วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 17:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต


ทิฏฐิมานะ ที่ไม่ยอมวาง และด้วยความที่คิดว่าไม่มีใครรู้เกินตน ไม่ยอมรับคำเตือน แม้ว่าผู้นั้นจะรู้มากกว่าตนและปรารถนาดีแค่ไหนก็ตาม คิดเพียงแค่ว่า ตนรู้ ตนเห็น ตนเข้าใจแล้ว จึงนับว่าเป็นการเสียโอกาสที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง แทนที่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนเอง จากการพบผู้ที่ท่านได้รู้ ได้ผ่านและได้ศึกษาจากการปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่จำมาจากตำรา แล้วเอามาพูดให้ผู้อื่นฟัง เป็นการคาดเดาหรือกะประมาณเอาเอง เหมือนที่คนทั่วไปชอบทำ เพราะการลงมือปฏิบัติและการกระทำอะไรต่างๆ นั้น มันต้องใช้เวลา และมันก็มีทุกข์ อุปสรรค ต้องให้พบ ให้เจอ ให้แก้ไขอีกมากมาย มันลำบาก สู้การจดจำจากการศึกษาไม่ได้ เพราะง่ายดี

ถ้อยคำที่หลวงปู่ได้สนทนาธรรมกับศิษย์

หลวงปู่ขาว : พระพุทธศาสนานี้ถ้าเรียนถึงทำได้ แล้วลึกซึ้งที่สุด ดีเลิศไม่มีอะไรเทียบได้แม้แต่สิ่งเดียว

ลูกศิษย์ : ฤทธิ์ การแสดงฤทธิ์ อิทธิปฏิหารย์ นี้ทำยากไหม ดูคนทั่วไปจะชอบกันนัก

หลวงปู่ : มันเป็นของเล่นเท่านั้น พระที่ท่านทำถึงแล้วง่ายมาก แต่ที่สุดก็เบื่อหน่ายที่จะแสดงที่จะทำ และไร้สาระที่สุด ไม่เหมือนคนทั่วไปที่เป็นบ้าตื่นอยากรู้ อยากเห็น เหมือนเด็กๆ พระที่ท่านแสดงได้บางองค์ ท่านเลือกที่จะไปอยู่ป่า ตายในป่า อยู่เงียบๆ ของท่าน บางทีก็แกล้งบ้า ทำตัวไม่น่านับถือ จนบางครั้งคนที่อยู่ใกล้ชิดไม่รู้ว่าท่านเป็นอะไร ภูมิจิตระดับใด แม้ท่านจะสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน ก็ไม่มีบุคคลใดรู้ ตายก็ตายอย่างพระหลวงตาท้ายวัดองค์หนึ่งตายเท่านั้น

ท่านกล่าวต่อไปว่า ....

ก็อย่างว่านี้แหละ พวกตาบอด พวกใกล้เกลือกินด่าง เสียดายแทนว่ะ พวกนี้เจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น พวกเสียชาติเกิด ไม่รู้ของดี ของเน่า ช่างหัวมัน

ลูกศิษย์ : แล้วจะทำอย่างไรหลวงปู่

หลวงปู่ : ไม่ต้องทำอะไร ถือว่าวาสนามีแค่นั้น เพื่อนของเราองค์หนึ่งนั่งอาบน้ำกลางแม่น้ำ โยมอุปัฏฐากทำอาหารถวายท่าน ไม่มีมะนาว ท่านเดินเข้าข้างในกุฏิ ครู่เดียว หิ้วมะนาวออกมาเต็มถัง ถามว่า เอามาจากไหน กูไปเอามาจากตลาดกรุงเทพฯ โยมเขาก็หัวเราะ คิดว่าท่านพูดล้อเล่น สุดท้ายท่านก็ตายอย่างพระธรรมดาองค์หนึ่งเท่านั้น ท่านมีโยมอุปัฏฐากสองสามคนเท่านั้น ไม่เห็นท่านสนใจจะให้ใครนับถือหรือต้องการมีชื่อเสียงสาระอะไร มันเป็นของเน่าธรรมดาสำหรับท่าน แต่คนธรรมดามันบ้า

ศิษย์ : แล้วหลวงปู่ทำได้ไหมนี่

หลวงปู่ : ไม่รู้ มีตาก็ดูเอา มีนักปฏิบัติธรรมบอกว่า นั่งสมาธิเห็นนางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม กูนั่งแทบตายไม่เห็นบ้าอะไรเลย ไอ้พวกประมาท พวกนี้ไม่นานก็เป็นบ้า เป็นโรคประสาทกันหมด พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเรื่องนี้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเอง ให้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติจิตภาวนา ให้จิตสงบ แล้วก็พิจารณาทุกข์ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนต่างหาก เพื่อละ เพื่อถอนกิเลส โลภ โกรธ หลง ที่อยู่ในจิตใจตนเอง เรื่องฤทธิ์ ญาณรู้ จะมีหรือไม่มี ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร ท้ายสุดพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงยกย่องให้ความสำคัญเกินสติปัญญาเลย คนที่จะมาสนทนาธรรมะกับพระ บางคนก็ปฏิบัติแบบผิดๆ บางคนก็หลงยึดบางอย่างจนยากจะแก้ไข บางครั้งดูไปก็น่าสงสาร เขาไม่รู้หลัก เขาไม่มีครูบาฯ ที่รู้จริงๆ และเป็นที่พึ่งได้ ไอ้เราก็รู้พองูๆ ปลาๆ

หลวงปู่ขาวกล่าวต่อไปว่า .... กรรมฐานปัจจุบันไม่เหมือนเก่า ทำง่ายแต่ช้านาน ไม่เหมือนกรรมฐานเก่าๆ ดั้งเดิม ครูบาฯ รุ่นใหญ่ที่ท่านล่วงไปแล้วนั้น สิ่งแรกท่านเอาฐานก่อน คือฐานต้องมั่นคงจริงๆ (สมาธิ) เน้นหนักองค์กรรมฐาน ปฏิบัติยาก ทำยาก แต่เมื่อทำได้แล้ว ง่าย ก้าวหน้าเร็ว กรรมฐานปัจจุบันชอบอะไรเร็วๆ ไวๆ ขึ้นต้นไม้ไม่ยอมขึ้นแต่โคนต้น ชอบอุตริกระโดดขึ้นยอดไม้เลย สุดท้ายก็เสียเวลา บางทีก็เป็นบ้า เป็นโรคประสาทฆ่าตัวตาย ก็มี มิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติไม่ตรง สุ่มๆ เดาๆ อาจารย์พระกรรมฐานที่สอนไม่ได้รู้อะไรจริง เรียนหนังสือตำรา พอท่องๆ ได้ก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์แล้ว นั่งสมาธิ จิตรวมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แล้วนับประสาอะไร ญาณพิเศษรู้อะไรต่างๆ ยิ่งห่างไกลยังกะฟ้ากับดิน และที่ได้อภิญญา สมาบัติ โถ .... พระระดับนี้ ปัจจุบันจะมีกี่องค์ หาแทบไม่เจอ ยิ่งพระอริยะ พระอรหันต์ ท่านที่เป็นจริงๆ ท่านไม่ให้ใครรู้หรอก ไม่พูด ไม่ชอบแสดงตัว มันก็มีแต่ประเภทที่ไม่รู้ทั้งนั้น ชอบแสดง ชอบอวด รู้จริงมันอวดกันได้ที่ไหน มันเป็นกรรม ถ้าไม่ถึงวาระ ไม่ถึงกรรมต้องทำแล้ว แสดงออกมาไม่ได้เลย แต่ก็เอาเถอะ กรรมใคร กรรมมัน

ลูกศิษย์ : แล้วกรรมฐานรุ่นเก่าทำอย่างไร

หลวงปู่ : กรรมฐานรุ่นเก่านั้น ต้องทำจิตให้เป็นหนึ่งให้ได้ทุกอริยาบถก่อน จากนั้นจึงเข้ากราบครูบาฯ ขอคำแนะนำอุบายวิธีปฏิบัติต่อไป ถ้าทำพื้นฐานไม่ได้แล้ว ท่านไม่สอนอะไรต่อเลย และห้ามถามเรื่องภาวนาอีก คือ ถ้าทำไม่ได้อย่าพูด อย่าถามและโกหก การภาวนากับครูบาฯ ไม่ได้ด้วย คือท่านรู้จริงๆ เพราะท่านดูจิตของลูกศิษย์ออกหมดว่า ปฏิบัติก้าวหน้าหรือเท่าเดิม ทำได้น้อยหรือมากนี่คือครูบาฯ รุ่นเก่าที่ท่านเป็นพระปฏิบัติแท้ๆ เป็นครูจริงๆ รู้จริงและพิสูจน์ได้เสมอหากลูกศิษย์สงสัยในคุณธรรมของอาจารย์ มันจึงเป็นกรรมฐานแท้ๆ

ส่วนเรื่องญาณรู้พิเศษต่างๆ เหล่านั้น หลวงปู่ขาวท่านมักจะพูดว่า มันเป็นเรื่องที่เหนือคำพูด การประมาณ การคาดเดาที่คนทั่วไปชอบทำกันจนเป็นนิสัย สำหรับวิทยาศาสตร์ วัตถุ วิวัฒนาการต่างๆ ของมนุษย์ จนเจริญก้าวหน้าอีกกี่พันกี่หมื่นปีก็ยังตามหลังพุทธศาสนาอยู่ดี วิทยาศาสตร์ชอบเอาเครื่องมือทดลอง พิสูจน์ตามทฤษฎีที่ตั้งขึ้นคือ เอานอกดูนอก เช่นใช้กล้องส่องดูเชื้อโรค แต่ทางพุทธศาสนานั้น เอาในดูนอกคือ ใช้สิ่งที่ไม่มีตัวตน (จิต) ดูสิ่งภายนอก มันจึงรู้ได้เกินรู้ได้มากอย่างไม่มีขีดจำกัด แต่วิทยาศาสตร์รู้มีขีดจำกัด ทฤษฎีต่างๆ ทั่วโลกและในอนาคตอีกไม่มีประมาณจะมากแค่ไหนก็ถูกทฤษฎีของพระพุทธเจ้าครอบคลุมไว้หมด

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน) คือเมื่อมีขึ้นแล้วก็เสื่อมได้ สลายไปไม่มีตัวตนในที่สุด ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้าได้หรอก สิ่งต่างๆ มีอายุการใช้งานเหมือนกับอายุของสัตว์นี่แหละ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือค้างโลก สร้างอีกก็เสื่อมสลายอีก จะว่าอะไรแม้แต่ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเอง สุดท้ายมันก็ต้องตายเป็นเถ้าเหมือนกัน ส่วนแนวปฏิบัติกรรมฐานนั้น หลวงปู่ขาวจะชอบพูดว่า พุทโธตัวเดียวอย่างเดียว อย่าทิ้งองค์กรรมฐาน เพราจิตจะตกลงสู่ภวังค์ (อารมณ์ต่างๆ) เมื่อเราบริกรรมพุทโธจะเปรียบเหมือนกับเราทำให้อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นช้าลงหรือห่างออกจากเดิม ที่เกิดขึ้นเร็วจนบางครั้งตามแทบไม่ทัน ถึงแม้เราจะไม่สามารถทำจิตให้อยู่ในอารมณ์เดียวได้ (เป็นหนึ่งอยู่คำบริกรรม) และแม้ผู้นั้นจะเรียนรู้ธรรมะจากรู้อุบายภาวนามาก ศึกษาจากครูบาฯ มามาก แต่ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหาอุบายวิธีที่จะทำให้จิตของตนเองสงบจากอารมณ์ต่างๆ ได้แล้ว ธรรมะที่รู้มาก็ไม่มีประโยชน์ ปัญญาที่แท้จริงไม่มีวันรู้ได้ เพราะอารมณ์ต่างๆ มันจะปรุงแต่งให้จิตฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย ไม่มีวันหยุดสงบลงได้ เรียกว่า สติปัญญายังอ่อน อันมีสาเหตุเนื่องมาจาก

๑. วาสนาบารมี กระทำบำเพ็ญในอดีตยังน้อย (พละหรืออินทรีย์ ๕ ยังอ่อน)
๒. ความเพียรพยายามในปัจจุบันไม่มีกำลัง คือไม่ค่อยทำหรือทำไม่ต่อเนื่อง
๓. ลังเลสงสัยในองค์กรรมฐาน (คำภาวนา) ที่ตนเองใช้
๔. ไม่เชื่อมั่นศรัทธา ไม่มั่นคงในตัวครูบาฯ ที่ตนเองศึกษาอยู่
๕. ปฏิบัติผิดทางหรือปฏิบัติอยู่กับอาจารย์กรรมฐานที่ไม่รู้จริง (ไม่มีภูมิรู้)
๖. รู้เกินครูบาฯ อันเนื่องจากเรียนมามาก ศึกษาหลายอาจารย์จนสับสนแนวปฏิบัติและชอบอวดรู้ มีทิฐิมานะ การถือตนสูงไม่ยอมรับคำสอนของผู้อื่น

นี่คืออุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติที่หลวงปู่ขาวสอนเสมอ ท่านว่าคนที่ว่าตนเองรู้ ตนเองฉลาดแล้ว คนนั้นคือ คนโง่ที่สุด คนที่มีนิสัยถ่อมตน ไม่ถือตัว ไม่อวดความรู้ที่ตนเองมี คนนั้นคือ นักปราชญ์ผู้รู้จริง และผู้นั้นจะมีความรู้จากบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ อีกมาก การภาวนานั้นให้เอาปัจจุบัน พากเพียรเ อาปัจจุบันเป็นหลัก อีกทั้งต้องเชื่อในกรรมว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สำคัญต้องหาครูบาฯ ที่รู้จริงในแนวทางปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องภายใน และยิ่งปฏิบัติชั้นสูงขึ้นแล้ว ยิ่งต้องได้ครูบาฯ ที่รู้จริงอย่างถ่องแท้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ผิดและหลงยึดในสิ่งที่ไม่ควรยึด

ครูบาฯ ที่ท่านมีภูมิจจิตที่แท้นั้น ท่านจะผ่านการปฏิบัติอุบายต่างๆ มามาก และรู้ว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรปล่อย สิ่งใดควรปฏิบัติและถูกไม่ถูก และพื้นฐานการปฏิบัตินั้นที่ขาดไม่ได้คือศีล ๕ ขั้นต่ำเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติภาวนาที่สำคัญ และขาดไม่ได้ เมื่อมีโอกาสควรสร้างทาน สร้างบารมีอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ติดเป็นนิสัย ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อต้องการพ้นทุกข์จากวัฏสงสารนั้นกำลังหรือบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เป็นต้น ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้ ความก้าวหน้าหรือการยกระดับจิตขึ้นเหนือกิเลสต่างๆ คือ โลภ โกรธ หลง นั้นยาก

ปกติคนเราชอบหลงตัวเองว่า ตนเองดี ตนเองเด่นกว่าคนอื่นตลอดเวลา จนสุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขทิฏฐิมานะได้ และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะบอกกล่าวด้วยความหวังดี แม้ผู้นั้นจะเป็นอาวุโสกว่าตนเอง มีความรู้และมีประสบการณ์มากกว่าตนเองก็ตาม จะไม่ฟังและไม่ให้ความเคารพ จนสุดท้ายตนเองก็เดินทางเข้าสู่ความหายนะในที่สุด

ดังนั้น การบำเพ็ญบารมีหนักเบาต่างกัน ระยะเวลาไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน แม้ญาณทิพย์ ญาณในฤทธิ์ต่างๆ ก็ยังไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน แต่การตัดกิเลสให้จิตบริสุทธิจากความโลภ โกรธ หลง นั้นเป็นเหมือนกันทุกประการ

การปฏิบัติขั้นพื้นฐานนั้น หลวงปู่ขาวท่านจะเน้นหนักที่สุดคือ องค์บริกรรม หากลูกศิษย์ผู้ใดสนใจทางด้านการปฏิบัติภาวนาแล้ว ท่านจะเตือนสติเสมอๆ และเป็นคำพูดที่ได้ยินเสมอๆ จากท่านคือ อย่าทิ้งองค์บริกรรมภาวนา อย่าให้จิตตกสู่อารมณ์ต่างๆ ต้องพยายามใช้ปัญญาแยกจิตออกจากกายให้ได้มากที่สุดเท่าที่สติปัญญาของตนจะพึงมี จนถึงแยกกายกับจิตออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด

ขั้นบริกรรมภาวนานั้น (สมถกรรมฐาน) ต้องฝึกบริกรรมมีสติกำกับรู้ติดต่อกันให้ได้ทุกอริยาบท พูดคุย ทำงาน สวดมนต์ต่างๆ จิตจะต้องบริกรรมไว้ไม่ขาด หมายถึงจะต้องฝึกจนจิตภาวนาเองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องบังคับ (ไม่คำนึงถึงระยะเวลาการปฏิบัติว่าดี แต่ให้คำนึงถึงการฝึกปฏิบัติจิตภาวนาเท่านั้น) ทำให้จิตว่างจากอารมณ์ไว้อย่างมั่นคง แม้แต่นอนก็ให้บริกรรมภาวนาองค์กรรมฐานเรื่อยๆ จนกว่าจะหลับไปในที่สุด พยายามพากเพียรอย่างไม่ท้อถอย ทำทุกวันแม้แต่การปฏิบัติใหม่จะทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่ให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีขอบเขตของระยะเวลา ส่วนการนั่งสมาธิกรรมฐานนั้นจะต้องพยายามบริกรรมองค์ภาวนากรรมฐานจนกว่าจิตจะนิ่งเป็นหนึ่ง เพ่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหนื่อยหรือจนกว่าจิตจะรวมลงเป็นหนึ่ง (คำภาวนาจะหายไปเอง) เป็นอัปปนาสมาธิที่สุดแห่งสมาธิ และเมื่อชำนาญแล้ว ให้กราบเรียนขออุบายกรรมฐานจากครูบาฯ ต่อไป เนื่องจากนิสัยบารมีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

นิมิตตามแนวปฏิบัติของหลวงปู่นั้นท่านว่า .... จะเกิดขึ้นในขั้นบริกรรมภาวนาเท่านั้น แต่จะไม่เกิดในอัปปนาสมาธิ เนื่องจากขั้นนี้จิตไม่มีอารมณ์ นิมิตเกิดไม่ได้ เมื่อคิดภาวนาประสบนิมิตให้วางเฉยต่อนิมิตนั้นทุกประเภท แม้ว่านิมิตนั้นจะพิศดารแค่ไหนก็ตาม เมื่อวางเฉยแล้วนิมิตจะหายไปเอง และให้กำหนดจิตอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาต่อไป จนกว่าจิตจะแน่วแน่ และรวมตัวลงเป็นอัปปนาสมาธิในที่สุด และจิตจะถอนขึ้นมาเองสู่อารมณ์ปกติทั่วไป นิมิตบางอย่างก็มีประโยชน์แต่ให้ถามครูบาฯ เพื่อศึกษาวิธีปฏิบัติต่อนิมิตนั้นโดยตรง เช่น นิมิตอสุภะ เป็นต้น นิมิตภาวนาบางคนก็มี บางคนก็ไม่มี แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคน

การพิจารณานั้น หลักใหญ่ถ้านักปฏิบัติไม่สามารถจะดำรงจิต ทำให้จิตสงบจากอารมณ์ต่างๆ ได้ แล้วก็ยากจะพิจารณาให้รู้จริงและเกิดปัญญาในเรื่องนั้นๆ ได้ เพราะจิตถูกปรุงแต่งจากอารมณ์ ความนึกคิดต่างๆ ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไม่มีที่สิ้นสุด นักปฏิบัติต้องเพ่งอยู่ในองค์บริกรรมภาวนา จนกว่าจะนิ่งมั่นคงเป็นหนึ่งดีแล้ว จึงยกเรื่องต่างๆ ขึ้นเพื่อพิจารณา อาทิ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทุกข์ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น เพื่อหาเหตุและความจริงตามสภาวธรรมต่างๆ และคลายความยึดถือไปในที่สุด


จากหนังสือ อ่านก่อนตาย ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน เล่ม ๔

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2008, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบขอบพระคุณค่ะ สำหรับท่านที่มีเมตตา ช่วยปรับแต่งข้อความให้น่าอ่านมากขึ้น รวมทั้งรูปครูบาฯ ที่แนบมาด้วยค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2008, 09:12 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ได้มอบสิ่งดีๆ ให้กับทุกคนได้อ่านกัน เพื่อเตือนสติทุกครั้งที่เข้าในเวปนี้เมื่อได้อ่านการแสดงความคิดเห็นหรือคำถามของทุกท่าน puy ก็ต้องได้รับสิ่งที่ดีและเตือนใจให้ตนเองได้ปฏิบัติยิ่งเห็นว่า ปัญหาทุกคนนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร ก็มีความรู้สึกว่าตนเองต้องฝึกเจริญสติให้มากขึ้น และเกิดตัณหาอยากให้ผู้อื่นได้ปฏิบัติมากๆ จะได้พ้นทุกข์ได้ข้อความที่โพสต์มาโดนใจมากคะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2008, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โมทนาค่ะคุณ puy :b8:

วันใดสติ สัมปชัญญะเรามากพอ ความอยากต่างๆ จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ มันจะเป็นสักแต่ว่าไปเองค่ะ สำหรับบทความของครูบาฯ นี้ โดนใจดิฉันเหมือนกันค่ะ เลยนำมาแบ่งปันกัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2008, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2008, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ดังนั้น การบำเพ็ญบารมีหนักเบาต่างกัน ระยะเวลาไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน แม้ญาณทิพย์ ญาณในฤทธิ์ต่างๆ ก็ยังไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน รู้มาก รู้น้อย ไม่เท่ากัน แต่การตัดกิเลสให้จิตบริสุทธิจากความโลภ โกรธ หลง นั้นเป็นเหมือนกันทุกประการ


:b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2008, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 เม.ย. 2008, 07:43
โพสต์: 567

ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
!!@ ธรรมะไม่กลับมา โลกาจะวินาศ มวลมนุยษ์จะลำบาก คนบาปจะครองเมื่อง @!! คำของท่านพุทธทาส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 39 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร