วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 16:56
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่สงสัยก็คือว่า...

พุทธศาสนาสอนให้เรา "ทำำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน"

แล้วถ้า ณ ตอนที่เรากำลังทำดีกับใครสักคน เราก็ไม่ได้หวังว่าเค้าจะขอบคุณเราหรือมีสิ่งใดตอบแทนเรา
แต่...เมื่อคนๆ นั้นเค้าไม่ขอบคุณเรากลับหรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า...

ทำไมไม่ขอบคุณเรา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะยิ้มให้สักนิดก็ดี

...รู้สึกอย่างนี้ ผิดมั๊ยคะ??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบคุณคนเขลา

เท่าที่ข้อมูลของคุณให้มาข้างบน ผมประมวลเอามาตั้งเป็นคำถาม ดังนี้

ถาม : เกิดความรู้สึกว่า "ทำไมไม่ขอบคุณเรา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะยิ้มให้สักนิดก็ดี" รู้สึกอย่างนี้ผิดกับหลัก ""ทำำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน" หรือไม่?

ตอบ : คำถามนี้ผมขอตอบแบบมุ่งผลประโยชน์ทางธรรมนะครับ หลักนี้หากกล่าวแบบตรงตามหลักจริงๆ จัดว่าสภาวะจิตของคุณนั้นยัง "ผิด" หรือคลาดเคลื่อน ยังไม่สามารถทำได้ในหลัก "ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน" ได้บริสุทธิ์จริงๆ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า จิตของคุณเรียนรู้หลักอยู่ว่าไม่ควรจะหวังผลตอบแทน แต่ในใจลึกๆ ของคุณแล้วยังคงมีความหวัง ปรารถนา ต้องการที่จะให้เขาตอบแทนคุณในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอยู่ แม้การยิ้มก็ยังดีอยู่ในใจลึกๆ นั่นเอง เรียกย่อๆ ว่า "เกิดตัณหา" ขึ้นอย่างที่คุณไม่รู้สึกตัว

พอทีนี้ผลก็เกิดกลับมาว่า เมื่อคุณช่วยเขาไปแล้ว พอช่วยเสร็จเขากลับไม่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อเป็นการตอบแทนคุณ เช่น ไม่ขอบคุณคุณ, ไม่ยิ้มให้คุณ เป็นต้น คุณก็เกิดผิดหวัง เกิดความทุกข์ลึกๆ ในใจขึ้น เกิดความปรุงแต่งไปตามรูปลักษณะที่ตาเห็น ปรุงแต่งไปมากๆ จนเกิดความสับสนในใจและย้อนกลับมาคิดถึงหลัก "ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน" ว่าเราทำถูกหรือไม่อย่างไร แล้วปรุงแต่งเป็นการกระทำมาตั้งกระทู้ครับ

ลองคิดในทางตรงกันข้าม ลองจินตนาการหรือพิจารณาตามก็ได้ หากเขาเกิดยิ้มให้คุณ หรือกล่าวขอบอกขอบใจคุณอย่างเต็มใจ หรือถึงขนาดเที่ยวหาของมาตอบแทน ขนมนมเนยมาให้คุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณจะดีใจ มีความสุขครับ ตรงนี้แหละ เห็นได้ชัดว่าเรานั้นยังมีความต้องการผลตอบแทนลึกๆ อยู่ในใจ แม้เราเรียรรู้มาว่าไม่ควรหวังผลตอบแทน หรือกล่าวกับผู้อื่นว่าเราไม่หวังผลตอบแทนก็ตาม

ตรงนี้เป็นธรรมดาของปุถุชนครับ เพราะหลักนี้จริงๆ แล้วผู้ที่จะทำให้อย่างไม่หวังตอบแทนสมบูรณ์ที่สุดนั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น เพราะพระอรหันต์จะไม่มีตัณหา สิ้นตัณหาแล้ว จึงไม่มีอันทำอะไรเพื่อตัวเอง หรือไม่มีความหวังใดๆ ทำไปตามที่ควรจะทำเกื้อกูลประโยชน์แก้ผู้อื่นอย่างแท้จริงฝ่ายเดียวได้ เพราะกิจเพื่อตัวเองเสร็จสิ้นแล้วครับ ซึ่งต่างจากปุถุชนทั่วไปที่เป็นยังละอวิชชา ตัณหา อุปทานยังไม่ได้ จึงเป็นอันว่าทำอะไรโดยมีความหวังอยู่ ยังทำอะไรมีตัวเราทำ หรือของเรารับผล หรือเป็นไปเพื่อให้ตัวเรา หรือของเรามีความสุข ไม่อยากให้ตัวเราทุกข์อยู่ด้วยเสมอๆ

ไม่เป็นไรครับ พยายามใหม่ โดยพยายามหมั่นฝึกสติ และใช้ปัญญา เพื่อให้เกิดใจเป็นกลาง คือ เมื่อเราจะไปช่วยเขาก็ให้คิดเสียว่าเราไปช่วยเขา ก็เพราะเป็นสิ่งดี ให้เขาพ้นจากทุกข์ หากเขาจะกล่าวขอบคุณหรือไม่กล่าวขอบคุณก็ไม่เป็นไร แล้วทีนี้พอเราช่วยเขาเสร็จเขาจะยิ้มขอบคุณหรือไม่ยิ้ม เราก็มารู้สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเราเห็นอะไร แล้วก็ดูที่ใจเราว่าเป็นอย่างไร ต่อการกระทำ-สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น หากใจสุขหรือทุกข์ หรือใจปรุงแต่งก็ให้รู้ หากใจนิ่งไม่หวั่นไหวก็ให้รู้ ดังนี้ครับ หากจะให้ดียิ่งขึ้นเราก็พิจารณาให้เห็นถึงความไตรลักษณ์ (ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นธรรมดาอย่างนั้น) กับสิ่งที่เห็น กับสภาวะจิตที่เกิดขึ้น แล้วใจก็จะกลับมาวางเป็นกลางได้ครับ ทีนี้เมื่อคุณทำอย่างนี้บ่อยๆ เข้า จนไม่เผลอได้ในที่สุดสักวันหนึ่ง
คุณจะสามารถ "ทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน" ได้บริสุทธิ์จริงๆ ครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 02 ธ.ค. 2008, 12:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ที่สงสัยก็คือว่า...พุทธศาสนาสอนให้เรา "ทำำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน"
แล้วถ้า ณ ตอนที่เรากำลังทำดีกับใครสักคน เราก็ไม่ได้หวังว่าเค้าจะขอบคุณเราหรือมีสิ่งใดตอบแทนเรา
แต่...เมื่อคนๆ นั้นเค้าไม่ขอบคุณเรากลับหรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า...

ทำไมไม่ขอบคุณเรา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะยิ้มให้สักนิดก็ดี

...รู้สึกอย่างนี้ ผิดมั๊ยคะ??


อ้าว.....แสดงว่าทำบุญแล้วหวังผลครับ....ไม่ผิดหรอกครับที่รู้สึกเช่นนี้... :b13:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ธ.ค. 2008, 16:56
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆเลยค่ะ =/|\=

อนุโมทนา นะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2008, 01:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนปลูกต้นไม้หวังกินผลนั่นแหละครับ
เราปลูกเพราะอยากกินผล
พอมันไม่ออกผลอย่างที่ต้องการ เราก็เกิดความทุกข์

ถ้าคนที่ปลูกนั้น ปลูกมันเพราะเห้นว่าการปลูกต้นไม้นี้เป็นหน้าที่
เป้นความดี เป้นบุญ เป้นสิ่งควรจะทำ เขาก็ทำไปเรื่อยๆ

และเพราะไม่หวังผล ถ้าผลมันไม่เกิดออกมา เขาก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้คาดหวัง


แต่การกระทำใดๆก็ตาม ย่อมมีผล
ทำดีย่อมได้ดี
หว่านพืชใด ย่อมได้กินพืชนั้น
ดังนั้น ต้นไม้ที่เขาเพียรปลูกอย่างไม่ลดละ จึงให้ผลมากมาย

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 23:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เค้าเรียกว่า ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ค่ะแต่ไม่ผิดหรอกค่ะ
คุณคนเขลายังมักน้อยนะคะ แค่หวังจะเห็นคำขอบคุณตามมารยาทหรือรอยยิ้มสักนิด
อย่าไปมัวคิดถึงสิ่งที่เราคาดหวังจากเขาเลยค่ะเสียเวลา.

แต่...คุณคงสุขใจนะคะตอนที่คิดถึงสิ่งดีๆ ที่เราทำให้เขา....

:b35: :b35: :b35:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 12:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ครับยังใช้ไม่ได้ ต้องพยายามกว่านี้อีก

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณคนเขลาครับ


อย่าไปยึดติดในคำขอบคุณเลยครับ ผมช่วยคนมาเป็นพันคน ช่วยวิญญาณมาเป็นล้านๆดวง ผมยังไม่
ต้องการให้พวกเขามาขอบคุณผมเลย บางคนจะเอาเงินมาให้ที่บ้าน จะพาไปเลี้ยง ผมยังไม่ต้องการอะไรเลย

คิดอย่างนี้ซิครับ เขาไม่ขอบคุณคุณ เพราะชาติก่อนคุณก็ไม่เคยขอบคุณเขา แต่สิ่งที่คุณทำให้เขา
ผลบุญมันติดตัวคุณไปตลอด แล้วทำบุญช่วยคนครั้งหนึ่ง ผลบุญที่มาถึงคุณ มันเป็นแสนเป็นล้านเท่า
คุณน่ะต้องขอบคุณเขา ที่เขารับความช่วยเหลือจากคุณ เขาได้ 1 คุณได้ล้าน ใครเป็นหนี้บุญคุณใครครับ ครั้งต่อไปอย่าลืมขอบคุณเขานะครับ

ผมไม่ได้พูดเรื่องตลกนะ เป็นความจริงทั้งนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2008, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพลศักดิ ช่วย วิญญาณ ยังไงบอกหน่อยครับ
จะ อยากช่วยมั้งครับ สาธุกับเมตตาจิตครับ

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2008, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


บุญชัย เขียน:
คุณพลศักดิ ช่วย วิญญาณ ยังไงบอกหน่อยครับ
จะ อยากช่วยมั้งครับ สาธุกับเมตตาจิตครับ



โลกมนุษย์เป็นที่รับกรรมเก่า และสร้างกรรมใหม่ ทำให้เรามองเห็นไม่ชัดว่า ทำไมคนบาปได้ดี คนทำดีได้บาป? ส่วนในปรโลกเป็นที่รับผลอย่างเดียว ดังนั้นปรโลกจึงมีแต่ผลบุญเท่านั้นเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ที่นั่นเป็นที่รับผลกรรมจากการกระทำของเราในโลกมนุษย์

ถ้าคุณทำบุญในโลก 1 ผลตอบแทนที่ได้รับในปรโลกจะเป็น 100,000 เป็นล้าน เป็น 10 ล้าน 100
ล้าน แสนล้านเท่าเลย ก็เหมือนคุณเล่นล๊อตเตอรี่นั่นแหละ แต่ถ้าคุณทำแต่บาป ผลตอบแทนมันก็หนัก
เสมอกัน ดังนั้นผู้ที่ตกลงไปสู่อบายภูมิและนรกต่างๆ พวกเขาเป็นผู้โชคร้าย แทงล๊อตเตอรี่ในโลก
มนุษย์ผิดข้าง พวกเขาเหล่านี้ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว จึงต้องอาศัยญาติพี่น้องหรือคนในโลกช่วยเหลือ

วิธีช่วยวิญญาณทั่วไปในปรโลก ก็คือการทำบุญทำทาน อุทิศกุศลให้เขา แต่วิธีนั้นช่วย
วิญญาณได้จำกัด วิธีช่วยวิญญาณได้มากขึ้น คือ การทำสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน และแผ่เมตตาให้
เหล่าวิญญาณต่างๆ

เมื่อ 7 ปีก่อนผมแผ่เมตตาช่วยวิญญาณเด็กผู้หญิงอายุ 4 ขวบคนหนึ่งที่จมน้ำตาย ต้องแผ่ให้ถึง 5 ครั้ง
เนื่องจากจิตไม่นิ่งมาก แต่ปัจจุบันเมื่อ 3 เดือนก่อน ผมแผ่เมตตาให้วิญญาณที่ติดอยู่ในโลกที่จังหวัด
อุดร 1 ครั้ง เทวดาองค์หนึ่งมาบอกผมว่า มีสัมภเวสี 200,000 ดวง มาหาเพื่อขอบคุณ เพราะจิตผม
สงบนิ่งมากอยู่ในฌาน 4 ตลอด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่เมตตาทีหนึ่ง ให้สรรพวิญญาณต่างๆได้ถึงทั้งไตรโลกธาตุ ผม
จำไม่ได้แล้วว่าได้กี่อนัตริยจักรวาล เพราะจักรวาลต่างๆมันซ้อนทับกันอยู่เต็มไปหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2008, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเขลา เขียน:
ที่สงสัยก็คือว่า...

พุทธศาสนาสอนให้เรา "ทำำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน"

แล้วถ้า ณ ตอนที่เรากำลังทำดีกับใครสักคน เราก็ไม่ได้หวังว่าเค้าจะขอบคุณเราหรือมีสิ่งใดตอบแทนเรา
แต่...เมื่อคนๆ นั้นเค้าไม่ขอบคุณเรากลับหรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่า...

ทำไมไม่ขอบคุณเรา อย่างน้อยๆ ก็น่าจะยิ้มให้สักนิดก็ดี

...รู้สึกอย่างนี้ ผิดมั๊ยคะ??



ตอบ...
คุณขอรับ คุณไปเอาคำสอนที่ไหนมาขอรับ อาจารย์ที่ไหนสอนคุณอย่างนั้น
ศาสนาพุทธ สอนให้รู้จักตัวเอง และผู้อื่น หมายความว่า สอนให้รู้จักความคิดความต้องการของตัวเอง และของผู้อื่น
หรือจะกล่าวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ พุทธศาสนา สอนให้รู้จักธรรมชาติ ทั้งทางกาย วาจา และใจ ของตนเองและผู้อื่น
พุทธศาสนา "ไม่ได้สอนให้ทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน"
คุณต้องเรียนรู้ในเรื่องธรรมะ เรื่องศีล ให้ดี แล้วคุณจะเกิดความเข้าใจว่า ทำไม จึงมีพวกที่ชอบอวดอุตริฯ บัญญัติประโยค อันบิดเบือนคำสอนในทางศาสนาพุทธ
เมื่อคุณได้อ่านความข้างต้น และเกิดความเข้าใจแล้ว
คุณลองพิจารณาความคิด ความต้องการของตัวคุณซิว่า ทำไม คุณถึงอยากให้เขาสนใจในสิ่งที่คุณกล่าวว่า ทำดีกับใครสักคนหนึ่ง แต่เขาไม่สนใจ "
คุณลองพิจารณาดูแล้วคุณก็จะรู้คำตอบ และเข้าใจ ไม่เกิดความคิดความต้องการอย่างที่คุณกล่าวว่า ทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่หวังให้เขาสนใจ คิดเอาเองเถอะขอรับ แล้วปัญญาก็จะเกิดต่อตัวคุณ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร