วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 16:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2008, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกท่านครับ



ผมขออนุญาตแยกกระทู้ ขอให้ผู้ดูแลเว็บตอบด้วยว่า ท่านอยู่ฝ่ายพระ หรือฝ่ายมาร นะครับ

ผมคิดว่าทุกท่านโดยเฉพาะคุณคามินธรรม และผู้เคร่งครัดในศีล 5 ข้อปาณากำลังเข้าใจผิดอย่างแรง โดยไปเอาการครบองค์ประกอบของศีล 5 เป็นเกณฑ์วัดว่า สิ่งนั้นเป็นบาปหรือไม่บาป

ผมจะบอกว่า แม้ว่าการกระทำนั้นจะครบองค์ประกอบของศีล 5 ทุกประการ คือ

1. สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่

2. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต

3. จิตคิดจะฆ่า

4. ลงมือฆ่า

5. สัตว์ตายด้วยความพยามนั้น

ก็ไม่ได้หมายความว่า ผิดศีลมีองค์ประกอบครบจะเป็นบาปนะครับ คนละเรื่องเลย

ผิดศีลจะเป็นบาปได้ ก็ต่อเมื่อใจมีเจตนาอกุศล และลงมือกระทำลงไป การฆ่าส่วนใหญ่จึงเป็นบาป แต่ไม่ใช่การฆ่าในทุกกรณีเป็นบาป

กรุณาใจเย็นๆ แล้วอ่านอีก 2 เที่ยว คนส่วนใหญ่กำลังเอาองค์ประกอบของศีล 5 ในส่วนที่จิตเจตนาเป็นอกุศลมาพูด แต่กรณีตบยุงตาย จิตเจตนาของเขาเป็นการแก้คัน เป็นสัญชาตญานป้องกันตัว กรณีฉีดยายุงตาย จิตเจตนาของเขาเป็นการเสียสละยอมทำผิดศีล 5 เพื่อช่วยลูกเมียญาติพี่น้องครับ มันเป็นบาปไม่ได้อยู่แล้ว

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงถามภิกษุที่มีปัญหาด้านศีลและวินัยว่า "เธอมีเจตนาอย่างใด" ในการกระทำนั้น องค์สมเด็จพระบรมศาสดาไม่ได้ถามเลยว่า "ครบองค์ประกอบของศีล 5 หรือเปล่า"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2008, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจตนาภิกขเว กัมมังวทามิ

เจตนาเท่านั้นที่จะเป็นกรรม


สาธุครับ....กับคำสอนของพระพุทธองค์ท่าน แต่ที่ผมขออนุญาต จขกท.แสดงความเห็นนั้น
เพื่อต้องการให้ผู้อ่านท่านอื่นได้เข้าใจและแปลเจตจำนงของพระองค์ท่านอย่างถูกต้อง

ถ้าการนำคำสอนของพระพุทธองค์มากล่าวเช่นนี้อาจทำให้ผู้อ่านท่านอื่นๆตีความได้ว่า

การมีเจตนาดีในการเบียดเบียนชีวิตสัตว์นั้นไม่บาปอย่างที่คุณ จขกท ยกตัวอย่างมา

อ้างคำพูด:
แต่กรณีตบยุงตาย จิตเจตนาของเขาเป็นการแก้คัน เป็นสัญชาตญานป้องกันตัว กรณีฉีดยายุงตาย จิตเจตนาของเขาเป็นการเสียสละยอมทำผิดศีล 5 เพื่อช่วยลูกเมียญาติพี่น้องครับ มันเป็นบาปไม่ได้อยู่แล้ว


และอีกหลายกรณีที่ จขกท เคยยกตัวอย่างมากรณีภรรยาคุณยอดรักเป็นต้น....

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเจตนาเป็นกรรม
คำตรัสนี้เป็นกลางๆ แปลว่า เมื่อมีเจตนาย่อมเกิดกรรมขึ้นแล้ว
กรรมที่ว่านี้อาจเป็น บุญหรือบาป หรือ ไม่บุญไม่บาปก็ได้

ดังนั้น"การเสียสละยอมผิดศีล 5 เพื่อช่วยลูกเมียพี่น้อง"
เจตนาเกิดขึ้น กรรมย่อมเกิดขึ้นแต่มี 2 ประการ

กรรมฝ่ายดี......คือช่วยลูกเมีย
กรรมฝ่ายชั่ว....คือฆ่าสัตว์

ถามว่าเจตนาที่ออกมา มาจากจิตที่บริสุทธิ์หรือไม่
เจตนาที่ดี....ต้องออกมาจากจิตบริสุทธิ์เท่านั้น

กรรมที่ดีและชั่วปนกันนั้น....จิตย่อมไม่บริสุทธิ์แน่นอน
เหมือนเอาสีขาวผสมสีดำฉะนั้น

จิตย่อมเศร้าหมอง ทุกขคติเป็นที่หมาย

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ......

"อันความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า เพราะเมื่อทำแล้วย่อมเกิดความเศร้าหมอง"

ดังนั้นการตีความพุทธพจน์อย่าจับประเด็นเดียว ประโยคเดียวมาตีความหมาย
ต้องรู้ว่าพระพุทธองค์กล่าวกับใคร สิ่งใด เพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นไร

การจับประโยคเดียวแล้วตีความเดียว สื่อความหมายในทางที่ผิด
เช่นการผิดศีลที่มีเจตนาดีแล้วไม่บาปนั้น
ถือว่าสัทธรรมปฏิรูป .....

ท่าน webmaster ท่านสามารถพิจารณาลบได้....
เพื่อให้ผู้อ่านที่ยังไม่ศึกษาพระสัทธรรมโดยถ่องแท้เข้าใจผิด ....
นำไปปฎิบัติผิดๆต่อไปได้เช่น การฆ่าคนเพราะเจตนาดีไม่อยากให้ทนทุกข์ยากลำบากในชาตินี้เป็นต้น

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2008, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


การประพฤติปฏิบัติตามพระสัทธรรมคำสั่งสอนนั้นอย่าดึงคำสอนนั้นคำสอนเดียวโดดๆมาตีความ
เช่น เจตนานั้นคือกรรม เป็นต้นแล้วมาตีความแง่เดียวสรุปว่าพระพุทธองค์ทรงสอนเช่นนั้น

คำสั่งสอนของพระพุทธองค์มีมากมายถึง 84000 พระธรรมขันธ์เช่น

"บาปทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัว บุญทั้งหมดเกิดขึ้นจากการหวังดีให้ผู้อื่นมีความสุข"

'อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ ปาปา จิตฺตํ นิวารเย ทนฺธิ หิ กรโต ปุญญํ ปาปสฺมึ รมตี มโน"
แปลว่า "ควรรีบทำความดี ควรห้ามจิตเสียจากบาป

ฯลฯ ทำไมไม่นำมาแสดงประกอบ

แต่ทั้งหมดล้วนสรุปลงใน

โอวาทปาฏิโมกข์คือ

๑. การไม่ทำชั่วทั้งปวง (สพฺพปาปสฺส อกรณํ)
๒. การทำกุศลคือความดีให้พรั่งพร้อม (กุสลสฺสูปสมฺปทา)
๓. การทำจิตให้ผ่องแผ้ว (สจิตฺตปริโยทปนํ)

ต้องครบ 3 ข้อ เรามักจะลืมข้อ 3 เสมอซึ่งถือเป็นข้อสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 04:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ์ครับ ผมได้พยามอธิบายไว้หลาย reply มากๆ
แต่ดูเหมอืนคุณพลศักดิ์ไม่พยามจะเข้าใจผมเลย ว่าผมเข้าใจเรื่องบุญบาปอยางไร

คุณเองมีความรู้สูงพอสมควร เพราะฉะนั้นผมก้จะได้พูดได้ง่ายขึ้น
ดังนี้

การผิดศีล บาปหรือไม่บาป ?
- บาปหรือไม่ จิตผู้ทำ เป็นผู้ปรุงบุญหรือบาปขึ้น
สุดแล้วแต่ว่าจิตผู้กระทำกรรมนั้น จะปรุงไปทางไหน
บุญบาปเป้นเจตสิก มันเป็นลักษณะการแสดงออกของจิต
เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงของขันธ์ 5

อันนี้เราเห็นตรงกัน และตรงกับอภิธรรมด้วย ใช่ไหมครับ


แต่สิ่งที่ต่างกันคือ
- ผมพยามจะบอกว่า การผิดศีลบาปหรือไม่ มันไม่เกี่ยว
มันแล้วแต่คนทำจะปรุงไปตามภุมิธรรมที่มี แล้วแต่เขาจะรู้สึกอย่างไร
แต่ฆ่าเป้นความชั่ว เป็นกรรมที่เป้นความชั่ว ฝ่ายชั่ว
พระพุทธเจ้าจึงห้ามชัดเจนลงไปในศีล 5
ความชั่วต้องละ

-คุณพลศักดิ์กลับบอกว่า ถ้ามีเจตนาดี ทำไปเถอะ ละเมิดได้ ไม่บาป
ซึ่งก้จริง ที่ละเมิดแล้วไม่บาป
ไม่บาปเพราะจิตไม่ได้ปรุงบาป

จบเรื่อง... ที่มาของบุญบาป
.................................................


ทีนี้มาเรื่องกรรม-วิบากกรรม (action-consequenses)
คุณพลศักดฺ์ทราบอยู่แล้ว

การทำกรรมใดๆก้ตาม ย่อมมีผลลัพธ์เสมอ
ถ้าทำแล้วเกิดผลดี เขาเรียกกันว่าอานิสงฆ์ผลบุญ
ผลร้าย เขาเรียกว่า วิบากกรรม


....................................................


ทีนี้เวลาเราฆ่ายุง มันจะเกิดขึ้น 2 คำถาม
1. เรามีจิตเป้นบุญหรือบาป (ซึ่งก็แล้วแต่จะปรุงเอาเอง บงการเอาเอง)
2. กรรมที่ทำนี้ มีผลดี หรือผลเสีย (อันนี้ปรุงเอาเอง บงการเอาเองไม่ได้)


ในการพิจารณา ย่อมตั้องไม่ลืมว่า จิตเกิดดับเร้วมาก
พูดให้ชัดคือเจตสิกเกิดดับเร้วมาก
เวลาเราจะฆ่ายุง กำลังฆ่ายุง หลังฆ่ายุง เจตสิกที่เกิดดับทั้งหลาย ก้คือบุญบาปทั้งหลายที่เกิดดับ


สำหรับคุณพลศักดิ์ ิ์เชื่อว่าเวลาฆ่ายุงด้วยเจตนาที่คิดว่าดี
1. จิตตัวเองปรุงบุญขึ้นล้วนๆ
2. กรรมที่ทำนั้นเป้นผลดีล้วนๆ


สำหรับผมเชือว่า เวลาที่เราฆ่ายุง ด้วยเจตนาดีนั้น
1. จิตจะปรุงอย่างไร แล้วแต่่จิต จิตมีปัญญาย่อมไม่ปรุงว่าฆ่ายุงเป้นบุญ
2. กรรมที่ฆ่ายุง เป้นกรรมไม่ดี มีผลไม่ดี เป้นกรรมชั่ว เป็นหนึ่งในไตรสิกขา คือ "ความชั่วต้องละ"

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


สวัสดีครับอาจารย์คามินธรรมตื่นแตเช้านะครับ :b13:

สวัสดีอาจารย์พลศักดิ์ด้วยครับ...ผมขอแสดงความคิดเห็นด้วยครับ :b11:

เจตนานั้นคือกรรม............ถูกต้องครับผม

รู้ได้อย่างไรว่าตั้งเจตนาไว้ถูก......

แต่ถ้าตั้งเจตนาไว้ผิดละ........ก็ผิดศีลได้ครับ


ศีล คือความไม่ล่วงละเมิดของผู้มีเจตนาความตั้งใจงดเว้นจากความชั่ว ทางกาย วาจา
และอาจตลอดไปถึงใจด้วย

ศีล นั้นแม้จะมีความหมายหลายอย่าง แต่โดยทั่วไปมักแปลกันว่า ปกติ คือปกติของกาย ของ
วาจา ซึ่งโดยปกติจะสงบไม่รุกราน ไม่เบียดเบียน ทำร้ายใคร แต่เมื่อละปกติคือผิดปกติก็ไม่สงบ รุกราน
เบียดเบียน ทำร้ายผู้อื่น ด้วยอำนาจของจิตใจที่ผิดปกติ เพราะโลภะ โทสะ และโมหะ


ดังนั้นเจตนาที่ตั้งไว้อาจผิดด้วยโลภะ โทสะและโมหะ

กรณีตบยุงนี้ เจตนาที่ตั้งไว้อาจเป็นโมหะ เกิดอกุศลศีลได้

เพราะเหตุที่ ศีล มีความหมายว่า ปกติ คือปกติของกาย วาจา ใจ ศีลจึงมี * ๓ อย่าง
คือ กุศลศีล อกุศลศีล และอัพยากตศีล

*ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ข้อ ๘๙
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล มีกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า กุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล มีอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อกุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่มิใช่กุศล และอกุศล มิได้มีกุศลจิต หรืออกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด
หากมีอัพยากตจิต คือ กิริยาจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อัพยากตศีล

ปาปชน มีอกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
กัลยาณชน มีกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีอกุศลศีลเป็นส่วนน้อย

คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริ และโอตตัปปะ

คือความละอายและเกรงกลัวบาป ทั้งบาปของ
ตนและคนอื่น โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า

"เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระ
ทำความชั่ว"


:b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ศีลก็เหมือนกฏหมาย

ขับรถกะบะป้ายแดงตอนกลางวัน มีของวางอยู่ท้ายรถ ทำไมตำรวจจับ (เพราะผิดกฏหมาย) ทั้งที่ของนั้นก็ไม่ได้เบาพอที่จะปลิวได้(อันนี้ไม่มีเจตนาทำผิดกฏหมาย)

ศีลก็เช่นกัน การไม่มีเจตนาจะละเมิดแต่การกระทำละเมิด ยังไงก็คือละเมิดครับ.... :b14:

บุญ บาป เป็นผลของเจตนา(การกระทำของจิต)

วิบาก เป็นผลของกรรม(การกระทำของกาย)

ท่านพลศักดิ์ท่านเป็นผู้ศึกษามามากด้านจิต การแสดงความเห็นของท่านบางครั้งไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่เคยศึกษาทำความเข้าใจ การจะรักษาจิตอย่างเดียวนั้นจำเป็นที่จะต้องแจ้งอริยสัจก่อนจึงจะทำได้

เน้นว่าแจ้งครับ ไม่ใช่แค่รู้ เพราะรู้กับแจ้งแตกต่างกันครับ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณธรรมะไทยครับ



งั้นผมต้องถามคุณว่า คนที่ฉีดยาฆ่ายุง จิตของเขาคิดแต่เรื่องช่วยญาติพี่น้องพ่อแม่ จิตเขาเศร้าหมองหรือเปล่าล่ะครับ

เพราะคุณบอกเองว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

"อันความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า เพราะเมื่อทำแล้วย่อมเกิดความเศร้าหมอง"


คนที่เศร้าหมองเพราะตบยุงตาย คุณลองไปสังเกตดู เป็นพวกเคร่งศีล 5 ทั้งนั้น ท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทองทั้งสิ้น โดยเฉพาะสมมุติสงฆ์ที่ตอนนั้นยังปฏิบัติไม่เข้าถึงโลกุตตรธรรม พวกนี้ถ้าตบยุงตาย อกุศลจิตจากการยึดคัมภีร์เป็นสรณะ อาจจะทำให้เขาเกิดเป็นยุง 500 ชาติก็ได้ ในขณะที่คนทั่วไปไม่ยึดคัมภีร์ แต่เชื่อในมโนธรรมในใจของตน พวกนี้อาจจะขึ้นสวรรค์เพราะฉีดยาฆ่ายุงตายก็ได้

เรื่องเดียวกัน
- ถ้าจิตเป็นอกุศล จิตจะเศร้าหมอง มีนรกเป็นที่ไป
- ถ้าจิตเป็นกุศล จิตจะไม่เศร้าหมอง และยังอิ่มเอิบใจในการฆ่ายุงด้วย เพราะจิตคิดแต่จะช่วยผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ การฆ่ายุงในกรณีนี้ย่อมนำไปสู่สวรรค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 14:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณธรรมะไทยครับ



1. ความชั่วคืออะไรคุณก็ไม่รู้ ความดีคืออะไรคุณก็ไม่รู้

ความชั่วคือ เจตนาอกุศลในจิต

ความดีคือ เจตนากุศลในจิต


2. การกระทำทกอย่างล้วนมี 2 ด้านเสนอ เราต้องชั่งน้ำหนักแล้วระหว่างด้านดีและด้านชั่ว เ

เช่น คุณเอาลูกน้ำมาเลี้ยงปลา จิตเจตนาของคุณต้องการให้ปลาอิ่ม แต่การเอาลูกน้ำมา ก็เป็นการฆ่าลูกน้ำ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ไปคิดปรุงแต่งว่า เป็นการฆ่าลูกน้ำ แต่เขาคิดปรุงแต่งว่า เป็นการเลี้ยงปลา ช่วยให้ปลาอิ่ม

พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า ถ้าภิกษุใดไปคิดว่า ชาวบ้านต้องไปฆ่าเนื้อนั้นมาบิณฑบาตร แล้วยังฉันอีก ก็ต้องอาบัติ อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ทานเนื้อสัตว์ที่คนมาถวายทุกครั้ง นั่นเพราะอะไร

เพราะว่า จิตของพระพุทธองค์ไม่ได้คิดปรุงแต่งว่ามันเป็นบาปนั่นเอง

บุญหรือบาปอยู่ที่จิตคิดปรงแต่งเป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบบ้าๆบอๆ องค์ประกอบบ้าๆบอๆเป็นแค่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าจิตคิดปรงแต่งเป็นอกุศล มีองค์ประกอบครบก็เป็นบาป แต่ถ้าการฆ่า การลักทรัพย์ การเป็นชู้ การโกหก การดื่มสุราเมลัย ถ้าผู้ทำ จิตของเขาคิดปรงแต่งเป็นกุศล มีองค์ประกอบครบ มันก็เป็นบุญไป

- เช่น การเป็นชู้ ผมก็เคยนำเรื่องที่แม่ชีคนหนึ่ง ไปฟังคำตัดสินของยมบาลแล้วตะลึง ผู้หญิงขายตัวเลี้ยงลูกเลี้ยงผัว ไม่ตกนรก ซ้ำยมบาลให้ไปเกิดชาติหน้าเป็นคนรวยด้วย นี่แหละครับ ผลบุญจากการขายตัวเลี้ยงลูกเลี้ยงผัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา ในเมตตาธรรมของท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ทำให้ผู้อ่านได้ข้อมูลไปคิดวิเคราะห์ ตามกำลังปัญญา เพื่อทำให้สว่าง ค่ะ
ขอบคุณจริงๆ
:b8: :b8: :b8:

ท่านเว็บมาสเตอร์ ขอความกรุณา เพิ่ม หรือ (แบบในทีวี)ด้วยจะดีมากเลยค่ะ
แต่ถ้า ลบทิ้ง(ด้วยกุศลจิตที่ต้องการป้องกันความเห็นผิดในชนที่อ่านเจอ) จะดีที่สุดค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณคามินธรรมครับ




1. แต่ฆ่าเป้นความชั่ว เป็นกรรมที่เป้นความชั่ว ฝ่ายชั่ว
พระพุทธเจ้าจึงห้ามชัดเจนลงไปในศีล 5
ความชั่วต้องละ


กรุณาอย่าเอาการตีความด้วยมิจฉาทิฏฐิของคุณ ไปยัดใส่พระโอษฏ์พระพุทธเจ้าเลยครับ พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสเหมือนที่คุณคามินธรรมตีความเลย พระองค์บอกว่า สิ่งที่เป็นอกุศลเป็นบาป เป็นความชั่ว ไม่ได้บอกว่า การฆ่าเป็นความชั่ว การฆ่าที่มีเจตนาอกุศลเท่านั้นเป็นความชั่ว

- การฆ่าที่ไม่เจตนา ก็ไม่ได้เป็นความชั่ว
- การฆ่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียง ก็ไม่ได้เป็นความชั่ว
- การฆ่าตามหน้าที่ ก็ไม่ได้เป็นความชั่ว
- การฆ่าด้วยเจตนากุศล ก็ไม่ได้เป็นความชั่ว

เนื่องจาก การฆ่าเหล่านี้จิตไม่ได้เศร้าหมอง และไม่ได้คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศล


2. สำหรับผมเชือว่า เวลาที่เราฆ่ายุง ด้วยเจตนาดีนั้น
1. จิตจะปรุงอย่างไร แล้วแต่่จิต จิตมีปัญญาย่อมไม่ปรุงว่าฆ่ายุงเป้นบุญ
2. กรรมที่ฆ่ายุง เป้นกรรมไม่ดี มีผลไม่ดี เป้นกรรมชั่ว เป็นหนึ่งในไตรสิกขา คือ "ความชั่วต้องละ"


ผมอธิบายไปแล้วว่า สำหรับคุณคามินธรรมและผู้ที่ท่องจำศีล 5 พวกเขาฆ่ายุงตัวเดียว อาจต้องรับโทษเกิดเป็นยุง 500 ชาติ แต่ชาวบ้านฆ่าอาจจะได้ขึ้นสวรรค์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณnatdanaiครับ



กฎหรือกฎหมายใดๆถ้ามันผิดหรือสังคมไม่ยอมรับ มันก็ยกเลิกได้ทั้งนั้นแหละครับ มโนธรรมในจิตมันจะบอกเองว่าถูกหรือไม่ถูก

ในอดีต คนป่าเถื่อนฆ่าคนบูชายัญ เขาก็บอกว่าถูกต้อง แต่เนื่องจากมันผิดกับมโนธรรมในใจของผู้คน การฆ่าคนบูชายัญจึงถูกยกเลิกไป

ศีล 5 ก็เช่นกัน มันใช้ได้กับส่วนใหญ่ของกรณี แต่ใช้ไม่ได้ในทุกกรณี เราจำเป็นต้องดูที่มาของศีล 5 ว่ามันเกิดจากจิตอกุศลเท่านั้น จิตอกุศลจะเศร้าหมองจากการกระทำนั้น

มโนธรรมในจิตของเรา มันจะบอกเองว่าถูกหรือไม่ถูก บาปหรือไม่บาป และมโนธรรมของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2008, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอความคิดเห็นขออีกมุมนึงหน่อยนะครับ

1.ถ้าคนที่สติไม่ดี หรืออาจจะเรียกว่าคนบ้า(หวังว่าคงต้องไม่มีนิยามนะครับว่าคนบ้าเป็นอย่างไร ทำไมถึงเรียกว่าบ้า เราอาจจะบ้าก็ได้แต่หาว่าเขาบ้า อะไรประมาณนั้น) คนๆนั้น ทำอะไรโดยที่ขาดสติตลอด ไม่รับรู้ ไม่รู้สึกตรึกตรอง ไม่เคยคิดถึงผลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นคนทั่วไปเรียกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีเช่น เดินๆเจอหมาตัวนึง ก็เผลอเตะหมาตัวนั้น หรืออาจจะตีหมาตัวนั้นตาย หรือ ขโมยของชาวบ้านมากิน พูดจาเพ้อเจ้อ ตามประสาคนสติไม่ดี

ผมอยากทราบว่าคนๆนั้น ทำบาป ไหม และผิดศีล 5 ไหม เพราะสิ่งที่เขาได้ทำไปนั้น เรียกได้ว่าไม่มีเจตนาทั้งด้านดีและด้านร้าย ตามประสาคนประสาทไม่ดี


2.สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งเช่น เสือ สิงโต ไปฆ่ากระรอก กระต่าย หรือสัตว์อื่นๆก็ตาม เพื่อนำมาประทังชีวิตไม่ให้ตายตามประสาของสัตว์ หรืออาจจะนำสัตว์ที่ตนได้ฆ่านั้น ไปเลี้ยงลูกเมียของมันเอง

ผมอยากทราบว่า เสือ สิงโต หรืออะไรพวกนั้นบาปไหม เพราะว่าเขาทำอะไรไปโดยที่เขาไม่รู้เรื่องบาปบุญ สติปัญญาไม่ถึง เพราะเขาไม่ใช้สัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ ที่มีมันสมองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาต้องการแค่อยู่เท่านั้น บาปหรือเปล่าครับ

3.ถ้าสมมติมีคนนึง ปวดขาอยู่(อันนี้เคยได้ยินจาก TV ไม่แน่ใจใช่ดาราที่เล่น เป็นต่อ หรือเปล่า) เขาทรมานอย่างมากอาจจะเกิดจากอาการนั่งนานๆ หรือเดิน วิ่งมากๆอยู่ดีๆ มีคนเอาปืนมายิง เพราะว่าไม่อยากให้คนๆนั้นปวด ทรมานกับสิ่งที่พบที่เจอเช่นปวดขา

ผมอยากทราบว่าคนที่ิยิงนั้นบาปหรือไม่ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเจตนาดีล้วนๆ ไม่อยากให้คนอีกคนนึงต้องทรมานปวดขา สิ่งที่เขาทำนั้นบาปหรือไม่

ทั้ง 3 กรณีนี้ ผมขอแยกเป็น 2 อย่างด้วยนะครับ ทั้ง สมาทานศีล5-ไม่ได้สมาทาน ศีล5 และบาป หรือไม่บาป

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
กรุณาอย่าเอาการตีความด้วยมิจฉาทิฏฐิของคุณ ไปยัดใส่พระโอษฏ์พระพุทธเจ้าเลยครับ พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสเหมือนที่คุณคามินธรรมตีความเลย พระองค์บอกว่า สิ่งที่เป็นอกุศลเป็นบาป เป็นความชั่ว ไม่ได้บอกว่า การฆ่าเป็นความชั่ว การฆ่าที่มีเจตนาอกุศลเท่านั้นเป็นความชั่ว


- คุณพลศักดิ์ยังเอารูปไปปนกับนามเหมือนเดิม
- ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่าผมเอาคำพูดตัวเอง ไปยัดใส่พระโอษฐ์พระพุทธเจ้านั้น เห็นจะมีแต่คุณพลศักดิ์เท่านั้นล่ะครับ เป็นเอตทัคคะทางด้านนี้ ทำได้เนียนมากด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงกับกล่าวอ้างว่าได้รับโองการจากพระพุทธเจ้าให้มาทำนั่นทำนี่เลยทีเดียว

และเพราะปรามาสถึงพระบรมศาสดาขนาดนั้น ปรามาสภิกษุสงฆ์ ทำให้ได้รับวิบากกรรมอย่างหนัก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มิจฉาทิฐินั้นมีโทษมากที่สุด

คุณพลศักดิ์กำลังเสวยวิบากที่เรียกว่ามิจฉาทิฐิอยู่ จัดว่ามีโทษมากที่สุด
ทำให้ห่างไกลจากพระรัตนตรัย ตัดทางมรรคผลนิพพาน
ไม่ว่าใครจะเตือนอย่างไร ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางสั่นคลอนภูเขาใหญ่ที่บังจิตคุณพลศักดิ์ำได้เลย


---------------------------

ทีนี้มาดูกันจะๆครับ ผมเอาคำพูดไปยัดใส่ปากพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่

-ใครเป็นคนบัญญัติไตรสิกขาิครับ ? "ศีล สมาธิ ปัญญา"
แปลแบบอย่างง่าย เป็นภาษาไทยว่า " ละเว้นความชั่ว ทำความดี ทำให้ใจบริสุทธิ์ผ่องใส"

โดยเฉพาะคำว่า ละความชั่ว แปลว่าศีลหรือเปล่าครับ

- แล้วใครบัญญัติศีล 5 ขึ้นมาครับ แล้วพระพุทธเจ้าให้เราทำอะไรกับศีลครับ
ให้ละเมิดได้ถ้าเจตนาดี หรือว่าห้ามเด็ดขาดครับ

- ใครบัญญัติว่า "ปาณาติบาต" เป้นศีลครับ
ปาณา ปาโน หมายถึงสัตว์ที่มีชีวิต คำถามคือยุงมีชีวิตไหมครับ
ปาณาติบาต หมายถึงทำให้ชีวิตล่วงไป
เอาล่ะ เดี๋ยวหาว่าผมพูดเองเออเอง
ลองมาดูในพระไตรปิฏกครับ

Quote Tipitaka:
วรรณนาจุลศีล

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะทรงแก้เนื้อความ
ที่ได้ตรัสถามด้วยกเถตุกัมยตาปุจฉานั้น
จึงตรัสพระบาลีอาทิว่า ปาณาติปาตํ ปหาย ดังนี้.

ในคำว่า ละปาณาติบาต.
ปาณาติบาต แปลว่าทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไปอธิบายว่า ฆ่าสัตว์ ปลงชีพสัตว์.
ก็ในคำว่า ปาณะ นี้ โดยโวหาร ได้แก่สัตว์ โดยปรมัตถ์ ได้แก่ชีวิตินทรีย์.

อนึ่ง เจตนาฆ่า อันเป็นเหตุยังความพยายามตัดรอนชีวิตินทรีย์ให้ตั้งขึ้น เป็นไปทางกายทวารและวจีทวาร ทางใดทางหนึ่งของผู้มีความสำคัญในชีวิตนั้นว่า เป็นสัตว์มีชีวิต ชื่อว่าปาณาติบาต.


ปาณาติบาตนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในสัตว์เล็ก บรรดาสัตว์ที่เว้นจากคุณ มีสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น
ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะสัตว์มีร่างกายใหญ่. เพราะเหตุไร ?
เพราะต้องขวนขวายมาก. แม้เมื่อมีความพยายามเสมอกัน ก็มีโทษมาก เพราะมีวัตถุใหญ่.
ในบรรดาสัตว์ที่มีคุณมีมนุษย์เป็นต้น สัตว์มีคุณน้อยมีโทษน้อย สัตว์มีคุณมากมีโทษมาก. แม้เมื่อมีสรีระและคุณเท่ากัน

ก็พึงทราบว่า มีโทษน้อย เพราะกิเลสและความพยายามอ่อน
มีโทษมาก เพราะกิเลสและความพยายามแรงกล้า.


ทีนี้ คุณพลศักดิ์ยอมรับหรือยังครับว่าผมไม่ได้พูดเอง การละเมิดศีลเป้นความชั่ว ความชั่วต้องละ

ผมค่อนข้างแปลกใจว่าเวลานกแก้วนกขุนทองอย่างผมดต้แย้่งคุณทีไร
ก้มักจะทำให้คุณพูดไม่ออก ลงข้างทางบ้าง ลงคลองบ้าง ข้างๆคูทุกที
ไม่มีแก้ไขโต้แย้งอะไรให้มันมีนัยสำคัญอะไรเลย
เอาแต่อ้างว่างองค์ลง ให้มากำจัดนู่นนี่นั่น

ศีลแบบคุณพลศักดิ์มันแสดงให้เห้นว่าทำไมคุณพลศํกดิ์ถึงเป็นอย่างทุกวันนี้
ก็เพราะแค่ขนาดศีลชาวบ้าน คุณยังเข้าใจอย่างนี้
ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยากเลย ในศีลขั้นภาวนาของคุณพลศักดิ์เป็นอย่างไร

คงจะเป้นแบบเวลาเจออะไรผ่านมาแล้วไม่วาง กระโจนตามเขาไป เรียกว่าขาดสติ มันเป็นอย่างนี้แหละ
เรียกว่าจิตไม่ตั้งมั่น ไม่มีเจตจำนงค์จะตั้งมั่น เพราะตันหาอยากรู้
เจตน์ืจำนงตัวนี้พระท่านว่าคือศีล

เมื่อปล่อยใจไปจากฐานแล้วแปลว่าสติขาดลงไป ก็เพราะศีลไม่มีกำลังไม่พอจะเอาตันหาอยากรู้ให้มันอยู่

เห็นอะไรแล้วก็เข้าไปยึดถือเป็นเรื่องเป็นราว
แล้วก็ออกมาเล่าเป้นตุเป็นตะ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 02:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


deboykung เขียน:
ผมขอความคิดเห็นขออีกมุมนึงหน่อยนะครับ

1.ถ้าคนที่สติไม่ดี หรืออาจจะเรียกว่าคนบ้า(หวังว่าคงต้องไม่มีนิยามนะครับว่าคนบ้าเป็นอย่างไร ทำไมถึงเรียกว่าบ้า เราอาจจะบ้าก็ได้แต่หาว่าเขาบ้า อะไรประมาณนั้น) คนๆนั้น ทำอะไรโดยที่ขาดสติตลอด ไม่รับรู้ ไม่รู้สึกตรึกตรอง ไม่เคยคิดถึงผลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นคนทั่วไปเรียกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีเช่น เดินๆเจอหมาตัวนึง ก็เผลอเตะหมาตัวนั้น หรืออาจจะตีหมาตัวนั้นตาย หรือ ขโมยของชาวบ้านมากิน พูดจาเพ้อเจ้อ ตามประสาคนสติไม่ดี

ผมอยากทราบว่าคนๆนั้น ทำบาป ไหม และผิดศีล 5 ไหม เพราะสิ่งที่เขาได้ทำไปนั้น เรียกได้ว่าไม่มีเจตนาทั้งด้านดีและด้านร้าย ตามประสาคนประสาทไม่ดี


จิตปุถุชน มีหรือที่จะไม่บาป
ความบาป อาจจะมีระดับความลึกซึ้งจนเราไม่เข้าใจก็ได้นะครับ

่เราเข้าใจกันไปเองว่า เจตนาหมายถึงคิดไตร่ตรองไว้ก่อน
คนบ้าทำโดยไม่เจตนา เลยตคิดว่าไม่บาป

ความจริงไม่ใช่ คนบ้าก้มีจิตหนึ่ง กายหนึ่ง เหมือนเราท่าน ต่างกันที่สติคุมจิต
เบื้องหลังจิตคนบ้า ก้คือจิตที่ขาดสติ
มีโทสะ โมหะ โลภะครบถ้วน เพียงแต่เขาคิดไม่เป้นระบบแบบเรา เพราะขาดสติไปแล้ว
แต่คำว่า ปราศจากเจตนาแบบคนบ้า มันไม่เหมือนกับ ปราศจากเจตนาแบบพระอรหันต์


พระอรหันตืทำอะไรก้ตาม ไม่บาป ไม่มีอารมณ์เกิดขึ้น
เพราะท่านตัดตั้งแต่มูลเหตุคืออวิชชาไปแล้ว จึงไม่วงจรปฏิจสมุปบาทเกิดขึ้น
เบื้องหลังการ "ปราศจากเจตนา" แบบพระอรหันต์นั้น จึงเรียกว่าปราศจากจริงๆ บริสุทธิ์
ไม่ใช่ปราศจากเจตนาเพราะขาดสติ เผลอเรอ

การบอกว่าไม่บาป ก็เพราะว่ามองแบบปุถุชน
แต่โดยปรมัตถ์แล้ว จิตที่ทำนั้นมีแต่จิตมีโลภะ โทสะ โมหะ ทั้งนั้น
จิตที่ทำอะไรไม่บาปตือจิตที่มสัมมาีสติ
หากจิตมีสัมมาสติ ควมบาป หรือแม้แต่บุญ จะเข้ามาแทรกแทนไม่ได้เลย

จิตที่มีสติตลอดเวลา มีกำลังบริบูรณ์ เป้นสติแบบพระอรหันต์ ไม่มีบาปไม่มีบุญในจิตแล้ว
แต่จิตคนบ้า เป้นจิตแบบเรท่านนี่แหละ
เพียงแต่เราท่านมีสติบ้าง ขาดสติบ้าง แต่คนบ้าขาดผึงโดยสมบูรณ์

การกล่าวว่าคนบ้าทำอะไรไม่บาป จึงเป้นการกล่าวโดยแคบ
โดยกรอบปุถุชนที่เข้าใจโดยสมมุติกันไปเอง
ไม่ใช่ความจริงขั้นปรมัตถ์

deboykung เขียน:

2.สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งเช่น เสือ สิงโต ไปฆ่ากระรอก กระต่าย หรือสัตว์อื่นๆก็ตาม เพื่อนำมาประทังชีวิตไม่ให้ตายตามประสาของสัตว์ หรืออาจจะนำสัตว์ที่ตนได้ฆ่านั้น ไปเลี้ยงลูกเมียของมันเอง

ผมอยากทราบว่า เสือ สิงโต หรืออะไรพวกนั้นบาปไหม เพราะว่าเขาทำอะไรไปโดยที่เขาไม่รู้เรื่องบาปบุญ สติปัญญาไม่ถึง เพราะเขาไม่ใช้สัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ ที่มีมันสมองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาต้องการแค่อยู่เท่านั้น บาปหรือเปล่าครับ

- อาจจะไม่ใช่บุญบาปในกรอบความหมายของคน
อาจจะเป็นบุญบาปแบบสัตว์

จิตทุกดวงในวัฏฏะสงสารล้วนแล้วแต่เป้นไปตามแรงบุญบาปทัง้นั้น

จะกล่าวว่าเปรตไม่มีบาป สัตว์ไม่มีบาป สัตว์นรกไม่มีบาป ก็ไม่ได้
เพราะบาป เขาถึงเป็นอย่างนั้น
"อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ
ผู้ทำบาป ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
"

จะบอกว่า มนุษ์ื เทวดา นางฟ้าพรม เหล่านี้ไม่มีบุญ ก็ไม่ได้
เพราะบุญ เขาถึงเป็นอย่างนั้น
"ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า "



deboykung เขียน:
3.ถ้าสมมติมีคนนึง ปวดขาอยู่(อันนี้เคยได้ยินจาก TV ไม่แน่ใจใช่ดาราที่เล่น เป็นต่อ หรือเปล่า) เขาทรมานอย่างมากอาจจะเกิดจากอาการนั่งนานๆ หรือเดิน วิ่งมากๆอยู่ดีๆ มีคนเอาปืนมายิง เพราะว่าไม่อยากให้คนๆนั้นปวด ทรมานกับสิ่งที่พบที่เจอเช่นปวดขา

ผมอยากทราบว่าคนที่ิยิงนั้นบาปหรือไม่ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเจตนาดีล้วนๆ ไม่อยากให้คนอีกคนนึงต้องทรมานปวดขา สิ่งที่เขาทำนั้นบาปหรือไม่

การกระทำอย่างเดียวกัน ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านจะไม่บาปครับ ไม่บาปเพราะจิตไม่ได้ปรุงแต่งบาปขึ้นมา
ที่ไม่ปรุงแต่งเพราะท่านไม่มีตันหา ไม่มีตันหาเพราะท่านไม่มีอวิชชา
ถ้าคุณคิดว่าจิตที่ทำนั้น เป้นเช่นเดียวกับพระอรหันต์ ก็บอกตัวเองได้เลยว่าไม่บาป

แต่ความเป็นจริง จิตพวกเราจิตปุถุชน ไม่ว่าจะอยากทำความดีอะไรก้ตาม
เบื้องหลังการทำความดีก็ล้วนแล้วแต่เป้นตันหา คือความอยากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
และเป้นจิตที่ไม่มีกำลังสติ

คนธรรมดาที่ปราศจากการฝึกฝน ย่ิอมไม่สามารถจะเข้าใจจิตใจตัวเองอย่างปราณีต ละเอียด
ในชั่วเวลานาทีเดียวที่เราทำกรรมยิงขาคน มีจิตเกิดดับมากมาย มีทั้งบุญ ทั้งบาป

ความสลด หรือการเห้นคนโดนยิง คุณคิดว่าคุณรู้สึกดีหรือเปล่า
นั่นแหละ รู้สึกดีคือบุญ บุญคือชื่อของความสุข ความสลดหดหู่ ตกใจ อกสั่นขวัญแขวน เจ็บแทน หวาดเสียง ... ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่บุญแน่ๆ
ทำแล้วความเศร้าหมองเป็นบาปทั้งนั้น

่ความเป็นจริงแล้ว เราทำไปตามตันหา ตันหาอยากว่าจะให้คนนั้นพ้นความทุกข์
เลยยิงขาเขาเพื่อให้พ้นความทุกข์ เพราะเชื่อว่าทำอย่างนั้นเป็นการปลกทุกข์


นี่เฉพาะเวลายิง แต่ความเป็นจริง ยังมีเวลาก่อนยัง หลังยิง และเวลาที่นึกถึง
ซึ่งคุณก้ต้องคิดเอาเองว่าจะมีบาปเกิดขึ้นมากมายแค่ไหน

เหมือนคนที่ฆ่าไก่โดยไม่รู้สึกว่าบาป ทำเป้นอาชีพอยู่เป็นนิตย์
เขาคิดว่าไม่บาป เชื่อว่าไม่บาป
กล่าวได้ว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเวลาฆ่าไก่ ทำจนชิน เป้นเรื่องปกติ
ถ้ามองเผินๆ วิเคราะห์ตามทฤษฏี ตามแบบจิตปุถุชนมอง ย่อมกล่าวว่าไม่บาป

ต่อมาเวลาตายกลับร้องเต้นออกมาเป้นไก่เวลาถูกเชือด
นั่นเพราะจิตธรรมดาของเรมมันมองไม่เห้นจิตบาป
มองไม่เห็นจิตบาป เพราะกำลังสติไม่พอ

จิตเกิดดับในชั่วลัดนิ้วมือนี้มหาศาล ในการฆ่าได่หนึ่งนาที มีจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน
แน่ใจหรือว่าตัวเองไม่มีจิตบาปเกิดขึ้น

จิตที่บาปบุญมาแืรกไม่ได้เลย คือจิตที่มีสติ
ท่านมีสติสืบเนื่องตลอดเวลาอย่างพรอรหันต์หรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ ก็อย่าประมาท
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ความชั่วนั้นให้ละ ละคือละ ไม่ใช่หาทางต่อรอง

ปุถุชนย่อมมองไม่เห็นปรมัตถ์
พระพุทธเจ้าท่านเห็นแจ้งในปรมัตถื ท่านแจ้งสรรพสิ่ง เห็นโทษเห็นภัย
ท่านจึงสอนว่าอย่าประมาท แล้วบอกว่าอย่าทำความชั่ว

ความประมาทของเราคือการตีความจิตตัวเองว่าบาปหรือไม่บาปในกรณีต่างๆ
ซึ่งเป้นทิฐิความเชื่ออันสมมุติไปตามยถากรรม
แต่โดยปรมัตถ์ ผู้ไม่บาป คือจิตขั้นพระอรหันต์
ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ อย่าคิดว่าไม่บบาป
มันอาจจะเป้นบาปที่เราไม่มีปัญญาจะเข้าใจเท่านั้นเอง

บุญบาปเป้นเรื่องของคนมีตันหา
คนไม่มีตันหา จะไม่มีบุญบาป


deboykung เขียน:
ทั้ง 3 กรณีนี้ ผมขอแยกเป็น 2 อย่างด้วยนะครับ ทั้ง สมาทานศีล5-ไม่ได้สมาทาน ศีล5 และบาป หรือไม่บาป


- สมาทานคือให้คำสัญญา ปฏิญาน ว่าจะไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้
แต่เราผิดคำสัญญา ผิดคำสาบาน
ท่านแน่มจอย่างไรว่าท่านไม่มีจิตบาป

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีประเด็นหนึ่งน่าสนใจมาก

นิทานมีอย่างนี้


นายจิต่เป็นคนดำริว่า อยากจะฆ่านายชีวิต
นายจิต จึงไปสั่งให้นายกายเป็นผู้ลงมือ


ต่อเมื่อนายชีวิตตายลง

นายจิตบอกว่าเขาไม่บาป เพราะเขาไม่ได้ลงมือทำ
นายกายบอกว่า เขาไม่ได้บาปนะ เพราะเขาไม่เป้นผู้มีเจตนา เขาเป็นแค่กาย ทำไปตามที่ถูกสั่ง


คำถามคือ.........
คุณคิดว่านายจิต หลอกตัวเองไหมครับ???


--------------------------------


อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เมื่อคนโง่มีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึก

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร