ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19132 |
หน้า 5 จากทั้งหมด 12 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ธ.ค. 2008, 19:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
viewtopic.php?f=2&t=19311 เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาผมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการอย่างนี้ครับ นั่งไปรู้สึกว่าแขนตัวเองหาย...ก็ ok กำหนดจิตต่อว่าหาย สักพัก มีความรู้สึกเหมือนร่างกายมีแสงเรื่องๆ ที่ผิว ขาวนวลและเป็นละอองฝุ่นผงเล็กๆๆ ฟุ้งขึ้นไปในอากาศลอยขึ้นไป เรื่อยๆๆ กำหนดจิตรู้สึก ร่ายกายช่วงลำตัวกับแขนหายไป....ลำตัวกลวงโป๋ แต่รู้สึกเย็นวาบขนลุก .....ลมเย็นพัดสอบจากรอบๆร่ายกายแล้วพุ่งขึ้นศีรษะอย่างเร็ว แรง และเย็นมากเหมือนอยู่ในห้องเย็น ขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกพยายามกำหนดรู้ครับ แต่.....รู้สึกกลัวมาก.....เหมือนลมเย็นจะพัดเราลอยขึ้นจากพื้น.. ใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นไงเป็นกันวะ...ตายเป็นตาย ตายในสมาธิเท่จะตาย อีกใจก็กลัวมาก...กลัวที่สุดในชีวิตครับ ชนิดที่คิดบทสวดมนต์ยังไม่ออกเลย จนคิดถึงหลวงปู่ทวด และคิดถึงหลวงพ่อทอง พระอาจารย์ที่พระธาตุจอมทอง เชียงใหม่ เลยกำหนดขอออกจากสมาธิ ผลคือใช้เวลา เกือบเดือน จึงกล้าที่จะนั่งสมาธิใหม่ครับ และสภาวะที่ติดมาคือ อยากตายมาก......มันเบื่อโลก...เบื่อทุกอย่าง....ไม่อยากเจอคน เซ็งกับทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ จิตตกไปเลย ไม่นั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นเดือน เซ็งจัด |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ธ.ค. 2008, 19:24 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=162561 ผมนับถือคริสต์ครับ นิกาย โรมันคาทอลิค แต่ผมชอบนั่งสมาธิ และสวดลูกประคำครับ ชอบตื่นมานั่งสมาธิและ สวดลูกประคำประมาณ ตี 3 ทุกคืนครับ ช่วงปีที่แล้ว ขณะนั่งสมาธิอยู่ ผมหลับตานั่งครับ แต่ดวงตาผมกลับมองเห็นทุกอย่างในห้อง โดยไม่ต้องลืมตาครับ และขณะเดียวกัน ผมรู้สึกเสียวสันหลัง และเห็นผู้หญิงมานั่งข้างหลังผม โดยที่ผมไม่ต้องหันหน้ากลับหลังไปมองครับ ผู้หญิงคนนั้น ตาโบ๋ ปากและจมูกกลวงครับ ผิวซีด ชุดสีเทา มอมอ ผมสะดุ้งลืมตาเลยครับ ผมเลยอุทิศผลบุญที่ทำมาให้เธอไป แต่เมื่อประมาณ เดือนที่แล้วนี้เอง ผมนั่งสมาธิเหมือนเดิม + สวดลูกประคำ พอมีอยู่ในสมาธิทีไร จะได้ยินเสียงผู้หญิงมากระซิบข้างหู ให้ตั้งใจทำความดี บำเพ็ญภาวนา แล้ว อีกไม่นาน เขาจะมาพบผม และยังบอกอีกว่า ที่เคยดำเนินชีวิตมาให้ละทิ้งเสีย เพราะชะตาผมต้องคอยช่วยผู้อื่น อีกมากมาย ผมสับสนนะครับ และยิ่งกลัวมากขึ้นทุกที ทุกวันนี้ ผมกลัวจนไม่กล้านั่งสมาธิแล้วครับ ตอนแรกผมนึกว่าผมบ้า คิดไปเอง แต่เป็นแบบนี้เป็นเดือนเลยครับ ปรึกษาเพื่อนที่ชอบไปวัด ชอบทำบุญ เขาบอกว่า เป็นสัญญาณ ที่ดีครับ รบกวนผู้รู้ตอบผมด้วยครับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ธ.ค. 2008, 19:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
อ้างคำพูด: กรัชกาย เขียน: อ้อหรอครับ คุณพลศักดิ์ ก็มีอาการลักษณะนั้นมาก่อนเหมือนกันหรือครับ ดังตัวอย่างนี้ หากปล่อยไว้ จะมีโอกาสบ้าหรือเพี้ยนหรือเกิดภาพหลอนได้ไหมครับ อย่างนั้นพระพุทธเจ้าและพระอริยะเจ้า ที่มีอภิญญา ก็ต้องบ้าหรือเพี้ยนหรือเกิดภาพหลอนกันหมดซิครับ เพราะพวกท่านรู้เห็นมากกว่าสมมุติสงฆ์และปุถุชนทั่วไป พลศักดิ์ 5 ธ.ค.51 17:38 viewtopic.php?f=1&t=19186&p=88371#p88371 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ธ.ค. 2008, 19:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
กรัชกายนำคำถามของโยคีผู้ปฏิบัติกรรมฐานสองคนสองอารมณ์ข้างบนมาตั้งเป็นประเด็นสนทนากันต่อไป |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 05 ธ.ค. 2008, 20:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
ก่อนสนทนาในรายละเอียดประเด็นที่ยกมา ขออนุญาตนำพุทธพจน์มาวางให้ดูก่อน ในที่นี้ให้สังเกตคำว่า อภิญญา “เมื่อเขาเจริญมรรคมีองค์ 8 อันเป็นอริยะนี้อยู่อย่างนี้ แม้สติปัฏฐาน 4 ก็ย่อมถึงความเจริญ เต็มบริบูรณ์ แม้สัมมัปปธาน 4... แม้อิทธิบาท 4... แม้อินทรีย์ 5..แม้พละ 5..แม้โพชฌงค์ 7 ก็ย่อมถึงความเจริญเต็มบริบูรณ์ เขาย่อมมีธรรม 2 อย่างนี้คือ สมถะและวิปัสสนา เข้าเคียงคู่กันไป ธรรมเหล่าใดพึงกำหนดรู้ด้วยอภิญญา * เขาก็กำหนดรู้ด้วยอภิญญาซึ่งธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่าใดพึงละด้วยอภิญญา เขาก็ละด้วยอภิญญา ซึ่งธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่าใดพึงให้เกิดมีด้วย อภิญญา เขาก็ทำให้เกิดมีด้วยอภิญญา ซึ่งธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่าใดพึงให้ประจักษ์แจ้งด้วย อภิญญา เขาก็ประจักษ์แจ้งด้วยอภิญญา ซึ่งธรรมเหล่านั้น” “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าไหน พึงกำหนดรู้ด้วยอภิญญา ? ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า อุปาทานขันธ์ 5 กล่าวคือ รูปอุปาทานขันธ์ เวทนาอุปาทานขันธ์ สัญญาอุปาทานขันธ์ สังขารอุปาทานขันธ์ วิญญาณอุปาทานขันธ์ ... “ธรรมเหล่าไหน พึงละด้วยอภิญญา ? ได้แก่ อวิชชา และภวตัณหา... “ธรรมเหล่าไหน พึงให้เกิดมีด้วยอภิญญา ? ได้แก่ สมถะและวิปัสสนา” “ธรรมเหล่าไหน พึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา ? ได้แก่ วิชชา และวิมุตติ” (ม.อุ.14/828-831/523-6; ข้อความที่ตรัสเกี่ยวกับ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เป็นอย่างเดียวกัน) จุดประสงค์เพียงต้องการให้ดูศัพท์ “อภิญญา” คำว่า อภิญญา เรามักเข้าใจความหมายในแง่มุมเดียว คือผู้หูทิพย์ ตาทิพย์ ฯลฯ ตัวอย่างพุทธพจน์ดังกล่าว ตรัสถึงอภิญญาอยู่หลายคำ พิจารณาความหมายกว้างๆ * คำว่า อภิญญา แปลกันว่า ปัญญาอันยิ่ง หรือรู้ยิ่ง (- อุตตมปัญญา ที่ องฺ.อ.2/8 และ อธิกญาณ ที่ วินย.อ.1/134; ที.อ.1/218; ปฏิสํ.อ.1/164) อาจแปล โดยอาศัยรูปศัพท์ว่า ความรู้เจาะตรง ความรู้จำเพาะ ความรู้เหนือ (ประจักษ์ทางประสาททั้ง 5 ) คัมภีร์อัฏฐสาลินี และวิสุทธิมรรค อธิบายว่า ปัญญาที่เป็นไปตั้งแต่อุปจาระ จนถึงอัปปนา เรียกว่า อภิญญา (สงฺคณี.อ.294; วิสุทธิ.1/108) คัมภีร์ปรมัตถมัญชุสาชึ้เฉพาะลงไปอีกว่า อภิญญาคืออัปปนาปัญญา (ปัญญาที่เกิดเมื่อจิตเป็นอัปปนาสมาธิ, วิสิทธิ.ฎีกา 1/163) ปราชญ์บางท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า direct knowledge บางทีจะเป็นความรู้จำพวก intuition |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 06 ธ.ค. 2008, 19:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
ทีนี้จะกล่าวถึงอภิญญาอย่างที่คุณพลศักดิ์วาดภาพบ้าง มันมีขั้นมีวิธีอยู่ครับ มิใช่เห็นอะไรแวบๆ ดังตัวอย่างข้างต้นก็เหมาเอาว่าเป็นอภิญญาอย่างที่เข้าใจ ไม่ใช่นะครับ นั่นเขากำลังหลงสภาวะยึดติดถือมั่น ธรรมารมณ์อยู่ จุดนี้เองที่ยังผู้ปฏิบัติให้เห็น-ได้ยิน ฯลฯ สารพัดที่ตนไม่เคยเห็น - ไม่คิดว่าจะได้ยิน ไม่คิด ว่าจะเป็นไปได้ แล้วก็ยึดติดถือมั่นต่ออารมณ์นั้น ตนไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อสภาวะนั้น สติคุมไม่ได้ถึงเพื้ยนเป็นต้น ได้ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 06 ธ.ค. 2008, 19:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
ในตำราท่านสรุปการฝึกอภิญญาไว้ ดังนี้ อรรถกถาได้อธิบายวิธีการเจริญอภิญญาอย่างพิสดาร ซึ่งพอสรุปได้ความว่า เบื้องแรกเมื่อเจริญสมถะจนได้ ฌาน 4 แล้ว ให้เจริญต่อไปอีกจนได้สมาบัติครบ 8 แต่จำกัดว่าต้องเป็นสมาบัติ ที่ได้ในกสิณ 8 (คือ ยกเว้นอาโลกกสิณและอากาสกสิณ)* *(วิสุทธิ.ฎีกา 2/248 แสดงเหตุผลว่า ไม่ใช้อากาสกสิณ เพราะทำอรูปสมาบัติไม่ได้ ส่วนอาโลกกสิณนั้น ความจริงเหมาะแก่การเจริญทิพยจักษุ แต่ในที่นี้ท่านว่ารวมเข้าใน โอทาตกสิณแล้วจึงไม่ต้องแยกต่างหาก (ตามหลักที่แสดงไว้ในชั้นอรรถกถา ผู้เจริญ อรูปสมาบัติ ต้องได้จตุตถฌานในกสิณ 9 ข้อใดหนึ่ง เว้นอากาสกสิณ -วิสุทธิ.2/132) ครั้นแล้วฝึกสมาบัติทั้ง 8 นั้นให้คล่องแคล่วโดยทำนองต่างๆ เป็นการเตรียมจิตให้พร้อม (วิสุทธิ.2/195,197-201 ฯลฯ) พอถึงเวลาใช้งานจริง คือจะทำอภิญญาให้เกิดขึ้นก็ดี จะใช้อภิญญาแต่ละครั้งก็ดี ก็เข้าฌานเพียงแค่จตุตถฌานแล้วน้อมจิตนั้นไปใช้เพื่ออภิญญา ตามความต้องการ (วิสุทธิ.2/213,216,247,252,276ฯลฯ) ย้ำข้อสรุปว่า ในการฝึกเตรียมจิตไว้ต้องใช้สมาบัติ 8 แต่ในเวลาทำอภิญญาก็เข้าฌานเพียงจตุตถฌาน เท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อเข้าสมาธิถึงจตุตถฌานแล้ว จิตซึ่งเคยอบรมมาดีแล้วด้วยสมบัติ 8 พอมีสมาธิถึงระดับจตุตถฌาน ก็มีความประณีตเป็นพิเศษยิ่งกว่าจิตของผู้ได้ลำพังแต่จตุตถฌานล้วนๆ เมื่อตัดตอนเอาตรงนี้ ท่านจึงกล่าวว่า ใช้จตุตถฌานเป็นบาทของอภิญญา ตรงกับท่าน พูดไว้อีกสำนวนหนึ่งว่า จิตที่พร้อมด้วยองค์ 8 (โดยการอบรมด้วยสมาธิระดับจตุตถฌาน ถึงขั้นอรูปฌานสมาบัติ) อย่างนี้เป็นของเหมาะแก่การน้อมเอาไปใช้ จึงเป็นบาทคือเป็นปทัฏฐานแห่ง การประจักษ์แจ้งด้วยการรู้จำเพาะ ซึ่งอภิญญาสัจฉิกรณียธรรมทั้งหลาย (วิสุทธิ.2/203) อย่างไรก็ดี มีข้อยกเว้นว่า สำหรับท่านผู้บุพโยคะ (คือ มีความเพียรที่ทำมาแต่ปางก่อน เป็นพื้นอุปนิสัยหรือเป็นทุนเดิม) แรงกล้าแล้ว เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอัครสาวก เป็นต้น ไม่ต้องฝืนฝนครบกระบวนวิธีตามลำดับก็ได้ และสร้างความชำนาญ เพียงในจตุตถฌาน ล้วนๆ ก็เพียงพอที่จะทำอภิญญาให้เกิดได้ ไม่จำเป็นต้องสร้างความชำนาญในอรูปฌานสมาบัติ (วิสุทธิ.2/201/ ฯลฯ) ในกรณีของพระพุทธเจ้า แม้ไม่อ้างบุพโยค หรือ บุพเหตุอย่างอรรถกถาว่า ก็เห็นได้ชัดว่า ในคืนวันตรัสรู้ คือในตอนใช้การ พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานถึงจตุตถฌานแล้วทรงนำจิตมุ่งไปใช้เพื่อ ให้เกิดวิชชา 3 ทีละอย่าง แต่ในเวลาก่อนหน้านั้น พระองค์ได้ทรงอบรมจิตของพระองค์เป็นพื้นฐานไว้ ด้วยสมถะอย่างดีแล้ว คือทรงได้สมาบัติครบ 8 ตั้งแต่ทรงอยู่ในสำนักของอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุททกดาบสรามบุตร- (ม.มู.12/490/448; 739/674) ก็แสดงว่าพระองค์ได้ทรงฝึกปรือ ความชำนาญสมาบัติทั้งหลายมาโดยตลอดตามลำดับ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 06 ธ.ค. 2008, 19:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
การบรรลุอภิญญา 6 (ซึ่งรวมวิชชาทั้ง 3 อยู่ด้วยแล้ว) ไม่ว่าข้อใดๆ ย่อมอาศัยจิตที่ฝึกอบรม ดีแล้วด้วยสมาธิที่ประณีตถึงขั้น เมื่ออบรมจิตมีสมาธิดีพอแล้ว ก็น้อมจิตไปเพื่ออภิญญา ข้อนั้นๆ ตามประสงค์ คือ นำจิตไปใช้เป็นบาทฐานสำหรับสร้างอภิญญาข้อที่ตนต้องการ ไม่จำเป็นว่า ต้องผ่านอภิญญาข้อนี้ก่อนแล้วจึงจะก้าวไปสู่อภิญญาข้อนั้นได้ ดังมีหลักอยู่ว่า “ด้วยสมาธิที่อบรมดีแล้ว เธอจะน้อมจิตไปเพื่อรู้จำเพาะประจักษ์แจ้งซึ่งอภิญญาสัจฉิกรณียธรรม * อย่าง ใดๆ ก็ย่อมถึงภาวะที่สามารถเป็นพยานในธรรมนั้นๆได้ ในเมื่ออายตนะ (เหตุ)มีอยู่ กล่าวคือ ถ้าเธอจำนง..อิทธิวิธา...ก็ย่อมถึง...ถ้าเธอจำนง...ทิพยโสต...ก็ย่อมถึง...ถ้าเธอจำนง... เจโตปริยญาณ...ก็ย่อมถึง...ถ้าเธอจำนง...ปุพเพนิวาสนุสติ...ก็ย่อมถึง...ถ้าเธอจำนง... ทิพยจักษุ...ก็ย่อมถึง...ถ้าเธอจำนง...อาสวักขัย...ก็ย่อมถึงภาวะที่สามารถเป็นพยานในธรรมนั้นๆ ได้ ในเมื่ออายตนะมีอยู่” (องฺ.ติก.20/541/326 ฯลฯ) สมาธิในจตุตถฌาน คือฌานที่ 4 เป็นสมาธิระดับสูงสุด แม้แต่สมาธิในฌานสมาบัติที่สูงขึ้นไป คือ ในอรูปฌานทั้งหลาย ก็จัดเป็นสมาบัติในระดับจตุตถฌานทั้งสิ้น (อภิ.สํ.34/192/78 ฯลฯ) เพราะอรูปฌานทั้งหลายก็มีองค์ฌานเพียง 2 อย่างเหมือนกับจตุตถฌาน คือ อุเบกขาและเอกัคคตา (วิสุทธิ.2/133,149 ฯลฯ) และถือได้ว่าจตุตถฌานเป็นฌานที่ใช้ประโยชน์ได้สากล เช่น จะใช้เป็นบาทแห่งวิปัสสนาก็ได้ เป็นบาทแห่งอภิญญาก็ได้ เป็นบาทแห่งนิโรธสมาบัติก็ได้ ดังนี้เป็นต้น (องฺ.อ.2/13) อย่างไรก็ดี แม้สมาธิในอรูปฌานจะเป็นสมาธิระดับจตุตถฌานก็จริง แต่ข้อพิเศษก็มีอยู่ คือ สมาธิใน อรูปฌานประณีตลึกซึ้ง ห่างไกลจากปัจจนีกธรรม คือ สิ่งรบกวนมากกว่าสมาธิในจตุตถฌานสามัญ (ที.อ.2/146 ฯลฯ)แม้ในอรูปฌานด้วยกัน ก็ประณีตกว่ากันยิ่งขึ้นตามลำดับขั้น (วิสุทธิ.2/149 ฯลฯ) เหตุนี้จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ได้จตุตถฌานแล้วบรรลุอรหัตผล ท่านยังไม่เรียกว่าอุภโตภาควิมุต ยังเป็น แต่เพียงปัญญาวิมุต ต่อเมื่อได้อรูปฌานสักขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว จึงจะเป็นอุภโตภาควิมุต (ม.ม.13/231-2/229 ฯลฯ) โดยนัยนี้ คำของอรรถกถาที่ว่าใช้จตุตถฌานเป็นบาทนั้น จึงยังมี ข้อแม้ คือ ในบางกรณี อาจใช้สมาธิระดับจตุตถฌานสามัญก็ได้ แต่ในบางกรณี ต้องใช้สมาธิระดับ จตุตถฌานที่ประณีตขึ้นถึงขั้นอรูปฌานที่เหนือขึ้นไป .... * วิชชาภาคิยธรรม – ธรรมเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา หรือธรรมข้างฝ่ายวิชชา คือ ธรรมที่ช่วยสนับสนุนให้เกิด วิชชา |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 11 ธ.ค. 2008, 10:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
คงพอมองเห็นแนวทางแล้วว่า อภิญญาอย่างคุณพลศักดิ์คิดนั้นจะต้องได้ฌานอย่างน้อยฌานที่ 4 ที่คล่องแคล่วทั้งเข้า-ออกที่เรียกว่าวสี แล้วน้อมจิตทีนุ่มนวลเหมาะแก่งานนั้นถึงอภิญญาอย่างที่ตนต้องการ ดังนั้น 2 ตัวอย่างดังกล่านั้นไม่ใช่อภิญญาแต่เป็นมายาของจิต เปลี่ยนไปมาแต่ละขณะๆ หากโยคียึดสิ่งที่ปรากฏทางใจอย่างเหนี่ยวแน่นก็จะหลุดจากโลกของความเป็นจริง เอาอีกตัวอย่างก็ได้ดังนี้ => ดิฉัน เคยไปปฏิบัติธรรม ที่วัดอัมพวัน 7 วันค่ะ รู้สึกดีมากๆ จิตใจสงบขึ้นเยอะค่ะ ตอนจะกลับไม่อยากกลับเลยค่ะ มันสงบอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ 3 วันแรก แทบจะร้องอยากกลับบ้าน และดิฉันก็มาปฏิบัติต่อ ที่บ้านได้สักระยะ เวลานอนก็เหมือนมีอะไรมาอำ เหมือนเป็นปลามาดิ้นบนตัว บางครั้งก็เป็นแมวน่ากลัวมากค่ะ บางทีก็เป็นเงาดำ จนดิฉันนอนไม่ได้ต้องเปิดไฟนอนตลอดค่ะ สิ่งเหล่านี้คือ เจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหมคะ? จนทำให้ดิฉันกลัวและหยุดปฏิบัติไปนานพอสมควรเลยค่ะ หลังจากนั้นพอมีเวลา ก็ไปมาอีกเป็นเวลา 3 วัน แล้วนำมาปฏิบัติต่อที่บ้านค่ะ โดย จะทำในช่วงบ่ายของทุกวัน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันไม่ได้อุปทานไปเองนะคะ ดิฉันจะได้กลิ่นเหม็นเน่า ตลอดเวลาบ่อยๆ ซึ่งดิฉันก้ออุทิศส่วนกุศล ตลอดค่ะ แต่ก็แปลกนะคะ อาการเหล่านี้ ไม่หายเลยค่ะ มันจะมีเป็นระยะๆๆๆ ซึ่งบางครั้งก้อเป็นหลายวันเลยค่ะ ดิฉันทรมานมากค่ะ เพราะบางทีรุนแรงมาก เหมือนพวกหนูตาย แต่คนที่อยู่ด้วยจะไม่ได้กลิ่นนี้ค่ะ ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ? ถึงจะไม่มีอาการรับรู้แบบนี้ มันทุกข์ค่ะ บางทีกำหนดตามที่ ลพ.จรัญ ท่านสอน ก็ไม่ดีขึ้นนะคะ ทุกวันนี้ดิฉันปฏิบัติทุกวัน มาได้ 7-8 เดือนแล้วค่ะ และดิฉันก็ยอมรับนะคะ ว่า เป็นคนจิตอ่อน และคิดมาก เวลารับรู้อะไรแบบนี้ก้อ กลัวขึ้นสมองเลยค่ะ เพราะอยู่คนเดียวด้วย ที่พักก็เป็นอพาทเมนท์น่ะค่ะ http://www.jarun.org/v6/board/viewtopic.php?t=11123 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 11 ธ.ค. 2008, 19:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
ทั้ง 3 ตัวอย่างคุณพลศักดิ์พอจะแนะนำเขายังไงครับ อย่างรายนี้น่าเป็นห่วง (เวลานอนก็เหมือนมีอะไรมาอำ เหมือนเป็นปลามาดิ้นบนตัว บางครั้งก็เป็นแมวน่ากลัวมากค่ะ บางทีก็เป็นเงาดำ จนดิฉันนอนไม่ได้ต้องเปิดไฟนอนตลอดค่ะ สิ่งเหล่านี้คือ เจ้ากรรมนายเวร ใช่ไหมคะ?) เป็นอะไรครับคุณพลศักดิ์ เป็นเจ้ากรรมนายเวรดังโยคีผู้นี้คิดหรือไม่ หรือคุณมีอะไรนอกจากนั้นครับ อีกอารมณ์หนึ่ง (ดิฉันจะได้กลิ่นเหม็นเน่า ตลอดเวลาบ่อยๆ ซึ่งดิฉันก้ออุทิศส่วนกุศล ตลอดค่ะ แต่ก็แปลกนะคะ อาการเหล่านี้ ไม่หายเลยค่ะ มันจะมีเป็นระยะๆๆๆ ซึ่งบางครั้งก้อเป็นหลายวันเลยค่ะ ดิฉันทรมานมากค่ะ เพราะบางทีรุนแรงมาก เหมือนพวกหนูตาย) คุณปฏิบัติกรรมฐานเคยประสบกับสภาวะทำนองนี้ หรือคล้ายๆนี้ไหมครับ นอกจากทำกรรมฐานหลับแล้วไปถึงสวรรค์ชั้นดุสิต |
เจ้าของ: | อวบอั๋นขั้นสุดท้าย [ 12 ธ.ค. 2008, 10:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
กรัชกาย เขียน: http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=19311 เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาผมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการอย่างนี้ครับ นั่งไปรู้สึกว่าแขนตัวเองหาย...ก็ ok กำหนดจิตต่อว่าหาย สักพัก มีความรู้สึกเหมือนร่างกายมีแสงเรื่องๆ ที่ผิว ขาวนวลและเป็นละอองฝุ่นผงเล็กๆๆ ฟุ้งขึ้นไปในอากาศลอยขึ้นไป เรื่อยๆๆ กำหนดจิตรู้สึก ร่ายกายช่วงลำตัวกับแขนหายไป....ลำตัวกลวงโป๋ แต่รู้สึกเย็นวาบขนลุก .....ลมเย็นพัดสอบจากรอบๆร่ายกายแล้วพุ่งขึ้นศีรษะอย่างเร็ว แรง และเย็นมากเหมือนอยู่ในห้องเย็น ขนลุกไปทั้งตัว ความรู้สึกพยายามกำหนดรู้ครับ แต่.....รู้สึกกลัวมาก.....เหมือนลมเย็นจะพัดเราลอยขึ้นจากพื้น.. ใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นไงเป็นกันวะ...ตายเป็นตาย ตายในสมาธิเท่จะตาย อีกใจก็กลัวมาก...กลัวที่สุดในชีวิตครับ ชนิดที่คิดบทสวดมนต์ยังไม่ออกเลย จนคิดถึงหลวงปู่ทวด และคิดถึงหลวงพ่อทอง พระอาจารย์ที่พระธาตุจอมทอง เชียงใหม่ เลยกำหนดขอออกจากสมาธิ ผลคือใช้เวลา เกือบเดือน จึงกล้าที่จะนั่งสมาธิใหม่ครับ และสภาวะที่ติดมาคือ อยากตายมาก......มันเบื่อโลก...เบื่อทุกอย่าง....ไม่อยากเจอคน เซ็งกับทุกสิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ จิตตกไปเลย ไม่นั่งสมาธิ สวดมนต์ เป็นเดือน เซ็งจัด สรุป อวบอั๋นขั้นสุดท้ายจะทราบวิธีแก้สภาวะ จากทั้ง คุณกรัชกาย กับคุณ พลศักดิ์ หรือเปล่าครับนี้ รออยู่นะครับ ดีใจที่ประเด็น สภาวะขอผมเป็นที่สนใจของ ผู้เป็นตำนานทั้งสองแห่งบอร์ด นี้ถกเถี่ยงกัน ปลื้มมากมาย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ธ.ค. 2008, 12:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
อ้างคำพูด: สรุป อวบอั๋นขั้นสุดท้ายจะทราบวิธีแก้สภาวะ จากทั้ง คุณกรัชกาย กับคุณ พลศักดิ์ หรือเปล่าครับนี้ รออยู่นะครับ รอปรมาจารย์พลศักดิ์หน่อยครับวันนี้คงมาตอบคำถามกรัชกาย ว่าแต่ว่าคุณได้แรงบันดาลใจอะไรครับจึงตั้งชื่อ “อวบอั๋นขั้นสุดท้าย” |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ธ.ค. 2008, 12:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
คุณอวบอั๋น พิจารณาปัญหาธรรม ๒ ข้อนี้ มีความเห็นอย่างไรตอบตามนั้นนะครับ โยนิโสมนสิการมี ๒ อย่าง คือ ๑. โยนิโสมนสิการเพื่อความรู้ตามสภาวะ ๒. โยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม หรือ เพื่อบรรเทาตัณหา โยนิโสมนสิการเพื่อรู้ตามสภาวะขึ้นต่อความจริงที่เป็นไปอยู่ตามธรรมดาของมัน จึงมีลักษณะแน่นอนเป็นอย่างเดียว โยนิโสมนสิการเพื่อเสริมสร้างกุศลธรรม หรือบรรเทาตัณหา ยังเป็นเรื่องของการปรุงแต่งในใจ ตามวิสัยของสังขารจึงมีลักษณะแผกผันไปได้หลากหลาย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 12 ธ.ค. 2008, 12:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
คติธรรม การมองสิ่งทั้งหลายตามที่อยากให้มันเป็นหรือไม่อยากให้มันเป็น เป็นการคิดตามอำนาจความติดใจหรือขัดใจ การคิดแบบนี้นอกจากทำให้ไม่มองเห็นตามความเป็นจริง เกิดความเอนเอียงไปตามความชอบความชัง ทำให้เข้าใจผิดหลงผิด หรือได้ภาพที่บิดเบือนแล้ว ยังทำให้เกิดความขุ่นมัว เศร้าหมอง ความเหี่ยวแห้ง อ้างว้าง ว้าเหว่ หวั่นหวาด ความสมหวัง ผิดหวัง ความกดดัน ความคับข้องใจต่างๆ ซึ่งรวมเรียกว่า ความทุกข์มาด้วย ส่วนการมองตามความเป็นจริง หรือมองตามเหตุ ไม่ใช่มองตามอวิชชาตัณหา พูดอีกอย่างหนึ่งว่า มองตามที่สิ่งทั้งหลายมันเป็นของมัน ไม่ใช่มองตามที่เราอยากให้มันเป็น หรือไม่อยากให้มันเป็น |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 12 ธ.ค. 2008, 12:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
กรัชกาย เขียน: http://board.palungjit.com/showthread.php?t=162561 ผมนับถือคริสต์ครับ นิกาย โรมันคาทอลิค แต่ผมชอบนั่งสมาธิ และสวดลูกประคำครับ ชอบตื่นมานั่งสมาธิและ สวดลูกประคำประมาณ ตี 3 ทุกคืนครับ ช่วงปีที่แล้ว ขณะนั่งสมาธิอยู่ ผมหลับตานั่งครับ แต่ดวงตาผมกลับมองเห็นทุกอย่างในห้อง โดยไม่ต้องลืมตาครับ และขณะเดียวกัน ผมรู้สึกเสียวสันหลัง และเห็นผู้หญิงมานั่งข้างหลังผม โดยที่ผมไม่ต้องหันหน้ากลับหลังไปมองครับ ผู้หญิงคนนั้น ตาโบ๋ ปากและจมูกกลวงครับ ผิวซีด ชุดสีเทา มอมอ ผมสะดุ้งลืมตาเลยครับ ผมเลยอุทิศผลบุญที่ทำมาให้เธอไป แต่เมื่อประมาณ เดือนที่แล้วนี้เอง ผมนั่งสมาธิเหมือนเดิม + สวดลูกประคำ พอมีอยู่ในสมาธิทีไร จะได้ยินเสียงผู้หญิงมากระซิบข้างหู ให้ตั้งใจทำความดี บำเพ็ญภาวนา แล้ว อีกไม่นาน เขาจะมาพบผม และยังบอกอีกว่า ที่เคยดำเนินชีวิตมาให้ละทิ้งเสีย เพราะชะตาผมต้องคอยช่วยผู้อื่น อีกมากมาย ผมสับสนนะครับ และยิ่งกลัวมากขึ้นทุกที ทุกวันนี้ ผมกลัวจนไม่กล้านั่งสมาธิแล้วครับ ตอนแรกผมนึกว่าผมบ้า คิดไปเอง แต่เป็นแบบนี้เป็นเดือนเลยครับ ปรึกษาเพื่อนที่ชอบไปวัด ชอบทำบุญ เขาบอกว่า เป็นสัญญาณ ที่ดีครับ รบกวนผู้รู้ตอบผมด้วยครับ 1. ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าต้องเป็นชาวพุทธเท่านั้นที่ฝึกได้ ฮินดู ซิกซ์ คริสต์ อิสลาม เต๋า ฯลฯ ฝึกได้ทั้งนั้นครับ 2. ผมรู้สึกเสียวสันหลัง = มีวิญญาณอื่นอยู่ตรงนั้น ขนลุกซู่ที่หลัง หรือที่อื่น = มีวิญญาณอื่นอยู่ตรงนั้น 3. เห็นผู้หญิงมานั่งข้างหลังผม โดยที่ผมไม่ต้องหันหน้ากลับหลังไปมองครับ = เขาเรียกว่า เห็นด้วยตาใน 4. ผู้หญิงคนนั้น ตาโบ๋ ปากและจมูกกลวงครับ ผิวซีด ชุดสีเทา มอมอ = แสวงว่าเขาอยู่ในอบายภูมิ แต่ยังไม่ใช่นรก เป็นสัมภเวสี เป็นเปรต 5. วิญญาณในอบายภูมิเขามาขอส่วนบุญเท่านั้นเอง คนที่ทำสมาธิเป็นคนที่กำลังทำบุญที่สูงกว่าบุญทั่วไปมากมายนัก วิญญาณจึงมาหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมบรรลุธรรมระดับสูงมาก ก็เพราะผมรู้เห็นดวงวิญญาณในอบายภูมิเป็นหมืนๆครั้ง เป็นล้านๆดวง ผมจึงอยากช่วยเหลือพวกเขา วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำสมาธิและแผ่เมตตาออกไป ยิ่งทำยิ่งบรรลุธรรมสูงขึ้น พอยิ่งบรรลุธรรมสูงขึ้น คราวนี้เลยช่วยวิญญาณได้ครั้งละหลายแสนดวง ผมว่าเรื่องนี้ ผมตอบไปแล้วนะ |
หน้า 5 จากทั้งหมด 12 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |