วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2008, 01:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2004, 12:30
โพสต์: 147


 ข้อมูลส่วนตัว www


เมื่ออยู่ใน"สมาธิ"นั้นเล่า ก็ใช่ว่าจิตจะโง่เง่าซึมเซอะแต่มันมีความผ่องใส พิจารณาธรรมอันใด ก็ปรุโปร่งเบิกบาน "ฌาน" ต่างหาก ทีทำให้จิตสงบแล้วซึมอยู่กับสุขเอกัคคตาของฌาน ขออย่าได้เข้าใจว่า"ฌาน"กับ"สมาธิ" เป็นอันเดียวกัน ลากับม้าเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน แต่ต่างตระกูลกัน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ความโง่อันสงบจากนิวรณ์ ทั้ง 5 ยังดีกว่าความกล้าหลงเข้าไปจมอยู่ในกามทั้งหลายเป็นไหน ๆ

ธรรมะหลวงปู่เทสก์

(พื้นที่โฆษณา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ภัยและอุปสรรคในการปฏิบัติ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน

๑.ภัยใหญ่ หมายถึงบรรดากิเลสร้ายและนิมิตต่างๆที่เข้ามาขัดขวาง มากั้น มาบัง มารั้ง ไม่ให้จิตเกิดสมาธิถึงฌาน และมิให้สติสัมปชัญญะ ( ปัญญา ) มีกำลังเข้มแข็งในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ผ่านวิปัสสนาญาณต่างๆ ๑๖ ญาณ ไปได้คือ

๑.๑ ภาพล้อ บางท่านเรียกว่า กายทิพย์ คือปรากฏเป็นอีกภาพหนึ่งเหมือนตัวเรา เราจะทำอะไรมันก็ทำตามเรา บางครั้งเราสามารถใช้ให้มันทำอะไรๆได้ตามนึกคิด

๑.๒ ภาพล่อ คือภาพนิมิตที่เกิดจากความปราณีตของจิต จึงสร้างมโนภาพอันสวยงามชวนให้หลงใหลเพลิดเพลินต่างๆนานา เช่น เห็นวิมานทอง ปราสาททอง เห็นเทวดานางฟ้าเป็นต้น

๑.๓ ภาพหลอก เป็นภาพนิมิตที่น่ากลัวต่างๆทำให้ตกใจกลัวได้ เช่นเห็นสัตว์ร้าย เห็นเป็นศพมนุษย์ หรือมนุษย์หน้าตาดุร้ายจะเข้ามาทำร้ายเรา เห็นสถานที่น่ากลัวต่างๆเป็นต้น

๑.๔ ภาพลวง หรือจะเรียกว่าปฏิภาคนิมิตก็ได้ คือ นิมิตที่สามารถจะนึกขยายให้เล็กให้โต ให้เคลื่อนไปมาได้เช่น นิมิตจากเพ่งดวงกสิณต่างๆนึกจะเห็นอะไรก็ได้ตามใจนึก จะเห็นนรก สวรรค์ก็ได้ดังใจนึก เป็นต้น ภาพลวง หรือปฏิภาคนิมิตนี้ ผู้มีปัญญาจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยไม่หลงเข้าไปยึดถือเพลิดเพลินยินดีในนิมิตแต่อย่างใดเลย เช่น สมาธิปัญญาแก่กล้าจะนำนิมิตประเภทนี้มาเพ่งแล้วอธิษฐานจิตแสดงฤทธิ์ต่างๆได้ เป็นต้น

๑.๕ ภาพล้าง เป็นเหตุที่มาจากสิ่งภายนอกเช่น เปรตแสดงตนมาขอส่วนบุญ เห็นปีศาจ อสุรกาย ยักษ์มารมาแสดงตนให้ปรากฏ หรือบางทีก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรเก่า และเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมาแสดงตนให้น่าสพรึงกลัว เพื่อเข้ามาขัดขวางทางปฏิบัติธรรม ถ้ามีความรุนแรงและไม่มีสติยับยั้งรู้เท่าทันถึงวิธีการแก้ไขแล้ว อาจเสียสติได้

ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าปรากฏเห็นภาพต่างๆตามที่กล่าวแล้ว ให้เข้าใจว่าล้วนเป็นภาพมายาทั้งสิ้น ซึ่งมันจะทำให้เราหลงผิด หากภาพใดทำให้ท่านเกิดความกลัว วิธีแก้ไขขั้นต้นให้ลืมตาขึ้นเสีย แล้วเรียนให้อาจารย์ผู้สอนท่านทราบ เพื่ออาจารย์จะได้แนะนำวิธีการแก้ไขให้ นอกจากนี้อาจมีภาพต่างๆที่ไม่ได้กล่าวไว้ ให้เข้าใจว่าเป็นภาพมายาทั้งสิ้น
จากหนังสือ คู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต ของวัดอัมพวัน อ. พรหมบุรี จ. สิงห์บุรี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2008, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


April 08
นิมิต หลวงปู่เทสก์

เมื่อจิตรวมเข้าเป็นสมาธิ นิ่งแน่วเป็นอารมณ์เดียว ถ้าสติอ่อนจิตจะน้อมเข้าไปยินดีกับความสงบสุข มันจะเข้าสู่ภวังค์ บางคนเกิดนิมิตต่างๆ เกิดแสงสว่างเหมือนกับพระอาทิตย์แลพระจันทร์ เห็นดวงดาว เห็นกระทั่งเทวดาหรือภูต ผี ปีศาจ แล้วหลงไปจับเอานิมิตนั้นๆ สมาธิเลยเสื่อมหายไป นิมิตเกิดจากภวังค์เป็นส่วนมาก ภวังค์เป็นอุปสรรคของมรรค นิมิตทั้งหลายดังที่อธิบายมาแล้วก็ดีหรือนอกไปกว่านั้นก็ดี ถึงมิใช่หนทางให้ถึงความบริสุทธิ์ก็จริง แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะต้องผ่านทุกๆคน เพราะการปฏิบัติเข้าถึงจิตรวมเข้าถึงภวังค์แล้วจะต้องมี เมื่อผู้มีวาสนาเคยได้กระทำมาเมื่อก่อน เมื่อเกิดนิมิตแล้วจะพ้นจากนิมิตหรือไม่ก็แล้วแต่สติปัญญาของตนหรืออาจารย์ของผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิตนั้น นานแสนนานเช่นอาฬารดาบสและอุททกดาบสเป็นต้น ความรู้แลนิมิตต่างๆเกิดจากคำบริกรรม เมื่อจิตรวมเข้าภวังค์ คำบริกรรมมีมากมาย ท่านแสดงไว้ในตำรามีถึง ๔๐ อย่าง มีอนุสสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กสิน ๑๐ เป็นต้น ที่พระสาวกบางองค์บริกรรมแล้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ยังมีมากกว่านี้ แต่ท่านไม่ได้เอารวมไว้ในที่นี้ ยังมีมากกว่านั้นเช่น องค์หนึ่ง ไปนั่งอยู่ริมสระน้ำ เห็นนกกระยางโฉบลงกินปลา ท่านไปจับเอามาเป็นคำบริกรรมจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คำบริกรรมแล้วแต่อัธยาศัยของบุคคล มันถูกกับอัธยาศัยของตนก็ใช้ได้ทั้งนั้น ที่ท่านแสดงไว้ ๔๐ อย่างนั้น พอเป็นเบื้องต้นเฉยๆ ผู้ภาวนาถ้าไม่ถูกจริตนิสัยของตนแล้ว จะเอาอะไรก็ได้แต่ให้เอาอันเดียว อย่างเอาหลายอย่างมันจะฟุ้งลังเลไม่ตั้งมั่นในคำบริกรรมของตน ถ้ามากอย่างจิตจะไม่รวม
นิมิตแลความรู้ต่างๆที่เกิดขึ้นในสมาธินั้น นอกจากดังได้อธิบาย มันอาจเกิดความรู้เห็นอรรถเป็นคาถาหรือเสียงไม่มีตัวตน หรือเป็นเสียงพร้อมมีตัวตนขึ้นมาก็ได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องมือเตือนตนเองแลคนอื่นให้ระวังอาจจะเกิดภัยในข้างหน้าหรือเตือนว่า สิ่งที่ตนทำมานั้นผิดหรือถูกก็ได้ นิมิตจะเกิดแก่นักปฏิบัติย่อมเกิดในเวลาจิตเป็นอุปจารสมาธิ แต่ตนเองไม่รู้ว่าเป็นอุปจารสมาธิ แลรู้ได้ในขณะที่ยืนอยู่ก็ได้ นั่งทำสมาธิก็ได้ นอนในท่าสมาธิก็ได้ แม้แต่เดินไปเดินมาก็รู้ได้เหมือนกัน
นิมิตแลความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นกระท่อนกระแท่นไม่ติดต่อกัน แลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เพราะผู้เข้าสมาธิไม่ชำนาญพอ พอเข้าเป็นอุปจารสมาธิก็เกิดขึ้นแล้ว ดังได้อธิบายมาแล้ว ไม่เหมือนท่านที่ชำนาญ ท่านที่ชำนาญแล้วท่านจะต้องเข้าสมาธิให้ถึงอัปปนาสมาธิ แล้วจึงถอนออกมาอยู่แค่ อุปจารสมาธิ เมื่องต้องการจะรู้เห็นอะไร ท่านจึงวิตกเรื่องนั้น เมื่อวิตกขึ้นแล้ว ท่านก็วางเฉย เมื่อเหตุการณ์นั้น อะไรจะเกิดมันก็เกิดขึ้น เมื่อมันไม่มี มันไม่เกิด เมื่อมันเกิดขึ้นเรื่องนั้น แน่นอนที่สุด เป็นจริงทุกอย่าง
ไม่เหมือนคนเราสมัยนี้ ทำฌาน ทำสมาธิยังไม่ทันจะเกิด เอาความอยากไปข่มแล้ว ความอยากจะเห็น อยากรู้นั้น อยากรู้นี้ต่างๆนานา เมื่อมันไม่เห็นสิ่งที่ตนต้องการ ก็เลิกล้มความเพียรเสีย หาว่าตนไม่มีบุญวาสนาอะไรไปต่างๆนานา ความจริงตนกระทำมานั้นมันถูกทางแล้ว มันได้แค่นั้นก็ดีแล้ว จะไปแข่งบุญแข่งวาสนากับท่านที่ได้บำเพ็ญมาแต่ก่อนไม่ได้ แข่งเรื่อแข่งพายยังพอแข่งได้ แข่งบุญวาสนานี้ไม่ได้เลยเด็ดขาด บางท่านบำเพ็ญเพียรมาสักเท่าไรๆนิมิตและความรู้ต่างๆไม่เกิดเลย ทำไม่ท้อถอย ท่านสามารถบรรลุผลได้เหมือนกัน ท่านได้จตุปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ กับท่านผู้ที่ไม่ได้เลย ถึงพระนิพพานแล้วก็เป็นอันเดียวกัน ไม่เห็นแตกต่างตรงไหน
เมื่อของในโลกนี้เป้นของหลอกลวงได้ " ธรรม " ธรรมที่เป็นโลกีย์ก็หลอกลวงได้เหมือนกัน เราจะเห็นได้จากการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อจิตจะรวมเข้าเป็นสมาธิ ตกใจผวา เหมือนมีคนมาผลัก บางคนมีเสียงเปรี้ยงเหมือนเสียงฟ้าผ่าก็มี บางทีกายของเราแตกออกเป็นซีกๆก็มี บางทีมีแสงสว่างจ้าขึ้นมาแลเห็นสิ่งต่างๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง พอลืมตาขึ้นหายหมด สารพัดแล้วแต่มันจะเกิด บางทีพอจิตรวมเข้าไปปรากฏเห็นภูต ผี ปีศาจ ทำหน้าเป็นยักษ์ หน้ามารมา เลยกลัว วิ่งหนี เลยเสียสติเป็นบ้าไปก็มี ธรรมที่ยังเป็นดลกีย์อยู่ก็หลอกลวงได้ เช่นเดียวกับโลกๆเรานี่แหละ บางทีเราพิจรณาร่างกายอันนี้ให้เป็นอสุภะ เมื่อใจน้อมเชื่อมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเลยเกิดอสุภะขึ้นมา เปื่อยเน่าเฟะไปทั้งตัว แต่แท้ที่จริงแล้ว ร่างกายมันก็เป็นอสุภะธรรมดาๆเท่าที่มันมีอยู่นั่นแหละ แต่เราเข้าใจผิด หลงไปเชื่อตามจิตมันหลอก เลยหลงเชื่อว่าเป็นอสุภะจริงๆ ไปยึดถือเอาจนเหม็นติดไม้ติดมือติดตัว ไปไหนก้มีแต่กลิ่นอสุภะทั้งนั้น

จาก สิ้นโลกเหลือธรรม หลวงปู่เทสก์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 119 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร