเป็นจริงแล้วแบบจำลองโครงสร้างอะตอมของคาร์บอนนั้น มีอยู่แบบเดียวเป็นแน่ เราจะทราบได้อย่างไรว่าแบบจำลองของใครถูกที่สุด ซึ่งต้องให้แต่ละคนใช้การอธิบายในเชิงตรรกะมาตรวจสอบถึงความสมเหตุสมผลว่าแบบจำลองของใครที่สมควรที่จะนำมาใช้ต่อไป เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่นำเอาหลักความจริงไปเปรียบเทียบกับรสชาดอาหารซึ่งตัวเองพึงพอใจมาตัดสินใจในความถูกต้องได้ หรือไม่คุณก็ไม่ต้องไปเรียน นั่งพิสูจน์สมการหาความจริงของธรรมชาติเอาเองที่บ้าน หรือไม่คุณก็ออกไปเรียนแล้วดูทฤษฎีต่างๆที่ผู้อื่นค้นคว้าค้นพบ และใช้เหตุผลพิจารณาถึงหลักความจริงที่อ้างอิงได้ ถ้าคุณเรียนสายวิทย์คุณน่าจะรู้ดี เพราะว่าความจริงในทางตรรกะกับความจริงในทางความรู้สึกของตนนั้นแตกต่างกัน ที่นี้คุณทราบหรือยังว่าความถูกต้องที่แท้จริงคืออะไร หาใช่เพียงสมมติฐานเลื่อนลอยที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์คนเดียวคนใดคนหนึ่งไม่




Astroboy เขียน:

3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง


- ไม่ต้องเชื่อ
เอาตำรามากางออก แล้วดุว่าเรื่องที่ศึกษานั้น ท่านกำลังสอนอะไร
ศึกษาให้เข้าใจ แล้วลงมือทำ สงสัยก้กลับมาตรวจสอบที่ตำรา
ถ้าทำผิด ผลลัพธ์ย่อมไม่ตรงกับที่ตำราบอก
ถ้าทำถูกแล้ว ก้จะมีผลลัพธ์ตรงกับตำรา
และเมื่อกลับมาอ่านตำราใหม่ จะมีความเข้าใจลึกซึ้งกว้างขวางขึ้นๆปอีก

ปัญหาของการนับถือศาสนาพุทธคือคนไม่กล้าพอสูจน์
เพราะความขี้เกียจ ไม่เอาจริง ถือดี ยึดถือทิฐิของตนเป้นใหญ่ สักแต่ๆจะอยากถามอยากอวดดีไปอย่างนั้นเอง เช่นพวกนักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย
พอเอานิิพานใส่ตราชั่ง วัดด้วยปรอทไม่ได้ก็ว่าศาสนาพุทธนี้เลอะเทอะ ไม่จริง

แต่พอเวลาพูดว่า i love you so much นี้ก็ไม่เข้าใจว่า
เอาเครื่องมือทางวทยาศาสตร์อะไรมาวัดว่า so much ได้ยังไง
ไม่เข้าใจจริงๆว่าคนพูด รู้หรือว่า Love มันอยู่ตรงไหน มีมวล/ปริมาตรหรือไม่
รู้ได้อย่างไรว่ามาก ว่าน้อย กินที่ กินเวลาหรือเปล่า

คุณควรทำการแยกให้ออกด้วยนะครับถึงศาสตร์และศิลป์
และคำว่าสมมติฐานและตรรกะ
และทำไมถึงบอกว่าคนไม่กล้าพิสูจน์ เพราะคนที่พิสูจน์แล้วก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะเหมือนที่บอก มีใครสักคนที่กล้ายืนยันในความเก่งและรู้ไปหมดทุกเรื่อง แม้แต่ศาสดาก็มีช่องโหว่ เช่นเดียวกับคุณที่มองด้านเดียวไม่ยอมมองด้านอื่นอีกเสมอไป ทำไมถึงพูดเช่นนั้น ดูผมวิจารณ์ต่อไป



Astroboy เขียน:
3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา

- คนธรรมดา แต่มีปัญญายิ่งกว่าอัจฉริยะ
- ทำไมคิดเช่นนั้น ? ก็ให้ลองไปศึกษาปรัชญาดูก่อน เอาให้จบเอกเลยก็ได้
จากนั้นมาดูพระไตรปิฏก โดยตัดเอาเรื่องที่เหนือเหตุผลออกไปให้หมด เอาแต่เรื่องที่เป็นระบบของปรัชญา
คุณจะพบว่าพระพุทธเจ้าในฐานะคนธรรมดานั้น มีตรรกขั้นเลิศที่สุดที่ผมยังไม่เคยคิดว่าจะมีใครมีตรรกะได้ไร้ที่ติไปกว่าท่าน

นอกไปจากนั้น ผลผลิตทางความคิดทุกๆอย่างของท่าน ยังคงใช้ได้ เป็ฯจริง ไม่มีการล้าสมัยเหมือนผลผลิตของนักปรัชญาคนอื่นที่มีการล้าสมัย
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนถามว่าอะไรคือหัวใจของความสำเร็จ

ลองเดินเข้าไปในร้านหนังสือทั่วโลก แล้วขอให้คุณหยิบออกมาสักเล่มหนึ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุด
คุณกล้าบอกไหมว่าหนังสือเล่มนั้น คือหนังสือที่จริงที่สุด
สำหรับผม ผมก้ชอบหาเหมือนกัน หนังสือประเภทนี้
แต่ผมไม่เคบพบเลยว่ามีหนังสือไหนใช้ได้จริงกับทุกอาชีพ ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา
บ้างก้เป้นความสำเร็จในวัฒนธรรมของเขา บ้างก้มีเงื่อนไขเฉพาะตัว บ้างก้เป็นคนมีพื้นฐานดี โชคดี
ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก เหมือนคนเขาพูดกันว่า เก่ง ต้องบวก เฮง ด้วย
สำหรับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทั้งเก่ง ไม่ใช่ทั้งเฮง


พระพุทธเจ้าตอบเรื่องนี้ไว้ได้อย่างกระทัดรัด สั้น เรียกว่า อิทธิบาท 4
1. สิ่งที่จะทำนั้น ต้องเป้นสิ่งที่เรารัก
2. พยามในสิ่งนั้น - เมื่อเรารักแล้ว ต้องลงมือพยามในสิ่งนั้น
3. มีใจจดจ่อแน่วแน่ - และเพราะเรารัก เราพยาม และยิ่งพยามเท่าไหร่ เราก็ไม่สามารถจะเอาใจออกห่างจากมันได้เลย
4. ทำความเห็นให้ตรง - และเพราะเรารัก เราำยามทำ อย่างไม่ลดละ เราก้ต้องทำอย่างมีปัญญาด้วย
คือหมั่นตรวจสอบความเห้นของตนให้ตรงกับวิชาความรู้
ไม่งั้นจะเป้นมวยวัด นึกว่าจะชกก็ชกไป ไม่มีวิชา สุดท้ายชกลมหมดแรงตายไปก่อน

และถ้ามองให้ลึกซึ้ง อิทบาท 4 นี้เป็นวัฏจักร
เหมือนทำกับข้าว มีใจรัก เลยพยามทำ แต่พลาด ก็ต้องกลับไปดูตำรา
กลับมาทำใหม่ จนทำได้ ทำได้ก็ยิ่งรัก ยิ่งพยามขึ้นไป ยิ่งแน่วแน่ขึ้นไป ยิ่ง advance ขึ้นไปอีก
ก้ต้องหมั่นทำความเห็นให้ตรงตามระดับตำราที่มันซับซ้อนขึ้นไปอีก
เรียกว่าวงล้อนี้มันเป้นเหตุเป้นผลกัน
ไม่มีใครในโลกนี้ ประสบความสำเร็จโดยปราศจากปัจจัยทั้ง 4 อย่างนี้

ในทางพุทธ อิทธิบาทเป้นเรื่องที่มีระดับความลึกซึ้งตั้งแตจ่ ขั้นหยาบๆ คร่าวๆ อย่างที่อธิบายไป
ไปจนถึงเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุดที่พูดเป้นภาษาคนไม่ได้
รวมถึงเป็นเรื่องของศีลธรรมด้วย
การที่โจรมันเก่งกาจในการโจรกรรม มันก็เป้นผลที่อธิบายได้ด้วยอิทธิบาทเหมือนกัน แต่ของไม่พูดลงละเอียดไปกว่านี้

ยังมีหลักธรรมอื่นๆอีกมาก ที่มีลักษณะเดียวกันนี้
ซึ่งผมยังไม่เห็นนักปรัชญาคนไหนมีปัญญาจนสามารถคิดอะไรแล้วไม่ล้าสมัย

ในทางปรัชญา เขามีศัพท์เรียกพระพุทธเจ้าว่า อภิมนุษย์

นักปรัชญาจะชอบศึกษาศาสนาพุทธจากท่านพุทธทาส
ท่านถนัดในการถ่ายทอดให้กับคนที่มีจริตด้านนี้ ลองศึกษาดู ถ้าอยากรู้จริงๆน่ะนะ
เห็นมีแต่คนชอบท้าศาสนาพุทธ แต่พอให้ลองแล้วก็ขี้เกียจกันทั้งนั้น
ผมรู้พอสมควร ผมยังขี้เกียจเลยนะ
ศาสนาพุทธไม่ใช่ยากอะไรจนเกินปัญญามนุษย์
แต่อาศัยว่าต้องมีความสม่ำเสมอ ในทิศทางที่ตรงประเด็น

ไม่จำเป็นหรอกที่จะต้องศึกษาปรัชญาให้จบเอก เพราะสำหรับผมปรัชญามันไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย ผมมองมันไม่ต่างอะไรกับถ้อยคำสวยๆที่เอาไว้ใช้ในการดำเนินชีวิตเท่านั้น สำคัญที่สุดคือคำว่าสัจธรรมที่นิยามไว้ ณ บอร์ดนี้ และความจริงเท่านั้น จากข้อความที่คุณอ้างถึงข้างบน
แต่ผมไม่เคบพบเลยว่ามีหนังสือไหนใช้ได้จริงกับทุกอาชีพ ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา
บ้างก้เป้นความสำเร็จในวัฒนธรรมของเขา บ้างก้มีเงื่อนไขเฉพาะตัว บ้างก้เป็นคนมีพื้นฐานดี โชคดี
ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก เหมือนคนเขาพูดกันว่า เก่ง ต้องบวก เฮง ด้วยนั้น

ผมขอบอกคุณตามตรงครับว่าคุณเองช่างโลกแคบจริงๆครับ เพราะที่บอกว่าคุณกล้าบอกไหมว่าหนังสือเล่มนั้นดีที่สุดหนังสือเล่มนั้นดีที่สุด จะเล่าให้ฟังคร่าวๆถึงสรรพคุณของหนังสือเล่มนี้แล้วมาดูด้วยตาคุณเอง
เคยสังเกตไหมว่าทำไมกินเนสท์บุ๊ค ถึงไม่เคยลงว่าหนังสือที่คนอ่านกันและมีอัตราการอ่านมากที่สุดในโลกคือหนังสืออะไร ทั้งนี้ข้อมูลพวกนี้น่าจะมีอยู่ในกินเนสท์บุ๊ค และเพราะว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของชาวมุสลิม และก็รู้อยู่ว่ากินเนสท์บุคเป็นของใคร
หนังสือเล่มนี้มีอายุกว่า 14 ศตวรรษแล้ว แต่ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในแม้แต่ 1 ตัวอักษร ไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดบนโลกถ้าคุณหยิบยกขึ้นมาคุณก็จะเจอว่ามันคือหนังสือเล่มนี้เล่มเดียว อาจมีต่างกันเพียงแค่คำนำสำนักพิมพ์ หรือรูปแบบของรูปเล่มเท่านั้น
ข้อความภายในหนังสือเล่มนั้นสำหรับผมแล้วมากกว่าปรัชญา มากกว่าคุณค่าทางภาษา มีหลักตรรกะและหลักวิทยาศาสตร์มากมาย และความจริงอันมากมาย เป็นหนังสือที่ คนมุสลิมนั้น อ่านแล้วอ่านอีก จะเป็นร้อยหรือเป็นพันรอบ จะจำได้ หรือวิเคราะห์มามากมายก็ยังยอมรับว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ มีองค์กรณ์มากมายถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์สิ่งนี้โดยเฉพาะ พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีกแต่ก็ยังหาความขัดแย้งที่ขัดกับหลักตรรกะและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษ 20 ตัวอย่างเช่นบอกถึงการบังเกิดชีวิตไว้อย่างที่วงการวิทยาศาสตร์ตกตะลึง สภาพการอยู่ในครรภ์มารดาตั้งแต่การปฏิสณธิถึงหลังคลอด ทั้งๆที่ข้อมูลนี้อายุนานกว่า 14 ศตวรรษแล้ว มีหนังสือที่ไหนที่กล้ายืนยันข้อมูลของอนาคตในทางด้านตรรกะ ที่คุณบอกว่ายังไม่พบปราชญ์คนใดที่มีสติปัญญาจนคิดอะไรไม่ล้าสมัย ผมถึงบอกไงว่าคุณเองก็โลกแคบที่ไม่เคยรู้จักหนังสือเล่มนี้ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ยืนยัน คุณจะเชื่อหรือไม่บอกแล้วว่าต้องลองเห็นด้วยตาเหมือนที่คุณบอกให้ผมไปดูคัมภีร์ของคุณ ซึ่งเดี๋ยวผมจะวิเคราะห์ช่องโหว่ให้ฟัง และไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนสู่ศาสนา เพราะคุณเองก็รู้อยู่ว่า เคยไหมที่จะมีมุสลิมออกมาเชิญชวนดังเช่นคริสเตียน เพราะอะไร ?



Astroboy เขียน:
3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่

- ในคำถามของคุณ ก็ตอบคำถามไปเรียบร้อยแล้ว
มันคือค่านิยมของสังคมหนึ่งๆ ณ เวลาหนึ่งๆ ที่เห็นว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี

Astroboy เขียน:
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง

ในทางพุทธเราสอนว่า ดีแท้ๆ ชั่วแท้ๆ ไม่มีจริง ไม่เที่ยง ปรวนแปร บังคับไม่ได้

ความดี หรือ ความชั่ว ที่แสดงออกกัน ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจิตใจ
ล้วนแล้วแต่เป้นผลลิตของจิตใจที่ปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ
วัถุดิบในการปรุงก็มี ... ค่านิยม จริต ความเชื่อ ข้อมุลในความทรงจำ ความเห็น ฯลฯ

พุทธเรามองว่า บุญบาปเป้นสังขตพูดกันไปตรงๆเลยว่า
บุญ บาป มาจากไหน ใครกำหนด
ธรรม แปลว่ามีธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง
แปลอีกที บุญ บาป เกิดจากการปรุงแต่ง ผู้ปรุงแต่งคือจิตใจ
ส่วนเรื่องการแสดงออกเป้นรูปแบบทางกาย ทางคำพูด ล้วนมีจิตใจที่ปรุงแต่งเป็นต้นกำเนิด
ใจเป็นนาย กายเป้นบ่าว

เป้าหมายสูงสุดของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ทำบุญมากๆ
เป้าหมายของเราคือหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร
การจะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร จิตใจต้องปราศจากการปรุงแต่ง
ไม่มีทั้งดี ไม่มีทั้งชั่ว ไม่ใช่ทั้งสงบ
แต่เป็นจิตใจที่ว่างเปล่า ทำให้ตัดวงจรการเกิด ภพ ชาติ

เรื่องที่กำลังพูด คือสรุปอย่างกว้างของ นิพพาน ปฏิจจสมุปบาท ระบบการเวียนว่ายตายเกิด
และเรื่องบาปบุญ ซึ่งแต่ละเรื่องเป้นเรื่องหลักๆของศาสนาทัง้นั้น
ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันง่ายๆ ผมเองก็ตอบไปตามความเข้าใจตามตำรา
ถ้าอยากรู้จริง ต้องลงมือเอง แล้วจะสิ้นสงสัย

นั้นแหละครับอ้างอิงตำราของคุณที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครตายแล้วลุกขึ้นมาบอกว่าเจออะไร
เป้าหมายของเราคือหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร

การจะหลุดพ้นจากวัฏฏะสงสาร ก็ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าจะหลุดพ้นได้จริงหรือไม่ ถ้าอยากรู้ต้องลงมือเอง คงไม่มีใครอยากรู้ความจริงจนวันตายแล้วถึงจะรู้หรอกครับ หรือต้องรอให้มนุษย์ทุกคนตายก่อนถึงจะรู้ความจริง เพราะทุกวันนี้กล้ายืนยันไหนว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไป เพียงแต่เชื่อในสิ่งที่มีคนบอกว่าไปมาแล้วกระนั้นหรือ สิ่งที่ผมต้องการบอกคือปรัชญาที่สวยงามแต่ไร้ข้อพิสูจน์ที่เลื่อนลอย ก็ไม่ต่างอะไรที่เรากำลังลอยคอในมหาสมุทรเลยครับ

Astroboy เขียน:
ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง


ลองนึกถึงเสือ สิงห์ กระทิง แรด และพวกสัตว์ป่า
พวกนี้ก้เกิดมาไม่รู้ดีรู้ชั่วเหมือนกัน อยู่ในโลกแบบไม่รู้ดีรู้ชั่วเหมือนกัน
ผลลัพะ์ที่เกิด ก็เป็นอย่างที่เราเห็นๆ

เพราะคุณไม่เคยรู้ถึงคุณค่ามหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ที่ปัจจุบันยังหาสิ่งมีชีวิตเข้าใกล้ไม่ได้เลย
และเพราะคุณไม่เคยนึกสิ่งที่คุณเห็นอยู่เมื่อเวลามันไม่มี


ที่ถามว่า เกิดมาคนเดียวในโลกจะเป็นยังไง
ก้ต้องตอบว่าเป้นไปไม่ได้
ถ้ามีเรา เราต้องมีที่มา ไม่มีอะไรม่มีที่มา ศาสนาพุทะบอกว่า เพราะมีเหตุ จึงมีผล
ในอริยสัจ การที่มีทุกข์ เพราะมีสมุทัย ดับสมุทัย (เหตุของทุกข์) .. ทุกข์จึงดับ
หมายถึงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีขึ้นได้ เพราะมีเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเกิดมาเดี่ยวๆโดยไม่มีรากเหง้าที่มา
ศาสนาพุทธไม่มีที่ว่างสำหรับความบังเอิญ หรือการสมมุติที่ไม่มีทางจริง

จำคำพูดนี้ไว้นะครับ ถ้ามีเรา เราต้องมีที่มา ไม่มีอะไรไม่มีที่มา ศาสนาพุทะบอกว่า เพราะมีเหตุ จึงมีผล
นี่แหละจะทำให้คุณทราบถึงความจริงสูงสุด และความขัดแย้งอย่างรุนแรงในศาสนาของคุณ ดูต่อไปครับ



Astroboy เขียน:
ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน

- กลับไปเรื่องค่านิยม คล้ายๆกฏหมายนั่นแหละ
เพราะโดยข้อเท็จจริง สมัยศาสนาพุทธยังมีพระพุทธเจ้าอยู่นั้น ไม่มีพระพุทธรูป
ไม่มีวัดด้วยซ้ำไป สีเหลืองก็ไม่ใช่เหลืองแบบนี้ สิ่งเหล่านี้คืิอพัฒนาการ
เกิดจากการปรุงแต่งของคนที่นับถือศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธที่เป้นตัวหัวใจแท้ๆนั้น
อยู่ที่สัจจะธรรมที่ปรากฏขึ้นในขอบเขต 1จิต เท่านั้น

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับ ข้อความที่มีผู้บอกว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี จนทุกวันนี้คนส่วนมากมีศาสนาไว้เพียงแค่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งไม่เคยเข้าใจถึงความจริงของศาสนาและของโลกอันแท้จริงไม่

Astroboy เขียน:
ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

- ทำไมคุณไม่ปล้นธนาคารครับ ทำไม่คุฯไม่ทำตัวเหลวแหลก ทำไมม่ทำตัวให้มันมีความสุขสุดๆสนองตันหาตัวเอง
ก็เพราะเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไงครับ
เรามีคนที่เรารัก เช่นพ่อแม่ หรือคนรัก
เรานึกถึงเขา เราเลยไม่ทำ

เหตุผลก็ดังเช่นข้างบน และก็เหมือนที่บอกจริงๆแหละครับที่เกิดจาการที่คนในสังคมกำหนดให้มีการยึดเหนี่ยวจิตใจขึ้นมาเองเพื่อ ผมจึงตั้งคำถามว่าแล้วถ้าอยู่คนเดียวบนโลกนี้ล่ะ

มีแม่ค้าหาบเร่คนหนึ่ง ไม่มีอะไรเลย ยากจน ได้เงินนิดหน่อยก็ไปซื้อคานหาบมาค้าขาย
เปลี่ยนหาบไปเท่าไหร่ คานก็ยังอันเดิม เป้นคานคู่ทุกคู่ยาก
ต่อมาเจริญรุ่งเรืองจนร่ำรวย ไม่ต้องใช้คาบหาบ
แต่แม่ค้ารู้สึกมีความรักผูกพันธ์กับคาบหาบนี้มาก จึงเอาไปปิดทอง แล้วขึ้นหิ้งบูชาเอาไว้
นี่คือตัวอย่างของคนที่มีจิตใจอ่อนโยน รู้จักการมองคุณค่า ไม่ถือดี ถือตัว ว่านี้ไม้ธรรมดา
และในขณะเดียวคน คนเหล่านี้คือคนธรรมดาๆ ที่ยึดถือรูปร่างวัตถุต่างๆไปตามแต่ค่านิยมของตน
ย้ำอีกครั้งว่าคนธรรมดา
แต่ก็มีคนธรรมดาอีกประเภทหนึ่ง ที่เขาไม่เห็นคุณค่า
ที่ไม่เห็นคุณค่าเพราะมีสิ่งอื่นที่สมควรจะเห็นคุณค่ามากกว่าครับ

และแปลกนะ ชีวิตก็ไม่มี สมองก็ไม่มี ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ แต่เรามีสมองกลับไม่ใช้หาเหตุผล ทั้งๆที่ศาสนานี้ส่งเสริมให้ใช้เหตุผลแท้ๆ ยอมไปกราบไหว้สิ่งที่มันไม่มีสมอง ช่วยตัวเองไม่ได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งการยึดเหนี่ยวจิตใจ แล้วที่พยายามจะพูดว่าเป็นศาสนาที่เน้นเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ให้ลองทำด้วยตัวเอง อธิบายตรงนี้ด้วยครับ


พระอรหันต์ผู้ใด้ฝึกจิตจนถึงขั้นสูงสุดของแก่นของศาสนา ท่านก็ไม่ยึดถือเหมือนกัน
ไม่ยึดถือเหมือนคนประเภทหลังนั่นแหละ แต่คนละเกรดกัน
คนประเภทหลัง เขาไม่ยึดถือเพราะทิฐิ เขาไม่เห็นค่าราคาของไม่คานหาบ
ไม่ยึดถือเพราะยึดแล้วรู้สุกทนไม่ได้ ไม่สบายใจ ไม่แลาด ไม่ถูกจริตความเชื่อ

แต่พออะไรที่ถูกทิฐิของตนก้ยึดถือขึ้นมา
ต้องมีสิ คนประเภทหลังนี้ มีเรื่อให้ยึดถือเยอะกว่าคนประเภทแรกเสียด้วยซ้ำไป
แล้วเวลายึดถือ ก้จะยึดตอกเสาเข็มลงไปเลยที่เดียว ใครจะมาสั่นคลอนนั้นยาก
คนประเภทหลังส่วนใหญ่เป็นปัญญาชน มีจริตใฝ่รู้ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ
คนประเภทแรกเป้นพวกความรู้น้อย แต่มีศรัทธามา ไม่ค่อยลังเลสงสัย
พิจารณาถึงทิฐิของตัวเองด้วยเช่นกันครับ คนประเภทหลังส่วนใหญ่เป็นปัญญาชน มีจริตใฝ่รู้ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ศาสนาคุณก็สอนสิ่งนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

คนประเภทหลังก็คือประเภทแรกนั่นแหละ
กล่าวคือคนธรรมดา ที่ยึดถือนั่น ไม่ยึดถือนี่ ไปตามความคิดปรุงแต่งของตัวเอง

แต่เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หรือพระอรหันต์เป็นผู้สำเร้จแล้วนั้น
ท่านไม่ยึดถืออะไรเลย ทั้งดี ทัง้ชั่ว ทั้งสุข ทั้งทุกข์
เรียกว่าไม่ยึดถือไปหมดทุกอย่าง ที่สำคํญคือ
- ไม่มีความรู้สึกว่าทุกข์จากการยึดถือหรือไม่ยึดถืออะไร
- ไม่มีความรู้สึกว่าสุข จากการยึดถือหรือไม่ยึดถืออะไร

เพราะอย่างนั้นคนพวกนี้จึงไม่คิดที่จะหาคำตอบและจะไม่มีวันตอบคำถามได้ ว่าเกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นความเชื่อทั้งนั้นที่เล่าต่อกันมาทั้งนั้น

Astroboy เขียน:
หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้

- สวรรค์นรก เป้นเรื่องของคนตายใช่หรือไม่
ลองตายดูซะก่อน แล้วจะรู้เองว่ามีหรือไม่มี

ก็อย่างนี้ไงผมถึงไม่ยอมตายจนกว่าจะได้รู้ว่า นรกสวรรค์นั้นมีจริงหรือไม่ เพียงกับแค่คำพูดของคนที่อ้างตัวว่าเคยไปมาแล้ว และนำมายึดถือเป็นความเชื่อซึ่งไร้ซึ่งเหตุผล

Astroboy เขียน:
แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต

- ไม่ใช่ให้เชื่อ ขอขีดเส้นใต้สิบเส้นตรงคำว่า ไม่ใช่ให้เชื่อ
ศาสนาพุทธไม่ได้ให้เชื่อ
ความเชื่อเป็นเรื่องของคนโง่ และขี้เกียจ
ที่อุตส่าหืมี 32 ประการเท่าพระพุทธเจ้า แต่งอมืองอเท้าไม่ยอมพิสูจนืรู้เอง

ขี้เกียจเพราะพระพุทธเจ้าอุตส่าหืเขียนบอกไว้หมดว่าต้องยืนอย่างไร เดินอย่างไร
บอกไว้หมดทั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีปฏิบัติ วิธีตรวจคำตอบ
แต่คนที่อยากรู้ก็คอยแต่จะแสวงหาความเชื่อ ไม่แสวงหาความรู้
คอยแต่จะหาความน่าเชื่อถือ แล้วเอาชีวิตไปฝากไว้กับความเชื่อ
เอาชีวิตไปฝากไว้กับทิฐิของคนอื่นๆที่ตัวเองเห้นว่าดี ว่าน่าจะใช่ ว่าน่าจะถูกต้อง
แล้วก้คอยสงสัยอยู่ร่ำไปว่าสิ่งที่เชื่อนั้นถูกต้องเป้นจริงหรือเปล่า

ตราบใดที่ยังแสวงหาความรู้แบบอาศัยความน่าจะเชื่อถือได้
ก็เหมือนอาศัยคนอื่นหายใจ ทัง้ๆที่ตัวเองมีจมูกเหมือนเขา
ถ้าเขาหลงผิด มันก็เหมือนเตี้ยอุ้มค่อม ถ้าเตี้ยหลงผิดเดินลงเหว ค่อมก็เลยพลอยลงเหวไปกับเตี้ยด้วย
คุณที่อาศัยว่ารุ้ด้วยความเชื่อ เป็นคนที่โง่หรือฉลาด

ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่ต้องไปเรียนหนังสือ แล้วก็นั่งคิดตัวเลขสร้างสูตรคูณเอาเองที่บ้าน เพราะบางทีเราจะเรียกว่าความเชื่อนั้นก็อาจจะไม่ได้ เพราะว่ามันจากตรรกะหรือเหตุผลที่เราไม่ต้องลงมือไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเช่นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกผู้อื่นนำไปต่อยอดโดยไม่ต้องนำมาค้นหาเอาเอง

Astroboy เขียน:

และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ


- มีคนสองคน คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว ไม่ถึงที่
อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน

สองคนนี้ รู้สิ่งที่รียกว่า ความจริง เหมือนๆกัน คือรู้ว่ามีหอไอเฟลจริง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้อย่างนั้น

อีกคนหนึ่ง บ้านป่าเมื่องเถื่อน เป้นชาวเขา ไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา
มีคนมาเล่าให้ฟังมามีตึกทำจากเหล็กสูงระฟ้าอย่างนี้อย่างนั้น

คนสามประเภทนี้คือ
1. คนที่เคยไปพอไอเฟลคือ พระอรหันต์ รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง
2. คนที่ดูทีวีสารคดีและสื่ออยู่บ้าน ที่รู้ว่าหอไอเฟลมีจริง คือพวกที่ กำลังศักษาศาสนาพุทธ ผู้ศึกษาธรรมขั้นปริยัติ และปฏิบัติ แต่ยังไม่ถึงปฏิเวธ (ทำยังไม่สำเร็จ)
3. คนที่สามคือ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ศึกษาอะไรเลย ได้แต่คอยคาดเดาเอาจากที่ได้ยินได้ฟัง
และเพราะตึกแบบนี้ มันไม่เคยมีใน vision ของเขามาก่อน เขาก้เลยสงสัยว่าจริงหรือไม่
โกหกหรือเปล่า

หอไอเฟลนั้นเป็นรูปธรรมมีตัวตนอยู่จริง ถ้าคนแรกเห็นหอไอเฟลเมื่อ คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว และคนที่สอง อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน และคนที่สามไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา แต่ถ้าคนที่สองหรือคนที่สามมีโอกาสได้ไปยืนบนหอไอเฟลเช่นเดียวกับคนที่หนึ่งแล้ว แน่นอนตามหลักตรรกะเขาต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่คนที่หนึ่งได้มีโอกาสไปยืนมาเช่นเดียวกัน
แต่แน่นอนในเรื่องของการบรรลุธรรมนั้นเป็นความรู้สึก ความนึกคิดที่อยู่ในใจของตัวเองซึ่งเป็นเพียงนามธรรม ซึ่งแน่นอนที่เดียวไม่มีโอกาสที่จะให้คนที่สองหรือคนที่สามมีความเข้าใจในความคิดของคนที่ 1 ได้โดยถ่องแท้อาจจะมีความรู้สึกที่เป็นไปตามคำอุปทานที่ตัวเองยกให้คล้ายกัน แต่ในหลักตรรกะนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นได้

เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ไร้เหตุผลสิ้นดี



ถ้าอยากรู้จริง ต้องปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ

แต่สำหรับคนที่ศึกษามาถึงระดับหนึ่ง นรกหรือสวรรค์มันก็เป็นแค่เรื่องมีสาระ แต่ไม่ใช่สรณะ
เหมือนขับรถไปยังเป้าหมายอันหนึ่ง แต่นรกสวรรค์มันเป็นเรื่องข้างทางที่เราต้องขับผ่านไป
คนที่ผ่านไปแล้วก้รู้สึกว่าถ้าเอาไปพูดกับคนที่ไม่ได้มาด้วย
จะพูดยังไง คิดแล้วก็เหนื่อย พูดไปก็ได้แค่พูด
เหมือนไปหอไอเฟลนั่นแหละ อธิบายบรรยากาศติ้นลึกหนาบาง เย็นร้อนสุงต่ำอย่างไร
คนที่เขาไม่ได้ไปเห็นด้วยเขาก็ไม่มีทางจะรู้สึกแบบเราที่ไปเจอมากับตัวเอง
พูดแล้วเหนื่อยคนพูด

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อธิบายไปแล้ว
ส่วนเรื่องนรกสวรรค์นั้นถ้าจะอ้างถึงคนที่ไปมาแล้ว แน่นอนว่าต้องเห็นภาพเป็นสิ่งที่ตรงกัน
หรือไม่ก็ไม่เคยรู้จักศาสนานี้มาก่อนแต่ทำการฝึกสมาธิก็อาจจะเห็นสวรรค์ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นสวรรค์ของจริงที่ไม่ได้ถูกเล่าเรื่องเอาไว้ก่อนแล้ว จะต้องเห็นรูปร่างของสวรรค์ที่เหมือนกันอย่างแน่นอน และเพราะว่าคุณเคยมีผู้สร้างภาพให้เคยเห็นนรกสวรรค์มาแล้วก่อนหน้า การอุปมาหน้าตาของนรกสวรรค์ เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เกิดจากอุปทานหมู่ และพยายามแยกแยะรูปธรรมและนามธรรม ออกจากกันไว้ด้วย


บรรดาพระอริยะทั้งหลายถึงไม่พยามจะอธิบายว่ามันเป็นอย่างไร
ได้แต่บอกว่ามีจริงสิ หอไอเฟลมีจริง อย่าประมาทนะ ละความชั่ว ทำความดี ทำใจให้สะอาด

บางท่านก้สอนว่า จริงไม่จริงช่างมัน
อย่าประมาทในความดีความชั่ว ทำดี ละชั่ว ทำให้สะอาด
ถ้าไม่จริง บรรดาความดีที่ทำมานั้นก็ไม่เสียเปล่าหรอก

เป็นไปได้ไหมที่เกิดจากการที่เห็นไม่ตรงกันจึงไม่พยายามที่จะอธิบาย

ส่วนที่ถามว่าอุปาทานหรือเปล่า
ผมจะบอกว่า ในทางกลับกัน สิง่ที่เป็นของจริง ตรงหน้าคุณนั้นแหละอุปาทาน
เช่น ตัวคุณ ชื่อคุณ ที่เห็นว่าเป้นตัวเรา ของเรา ชื่อเรา ชีวิตเรานั้น เป้นอุปาทานทั้งสิ้น
คำว่าอุปาทาน ในความหมายแบบลึกซึ้ง มันลึกซึ้งจริงๆ คิดๆเอาไม่ได้
ถึงบอกว่าให้ศึกษา แล้วลองลงมือทำจนเห็นจริงเอาเอง

อุปทานในที่นี้ผมพยายามสื่อความหมายไปในทางที่ จิตใจส่วนลึกสร้างภาพมันขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการในสิ่งที่ตนอยากให้เป็น หรืออาจอุบัติเองตามกระแสของสังคมรอบข้างและเป็นไปได้ยากที่จะควบคุมมัน เรื่องนี้ในทางจิตวิทยารู้จักกันดี เช่น คนที่กลัวผีมาก และจิตใจส่วนลึกมันจะสร้างภาพที่อุบัติขึ้นมาเอง
Astroboy เขียน:

3.3 ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ

- โปรดยกตัวอย่างว่ามีสิ่งใดบ้าง ไม่เกิด ไม่ดับ?
สิ่งใดบ้าง มีแต่เกิดอย่างเดียว?
สิ่งใดบ้าง มีแต่ดับอย่างเดียว?

แสดงว่าคุณไม่ได้อ่านคอมเมนต์อื่นๆที่ผมพิมพ์ลงไปเลย
วิทยาศาสตร์นั้นก้าวไกล สามารถพิสูจน์อะไรที่มีอยู่ในธรรมชาติได้มากมายถึงระดับอะตอมที่ขนาดเล็กมากๆ ได้ข้อสรุปที่มาจากเหตุผลมากมาย เช่นกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสสาร ถึงแม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปขนาดไหนก็ตาม แต่ปริมาณของมวลสารนั้นยังคงเดิมไม่หายไปไหน เช่นร่างกายของมนุษย์ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือโปรตีน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ C,H,O ต่างๆมายมาย แต่เมื่อคนตายไปแล้ว ซากศพนั้นเกิดการย่อยสลาย โปรตีนที่เกิดจากการรวมตัวกันของอะตอมธาตุต่างๆนั้นก็ได้เปลี่ยนแปลงกลายไปเป็นสารการประกอบอย่างอื่นแทน โดยปริมาณมวลของสสารที่เกิดจากโปรตีนนั้นยังคงอยู่มิได้หายไปไหนทั้งสิ้น
และสสารพวกนี้นั้นมีได้อย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้หายไปได้ไหม
และต่อมาวิทยาศาสตร์ก้าวไกลสามารถศึกษาได้ลึกซึ้งถึงขนาดฟิสิกส์นิวเคลียส ได้ข้อสรุปเชิงเหตุผล มากมาย ต้นตอของสสารที่แท้จริงเป็นพลังงาน อย่างเช่นมวลสารที่หายไปจากการรวมตัวกันอะตอมธาตุต่างๆนั้นกลายไปเป็นพลังงานยึดเหนี่ยว ตามทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ E =mc2 พลังงานเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน ทำให้หายไปได้ไหม มันมีแหล่งพลังงานอยู่ ณ ที่ใด เป็นไปตามกฎอนุรักษ์พลังงานหรือไม่
แล้วทุกวันนี้วันนี้คุณทำให้อะไรหายไปจากจักรวาลนี้ได้บ้าง
โปรดเข้าใจความหมายของคำว่าอุบัติขึ้นมาเองด้วยนะครับ
จะให้ดูว่าทำไมมันถึงขัดแย้งกับหลักคำสอนของคุณ

จำคำพูดนี้ได้ไหม
ถ้ามีเรา เราต้องมีที่มา ไม่มีอะไรม่มีที่มา ศาสนาพุทะบอกว่า เพราะมีเหตุ จึงมีผล
ขอทราบเหตุที่ทำให้เกิด เหตุที่ทำให้อุบัติ ขอทราบเหตุที่ทำให้เปลี่ยนแปลง ขอทราบเหตุที่ทำให้เกิดจิต
เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาติก่อนหน้านี้เราทำอะไรไว้ แล้วชาติแรกเราเป็นอะไร
เป็นจิตใช่ไหม นั่นแหละขอทราบเหตุที่ทำให้เกิดจิต



Astroboy เขียน:
3.3.1 พืชที่งอกเงยจากพื้นดินนั้น เกิดจากการนำแร่ธาตุในดินมาสร้างส่วนประกอบของลำต้น แต่เมื่อมันดับมันก็ต้องย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุในดินเหมือนเดิม

- คุณใช้คำว่าพืช ความเป็นพืชมันดับตั้งแต่ความเป็นชีวตินทรีย์ของมันดับลง
การย่อยสลายนั้นเป้นการย่อยสลายของซากพืช
เมื่อซากพืชย่อยสลาย มันก็เป็นเรื่องของสารประกอบอินทรีย์ที่จะรวมตัวกันใหม่ไปตามเหตุและปัจจัย

ถ้าเอาหลักการคิดแบบคุณผู้ถาม ผมต้องเรียกอวัยวะผมหลายส่วนว่าพืช

พุทธเรามีสิง่ที่เรียกว่ารูป กับ นาม
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องรุปกับนาม ความคิดมันจะสับสนแบบนี้ไม่จบไม่สิ้น

คำอธิบายอยู่ด้านบนอ่านมันหลายๆรอบนะครับ เรื่องทุกสิ่งมีเกิดย่อมมีดับ เหตุและปัจจัยคืออะไร
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อะไรทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะ
ผมได้อธิบายในคอมเม้นต์อื่นๆไปหลายร้อยรอบแล้วครับ เรื่อง สสาร เรื่องอำนาจก็ก็ดี


Astroboy เขียน:
แน่นอนสสารนั้นย่อมไม่วันทำให้หายไปจากจักรวาล และไม่มีผู้ใดที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ คาร์บอน 1 อะตอม ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้ และไม่มีใครทำให้มันหายไปได้ ในหลักตรรกะแล้วมันจะเนรมิตสสารสัก 1 อะตอม ขึ้นมาเองกระนั้นได้อย่างไร หรือไม่มันก็มีอยู่ก่อนแล้วจากระยะเวลาที่ลบอนันต์ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

คำกล่าวที่ว่า "อะตอม ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้ และไม่มีใครทำให้มันหายไปได้" มันเป็นแค่ทฤษฏี
ถ้าคุณรู้จักวิทยาศาสตร์มากพอ จะรู้ว่าคำว่าทฤษฏีก้คือสิง่ที่ลบล้างได้

ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งอะตอมเป็นวัตถุทรงกลม
ต่อมาี้ถึงกลายเป็น อนุภาค 3 มี โปรตรอน อิเล็คตรอน และนิวตรอน
และปัจจุบันบวกกับอนาคต กำลังมี ควากส์ ซึ่งกำลังทดลองกันอยู่
คุณบอกได้ไหมว่าอะตอมจะมีความจริงเป้นไปอย่างไรอีก
มันจะมีอะไรโผล่ขึ้นมาอีกหรือไม่

ผมเคยยกตัวอย่างอะตอมมาแล้วจากด้านบนโน้น ดีแล้วที่คุณยกเรื่องอะตอมมาครับ
เค้าถึงใช้คำว่าแบบจะลองโครงสร้างอะตอม เพราะใน 1 อะตอมนั้นเรารู้ว่ามันมีอะไรพลังงานเท่าไหร่ อันนี้เราพิสูจน์ได้และหลักฐานอันแน่ชัด แต่เรื่องการจัดเรียงนั้นเราไม่ทราบเลยว่ามันจัดเรียงกันอยู่อย่างไรเพราะว่ามันเล็กมากและไม่มีกล้องใดส่องถึง ถึงมีสมมติฐานแบบจำลองมากมายเกิดขึ้น สมมติฐานตัวนี้สามารถอธิบายในเชิงตรรกะได้ไม่ครบถ้วน100 % ด้วยเหตุนี้เค้าจึงใช้คำว่าแบบจำลองโครงสร้างอะตอมครับ เพราะเค้ายังไม่เคยสรุปครับว่า นี่คือแบบจำลองโครงสร้างอะตอมที่สมบูรณ์แบบที่สุด และแบบจำลองนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานต่างๆได้ ซึ่งอนาคตนั้นอาจจะมีแบบจำลองโครงสร้างอะตอมที่ดีกว่านี้ และแน่แท้แบบจำลองที่ถูกต้องที่สุดนั้นมีอยู่แบบเดียว ลองไปศึกษาดูครับว่าทำไม


ยุคนี้เรามองว่า สสาร แยกจากพลังงาน
ใครจะรู้ว่าอนาคตเราอาจจะรวมเอาพลังงานไปสสารก็ได้
เพราะมีเครื่องมือในการส่องขยายพลังงานจนเห็นอนุภาค
ปัจจุบันไม่มีใครเห็นสิง่ที่เล็กที่สุดของไฟ
แต่ไฟมันก้มีอยู่ทนโท่ จะบอกว่าไฟไม่มีก็ไม่ได้ จะว่าไฟมีก็หาตัวมันไม่พบ
จะว่าเปนนามธรรมก็ไม่ใช่คนละเรื่องกัน

นั่นแหละขอทราบเหตุครับ

ส่วนคำตอบแบบพุทธจริง ลึกๆ ผมไม่ทราบ
แต่เรามีสิง่ที่เรียกว่า ปรมาณุ คือ ปรมัตถ์ + อณุ
เป็นอณุที่เล็กที่สุดๆ เข้าใจกันว่ามันเล็กจนเป้นความว่าง บ้างว่าคือกายทิพย์
สำหรับผม มันก็คือจิตนั่นเอง ละเอียดจนใช้ผัสสะธรรมดาๆวัดไม่ได้

นั้นแหละครับขัดแย้งกับหลักคำสอนของคุณอย่างชัดเจน-
จำคำนี้ได้ไหม โปรดยกตัวอย่างว่ามีสิ่งใดบ้าง ไม่เกิด ไม่ดับ?


Astroboy เขียน:

3.3.2 ไข่กับไก่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน ทุกวันนี้ยังไม่มีชีวิตไหนที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น หรือไม่มีชีวิตไหนในพิภพจักรวาลนี้ที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น เช่นพ่อแม่ หรือเซลล์ที่เป็นต้นแบบ ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคือใครคือไก่ตัวแรกหรือไข่ฟองแรก


- ไข่ฟองแรกไม่มีหรอกครับ
มันเป็นวิวัฒนาการของโลก
วิวัฒนาการคือค่อยเปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อยเป้นเวลาหลายล้านแสนปี
กว่าจะเป้นไข่ มันก็เป้นสิ่งมีชีวิตรูปแบบเล็กๆมาก่อนทั้งนั้น
แล้วค่อยๆพัฒนา

การเก้งเอาคำตอบว่า ไข่ หรือ ไก่ เิกิดก่อนกันั้น
เป้นความคิดเห็นที่ปฏิเสธที่มาของไข่ ที่มาของไก่
หนำซ้ำยังไปบังคับอีกว่า ไก่หรือไข่ แสนล้านปีที่แล้ว ก้ต้องมีลักษณะแบบนี้
ไก่กับไข่มันเกดมาพร้อมโลกและมีหน้าตาอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้
ตลอดแสนล้านปี ไก่กับไข่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย
ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ไม่เป้นวิทยาศาสตร์

เพราะว่าคุณไม่ได้ใช้สติปัญญาจับประเด็นเลย ผมแค่เปรียบเทียบไข่กับไก่เท่านั้น คุณเองนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย ที่ผมต้องการไม่ใช่ไก่กับไข่ ผมต้องการให้คุณเห็นเพียงว่า ชีวิต มาจากชีวิต เพราะทุกวันนี้มีอะไรที่ไม่ได้มาจากพ่อแม่ของมัน ถึงจะเป็นการโคลนนิ่งก็ยังไงก็ยังต้องอาศัยเซลล์ต้นแบบของสิ่งมีชีวิต ถึงจะวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตตัวเล็กมาเรื่อยๆ ยังไงมันก็มาจากพ่อแม่ของมันอยู่ดี คือตัวพ่อ ตัวแม่ ค่อยๆ ออกลูกมาเป็น และตัวลูกก็แพร่กระจายออกไปในแผ่นดิน ถามว่าใครคือชีวิตแรก ใครคือตัวพ่อตัวแม่ตัวแรก เพราะแน่นอนมีจุดๆหนึ่งที่ชีวิตอุบัติขึ้นมาแน่นอน
แล้วเหตุการณ์อุบัตินี้คืออะไร เหตุแห่งการขยายพันธ์


Astroboy เขียน:
หรือใครคือชีวิตแรก ชีวิตแรกนั้นมาจากลบอนันต์หรือไม่ ถ้ามองในแง่ของตรรกะแล้ว ทุกชีวิตนั้นย่อมเกิดและตายเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นมี ณ จุดเวลาหนึ่งที่ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมาแน่นอน และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือชีวิต ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการจะก้าวไกลขนาดไหน คนจะสร้างอะไรได้มากมาย แต่ไม่มีใครสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่ไม่ได้มาจากชีวิตอยู่ก่อนแล้วได้ ศพที่มีทุกอย่างเหมือนตอนมีชีวิต แต่ถ้าเป็นศพแล้ว จะใส่พลังานหรือจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ นี่เป็นสิ่งยืนยันได้หรือไม่ว่าการมีอยู่ของวิญญาณนั้นมีอยู่จริง แล้วสภาพหลังการตายที่ยังเป็นสมมติฐานอยู่จะมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นรกสวรรค์นั้น มีสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือไม่ อยากทราบว่าในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

- คุณต้องเข้าใจก่อนว่า ศาสนาพุทธมีขอบเขต
เราไม่ตอบในเรื่องที่ไม่สน ศัพท์เปรียบเทียบท่านใช้คำว่า ใบไม้ในกำมือ
ส่วนใบไม้ที่อยู่ในผืนป่าคือเรื่องที่ท่านไม่ตอบ และไม่ให้สนใจ เพราะไม่เป็นประโยชน์ และไม่เป้นไปเพื่อการพ้นทุกข์

ไม่ใช่มีขอบเขตครับเป็นการอธิบายไม่ได้เพราะว่ามันขัดแย้งกันอย่างรุนแรงต่างหาก
เหมือนที่บอกจริงๆว่าพอใช้สติปัญญาแก้ปัญหาไม่ได้ก็โยนทิ้งไป แล้วเรียกมันว่าเหตุแห่งทุกข์
ทั้งๆที่เน้นให้ใช้เหตุและผล
นี่ไม่เรียกว่าขัดแย้งแล้วเรียกว่าอะไรครับ



พระพุทธเศาสนาไม่ตอบเรื่อง 4 อย่าง (อจินไตย 4)
หนึ่งในนั้นคือเรื่องโลก ที่มา ที่ไป อะไรยังไง
พระพุทธเจ้าบอกว่า ใครคิดจะมีส่วนแห่งความบ้า

เพราะว่าไม่เคยคิดและไม่เคยเห็นคุณค่า ใช้ปัญญาพิจารณาให้ดีว่าใครกันแน่ที่บ้า
สอนเองไม่ใช่เหรอว่าเหตุและผล รู้หรือยังว่าทำไมถึงรู้ซึ้งถึงความจริง


ที่ท่านถามว่าศาสนาพุทธอธิบายอย่างไร
ตอบว่าไม่อธิบาย

คำตอบง่ายๆคืออธิบายไม่ได้เพราะมันขัดกับหลักความจริง

ส่วนเรื่องวิญญานนั้น ในระบบของศาสนาพุทธไม่มี
เวลาเราตายแล้ว เราจะไปจุติทันที ไปเกิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งใน 31 ภพ

ฝากไว้ให้ใช้สติปัญญาใครครวญเมื่อเป็นศพนั่นแหละ ทุกอย่างจะหยุดทำงาน หัวใจจะหยุดเต้น ถ้าตายไปแล้วจะ 5 นาที หรือ จะเวลาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ที่ศพยังไม่สลาย ซึ่งแน่นอน สภาพภายในนั้นยังเหมือนเดิมทุกประการเหมือนตอนมีชีวิต นำไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเช่นเดียวกับตอนมีชีวิตอยู่ หรือวิธีการใดก็ได้ที่ทำให้เลือดยังหมุนเวียนในร่างตาม
กระนั้นก็ดี ไม่มีทางที่กลับมาใช้สติปัญญา ประสาทสัมผัส ความนึกคิดใดก็ไม่ได้แล้ว แล้วสติปัญญา จิตใจ เราหายไปไหน ใครสามารถพิสูจน์ได้บ้าง


คำว่าวิญญานที่เราๆท่านๆใช้กันในลัฏษณะผีสาง
หอาจจะเป็นได้ทั้งเปรต หรือเทวดาจำแลง

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่มันเลื่อนลอยสิ้นดี

Astroboy เขียน:
3.4 อำนาจที่มองไม่เห็น แต่มันคือสัจธรรม เพราะทุกคนยอมรับว่ามันมีจริงๆ กล่องที่ตั้งอยู่นิ่งๆ กับที่นั้น จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อมีแรงมากระทำกับมัน อิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์โคจรอยู่ในกาแลกซีทางช้างเผือกเพราะมีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งทำให้มันสามารถโคจร ร่างกายของมนุษย์ที่มีการเติบใหญ่ และแก่ชราก็มีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแปลงความสมดุล มวลสาร พลังงานต่างๆในร่างกาย สรุปคือ ทุกๆ สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากอำนาจของการเปลี่ยนแปลง ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง การเกิด และดับ ล้วนเกิดจากอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น อำนาจนี้มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้แหละที่หลายคนพยายามตอบออกมาว่ามันคือ ธรรมชาติ

- ศาสนาพุทธตอบแค่ว่า มันเป้นเหตุและปัจจัย
ไม่ได้ตอบคำถามว่า มาจากไหน เกิดขึ้นอย่างไร

ง่ายๆครับเพราะว่าตอบไม่ได้ เป็นคนกำหนดเองแท้ๆว่ามีเหตุก็ต้องมีผล
แล้วก็ดันตอบไม่ได้ว่าเหตุคืออะไร เพราะว่ามันขัดแย้งอีกแล้วใช่ไหม


Astroboy เขียน:
ธรรมชาติคืออะไร การอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นขัดกับหลักตรรกะแน่นอน หรือเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างอนันต์หรือเปล่า มีจิตใจหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมถึงเนรมิตจิตใจคนได้งดงามขนาดนี้ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

- คำว่าธรรมชาติ ในทางพุทธ คือคำว่าธรรมะ
ธรรมะคือความเป็นจริงในธรรมชาติทั้งหลาย ที่เป็นจริงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

- ถามว่า"ความดับ" อุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า ถ้าตอบคำถามนี้ได้ ก้จะตอบคำถามที่ว่า
ธรรมชาติอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า

- จิตใจมีจริงหรือไม่คุณรู้แก่ใจดี คุณเอาอะำไรรักพ่อแม่ สิ่งนั้นแหละจิตใจ
เวลาเจ็บร้อนคันหนาว ผู้เจ็บ ผู้ร้อน ผู้คัน ผุ้หนาว ก้คือจิตใจ
มีอยู่จริง แต่หาที่ตั้งไม่ได้

- ความงดงามคือการปรุงแต่งของจิต ตัวจิตใจเองแท้ๆ ไม่มีความงาม และไม่มีทั้งความน่าเกลียด
เหมือนชาวบ้านนิยมดาราคนเดียวกัน บางคนว่าสวย บางคนว่าไม่ บางคนถึงกับเกลียด
ความงามจริงๆ งามแท้ๆ ไม่มีอยู่จริง
มันเป้นแค่ผลผลิตของจิตใจที่ปรุงแต่ง

นิยามศัพท์ให้เห็นกันไปจะจะขอนิยามศัพท์หน่อยครับ อ้างอิงจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปี 2542

วิทยาศาสตร์ = ความรู้ที่ได้โดยการสังเกตและค้นคว้าจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ , วิชาที่ค้นคว้าได้หลักฐานและเหตุผล แล้วจัดเข้าเป็นระเบียบ
ธรรมชาติ = สิ่งที่เกิดมี และเป็นอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้นๆ ,ภาพภูมิประเทศ ว. ที่เป็นไปเองโดยมิได้ปรุงแต่ง เช่น สีธรรมชาติ
ศึกษาความหมายที่ผมให้มาเยอะๆหลายๆรอบแล้วจะรู้ว่ามีอะไรที่คุณยังไม่รู้อีกเยอะ มีอะไรที่มันไม่คลอบคลุมและขัดแย้งกันไปมา วิทยาศาสตร์คือการศึกษาศึกษาธรรมชาตินี่เอง แล้วธรรมชาติคือไร มีอยู่แล้ว เป็นไปตามกระบวนการของมันเอง ความขัดแย้งก็คือ อธิบายเหตุไม่ได้






Astroboy เขียน:
3.5 กาลเวลา เวลาที่เปลี่ยนแปลงมีอำนาจคอยขับเคลื่อนทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าหรือไม่ เวลามีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดหรือไม่ เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร
ทำมาปัจจุบันหยุดอยู่ ณ กาลเวลาจุดนี้ ที่มนุษย์สามารถสร้างเครื่องบิน เพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทั้งๆที่น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว และยังพัฒนาสติปัญญาได้เพียงแค่นี้อยู่ แต่ไม่สามารถที่จะบินด้วยปีกของตัวเองได้ เพราะมนุษย์ไม่มีปีก แล้วทำไมไม่วิวัฒนาการปีกขึ้นมาทั้งๆที่ใครต่อใครต้องการที่จะบินขึ้นไปบนฟ้ามานานแล้ว ทุกคนสามารถตอบในเรื่องอดีตได้ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถยืนยันในเรื่องอนาคตของตัวเองได้ แล้วมนุษย์จะวิวัฒนาการได้จริงหรือเปล่า และขนาดไหน และถึงเมื่อไหร่


ที่ความเร้วเท่าแสง กาลเวลาเป้น 0
ที่หลุมดำ เชื่อกันว่า มีอำนาจทำใหบีบดึงเวลาให้ผิดเพี้ยนได้
นี่คือวิทยาศาสตร์เขาตั้งทฤษฏีเอาไว้

การจะใช้ตรรกะพิสูจน์ ก้ต้องมีข้อมูลถูกต้องในการเอามาเข้าตรรกะ
เพราะว่าเป็นทฤษฎี ที่ทดสอบไม่ได้ อย่างเช่นความเร็วเท่าแสง ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นไปได้ แล้วเป็นไปไม่ได้

อย่างผมพูดว่า
นายดำหายใจบนดาวอังคารได้
นายแดงหายใจบนดวงจันทร์ได้
นายดำและนายแดงหายใจในอวกาศได้

นี่แหละตรรกะ แต่ถ้าเอาข้อมูลวิปลาสมาเข้าตรรกะ
ก็จะได้นายแดงนายดำที่หายใจในอวกาศได้ ซึ่งไม่จริง

แก้คำผิดครับ ดวงจันทร์และดาวอังคารไม่ใช่อวกาศครับ

เหตุ นายดำหายใจบนอวกาศได้
เหตุ นายแดงหายใจบนอวกาศได้
ผล นายดำและนายแดงหายใจในอวกาศได้

ที่คุณสรุปมามันผิดหมด เพราะว่ามันเป็นเท็จตั้งแต่นายดำหายในอวกาศได้แล้วครับ
ซึ่งขอมูลวิปลาสมันเกิดตั้งแต่เหตุแล้ว
ทำความเข้าใจตรรกศาสตร์ใหม่นะครับ

....................................

ผมขอไม่ตอบที่เหลือนะ เพราะมันวกๆวนเรื่องเดิมๆ
ผมแนะว่า คุณมีระบบการคิดที่น่าเป้นห่วงในการที่จะแสวงหาความรู้

ระบบการคิดที่ไม่รู้จักเลือกว่าจะคิดอะไร
ก็จะคิดได้แต่อะไรที่คนเขาไม่คิด ตั้งตัวอย่างอะไรที่มันไม่เป็นจริง เลอะเทอะ
เบื้องหลังความพยามนี้คือการสนองตันหาอยากรู้เท่านั้นเอง
ไม่ได้ปัญญาที่แท้จริงๆหรอก

หวังว่าคนมีสติปัญญาเช่นคุณจะคิดได้เช่นกันครับ

พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่ชอบคิดเรื่องอจินไตยนี้จะมีส่วนแห่งความบ้า
ก้ไม่ผิดจากที่ท่านพูดเลยจริงๆ

เพราะว่าพระพุทธเจ้าอธิบายไม่ได้ และมันขัดแย้งกับคำสอนอย่างรุนแรงต่างหากครับ

คุณต้องหัดคิดให้มันมีกรอบ มีระบบ
ไม่งั้นมันจะเป้นความฟุ้งซ่าน
พอคนเขาตอบไปตามความฟุ่งซ่านของคูณไมไ่ด้ คุณก็ไม่สบายใจ ไม่พึงพอใจ

ผมไม่ได้ฟุ้งซ่านครับ เพราะคุณเองก็ยังไม่แน่ใจไม่ใช่เหรอว่าเกิดเพื่ออะไร จริงหรือเปล่า

ผมเจอคำถามคุณผมก็เหนื่อยใจมากๆ
จะตอบหลายทีแล้วแต่คิดไปคิดมาเหนื่อยจริงๆ
วันนี้ลองตอบดุแล้วก็ได้เท่านี้นะ

ดีแล้วแลกเปลี่ยนความรู้

ขอแนะให้ไปหาหนังสือปรัชญามาอ่าน
พวกปรัชญาเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยต่างๆ
ค่อยๆอ่านไป

ผมอ่านมาเยอะครับผมถึงกล้าพูด เพราะว่าปรัชญาก็แค่ถ้อยคำดีๆเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตเท่านั้น

จบปรัชญาสักเล่มหนึ่งแล้วค่อยไปหาหนังสือชื่อว่าพุทธปรัชญาเถรวาทมาอ่าน
แล้วค่อยมาอ่านงานของท่านพุทธทาส หรือพระธรรมปิฏก
แล้วก็มาอ่านหลวงปู่มั่น และพระลุกศิษย์สายหลวงปู่มั่น

แล้วอย่าลืมมาอ่านหนังสือที่ผมแนะนำด้วยนะครับ

ฟังแล้วเหนื่อยนะ ใช่ไหม

นั่นหละ ต้นทุนของคนที่เป้นพุทธจริต คือนิสัยของคนมีปัญญามาก
มันจะสงสัยมาก กว่าจะทำให้ตัวสงสัยมันคลายออกไปได้ เสียเวลาไปมาก

เพราะว่าคนเรามัวแต่คิดว่าตนเองมีปัญญาแล้วต่างหากๆเก่งได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร

่เทียบกับแม่ค้าคานหาบไม่ได้เลย
เขาปัญญาไม่มาก แต่ถ้าเจอครูอาจารย์ที่สอนดี สอนตรง
เขาจะไม่ต้องเสียเวลาอ้อมภูเขาแบบขนาดนี้

และก็เห็นอยู่ว่า คนๆนี้ไม่มีปัญญาถึงได้มาทำอะไรที่มันไม่สมเหตุสมผลครับ ทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจอยู่
และทั้งที่สอนให้ใช้เหตุผลเป็นหลัก


ฟังเรื่องศาสนาใหม่ที่คุณตรงประด็นแนะนำให้เข้าไปดู
มัน็ชวนคิดดีนะครับ

ดีแล้วครับ
แต่ผมกลับคิดย้อนไปยังศาสนาเก่าที่ดับสิ้นไปแล้ว

เพราะว่าผมเชื่อว่าศาสนาที่สมบูรณ์แบบนั้นเกิดจากสัจธรรมและมีอยู่จริง สามารถอธิบายทุกสสิ่งทุกอย่างได้โดยขัดแย้งในตัวมันเอง และไม่ได้เกิดจากความเชื่อ

การมีอยู่ ก็มีอยู่เพราะมีคนเชื่อ
ไม่มีอยู่ก็เพราะคนเชื่อหมดไป

ไม่ว่าจะมีรายละเอียดอย่างไร สุดท้ายก็เป็นความเชื่อ
อาศัยศรัทธาในการยืนยันความเชื่อของตน
ไม่มีวิธีพิสูจน์ไม่ว่าในวิธีของรูป หรือวิธีของนาม

ที่ผมพยายามพูดก็คือ สำหรับผมแล้วไม่ได้เกิดจากความเชื่อ
ผมว่าน่าจะเป็นคุณนะครับครับที่เกิดจากความเชื่อ


แต่ศาสนาพุทธเราไม่เกี่ยวกับความเชื่อ
มันเป็นเรื่องที่พระศาสดาของเราเป็นบรรณาธิการ รวบรวม เรียบเรียง สิ่งที่มีอยู่แล้วจริงๆในธรรมชาติ

ดูความหมายของคำว่าธรรมชาติเยอะๆนะครับ แล้วหาเหตุครับ มันก็แค่สิ่งที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นไปตามกระบวนการของมันเอง

มาอธิบายเป็นภาษาคนให้เราฟัง
จะมีคนเชื่อหรือไม่ มีมนุษย์หรือไม่ บรรดาสัจจธรรมนั้นมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
เกิดขึ้นจริงกับหินทุกก้อน น้ำทุกหยด จิตทุกดวงไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์

ถ้านิยามคำว่าศาสนา หมายถึงแบบ ศาสนาอื่นๆทั้งหมด
ผมคิดว่าผมไม่อยากจะเรียกศาสนาพุทธว่าศาสนา
เพราะมันคนละ pattern กัน
คนละเรื่องกันเลยกับศาสนาอื่นๆ
แล้วก็ไม่ใช่ปรัชญาที่เดี๋ยวจริงเดี๋ยวเท็จ

พุทธน่าจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ปรัชญา หรือศาสนา

เช่นเดียวกันครับ ที่ทุกวันนี้ผมพยายามทำให้คนได้รู้ว่าศาสนาไม่ใช่สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจครับ และสำหรับผมไม่ได้มีเพื่อการดำเนินชีวิตในโลกนี้เท่านั้น เพราะว่าสัจธรรมคือผมต้องตาย และอะไรที่อยู่หลังความตาย

ขอบคุณสำหรับความรู้ทุกอย่างครับ และถ้าว่างก็อ่านคอมเมนต์ที่ผมพิมพ์ขึ้นไปเยอะๆให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยครับ


และก็อย่าโกรธนะครับ อะไรพูดจาผิดหรือไม่ดีก็มาอธิบายกันครับ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2009, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
และเรียนถึงคุณ ตรงประเด็น ด้วยนะครับ ว่าบอกไปอย่างชัดแจ้งแล้วหรือคุณไม่ได้อ่านคอมเม้นผมเองว่าผมนับถือศาสนาอะไร หรือว่าเป็นคุณไม่ยอมที่จะอ่านและจับใจความสิ่งที่ผมพิมพ์ไปตั้งมากตั้งมาย ถ้าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับตัวเองคุณจะไม่สนใจเลยเหรอ ส่วนเรื่องการนำวิทยาศาสตร์เข้าโพสต์ให้เห็นนั้น ผมว่ามันเหมือนการโฆษณาเลยครับ และสำหรับผม เรื่องพวกนี้ธรรมดามากครับ และเป็นการนำเสนอข้อมูลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น



อ้อ...อ่านเจอแล้วครับ ว่าคุณนับถือศาสนาใด
ขออภัยครับ มันตาลายครับ เวลาต้องอ่านอะไรยาวๆมากๆ

ถ้าเช่นนั้น ขอตัวน่ะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2009, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


:b5: :b5: :b5: :b5:
(กู่เรียก)"..รอผมด้วยครับคุณตรงประเด็น!."

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2009, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


Astroboy เขียน:
To คุณ deboykung

การเห็นเทวดาหรืออะไรก็ตามที่อยู่นอกสภาวการณ์ของมนุษย์นั้นล้วนเป็นสมมติฐานที่ไร้ข้อพิสูจน์ทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีหลักฐานหรือหลักตรรกะใดๆมาพิสูจน์ได้ ถึงคนเห็นเทวดาจะเก่งแค่ไหน ก็อธิบายออกมาเป็นตรรกะไม่ได้ และทำให้ผู้อื่นเห็นด้วยไม่ได้เช่นกันและเป็นเพียงข้อคิดเห็นเท่านั้น และเรื่องพวกนี้ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดจากอุปทาน

ส่วนการทดลองวิทยาศาสตร์นั้น มาจากเหตุ และผล ซึ่งสามารถอธิบายออกมาเป็นเหตุผลได้ว่าเกิดได้อย่างไร จริงไหม ไม่จำเป็นจะต้องพิสูจน์ด้วยตนเองครับเพราะว่ามันมาจากตรรกะทั้งสิ้นที่พิสูจน์ได้ และพิสูจน์หรืออธิบายให้ผู้อื่นทราบได้ และสามารถนำข้อมูลไปอ้างอิงใช้ต่อได้ สามารถหาต้นตอขึ้นมาได้จากความเป็นจริง จึงจะจัดว่าเป็นข้อมูลหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ครับ
จริงๆแล้วถ้าคุณเรียนสายวิทย์ก็น่าจะรู้นะ เพราะตอนนี้เองผมก็นักศึกษาวิศวะอยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องปฏิบัติธรรมจนเห็นด้วยตัวเองนั้นไม่ใช่ครับ เพราะทางจิตวิทยารู้ดีว่าอาจจะเป็นการอุปทานขึ้นมาเองในสิ่งที่ใจของตนอยากให้เป็นก็ได้ครับ


งั้นผมก็ขอโทษละกันครับ เพราะผมไม่สามารถหาเหตุผลทางตรรกะที่สามารถทำให้คนทุักคนเข้าใจได้ ถ้าบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติ ผมก็เคยคิดเหมือนกันนะครับ แต่หาไม่ได้จริงๆ


Astroboy เขียน:
ทางจิตวิทยารู้ดีว่าอาจจะเป็นการอุปทานขึ้นมาเองในสิ่งที่ใจของตนอยากให้เป็นก็ได้ครับ


ผมขอตอบ(แบบคนปฏิบัตินะครับ) ถ้าได้ปฏิบัติ มีสติไวพอ ก็จะรู้ว่าสภาวะจิตตอนนั้นเราเป็นอย่างไร โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่นึกตรึกตรองอยากให้เป็นเองหรืออย่างไร ซึงยืนยันว่าตัวผมเองไม่สามารถหาตรรกะมาตอบได้เหมือนกันครับ ถ้าจะมีก็แค่ยกตัวอย่างเปรียกเทียบ และก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียบเรียงประโยคนั้นให้ ทุกๆคนเข้าใจตรงกันได้หรือไม่

ขอบคุณในคำตอบที่เคยตอบผมครับ ผมอ่านบางทีไม่กระจ่าง เลยทำให้การตอบของผมไม่ตรงกับประเด็นที่ถามครับ ขอบคุณครับ

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


Astroboy เขียน:
สวัสดีครับ
ก็ตามหัวข้อนั่นเลยนะครับ
ผมเพียงต้องการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นของชาวพุทธน่ะครับ

ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ศาสนาของท่านทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การเปิดประเด็นความคิดและคำถามเท่านั้น ถ้าเกิดว่าผมพูดจาอะไรผิดไป หรือไปทำให้ผู้ใดเดือดร้อนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ หน่อยนะครับ ช่วยตอบคำถามของผมเป็นข้อๆ ทีครับ เอาแบบเชิงตรรกะนะครับ ไม่ใช่ยึดพื้นฐานจากการศรัทธาเป็นหลัก ว่ากันด้วยเหตุผล และสัจธรรมครับ อ่านคำถามให้จบก่อนด้วยนะครับ แล้วค่อยตอบ ผมยอมรับในความผิดถ้าหากว่าผมหลงผิดไปครับ ขอบคุณครับ


1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม
2. จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ
3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง


3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา

3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.3 ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ

3.3.1 พืชที่งอกเงยจากพื้นดินนั้น เกิดจากการนำแร่ธาตุในดินมาสร้างส่วนประกอบของลำต้น แต่เมื่อมันดับมันก็ต้องย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุในดินเหมือนเดิม แน่นอนสสารนั้นย่อมไม่วันทำให้หายไปจากจักรวาล และไม่มีผู้ใดที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ คาร์บอน 1 อะตอม ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้ และไม่มีใครทำให้มันหายไปได้ ในหลักตรรกะแล้วมันจะเนรมิตสสารสัก 1 อะตอม ขึ้นมาเองกระนั้นได้อย่างไร หรือไม่มันก็มีอยู่ก่อนแล้วจากระยะเวลาที่ลบอนันต์ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.3.2 ไข่กับไก่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน ทุกวันนี้ยังไม่มีชีวิตไหนที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น หรือไม่มีชีวิตไหนในพิภพจักรวาลนี้ที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น เช่นพ่อแม่ หรือเซลล์ที่เป็นต้นแบบ ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคือใครคือไก่ตัวแรกหรือไข่ฟองแรก หรือใครคือชีวิตแรก ชีวิตแรกนั้นมาจากลบอนันต์หรือไม่ ถ้ามองในแง่ของตรรกะแล้ว ทุกชีวิตนั้นย่อมเกิดและตายเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นมี ณ จุดเวลาหนึ่งที่ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมาแน่นอน และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือชีวิต ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการจะก้าวไกลขนาดไหน คนจะสร้างอะไรได้มากมาย แต่ไม่มีใครสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่ไม่ได้มาจากชีวิตอยู่ก่อนแล้วได้ ศพที่มีทุกอย่างเหมือนตอนมีชีวิต แต่ถ้าเป็นศพแล้ว จะใส่พลังานหรือจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ นี่เป็นสิ่งยืนยันได้หรือไม่ว่าการมีอยู่ของวิญญาณนั้นมีอยู่จริง แล้วสภาพหลังการตายที่ยังเป็นสมมติฐานอยู่จะมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นรกสวรรค์นั้น มีสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือไม่ อยากทราบว่าในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.4 อำนาจที่มองไม่เห็น แต่มันคือสัจธรรม เพราะทุกคนยอมรับว่ามันมีจริงๆ กล่องที่ตั้งอยู่นิ่งๆ กับที่นั้น จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อมีแรงมากระทำกับมัน อิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์โคจรอยู่ในกาแลกซีทางช้างเผือกเพราะมีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งทำให้มันสามารถโคจร ร่างกายของมนุษย์ที่มีการเติบใหญ่ และแก่ชราก็มีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแปลงความสมดุล มวลสาร พลังงานต่างๆในร่างกาย สรุปคือ ทุกๆ สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากอำนาจของการเปลี่ยนแปลง ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง การเกิด และดับ ล้วนเกิดจากอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น อำนาจนี้มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้แหละที่หลายคนพยายามตอบออกมาว่ามันคือ ธรรมชาติ

ธรรมชาติคืออะไร การอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นขัดกับหลักตรรกะแน่นอน หรือเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างอนันต์หรือเปล่า มีจิตใจหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมถึงเนรมิตจิตใจคนได้งดงามขนาดนี้ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.5 กาลเวลา เวลาที่เปลี่ยนแปลงมีอำนาจคอยขับเคลื่อนทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าหรือไม่ เวลามีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดหรือไม่ เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร ทำมาปัจจุบันหยุดอยู่ ณ กาลเวลาจุดนี้ ที่มนุษย์สามารถสร้างเครื่องบิน เพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทั้งๆที่น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว และยังพัฒนาสติปัญญาได้เพียงแค่นี้อยู่ แต่ไม่สามารถที่จะบินด้วยปีกของตัวเองได้ เพราะมนุษย์ไม่มีปีก แล้วทำไมไม่วิวัฒนาการปีกขึ้นมาทั้งๆที่ใครต่อใครต้องการที่จะบินขึ้นไปบนฟ้ามานานแล้ว ทุกคนสามารถตอบในเรื่องอดีตได้ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถยืนยันในเรื่องอนาคตของตัวเองได้ แล้วมนุษย์จะวิวัฒนาการได้จริงหรือเปล่า และขนาดไหน และถึงเมื่อไหร่

3.6 ชาติภพต่างๆ ของคนเรานั้นมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสมมติฐาน การอ้างถึงชาติภพในอดีตนั้น เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร มีหลักฐานอันใดที่พิสูจน์ได้ที่ไม่ใช่จากคำพูดของผู้อื่นที่กล่าวต่อกันมา และการที่มีผู้บอกว่าสามารถรู้ถึงอดีตชาติของตนเองได้นั้น มีความน่าจะเป็นหรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ เช่นเดียวกัน

3.7 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง แน่นอน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นสัจธรรม แต่สภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายนั้น มีใครบ้างที่มีเครื่องพิสูจน์ หรือหลักฐาน ที่บ่งบอกถึงสภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายมีหลักตรรกะอย่างไรที่สามารถบ่งบอกได้ การชดใช้เวรกรรมในชาติก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงได้อย่างไร และแรกเกิดของคนในชาติแรกนั้นเป็นเช่นไร เกิดมาเพื่ออะไร และเราจะเชื่อในเรื่องของการนิพพานได้อย่างไร

พอแล้วครับปวดหัวแล้วครับวันนี้

ใช้สติปัญญาที่มนุษย์มีอย่างอเนกอนันต์ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์จึงเขวี้ยงมันทิ้งและหนีไปซะ แต่จงเดินหน้าหาทุกข์ที่มาเผชิญและต่อสู้กับมัน ทุกวันที่จะมีสักกี่คนที่จะพยายามค้นหาความประจักษ์ในตัวเอง และจะมีซักกี่คนที่จะกล้ายืนยันตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ 100% ว่า มนุษย์เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ความเชื่อที่คุณเชื่อกันมาจะเป็นจริงได้ตามความเชื่อนั้นหรือไม่ ถ้าตามหลักศาสนาแล้วการงานทุกสิ่งที่ทำนั้นคือสิ่งที่ถูก แต่สิ่งที่ถูกจริงๆ คืออะไร มั่นใจได้อย่างไร มองดูคำถามข้อที่ 1 เยอะๆ

ภายในจิตใจของมนุษย์นั้นสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าทิฐิ ถ้าลองได้เชื่อหรือศรัทธาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว เจ้าทิฐินี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถจะใส่สิ่งอื่นเข้าไปในจิตใจได้อีก ถึงแม้ว่าสิ่งที่จะใส่เข้าไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถูกต้องกว่า มันก็จะไม่ยอมเปิดทางให้สิ่งอื่นเข้าไปง่ายๆ

ทุกอย่างอาจจะมีการผิดพลาดบ้างเป็นสัจธรรมที่ไม่มีมนุษย์คนไหนถูกต้องเสมอ

ผมก็พร้อมที่รับฟังคำตอบของพี่ๆ ทุกคนครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็มีคำตอบของทุกอย่างในใจของผมอยู่แล้วครับ อยากทราบคำตอบของผม ก็ติดต่อได้ที่เมล์ผมก็ได้ครับ
ขอโทษครับที่อาจไม่ถูกใจใครหลายคน และไม่ได้เรียงร้อยให้มันสวย

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ

ตอบข้อ 1 สัจธรรม
ตอบข้อ 2 พุทธศาสนาสอนด้วย เหตุผล โดยตรง อริยสัจที่เป็นแก่นของธรรมคำสอนเป็นเรื่องของเหตุผลทั้งหมด
ตอบข้อ 3 ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น
ตอบข้อ 3.1 พระพุทธเจ้าเป็นคน พิเศษกว่าคนทั่วไปที่มี พุทธคุณ
ตอบข้อ 3.2 เห็นด้วยในเรื่องของการกำหนดกฏหมาย แต่เรื่องของการกำหนดความดีความชั่วมีเพียงเราเท่านั้นเป็นผู้กำหนด
ตอบข้อ 3.3 ดับไม่เกิดก็มี ไม่เกิดไม่ดับก็มี
ตอบข้อที่เหลือ คำถามต่างๆที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบมิใช่ว่าตอบไม่ได้ แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะตอบ เพราะรู้แล้วก็ไม่ทำให้ดับทุกข์ แต่จะรู้เองต่อเมื่อทุกข์ดับไป และวิธีการดับทุกข์แบบเด็ดขาดพระพุทธเจ้าก็สอนไว้อย่างละเอียดและเข้าใจง่ายที่สุดแล้วครับ

กระผมทำตามกติกาที่ว่าให้พิจารณาคำถามให้ถี่ถ้วนว่าท่านถามอะไร กระผมก็พิจารณาถี่ถ้วนตามกำลังสติปัญญาของกระผมแล้ว ทีนี้กระผมขอให้ท่านพิจารณาคำตอบของกระผมให้ถี่ถ้วนดูบ้างอย่าตัดสินด้วยทิฏฐิมานะ ขอให้ท่านพิจารณาด้วยเหตุผล หรือตรรกที่ท่านกล่าวถึงบ่อยๆกับคำถามที่ว่า ใช่ไม่ใช่(เหมือนแปะลิ้มเสื้อเหลืองเลย)

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


Astroboy เขียน:
สวัสดีครับ
ก็ตามหัวข้อนั่นเลยนะครับ
ผมเพียงต้องการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นของชาวพุทธน่ะครับ

ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ศาสนาของท่านทั้งสิ้น เป็นเพียงแค่การเปิดประเด็นความคิดและคำถามเท่านั้น ถ้าเกิดว่าผมพูดจาอะไรผิดไป หรือไปทำให้ผู้ใดเดือดร้อนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

รบกวนเพื่อนๆ พี่ๆ หน่อยนะครับ ช่วยตอบคำถามของผมเป็นข้อๆ ทีครับ เอาแบบเชิงตรรกะนะครับ ไม่ใช่ยึดพื้นฐานจากการศรัทธาเป็นหลัก ว่ากันด้วยเหตุผล และสัจธรรมครับ อ่านคำถามให้จบก่อนด้วยนะครับ แล้วค่อยตอบ ผมยอมรับในความผิดถ้าหากว่าผมหลงผิดไปครับ ขอบคุณครับ


1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม
2. จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ
3. จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง


3.1 พระพุทธเจ้านั้นเป็นตามความเชื่อของชาวพุทธนั้น เป็นคน หรือเป็น เทพเจ้า หรือเป็นพระเจ้า
ถ้าคำตอบนั้นเป็นคน แล้วมีความพิเศษมากกว่าคนอย่างพวกเราอย่างไร ทำไมถึงคิดเช่นนั้น
ถ้าคำตอบนั้นเป็นอย่างอื่น แล้วมีสิ่งใดที่สามารถยืนยันในความพิเศษมากกว่าคนอย่างเรา

3.2 กฎหมายนั้นถูกร่างขึ้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมาจากบรรทัดฐาน และความคิดเห็นของคนในสังคมนั้นๆที่จะร่างกฎหมายออกมาเพื่อให้สังคมนั้นอยู่ร่วมกันได้ เช่นเดียวกับความดีและความชั่วที่เกิดจากบรรทัดฐานของคนทั่วไปที่มีจิตใจตรงกันว่าการกระทำต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นการกำหนดความดีและความชั่วทุกวันนี้ใครเป็นผู้กำหนด เกิดจากคนด้วยกันเองใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันทุกวันนี้ ความดีและความชั่วที่ถูกต้องนั้นเป็นเช่นไร ผู้กำหนดที่แท้จริงคือใคร ถ้าเราอยู่ในโลกนี้คนเดียวแล้วเราทำชั่วจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ตามตรรกะแล้วการกราบไหว้รูปปั้นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นสิ่งดี เพราะเหตุอันใดถึงบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะเกิดจากความเชื่อและความคิดเห็นของคนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกัน ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้วถ้าน้ำท่วมรูปปั้นนั้นขึ้นมา เป็นไปไม่ได้เลยที่รูปปั้นนั้นจะช่วยตัวเองโดยการหนีน้ำท่วมได้ แต่ก็ยังคงขอความคุ้มครองและกราบไหว้จากสิ่งนั้น ทั้งที่เขาเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ ที่มีคนมาบอกว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และสามารถช่วยเหลือเราได้ ทั้งที่ความจริงมันก็ขัดกับหลักตรรกะและหลักสัจธรรมอยู่

หลักธรรมคำสอนต่างๆ คัมภีร์ต่างๆ ศาสนาทุกศาสนา ที่ทุกคนก็ต่างเห็นตรงกันว่าสอนให้เป็นคนดี ก็เช่นเดียวกัน มีใครสามารถยืนยันในความถูกต้องได้นอกจากบุคคลที่เห็นพ้องต้องกันกับหลักนั้นเท่านั้น สวรรค์ และนรกนั้นใครสามารถยืนยันได้ว่ามีจริง คนที่เคยบอกว่าเคยไปนรกสวรรค์นั้นมีสิ่งใดบ้างที่สามารถมายืนยันหรือพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงได้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรในหลักธรรมที่วันนี้เรายึดถือกันอยู่ทั้งๆที่รู้ว่าเราเองก็มีส่วนที่จะกำหนดความถูกต้องของสังคมนั้น หรือว่าเกิดจากการคิดว่าความคิดเห็นของคนเพียงหนึ่งคนว่าดีที่สุด แล้วจึงยึดถือแนวทางปฏิบัติของคนผู้นี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และการบรรลุถึงธรรมขั้นต่างนั้นมีความน่าเป็นหรือไม่ว่าที่จะเกิดจากอุปทาน ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.3 ทุกสิ่งมีเกิดก็ย่อมมีดับ

3.3.1 พืชที่งอกเงยจากพื้นดินนั้น เกิดจากการนำแร่ธาตุในดินมาสร้างส่วนประกอบของลำต้น แต่เมื่อมันดับมันก็ต้องย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุในดินเหมือนเดิม แน่นอนสสารนั้นย่อมไม่วันทำให้หายไปจากจักรวาล และไม่มีผู้ใดที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ คาร์บอน 1 อะตอม ไม่มีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้ และไม่มีใครทำให้มันหายไปได้ ในหลักตรรกะแล้วมันจะเนรมิตสสารสัก 1 อะตอม ขึ้นมาเองกระนั้นได้อย่างไร หรือไม่มันก็มีอยู่ก่อนแล้วจากระยะเวลาที่ลบอนันต์ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.3.2 ไข่กับไก่นั้นอะไรเกิดก่อนกัน ทุกวันนี้ยังไม่มีชีวิตไหนที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น หรือไม่มีชีวิตไหนในพิภพจักรวาลนี้ที่อุบัติขึ้นมาเองโดยปราศจากชีวิตก่อนหน้านั้น เช่นพ่อแม่ หรือเซลล์ที่เป็นต้นแบบ ประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าคือใครคือไก่ตัวแรกหรือไข่ฟองแรก หรือใครคือชีวิตแรก ชีวิตแรกนั้นมาจากลบอนันต์หรือไม่ ถ้ามองในแง่ของตรรกะแล้ว ทุกชีวิตนั้นย่อมเกิดและตายเป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นมี ณ จุดเวลาหนึ่งที่ชีวิตนั้นอุบัติขึ้นมาแน่นอน และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือชีวิต ถึงแม้ว่าวิวัฒนาการจะก้าวไกลขนาดไหน คนจะสร้างอะไรได้มากมาย แต่ไม่มีใครสร้างชีวิตด้วยสิ่งที่ไม่ได้มาจากชีวิตอยู่ก่อนแล้วได้ ศพที่มีทุกอย่างเหมือนตอนมีชีวิต แต่ถ้าเป็นศพแล้ว จะใส่พลังานหรือจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆก็ตาม ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ นี่เป็นสิ่งยืนยันได้หรือไม่ว่าการมีอยู่ของวิญญาณนั้นมีอยู่จริง แล้วสภาพหลังการตายที่ยังเป็นสมมติฐานอยู่จะมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นรกสวรรค์นั้น มีสิ่งที่พิสูจน์ได้หรือไม่ อยากทราบว่าในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.4 อำนาจที่มองไม่เห็น แต่มันคือสัจธรรม เพราะทุกคนยอมรับว่ามันมีจริงๆ กล่องที่ตั้งอยู่นิ่งๆ กับที่นั้น จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อมีแรงมากระทำกับมัน อิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์โคจรอยู่ในกาแลกซีทางช้างเผือกเพราะมีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งทำให้มันสามารถโคจร ร่างกายของมนุษย์ที่มีการเติบใหญ่ และแก่ชราก็มีอำนาจหรือแรงชนิดหนึ่งที่คอยเปลี่ยนแปลงความสมดุล มวลสาร พลังงานต่างๆในร่างกาย สรุปคือ ทุกๆ สิ่งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากอำนาจของการเปลี่ยนแปลง ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง การเกิด และดับ ล้วนเกิดจากอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น อำนาจนี้มาจากไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งนี้แหละที่หลายคนพยายามตอบออกมาว่ามันคือ ธรรมชาติ

ธรรมชาติคืออะไร การอุบัติขึ้นมาเองหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นขัดกับหลักตรรกะแน่นอน หรือเป็นแหล่งพลังงานที่มีอยู่อย่างอนันต์หรือเปล่า มีจิตใจหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมถึงเนรมิตจิตใจคนได้งดงามขนาดนี้ ในเรื่องนี้ศาสนาพุทธอธิบายในเชิงเหตุผลไว้อย่างไรครับ

3.5 กาลเวลา เวลาที่เปลี่ยนแปลงมีอำนาจคอยขับเคลื่อนทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้าหรือไม่ เวลามีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดหรือไม่ เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร ทำมาปัจจุบันหยุดอยู่ ณ กาลเวลาจุดนี้ ที่มนุษย์สามารถสร้างเครื่องบิน เพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทั้งๆที่น่าจะมีมาตั้งนานแล้ว และยังพัฒนาสติปัญญาได้เพียงแค่นี้อยู่ แต่ไม่สามารถที่จะบินด้วยปีกของตัวเองได้ เพราะมนุษย์ไม่มีปีก แล้วทำไมไม่วิวัฒนาการปีกขึ้นมาทั้งๆที่ใครต่อใครต้องการที่จะบินขึ้นไปบนฟ้ามานานแล้ว ทุกคนสามารถตอบในเรื่องอดีตได้ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถยืนยันในเรื่องอนาคตของตัวเองได้ แล้วมนุษย์จะวิวัฒนาการได้จริงหรือเปล่า และขนาดไหน และถึงเมื่อไหร่

3.6 ชาติภพต่างๆ ของคนเรานั้นมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงสมมติฐาน การอ้างถึงชาติภพในอดีตนั้น เราสามารถมองในแง่ของตรรกะได้อย่างไร มีหลักฐานอันใดที่พิสูจน์ได้ที่ไม่ใช่จากคำพูดของผู้อื่นที่กล่าวต่อกันมา และการที่มีผู้บอกว่าสามารถรู้ถึงอดีตชาติของตนเองได้นั้น มีความน่าจะเป็นหรือไม่ที่จะเกิดจากอุปทานหมู่ เช่นเดียวกัน

3.7 การเวียนว่ายตายเกิดนั้นจะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง แน่นอน การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นสัจธรรม แต่สภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายนั้น มีใครบ้างที่มีเครื่องพิสูจน์ หรือหลักฐาน ที่บ่งบอกถึงสภาพก่อนการเกิดและสภาพหลังการตายมีหลักตรรกะอย่างไรที่สามารถบ่งบอกได้ การชดใช้เวรกรรมในชาติก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงได้อย่างไร และแรกเกิดของคนในชาติแรกนั้นเป็นเช่นไร เกิดมาเพื่ออะไร และเราจะเชื่อในเรื่องของการนิพพานได้อย่างไร

พอแล้วครับปวดหัวแล้วครับวันนี้

ใช้สติปัญญาที่มนุษย์มีอย่างอเนกอนันต์ค่อยๆ ไตร่ตรอง ไม่ใช่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์จึงเขวี้ยงมันทิ้งและหนีไปซะ แต่จงเดินหน้าหาทุกข์ที่มาเผชิญและต่อสู้กับมัน ทุกวันที่จะมีสักกี่คนที่จะพยายามค้นหาความประจักษ์ในตัวเอง และจะมีซักกี่คนที่จะกล้ายืนยันตอบคำถามได้อย่างมั่นใจ 100% ว่า มนุษย์เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ความเชื่อที่คุณเชื่อกันมาจะเป็นจริงได้ตามความเชื่อนั้นหรือไม่ ถ้าตามหลักศาสนาแล้วการงานทุกสิ่งที่ทำนั้นคือสิ่งที่ถูก แต่สิ่งที่ถูกจริงๆ คืออะไร มั่นใจได้อย่างไร มองดูคำถามข้อที่ 1 เยอะๆ

ภายในจิตใจของมนุษย์นั้นสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าทิฐิ ถ้าลองได้เชื่อหรือศรัทธาสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว เจ้าทิฐินี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถจะใส่สิ่งอื่นเข้าไปในจิตใจได้อีก ถึงแม้ว่าสิ่งที่จะใส่เข้าไปนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า ถูกต้องกว่า มันก็จะไม่ยอมเปิดทางให้สิ่งอื่นเข้าไปง่ายๆ

ทุกอย่างอาจจะมีการผิดพลาดบ้างเป็นสัจธรรมที่ไม่มีมนุษย์คนไหนถูกต้องเสมอ

ผมก็พร้อมที่รับฟังคำตอบของพี่ๆ ทุกคนครับ ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็มีคำตอบของทุกอย่างในใจของผมอยู่แล้วครับ อยากทราบคำตอบของผม ก็ติดต่อได้ที่เมล์ผมก็ได้ครับ
ขอโทษครับที่อาจไม่ถูกใจใครหลายคน และไม่ได้เรียงร้อยให้มันสวย

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบนะครับ



-- เป็นกระทู้ที่คำถามยาวมากๆ สนทนาทีละหัวข้อได้หริอเปล่า

-- เท่าๆที่อ่านๆดูแล้ว สรุปว่า คุณนับถืออิสลาม พอดีที่บ้านน่ะมีทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม รับธรรมะ ( จีน ) มีครบเกือบทุกศาสนาเลย ตัวเองก็เกือบจะเป็นอิสลามเหมือนกัน พวกป้าๆ อาๆ เป็นอิสลาม แถวบ้านก็มีแต่อิสลาม วันที่จะรับศิล แม่ไม่ทำกับข้าวอื่นให้กิน ในตู้กับข้าวมีแต่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมู เลยเป็นคนไทยที่นับถือพุทธศาสนา 100 % เหมือนเดิม ขอเข้าหัวข้อคำถามเลยนะ

1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม

-- บังเอิญเป็นคนไม่ค่อยจะคิดมาก เกี่ยวกับศาสนา จะว่าตามบรรพบุรุษก็ไม่ใช่ จะว่า สัจธรรมก็ไม่ใช่ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังแต่แรกนั่นแหละ อณุญาติให้เดาเอาเอง ไม่ได้กวนนะ แต่พูดจริงๆ คือเป็นคนไม่คิดมากน่ะ และไม่เคยหาเหตุที่ว่า ทำไมเราต้องนับถือศาสนา หรือทำไมต้องมีศาสนา รู้แค่ว่า มันก็มีกันมาตั้งแต่เกิด เท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: สวัสดีครับ astroboy เจ้าหนูดินระเบิด ชอบดูหนังเรื่องนี้มากครับ :b16:

อ่านข้อความของคุณหนูดินระเบิดแล้วยาวมากครับพอสรุปได้ว่า

"ไม่ใช่คำถามธรรมดา"

เพราะอ่านดูที่มีผู้ตอบแล้ว ผู้ถามย้อนกลับคำตอบที่ตอบ

เหมือนต้องการโต้วาที โต้เถียงทางปรัชญาที่ต้องพิสูจน์ได้ เช่น 1+1 ต้องเท่ากับ 2

ถ้ามีผู้ตอบว่าเท่ากับ 3 ต้องหาเหตุผลมายืนยัน.....

ทำให้ผมย้อนนึถึงสมัยก่อนพุทธกาลมีทฤษฏี 62

ที่นักคิดทั้งหลายได้แสวงหาความเป็นจริงสูงสุดที่เป็นฐานรองรับความมีอยู่ของชีวิต โลก และจักรวาล และพยายามอธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับความเป็นจริงนั้นๆออกมา

ในภาพรวม 62 ทฤษฏีสามารถจัดได้ 3 กลุ่มหลัก คือ

1.กลุ่มจารีตนิยม

กลุ่มจารีตนิยมนี้มีความเชื่อว่า ความรู้ทุกชนิดเกิดมาจากแหล่งเดียวกัน โดยการเปิดเผยของเทพเจ้า ความรู้เรียกว่า “เวท” และได้ยึดถือว่า พระเวท เป็นคัมภีร์หลักสำคัญ มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นโองการของสวรรค์ เป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้อันยิ่งใหญ่ สูงส่ง และสุดยอดของมนุษย์ การสอน การศึกษาก็ต้องบอกและสอนให้ตรงกับสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์พระเวท ต้องยึดตามแบบและปฏิบัติตามประเพณีธรรมเนียมเก่า ต้องอนุรักษ์และอนุวัตรตาม ไม่มีคำโต้แย้ง ทั้งไม่ต้องการคำวิจารณ์ หรือแสวงหาเหตุผล

กลุ่มจารีตนิยม หรือ อนุสสาวิกา บอกสอนความรู้ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากคนโบราณ เพราะของเดิมดีแล้ว เหมาะสมแล้ว


1.2 กลุ่มเหตุผลนิยม หรือ ตรรกะนิยม(Rationalist)

กลุ่มเหตุผลนิยมนี้แสวงหาความรู้ โดยการใช้เหตุผลและการตั้งข้อสมมุติฐาน

ซึ่งถือว่าเป็นการเก็งความจริง ความรู้ที่ได้มานั้น กลุ่มนี้ไม่ได้อ้างว่าเป็นความรู้ที่เกิดจากญาณหยั่งรู้พิเศษอันเกิดมาจากการบำเพ็ญเพียงทางจิตจนบรรลุ

นักคิดกลุ่มนี้ ประกอบด้วยนักปรัชญา นักคิดลัทธิวิมัตินิยม นักคิดลัทธิสสารนิยม นักปรัชญาสายอาชีวกะและปริพพาชกะ นักคิดกลุ่มนี้ยืนยันว่าความรู้เกิดมาจากการใช้เหตุผลของมนุษย์ล้วนๆ ไม่อ้างอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติใดๆ มาช่วย เป็นความคิดเห็นที่เกิดตามหลักเหตุผลล้วนๆ


ผมว่าคุณ astroboy อยู่ในกลุ่มนี้ในยุคนี้ครับ

1.3 กลุ่มประสบการณ์นิยมหรือปฎิบัตินิยม (Experientialist)

กลุ่มปฏิบัตินิยมนี้กล่าวว่า ความรู้เกิดมาจากผลแห่งการปฏิบัติที่ได้รับประสบการณ์มาด้วยตนเอง ผ่านการทดลองพิสูจน์ เป็นความรู้ที่แท้จริง นักคิดกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นักปรัชญาอุปนิษัทยุคปลาย นักปรัชญาเชน เป็นต้น เรียกว่า กลุ่มรู้เองด้วยประสบการณ์และการหยั่งรู้แจ้ง

ศาสนาพุทธ

จัดอยู่ในกลุ่มที่ 3 นี้ พระพุทธเจ้ายอมรับว่า พระองค์แสวงหาความรู้จริงโดยอาศัยหลักการแห่งประสบการณ์จริงเป็นฐาน และความรู้ขั้นสูงสุดได้เกิดมาจากการค้นพบความจริงด้วยพระองค์เอง โดยการบำเพ็ญเพียรทางจิตจนเกิดญาณหยั่งรู้แจ้งขึ้นมา

พุทธศาสนาเมื่อปรากฏขึ้นในอินเดียยุคนั้นจึงทรงวางแนวทางปฏิบัติไว้
ตั้งแต่ตอนนั้นถ้าเจอกับกลุ่ม 3 กลุ่มนี้


1.หลีกเลี่ยงที่จะถกเถียงโต้แย้งทางปรัชญา

พระพุทธเจ้าไม่ใช่นักเก็งความจริง แต่จะพยายามอธิบายหลักคำสอนของพระองค์อย่างมีเหตุผล โดยปกติจะหลีกเว้นการอธิบายที่ยืดยาว

ในลักษณะเช่นนี้พระองค์มักจะคัดค้านพวกที่ชอบการสนทนาโต้แย้ง

พระองค์จะมีท่าทีใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยย้ำที่คุณค่าแห่งความเพียรพยายาม และคุณค่าของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากกว่า

มากกว่าที่จะมามัวโต้เถียงกันทางอภิปรัชญาเป็นสิ่งไร้สาระและเสียเวลา

จุดหมายของพุทธไม่ใช่แต่การสนทนาโต้ตอบหาเหตุผลทางความคิดทางปรัชญา

แต่มุ่งที่การหลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ

ปัญหาทาง อภิปรัชญาที่นักคิดสมัยนั้นชอบโต้แย้งกันโดยถามหาที่สุดโลก เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรียกว่า อัพยากตปัญหา 10 อย่าง คือ

1. โลกเที่ยง
2. โลกไม่เที่ยง
3. โลกมีที่สุด
4. โลกไม่มีที่สุด
5. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นอันเดียวกัน
6. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นคนละอย่างกัน
7. ตถาคตจะเกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
8. ตถาคตจะไม่เกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
9. ตถาคตทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป
10. ตถาคตไม่ใช่ทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป

ข้อสังเกต....เหมือนที่คุณถามไหมครับ.... :b4:

ข้อ 1 - 4 โต้เถียงในเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ วัตถุ (รูปธรรม)

ข้อ 5 - 6 โต้เถียงในเรื่องสภาวะของชีวะ(วิญญาณ) ที่เรียกว่า อาตมัน (นามธรรม)

ข้อ 7 - 10 โต้เถียงในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด การเกิดใหม่

เหตุผลที่ไม่ตอบปัญหาทางอภิปรัชญา

พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัย การโต้เถียงปัญหาทางอภิปรัชญา
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดโต้เถียงย่อมเป็นคนโง่เขลา

กว่าจะได้คำตอบก็ตายก่อนทั้งนักคิดชาวตะวันตก
และนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ถูกสักคน....

2. ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า

3. ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าที่จำต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน

4. ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม

...... พระองค์จะนิ่งเฉยเสีย หรือปฏิเสธตรงๆ

.......หรือให้ยกคำถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ

.......การไม่ตอบเป็นความฉลาด ถ้าตอบ"ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่ายของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง) ถ้าตอบ "ไม่ใช่" ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ)

.......การไม่ตอบไม่ใช่เป็นความโง่ หรือเป็นเพราะความไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งต่างหาก

เพราะแม้ตอบแล้วก็จะยังไม่จบอยู่ดี

ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และอนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และตอบปัญหานี้ได้ดี


ผมฌาณครับ.... :b11:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 20:09
โพสต์: 112


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

ต้องขอออกตัวก่อนอื่นครับ คือผมเป็นพุทธแต่กำเนิดแต่เพิ่งเริ่มเข้ามาศึกษาเพื่อหาแก่นของพระศาสนา
และขออนุญาตชี้แจงตามความเข้าใจดังนี้ครับ
1.ศาสนาพุทธที่ผมน้อมรับสถิตไว้ประจำใจด้วยศัรทธาแรงกล้า ได้กล่าวไว้ว่า มนุษย์แบ่งเป็นบัว4เหล่า ดังนั้นพระพุทธองค์จึงแบ่งการธรรมไว้ ตั้งแต่ พื้นๆคือใช่ศัรทธาเป็นพื้น จนถึงระดับ ใช่ปัญญาเป็นพื้น ดังนั้นจึงตอบได้ว่า เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ด้วยและเป็น สัจธรรมด้วย

ตัวอย่างของสัจธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงเช่น อริยสัจจ์ 4 (ความจริงอันประเสริฐ)
1. ทุกข์ (ความทุกข์, สภาพที่ทนได้ยาก) suffering
2. สมุทัย (เหตุเกิดแห่งทุกข์, สาเหตุให้ทุกข์เกิด) the cause of suffering; origin of suffering
3. นิโรธ (ความดับทุกข์) the cessation of suffering; extinction of suffering
4. มรรค (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์) the path leading to the cessation of suffering
อริยสัจจ์4 ท่าน Astroboy...คิดว่าข้อไหนไม่เป็นจริงครับ//ผมอาจจะมีความรู้น้อย แต่หายังไงก็หาไม่เจอว่าไม่จริงตรงประเด็นไหน

2.จะเชื่อมั่นในศาสนาพุทธอย่างไรว่าเป็นศาสนาที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้วที่คุณเลือกที่จะนับถือ
ตอบ : ผมเชื่อมั่นเพราะ ตั้งแต่เริ่มอ่านธรรมะที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แต่ละข้อล้วนใข้ได้จริงในการดำเนินชีวิตของผมเป็นไปได้อย่างที่ผมคิดว่าควรเป็นโดยไม่ไปทำลายใครให้เดือนร้อน(ผมคิดว่ามีความสมบูรณ์ของความเป็นคนที่ควรจะเป็นนะครับ) เช่น
พรหมวิหาร 4 (ธรรมประจำใจอันประเสริฐ )
1. เมตตา (ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ไมตรี และคิดทำประโยชนต่อมนุษย์สัตว์ทั่วหน้า) loving kindness; friendliness
2. กรุณา (ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันจะปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวง สัตว์) compassion
3. มฑิตา (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ดำรงในปกติสุข พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป) sympathetic joy
4. อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ดำรงอยู่ในธรรมตามที่พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ไม่เอนเอียงด้วยความรักความชัง ) equanimity; neutrality
**จะเห็นว่าสอดคล้องกับ ศาสดาของท่านบางองค์เช่น
อัร-เราะห์มาน แปลเป็นภาษาไทยจะได้ความหมายว่า พระผู้ทรงเมตตา

อัร-รอฮีม พระผู้ทรงกรุณาปราณี (เป็นนิจนิรันดร์)
**นั้นก็แสดงให้เห็นว่าความเมตตาและกรุณา ถ้าเทียบไปก็เป็นสิ่งที่ถูกค้นพบโดย2ศาสดาที่เห็นว่าดีแล้วนำมาสั่งสอนชนรุ่นหลัง...มันอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะมันไม่ใช้1+1แล้วเป็น2อย่างในห้องเรียน แต่มันก็ยังผลให้ผู้ให้และผู้รับมีความสุขอะครับ(พระศาสดาผมสอนเน้นไปในทางดับสิ่งที่เรียกว่าทุกข์)

3.จะเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วทุกเรื่องนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง
ตอบ : ศาสนาพุทธของผมสอนให้เข้าใจในธรรมชาติที่มีอยู่จริงและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันเท่าที่จะทำได้ครับ ดังนั้น ธรรมชาติเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงเราไม่สามารถเอาตัวออกจากมันได้และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันพระพุทธเจ้าก็ให้หลักกว้างๆไว้ครับโดยท่านเรียกว่าให้ใช้ทางสายกลาง(ความเป็นสายกลางก็ต้องเป็นไปตามแต่ละสภาวะของแต่ละบุคคลครับไม่เหมือนกัน)...ด้วยประการฉะนี้ผมจึงเป็นว่าทุกเรื่องเป็นจริงตามคำสอนครับของพระพุทธองค์ครับ

ส่วนคำถามข้อย่อยๆ :
1.อ้างถึง “แต่ทุกอย่างยังคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในแม้แต่ 1 ตัวอักษร
คุณเองก็โลกแคบที่ไม่เคยรู้จักหนังสือเล่มนี้”…
ขออนุญาตโต้แย้ง-เพราะพระศาสดาของผมท่านรู้แจ้งตลอดว่าโลกย่อมเปลี่ยนแปลงท่านจึงให้หลักกว้างๆที่พร้อมจะปรับเพื่อให้สรรพชีวิตสามารถยังชีพได้ตามควรแก่กาลนั้นๆ ดังนั้นท่านจึงไม่กำหนดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ดังนั้นพระสูตรของเราจึงมีผู้รู้และเชียวชาญกรุณาระบุให้ชัดเจนในแต่ละสมัยครับ..และอีกอย่าง.ผมเป็นชาวพุทธที่ไม่เน้นการคิดและศึกษาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนหรือเป็นเทพแต่ผมศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เห็นว่าเป็นสิ่งดี(สิ่งดีของผมคือไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจร้อนใจเสียหาย...ไม่ใช่ว่าเห็นตามบัญญัติของสังคมที่บอกว่าสิ่งนั้นเรียกว่าดีสิ่งนี้เรียกว่าไม่ดี)

2.สรุปว่าน่าจะเป็นว่า ทุกคนเกิดมาต้องตาย ชีวิตหลังความตายไปไหน
คำตอบ : พระศาสดาของผมได้ชี้แนะเรื่อง การนั่งสมาธิเรียกว่าสมถะเป็นเรื่องของพลังจิต
1.http://www.pt.ac.th/ptweb/prajead/atom_ ... m_stru.htmเนื้อหาบางตอน-แสดงว่าการที่อนุภาคแอลฟาเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิม หรือสะท้อนกลับทางเดิมได้แสดงว่าต้องมีแรงผลัก

2. http://www.phd-hypno.com/index.php?lay= ... &Id=322240
เนื้อหาว่าด้วยเรื่อง-รังสีออร่า

ผมพยายามจะอธิบายว่า พลังจิตเป็นตัวบ่งชี้ชิวิตหลังความตายครับ(อาจจะผิดพลาดก็ได้เป็นความเห็นส่วนตัว)

ความเห็นของผมอาจผิดพลาดก็ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับแต่ที่ตอบกระทู้ก็เพียงประสงค์จะชี้แจงให้ทราบว่าผมเองก็เป็นชาวพุทธคนหนึ่งที่ต้องการจะชี้แจงให้ทราบว่าทำไมผมถึงศรัทธาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ด้วยสุดกำลังของชีวิตที่มีครับ(อาจจะจับประเด็นคำถามไม่ทุกประเด็นและตอบไม่ตรงประเด็น ก็ตอ้งขออภัยมาณที่นี้ด้วยครับ)

:b8: เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากครับคุณ ฌาน สำหรับความรู้ครับ

ทีแรกผมว่าจะไม่มาตอบแล้ว เพราะว่าตอนแรก ผมเพียงต้องเพียงแค่ข้อมูลจริงๆครับ หลังๆคันปากไปนิดครับและก็เบื่อมากครับกับพวกที่ชอบอ้างตัวว่าพ้นน้ำ แต่จริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลยว่าตนคือบัวอะไรคือบัวที่แท้จริง พอเจอช่องโหว่ตัวเองเข้าอย่างจังก็พยายามบอกว่านี่เป็นการกู้ร้องบ้าง อะไรต่างๆบ้าง

เหมือนกับผู้มาโพสต์กระตอบทั้งหลายพยายาม ที่จะหาทางออกให้ตัวเองถูกให้ได้ ทั้งที่รู้ว่ามันขัดแย้งและมันมีช่องโหว่มากมาย แต่เท่าที่ดูมาเหมือนว่าคุณฌานคุณจะพอเข้าใจอะไรอยู่บ้างครับ

ผมจะวิจารณ์อีกสักครั้งครับว่ามันมีช่องโหว่ยังไงที่ยังไงคุณเองก็ไม่ยอมรับ ขอวิจารณ์ตามคุณเลยนะครับ คำพูดผมสีแดงครับ


ตรงประเด็นเลยครับ เรื่องกลุ่มหรือลัทธิต่างๆเหมือนที่ผมพยายามอธิบายคำว่าใครกำหนดความดีขึ้นมา ทีนี้คุณลองอ่านหลายๆรอบครับ กลุ่มประสบการณ์นิยมหรือปฎิบัตินิยม ไม่สามารถเชื่อถือเลย ยกตัวอย่างเช่น การที่คนเราจะคำนวณทางคณิตศาสตร์ชั้นสูงนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมาถึงเริ่มคำนวณเลย แต่คุณต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานจากการบวก ลบ เลข เพราะการจะรู้สิ่งใดนั้น ไม่ได้เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการต่อยอดจากผู้อื่นโดยการใช้เหตุผลก็ได้ครับ
หรือจาก การยกตัวอย่างเรื่องแบบจำลองโครงสร้างอะตอมครับ ซึ่งปัจจุบันรูปแบบที่คนบอกว่าทดลองแล้วถูกมีตั้งมากมาย แต่ความเป็นจริงที่สุดคือ มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับที่ถูกต้อง
และ จากเรื่องนี้


- มีคนสองคน คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว ไม่ถึงที่
อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน

สองคนนี้ รู้สิ่งที่รียกว่า ความจริง เหมือนๆกัน คือรู้ว่ามีหอไอเฟลจริง รูปร่างหน้าตาอย่างนี้อย่างนั้น

อีกคนหนึ่ง บ้านป่าเมื่องเถื่อน เป้นชาวเขา ไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา
มีคนมาเล่าให้ฟังมามีตึกทำจากเหล็กสูงระฟ้าอย่างนี้อย่างนั้น

คนสามประเภทนี้คือ
1. คนที่เคยไปพอไอเฟลคือ พระอรหันต์ รู้แจ้งในธรรมทั้งปวง
2. คนที่ดูทีวีสารคดีและสื่ออยู่บ้าน ที่รู้ว่าหอไอเฟลมีจริง คือพวกที่ กำลังศักษาศาสนาพุทธ ผู้ศึกษาธรรมขั้นปริยัติ และปฏิบัติ แต่ยังไม่ถึงปฏิเวธ (ทำยังไม่สำเร็จ)
3. คนที่สามคือ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ศึกษาอะไรเลย ได้แต่คอยคาดเดาเอาจากที่ได้ยินได้ฟัง
และเพราะตึกแบบนี้ มันไม่เคยมีใน vision ของเขามาก่อน เขาก้เลยสงสัยว่าจริงหรือไม่
โกหกหรือเปล่า


หอไอเฟลนั้นเป็นรูปธรรมมีตัวตนอยู่จริง ถ้าคนแรกเห็นหอไอเฟลเมื่อ คนหนึ่งเคยไปยืนบนหอไอเฟลมาแล้ว และคนที่สอง อีกคนดูทีวีอยู่บ้าน และคนที่สามไม่เคยมีทีวีสารคดีหรือความรู้อะไรกับเขา แต่ถ้าคนที่สองหรือคนที่สามมีโอกาสได้ไปยืนบนหอไอเฟลเช่นเดียวกับคนที่หนึ่งแล้ว แน่นอนตามหลักตรรกะเขาต้องมีความรู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่คนที่หนึ่งได้มีโอกาสไปยืนมาเช่นเดียวกัน
แต่แน่นอนในเรื่องของการบรรลุธรรมนั้นเป็นความรู้สึก ความนึกคิดที่อยู่ในใจของตัวเองซึ่งเป็นเพียงนามธรรม ซึ่งแน่นอนที่เดียวไม่มีโอกาสที่จะให้คนที่สองหรือคนที่สามมีความเข้าใจในความคิดของคนที่ 1 ได้โดยถ่องแท้อาจจะมีความรู้สึกที่เป็นไปตามคำอุปทานที่ตัวเองยกให้คล้ายกัน แต่ในหลักความจริงแล้วนั้น ย่อมไม่มีทางเป็นได้

เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นการเปรียบเทียบที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
และการทำให้ตัวเองได้รู้ถึงความจริงด้วยอารมณ์ตัวเองหรือสิ่งที่ตนพบมานั้นนั้น เป็นความคิดที่แย่มากครับ อะไรบ้างที่มันขัดแย้งกับเรื่องพวกนี้ เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องอะไรก็ตามที่มีคนพยายามพูดว่าไปเห็นมาแล้ว และที่พยายามอ้างกันว่าต้องไปเห็นมาด้วยกับตาตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้



หลีกเลี่ยงที่จะถกเถียงโต้แย้งทางปรัชญา

พระพุทธเจ้าไม่ใช่นักเก็งความจริง แต่จะพยายามอธิบายหลักคำสอนของพระองค์อย่างมีเหตุผล โดยปกติจะหลีกเว้นการอธิบายที่ยืดยาว

ในลักษณะเช่นนี้พระองค์มักจะคัดค้านพวกที่ชอบการสนทนาโต้แย้ง

พระองค์จะมีท่าทีใกล้เคียงกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยย้ำที่คุณค่าแห่งความเพียรพยายาม และคุณค่าของการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากกว่า

มากกว่าที่จะมามัวโต้เถียงกันทางอภิปรัชญาเป็นสิ่งไร้สาระและเสียเวลา

คนไหนบ้างที่พยายามบอกว่านี่สุดยอดของนักปรัชญาที่หาคนเทียบเทียมไม่ได้
แต่ถึงแม้ว่าจะอธิบายออกมาได้ ความจริงมันก็คือความจริง มันขัดแย้งอย่างรุนแรงกับหลักธรรมที่เคยพูดไว้อย่างแน่นอน
ซึ่งผมก็ได้พูดไปแล้ว เรื่อง คำสอนที่ว่าทุกสิ่งมีที่มา มีเหตุก็ต้องมีผล ทุกสิ่งทุกอย่างการมีเกิดก็ต้องมีดับ โดยเฉพาะการใช้เวรกรรม หรือการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ข้อเท็จจริงตามตรรกะคือไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น ผมได้อธิบายไปแล้วด้านบน แต่หลายคนก็พยายามหาทางออกครับทั้งๆที่มันไม่มี



มีเหตุอย่างอื่นไหมครับที่ดีกว่านี้

• จุดหมายของพุทธไม่ใช่แต่การสนทนาโต้ตอบหาเหตุผลทางความคิดทางปรัชญา

แต่มุ่งที่การหลุดพ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ

เพราะอย่างที่ผมพยายามจะพูด มุ่งแต่การหลุดพ้น และการหลุดพ้นนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องอย่างนั้น เพราะว่าอย่างที่บอกไปครับ ไม่มีใครในนี้ที่จะกล้าตอบออกมาว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน ตายแล้วจะได้หลุดพ้นจริงหรือเปล่า

ปัญหาทาง อภิปรัชญาที่นักคิดสมัยนั้นชอบโต้แย้งกันโดยถามหาที่สุดโลก เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรียกว่า อัพยากตปัญหา 10 อย่าง คือ

1. โลกเที่ยง
2. โลกไม่เที่ยง
3. โลกมีที่สุด
4. โลกไม่มีที่สุด
5. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นอันเดียวกัน
6. สรีระ(ร่างกาย)และชีพ(วิญญาณ)เป็นคนละอย่างกัน
7. ตถาคตจะเกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
8. ตถาคตจะไม่เกิดใหม่อีกเมื่อตายไป
9. ตถาคตทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป
10. ตถาคตไม่ใช่ทั้งจะเกิดใหม่และไม่เกิดอีกหลังจากตายไป

ข้อสังเกต....เหมือนที่คุณถามไหมครับ....

ข้อ 1 - 4 โต้เถียงในเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ วัตถุ (รูปธรรม)

เพราะว่าตอบไม่ได้เลยตอบครับ เหมือนอย่างที่บอกว่าถ้าตอบความจริงออกมาแล้ว นั้นมันขัดแย้งกันไปมาอย่างชัดเจนครับ

ข้อ 5 - 6 โต้เถียงในเรื่องสภาวะของชีวะ(วิญญาณ) ที่เรียกว่า อาตมัน (นามธรรม)
ถึงได้บอกว่าต้องรอให้ตายจึงรู้ความจริงใช่ไหมครับ แล้วดูเรื่องการหาประสบการณ์ด้วยตัวเองให้ดีนะครับ
และแน่แท้คนตายไม่สามารถลุกขึ้นมาตอบปัญหาเรื่องชีวิตหลังความตายได้แน่นอน


ข้อ 7 - 10 โต้เถียงในเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด การเกิดใหม่

เพราะข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ และตามหลักเหตุผลแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ครับ


เหตุผลที่ไม่ตอบปัญหาทางอภิปรัชญา

พระพุทธเจ้าไม่ทรงสนพระทัย การโต้เถียงปัญหาทางอภิปรัชญา
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

1.ไม่เป็นประโยชน์ คนพูดโต้เถียงย่อมเป็นคนโง่เขลา

กว่าจะได้คำตอบก็ตายก่อนทั้งนักคิดชาวตะวันตก
และนักคิดชาวตะวันออกได้พยายามมาตั้งหลายพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ถูกสักคน....

ไม่ทราบว่าตรงนี้รวมถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ


2. ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ คิดไปก็เสียเวลาเปล่า

ดังเช่นที่บอก เพราะคุณไม่ทราบคำตอบที่แท้จริงของคำว่า เกิดมาเพื่ออะไร เมื่อเกิดมาแล้วมีความทุกข์ก็เลยพยายามหาทางให้มันพ้นทุกข์ครับ

3. ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน มีเรื่องอื่นที่เร่งด่วนกว่าที่จำต้องรีบคิดแก้ไข คือทุกคนมีทุกข์ต้องรีบดับทุกข์ก่อน

ตามข้อสองเลยครับ ไม่รีบตอบ และวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้ครับ

4. ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้คำตอบ

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าครั้นถูกถาม

...... พระองค์จะนิ่งเฉยเสีย หรือปฏิเสธตรงๆ

.......หรือให้ยกคำถามไว้ก่อนว่ายังไม่สมควรตอบ

.......การไม่ตอบเป็นความฉลาด ถ้าตอบ"ใช่" ก็ต้องตกอยู่ในข่ายของสัสสตวาทะ (ความเห็นว่า วิญญาณเที่ยง) ถ้าตอบ "ไม่ใช่" ก็จะอยู่ในข่าย อุจเฉทวาทะ (ความเห็นว่าวิญญาณขาดสูญ)

.......การไม่ตอบไม่ใช่เป็นความโง่ หรือเป็นเพราะความไม่รู้ แต่ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างยิ่งต่างหาก

เพราะวันนี้คำตอบที่แท้จริงมันมีอยู่แล้ว แต่ว่ามันขัดกับหลักธรรมหลักๆ ของตัวเองต่างหากครับ
และก็เป็นการฉลาดจริงๆครับ ที่ไม่ตอบ เพราะถ้าตอบไปคงรู้แน่ว่าไม่ใช่ไม่จบ คืออาจจะไม่มีศาสนาดังเช่นวันนี้ครับ


เพราะแม้ตอบแล้วก็จะยังไม่จบอยู่ดี

ผู้ใดมีศักยภาพสามารถรู้อดีต และอนาคตไม่มีขีดจำกัดจะรู้ และตอบปัญหานี้ได้ดี

ผมฌาณครับ....

ผมจะบอกให้นะครับ ผมเป็นคนที่เชื่อในหลักเหตุผลมากนะครับ และทั้งๆที่ศาสนาคุณก็เน้นเหตุผล แต่พอหาเหตุที่แท้จริงไม่พบ ก็คิดว่านี่เป็นทุกข์ แล้วจึงกำจัดทุกข์ด้วยการทิ้งมันไป

ถึงเหตุผลจะมากเท่าไหร่ แต่คุณรู้ไหมผมคนนี้เป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า เพราะว่าสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงครับ ไม่มีเหตุผลอันใดหรือคำสอน หรือหลักตรรกะเลยครับที่จะหักล้างออกไปได้ ถ้าอยากรู้ ก็ลองลงท้ายคำถามทุกคำถามข้อแย้งทุกข้อด้วยพระเจ้าสิครับ คงเพราะทิฐิมั้งครับถึงทำให้ลืมได้หรือถ้ายังงง @ เมล์มาก็ได้ครับ
เพราะผมไม่อยากให้มีการด่าเกิดขึ้นในนี้ และไม่ได้เป็นการดูถูกหรือลบหลู่ศาสนาของคุณ เพราะเราคุยกันด้วยเหตุผลสำหรับผู้มีสติปัญญาและต้องการสัจธรรม ที่สำคัญไม่ได้มีเจตนาเพื่อเชิญชวนสู่ศาสนา เพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่เข้ามาโพสต์แล้วครับ
และทุกวันนี้ผมเองก็ยังสงสัยว่าทำไมกันมนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า ผมว่ามันเหมือนกับการปฏิเสธหลักการคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เลยครับ

ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้นี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 20:17
โพสต์: 15


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนคุณ Astroboy..
อธิบายคำว่า ตรรกะ ของคุณให้ทราบชัดๆ สั้นๆหน่อยดิ...อยากรู้..

1. ทุกวันนี้เรามีศาสนาเพื่ออะไร ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตามบรรพบุรุษ หรือ สัจธรรม นี้เป็นคำถามของคุณ..

ตอบ..สำหรับพุทธแล้วคือทั้ง 2 อย่าง แต่อย่างแรกไม่ขอพูดเพราะคุณก้อไม่ต้องการคำตอบสักเท่าไร
ผมสนใจอย่างหล้งมากกว่า....สัจธรรมคืออะไร คือความจริง..ยกตัวอย่างเช่น..ความแก่กับความตาย..เห็นชัดที่สุด ไม่ต้องเอาหลักอะไรมาอ้างอิง...คือความจริง..ยำคือความจริง หาดูได้ง่ายด้วย..(Google ช่วยได้.) ผมไม่อยากเอยคำว่าเชื่อกับคุณ..เพราะความเชื่อมันจะไปรวมกับคำว่าศรัทธากลายเป็นอุปทานไปซึ่งมันใช้ไม่ได้กับคุณ..ผมขอถามดีกว่า..ว่า.คุณยอมรับมั๊ยว่า?..ตัวคุณเองจะแก่และตายในที่สุด. ให้คุณตอบก่อน..แล้วผมจะมาพูดต่อ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2009, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 22:13
โพสต์: 23


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบ คุณ อัญญาสิ ครั้งสุดท้ายครับ

ว่าจะอำลาบอร์ด ใครสงสัยแอดเมล์มาครับ



อ้างคำพูด:
อัร-เราะห์มาน แปลเป็นภาษาไทยจะได้ความหมายว่า พระผู้ทรงเมตตา

อัร-รอฮีม พระผู้ทรงกรุณาปราณี (เป็นนิจนิรันดร์)



คำพวกนี้ใช้กับพระเจ้าเท่านั้น และเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์ที่รู้ซึ้งถึงความเมตตา หาใช่เรื่องที่สามารถอธิบายออกมาเป็นเหตุผล เพราะถึงให้บอกครับ ว่ามองโลกอีกมุมหนึ่ง คุณจะทราบว่า แล้วคุณจะทราบว่าทำไมผมจึงใช้คำนี้กับพระเจ้าองค์เดียวครับ แล้วเหตุผลที่คำสอนตรงกันนั้นย่อมแน่นอน เพราะศาสนาต้องสอนให้เป็นคนดีสิครับ

อ้างคำพูด:
ขออนุญาตโต้แย้ง-เพราะพระศาสดาของผมท่านรู้แจ้งตลอดว่าโลกย่อมเปลี่ยนแปลงท่านจึงให้หลักกว้างๆที่พร้อมจะปรับเพื่อให้สรรพชีวิตสามารถยังชีพได้ตามควรแก่กาลนั้นๆ ดังนั้นท่านจึงไม่กำหนดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ดังนั้นพระสูตรของเราจึงมีผู้รู้และเชียวชาญกรุณาระบุให้ชัดเจนในแต่ละสมัยครับ


เรื่องนี้คุณต้องไปเถียงคุณคามินธรรมครับ
เพราะว่าคัมภีร์ผมนั้นไม่มีกาลปรับเปลี่ยนใดๆ และยืนยันว่าใช้ได้ตลอดกาล ต่างกับคุณที่บอกว่าปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย .. ส่วนเรื่องข้อมูลนั้นอธิบายไว้แล้ว


อ้างคำพูด:
และอีกอย่าง.ผมเป็นชาวพุทธที่ไม่เน้นการคิดและศึกษาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนหรือเป็นเทพแต่ผมศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตที่เห็นว่าเป็นสิ่งดี(สิ่งดีของผมคือไม่ทำให้คนอื่นทุกข์ใจร้อนใจเสียหาย...ไม่ใช่ว่าเห็นตามบัญญัติของสังคมที่บอกว่าสิ่งนั้นเรียกว่าดีสิ่งนี้เรียกว่าไม่ดี)

และอีกที่อย่างที่พยายามจะบอกและตั้งคำถามมาคือ ทำไมต้องตามคนผู้นี้กันด้วยครับ ก่อนที่จะดับทุกข์เคยคิดไหมครับว่า เหตุใดต้องไปดับทุกข์เพื่อค้นหาความสุขของตัวเอง เพราะเหมือนที่บอกครับ วันนี้คุณทราบรึเปล่าครับว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อใช้เวรใช้กรรมนั้นแน่ใจได้อย่างไร เพราะว่าออกมาจากคำพูดของคนที่พวกคุณพยายามจะบอกว่านี่คืออัจฉริยะกระนั้นหรือ

และก็ยืนยันว่าไม่ได้มาเพื่อเชิญชวนทั้งสิ้นครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับคุณ อัญญาสิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุคุณฌานด้วยครับ
นี่แหละคนศึกษาปรัชญาจริงๆ
มันวัดให้เห็นดำเห็นแดงกันได้ตอนบูรณาการความรู้นี่แหละ



Astroboy เขียน:
แต่คุณรู้ไหมผมคนนี้เป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า เพราะว่าสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงครับ ไม่มีเหตุผลอันใดหรือคำสอน หรือหลักตรรกะเลยครับที่จะหักล้างออกไปได้ ี้

- ผมสนใจคำที่คุณใช้สับสนกันไปหมด เช่นคำว่า
ความจริง ความถูกต้อง สัจจะธรรม ข้อเท็จจริง ตรรกะ เหตุผล ฯลฯ
คำเหล่านี้มันไม่มีความแตกต่างสำหรับคุณเลยหรือครับ

ลองดูนะ
ตึก empire state ก็มีข้อเท็จจริงว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก
แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ตายไปหลายปีแล้ว ดับไปหลายปีแล้ว
ปัจจุบันไม่ใช่ตึกนี้แล้ว

ทำไมถึบอกว่าพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริง
ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ตายได้นะ เปลี่ยนแปลงได้นะ
แต่เอาล่ะ เรื่องเล็ก แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆที่แสดงให้เห็นนัยย์สำคัญบางอย่าง


แต่สิ่งที่น่าสนใจและตลกด้วยในคราวเดียวกัน
คือคุณพยามจะร้องหาเหตุผล ตรรกะ การพิสูจน์
แต่พอถึงคราวพระเจ้าตัวเองก็ยกเหตุผลออก เอาตรรกกะออก
ดังที่คุณพูดว่า
Astroboy เขียน:
แต่คุณรู้ไหมผมคนนี้เป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า เพราะว่าสิ่งนี้คือข้อเท็จจริงครับ ไม่มีเหตุผลอันใดหรือคำสอน หรือหลักตรรกะเลยครับที่จะหักล้างออกไปได้ ี้



บอกชาวบ้านให้มีตรรกะ มีเหตุผล อย่างนี้อย่างนั้
แต่ของตัวเองกลับบอกว่าเหนือเหตุผล เหนือตรรกะ


สิ่งที่เห็นก็มีแต่ความเชื่อทั้งนั้น
ไม่เห็นจะพิสูจน์ได้เลยว่าพระเจ้าของศาสนาใหม่ของคุณ
จะมีตัวตนอยู่จริง

อย่าลืมนะครับ
หากมีตัวตนต้อง tangible กินที่ กินเวลา อยู่หลายที่ในเวลาเดียวกันไม่ได้ ติดอยู่กับเวลา



Astroboy เขียน:
ถ้าอยากรู้ ก็ลองลงท้ายคำถามทุกคำถามข้อแย้งทุกข้อด้วยพระเจ้าสิครับ
คงเพราะทิฐิมั้งครับถึงทำให้ลืมได้
ถ้ายังงง @ เมล์มาก็ได้ครับ
เพราะผมไม่อยากให้มีการด่าเกิดขึ้นในนี้ และไม่ได้เป็นการดูถูกหรือลบหลู่ศาสนาของคุณ


ทำยังไงครับ ลงท้ายยังไง พูดไปเลยครับ ไม่ต้องทำให้มันลึกลับซับซ้อน

แต่ผมก็ไม่เข้าใจคุณอย่างหนึ่ง
ตอนแรกทำทีเหมือนคนสงสัยในคำสอนศาสนาพุทธ
แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นคนที่พยามจะ
เหยียบศาสนาพุทธลง เพื่อตัวเองจะได้อยู่สูงขึ้น
กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อตัวเองจะได้สุงขึ้น


คุณลองดูที่คุณเกริ่นเอาไว้ที่หัวกระทู้หน่อยนะ
Astroboy เขียน:
ผมเพียงต้องการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเชื่อมั่นของชาวพุทธน่ะครับ


ถ้าคุณสงสัยอะไรคุณก็ได้คำตอบแล้ว มีคนอาสาตอบมากมาย
แต่ทำไมกลายเป็นว่า ศาสนาพุทธผิด
ไม่ว่าใครตอบอะไร ตอบอย่างไร คุณก้ว่าผิดทั้งนั้น
ที่ผิดเพราะมันผิดไปจากบรรทัดฐานในใจคุณ คุณมีคำตอบอยู่แล้ว
แต่ต้องการหาเรื่องถามแล้วหาเรื่องยัดเยียดคำตอบเท่านั้นเอง


เพราะถ้าคุณตั้งกระทู้เผยแผ่ศาสนาใหม่ คงโดนลบแน่ๆ
เลยมาอาศัยวิธีแบบนี้


ถ้าจะเผยแผ่ศาสนาก็ทำไปเถอะ
แต่ให้รู้จักเลือกโอกาส สถานที่ด้วย
ศาสนาพุทธเราอยู่ของเราดีๆ เราจะดีจะชั่วยังไง
จะโง่หรือฉลาด จะหลงผิดหรือหลงถูก ก็เรื่องของเรา
เราก็เป็นของเราอย่างนี้ ไม่จำเป็นจะต้องมาเบียดเบียนกัน
คุณควรจะไปสร้างช่องทางเผยแผ่ของคุณเอง
อย่ามาทำตัวเป็นกาฝากแบบต้นไทรที่มันไม่มีลำต้นของตัวเอง
ก็เลยเจาะเข้าไปในต้นไม้อื่นแล้วดูดน้พเลี้ยงจนตัวเองเติบโต
จากนั้นก็ค่อยๆกินต้นไม้นั้นทั้งเป็น




Astroboy เขียน:
เพราะเราคุยกันด้วยเหตุผลสำหรับผู้มีสติปัญญาและต้องการสัจธรรม


- ในที่นี้ก็พูดเหตุผลทั้งนั้นนะ มีแต่คุณกระแทกแดกดัน หยาบๆคายๆ
พอผมย้อนรอยเข้าให้ก็ไม่พอใจ

ผมมีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบย้อน ใครโยนอะไรมาผมก้จะโยนกลับไป
จะได้รู้สึกว่าใจคนอื่นก็เหมือนใจตัวเองนั่นแหละ
ไม่ใช่คุณมาตีีหน้าซื่อบอกว่าอยากรู้นะ อยากคุยดีๆ มีเหตุผล ปาวารณาตัวเอาไว้อย่างดี
แต่เวลาพูด ก็กระแทกแดกดัน
มันเหมือนคนที่บอกคนอื่นว่า ผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างอย่าโกรธนะ เจตนาดี แต่ก็เอาขี้ตัวเองปาใส่คนอื่น

พอเขาปากลับมา ก็ไม่พอใจว่าทำไมเขาปาขี้ใส่เรา
เนียะ ไม่รู้จักเอาใจคนอื่นมาใส่ใจเรา
ใจเราอย่างไร ใจเขาอย่างนั้น

ถ้าคุณต้องการสัจจะธรรมแบบพุทธจริงๆ
ผมจะบอกให "แม้ว่าผมจะพยามบอกแล้ว "
"แต่คุณไม่อ่านให้ดีเลย"" ควรจะอ่านผมหลายๆรอบ "
"คุณควรจะเข้าใจผมให้ลึกซึ้งถ่องแท้ด้วยภาษาและการสื่อสารที่ผมกำหนด"



สัจจะธรรมคือความจริงที่เป็นจริงที่สุด มีอยู่ในจริงธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าเหมือนใบไม้ในผืนป่า
แต่ในทรรศนะพระพุทธเจ้า สัจจะธรรมในธรรมชาติมีสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเป้นฝ่ายที่มนุษย์ใช้ได้ เข้าใจได้ สามารถรู้ได้ด้วยตน (แต่ละคน)เอง
ท่านเปรียบว่าเท่าใบไม้ในกำมือที่พระองค์กำขึ้นมา

อีกฝ่ายหนึ่งคือสัจจะธรรมที่ไม่มีประโชยน์กับมนุษย์ หรือมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้
ไม่สามารถพิสูจน์รู้ได้ด้วยตน ท่านเปรียบว่ามากเหมือนใบไม่ในผืนป่า

เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ มีขอบเขต ขอบเขตคือใบไม้ในกำมือ
ไม่บ้าหอบฟางไปกับคนอื่น

สัจจะธรรมสูงสุดในพุทธศาสนามี 4 อย่าง เรียกว่าปรมัตถ์ธรรม 4
แต่มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล หรือตรรกะ อะไรของคุณทั้งนั้น
ดังนั้นจึงไม่พูดในที่นี้

แต่อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าวางหลักเกณฑ์เอาไว้แล้วว่า
ถ้าเป้นสัจจะธรรมในขอบเขตของศาสนาพุทธ สิ่งนั้นจะต้องมีคุณสมบัติ 6 ประการ
เรียกว่า ธรรมคุณ 6 ประการ

แต่เอาแค่ 2 ข้อพอ
- เป็นจริงทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (อกาลิโก)
- วิญญูชนสามารถรู้ได้ด้วยตน (ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ)

สิ่งที่ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ไม่ยึดเกี่ยวกับการเวลา ได้แก่ ไตรลักษณ์
ที่กล่าวว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด ย่อมมีความเกิดเป็นธรรมดา ความดับเป็นธรรมดา
นี่คือจริงแท้ในทุกๆสถานการณ์ มีมาก่อนโลกจะเกิด และต่อให้โลกดับไปแล้ว
ความจริงในข้อนี้ก้ยังคงเกิดขึ้นกับทุกสิ่งในจักรวาล
จึงกล่าวว่า อกาลิโก

และที่กล่าวว่า วิญญูชนสามารถรู้ได้ด้วยตน ก็หมายถึง คนที่มีความรู้ ไม่โง่จนเกินไป
ก็คงจะพยักหน้าเห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าว่า ว่าที่ท่านพูดเรื่องไตรลักษณ์นั้น เป็นความจริง ท่านพูดถูก
ทั้งๆที่เราๆท่านๆก้มีอายุไม่เกินร้อยปี อยู่ดูจักรวาลเกิดดับไม่ได้ แต่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นจริง
จึงกล่าวว่า วิญญูชน รู้ได้ด่วยตน

ปัญหามันอยู่ตรงคำว่าวิญญูชนนี่แหละ
ผมก็ทึ่งอีกครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านใส่คำว่าวิญญูชนเข้ามาด้วย โดยไม่ใช้จุดประสงค์เพื่อสำนวน หรือความงามของภาษาอะไรทัง้นั้น
แต่วิญญูชนหมายถึง บัวที่พ้นจากตมแล้ว อยู่ในฐานะที่พอจะพิจารณาอะไรได้
พูดง่ายๆว่า ถ้าไมโง่จนเกินไป ก้สามารถจะรู้ได้ด้วยตน

เนียะ ผมอธิบายคำว่าสัจจะธรรมในศาสนาพุทธแล้ว 1 เรื่อง
ผมไม่ได้วุ่นวายหับหลอดทดลองหรือวัดปรอทอะไรเลย พูดไปตามจริง พื้นๆ
เพื่อแสดงให้เห็นว่าสัจจะธรรมในศาสนาพุทะคืออะไร

ไหนรบกวนคุณพูดสิว่าอะไรคือสัจจะธรรมในศาสนาคุณ เอาสักเรื่องเดียวพอ
อย่ามัวแต่มาซักฟอกคนอื่นว่าผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้
มันง่ายๆกว่าที่จะบอกว่าอะไรคือถูก พูดไปเลย
ทองอท้อย่ากลัวไฟ อย่ากลัวการพิสูจน์




Astroboy เขียน:

ที่สำคัญไม่ได้มีเจตนาเพื่อเชิญชวนสู่ศาสนา เพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่เข้ามาโพสต์แล้วครับี้

- เจตนาที่พูดออกจากปากก็อย่างหนึ่ง
แต่การแสดงออกมันชวนให้คิดไปอีกอย่างหนึ่ง


Astroboy เขียน:
และทุกวันนี้ผมเองก็ยังสงสัยว่าทำไมกันมนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า ผมว่ามันเหมือนกับการปฏิเสธหลักการคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เลยครับ
ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้นี้


- นี่ผมก็พยามจะเข้าใจคุณนะ
เดี่ยวก้ว่าพระเจ้าของคุณ สัจจะธรรมของคุณมันเหนือเหตุผล ตรรกะ
แต่สุดท้ายก็เอามาเปรียบว่าเหมือนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
ตกลงเอายังไงกันแน่

คุณไปหัดศึกษาใหม่นะ อ่าให้ดี ิ่านหลายๆรอบ อ่านๆช้า อ่านให้เข้าใจ
นิยามของศํพท์เทคนิคต่างๆคุณยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ยังจะมาตรรกะลิสซึ่ม เหตุผลลิสซึ่มอยู่ได้

ส่งท้าย
ขออภัยนะที่ผมปากเสียพูดไม่ดี
แต่เจตนาดีนะ อยากให้ความรู้
ถ้าไม่พอใจก้ขอโทษนะ
ง่ายๆแบบนี้แหละ ทำแบบเดียวกันไม่ควรจะถือสากันนะ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกเรื่องที่สำคํญมาก
ขอขยายความต่อ


ศาสนาพุทธมีขอบเขต มีจุดประสงค์ชัดเจน
ว่าหลักธรรมทั้งปวงของศาสนาพุทธ เรามุ่งแก้ไำขความทุกข์
เราไม่ได้มุ่งตอบสนองตันหาอยากรู้


ใครอยากจะบ้าหอบฟางไปรู้เรื่องอะไรยังไง
แต่ศาสนาพุทธไม่บ้าด้วย
เรามีขอบเขต


ไม่ใช่ว่าพอเราไม่พูดเรื่องนอกขอบเขต ก็โจมตีต่างๆนาๆ
ทั้งๆที่เรื่องนอกขอบเขตที่เอามาถาม ตัวเองก็พิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับไม่ได้เหมือนกัน
จินตนาการเชื่อถือไปเอง

แล้วก้มาทำเป้นว่าศาสนาพุทธไม่ดี ไม่ยอมตอบ
โดยไม่ดูตัวเองว่าตัวเองก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินทัง้นั้น คิดเอาเอง เอออเอาเอง
ไม่มีวิธีพิสูจน์ให้เห็นจริง

ว่ากันจริงๆแล้ว
ศาสนาพุทธมีวิธีพิสูจน์ในทุกเรื่องที่เราสอน
ไม่เหมือนที่บอกให้เชื่อ ให้เชื่อ และให้เชื่อ

ศาสนาพุทธเราบอกว่า เชื่อคือโง่

และเพราะคนโง่มันคิดไม่ออกหรอกว่าเชื่อคือโง่เป็นยังไง
พระพุทธเจ้าเลยอุตส่าห์แจกแจงว่า โง่ 10 อย่างนั้นมีอะไรบ้าง


สีแดงคือสิง่ที่คุณเป้นอยู่

๑) มา อนุสสะเวนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะได้ยินได้ฟังอยู่เนือง ๆ
๒) มา ปรัมปรายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเป็นไปตามประเพณีสืบ ๆ กันมา
๓) มา อิติกิรายะ อย่าเชื่อถือตามคำที่เขาเล่าลือกัน
๔) มา ปิฏะกะสัมปะทาเนนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะตรงกับตำรา
๕) มา ตักกะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะคาดคะเนเอา
๖) มานะยะเหตุ อย่าเชื่อถือเพราะมีนัยเทียบเคียงกันได้
๗) มา อาการะปริวิตักเกนะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคิดไปตามอาการที่ได้เห็น
๘) มา ทิฏฐินิชฌานักขันติยา อย่าเชื่อถือเพียงเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎี
๙) มา ภัพพะรูปะตายะ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะคนพูดน่าเชื่อถือ
๑๐) มา สะมะโณ โนคะรูติ อย่าเชื่อถือเพียงเพราะผู้พูดเป็นสมณะหรือครูอาจารย์


พวกอุตริเวลาเจอกาลามะสุตรมักจะร้อนรน อยู่ไม่ได้ ทนไม่ได้
เพราะโดนกาลามสูตรสอยไปหลายข้อ โดยเฉพาะว่าคนพวกนี้ต้ิองอาศัยฝากชีวิตไว้กัีบความเชื่อ
พอศาสนาพุทะบอกว่าเราไม่ให้เชื่อ ก็เลยหาว่าเราโง่

แต่ไม่ได้ชำเลืองดุว่าศาสนาพุทธเราไม่ได้บอกแค่ว่าอย่าเชื่อ
แต่ให้พิสูจน์รู้กับตนเอง(ปฏิบัติ-ปฏิเวธ)



ศาสนาพุทธ เรามีวิธีพิสูจน์ชัดเจน ก็มาหาว่าเป้นอุปาทาน
ซึ่งก็แปลก งอแง ไร้สาระ ไม่มีตรรกะในการคิดเลย

ถ้าอยากรู้จักศาสนาพุทธ เรายินดีตอบให้
แต่อย่ามาหาเรื่องเปรียบเทียบศาสนาว่าใครดีใครชั่ว
อยู่ใครอยู่มันดีแล้ว

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ม.ค. 2009, 11:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อัญญาสิ เขียน:
ขออนุญาตโต้แย้ง-เพราะพระศาสดาของผมท่านรู้แจ้งตลอดว่าโลกย่อมเปลี่ยนแปลง
ท่านจึงให้หลักกว้างๆที่พร้อมจะปรับเพื่อให้สรรพชีวิตสามารถยังชีพได้ตามควรแก่กาลนั้นๆ
ดังนั้นท่านจึงไม่กำหนดเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ดังนั้นพระสูตรของเราจึงมีผู้รู้และเชียวชาญ
กรุณาระบุให้ชัดเจนในแต่ละสมัยครับ


Astroboy เขียน:
เรื่องนี้คุณต้องไปเถียงคุณคามินธรรมครับ
เพราะว่าคัมภีร์ผมนั้นไม่มีกาลปรับเปลี่ยนใดๆ และยืนยันว่าใช้ได้ตลอดกาล ต่างกับคุณที่บอกว่าปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย .. ส่วนเรื่องข้อมูลนั้นอธิบายไว้แล้ว



ผมไม่เถียงกับคุณอัญญาสิหรอกครับ ไม่ต้องมาเสี้ยม

เท่าที่เรารู้จักกัน เราคุยกันครับ เราสนทนากันครับ
ไม่อยู่ในฐานะต้องเถียงเพราะคุณอัญญาสิก้มีไมตรี มธุรสวาจา ไม่มีนิสัยแดกดัน ยกตนข่มท่าน หรือดูถูกเหยียดหยามอะไรใคร

แต่เผอิญว่าผมพูดได้ทั้งแบบหยาบที่สุด และปราณีตที่สุดได้พอๆกัน
และผมมักจะใช้ภาษาให้มาตรฐานเดียวกับผู้ที่พูดกับผมครับ
โยนของดีมา ผมก้โยนของดีกลับ
แต่ถ้าโยนของเสียมา ผมจะเอาของเสียผมแถมเพิ่มกลับไปด้วยครับ
นิสัยผมเป็นอย่างนั้น

แต่ผมจะพูดว่า"ผมเจตนาดีนะ"
ความจริงในใจอีกเรื่องหนึ่ง


---------

ส่วนเรื่องคำว่าปรับเข้ากับยุคสมัย มันก้ง่ายๆนะ

หลักการทำไข่เจียวมีอย่างเดียว
แต่ไข่เจียวมีหลายจาน หลายสถานที่ หลายหน้าตา หลายเวลา
ไม่ว่าจะทำไข่เจียวที่ไหนก็ต้องใช้หลักการเดียวกัน
แต่เวลาทำไข่เจียวแต่ละจาน มันเป้นวิธีปฏิบัติในเงื่อนไขที่แตกต่างกันไป

คุณอัญญาสิกำลังพูดถึงหลักการ กับวิธีปฏิบัติ
วิธีปฏิบัติคือสิง่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุและปัจจัย เปลี่ยนไปตามสภานการณ์

ไม่ใช่ว่าไม่มีเตาอันเดิม น้ำมันขวดเดิม ก้เลยไม่ทำไข่เจียวกัน
หรือทำออกมาก้ไม่ยอมเรียกว่าไข่เจียว เพราะไม่ได้ใช้เตาอันเดิม น้ำมันขวดเดิม

คุณเองนั่นแหละ ต้องแยกให้ออกระหว่างคำว่า หลักการ และ วิธีการ
เรื่องพื้นๆ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 55 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร