ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19132 |
หน้า 4 จากทั้งหมด 12 |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 25 พ.ย. 2008, 11:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
คุณ"กรัชกาย"ครับ บุคคลทั้งหลายถึงที่สุดโลก ออกจากโลกได้แล้ว จึงชื่อว่าถึงพระนิพพาน โลกก็คือ ที่อยู่ของจิตอวิชชา อายตนะของจิตอวิชชา คือ เบญจขันธ์ นิพพานก็คือ ที่อยู่ของจิตวิชชา(บริสุทธิ์) อายตนะของจิตพุทธะ คือ ธรรมขันธ์ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 25 พ.ย. 2008, 14:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
ขอบคุณครับ ขอความรู้ประเด็นอื่นต่อนะครับ ที่ขอคำอธิบายคำว่า "รูป" ในขันธ์ 5 กับคำว่า "รูป" ที่ รูป (รส กลิ่น เสียง ฯลฯ) เหมือนหรือต่างกัน หากเหมือนๆกันอย่างไร ถ้าต่างกันๆกันยังไง คุณพลศักดิ์ยังไม่ตอบนะครับ ช่วยตอบชัดๆเพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษาทีครับ เหมือนหรือต่างกัน มีผู้สงสัยกันมากครับ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=160893 |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 26 พ.ย. 2008, 15:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
กรัชกาย เขียน: ขอบคุณครับ ขอความรู้ประเด็นอื่นต่อนะครับ ที่ขอคำอธิบายคำว่า "รูป" ในขันธ์ 5 กับคำว่า "รูป" ที่ รูป (รส กลิ่น เสียง ฯลฯ) เหมือนหรือต่างกัน หากเหมือนๆกันอย่างไร ถ้าต่างกันๆกันยังไง คุณพลศักดิ์ยังไม่ตอบนะครับ ช่วยตอบชัดๆเพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษาทีครับ เหมือนหรือต่างกัน มีผู้สงสัยกันมากครับ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=160893 "รูป" ในขันธ์ 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ มหาภูตรูป 4 อายตนะภายใน 6 คือ. 1. ตา 2. หู 3. จมูก 4. ลิ้น 5. กาย 6. ใจ และอายตนะภายนอก ๖ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ที่เกิดกับใจ กิเลส คือ โลภ โกรธ หลง มันทำงานดังนี้ครับ เช่น ความโลภ เกิดจากเมื่อขันธ์ 5 ไปเจอเงินที่ทำตกไว้ 1,000 บาท การเจอเงินก็คือ เงินคือรูป เป็นอายตนะภายนอก การเห็นด้วยตา เป็นอายตนะภายใน พอมันกระทบกัน เราก็เกิดการปรุงแต่งในจิตว่า อยากได้เงิน 1,000 บาทนั้น ความโลภ(อารมณ์ที่เกิด กับใจ) ก็เกิดขึ้น ความโกรธหรือโทสะ ก็เหมือนกันคับ เช่น เมื่อขันธ์5 ของคนหนึ่ง ถูกคนอื่นด่า การได้ยินเสียงเป็นอายตนะภายนอก การรับรู้เสียงด่าด้วยหู เป็นอายตนะภายใน เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ประสานกัน อารมณ์จึงเกิดกับใจอีกทอดหนึ่ง เช่น โกรธ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 26 พ.ย. 2008, 18:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
(ตามแนวอภิธรรมแบ่ง รูป 28 เจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121) 1. รูป มี 28 คือ 1) มหาภูตรูป 4 (เรียกง่ายๆว่า ธาตุ 4) 1. ปฐวีธาตุ = ธาตุดิน (สภาพที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) 2. อาโปธาตุ = ธาตุน้ำ (สภาพที่ดึงดูดซาบซึม ) 3. เตโชธาตุ = ธาตุไฟ (สภาพที่แผ่ความร้อน) 4. วาโยธาตุ = ธาตุลม (สภาพที่สั่นไหว) 2) อุปาทายรูป 24 คือ (รูปอาศัยหรือรูปที่สืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป) -ปสาทรูป มี 5 คือ 1. ตา 2. หู 3. จมูก 4. ลิ้น 5. กาย (จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย) -อารมณ์มี 4 คือ 1.รูป -(สีต่างๆ = สิ่งที่พึงเห็นด้วยจักขุปสาท) 2.เสียง 3.กลิ่น 4.รส (รูปะ สัททะ คันธะ รสะ; (โผฏฐัพพะ ไม่นับเพราะตรงกับ ปฐวี เตโช และวาโย) -ความเป็นหญิง (อิตถีภาวะ= อิตถินทรีย์ ) -ความเป็นชาย (ปุริสภาวะ = ปุริสินทรีย์) -ที่ตั้งของจิต (หทัยวัตถุ) -การแสดงให้รู้ความหมายด้วยกาย (กายวิญญัติ) -การแสดงให้รู้ความหมายด้วยวาจา (วจีวิญญัติ) -ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต) -ช่องว่าง (อวกาศ) -ความเบาของรูป (รูปลหุตา) -ความอ่อนหยุ่นของรูป (รูปมุทุตา) -ภาวะที่ควรแก่การงานของรูป (รูปกัมมัญญตา) -ความเจริญหรือขยายตัวของรูป (รูปอุปจยตา) -การสืบต่อของรูป (รูปสันตติ) -ความเสื่อมตัว (ชรตา) -ความสลายตัว (อนิจจตา) -และ อาหาร (หมายถึง โอชา) -คำว่า หทัยวัตถุ แปลกันว่าหัวใจ และถือว่า เป็นที่ทำงานของจิตนั้น เป็นมติในคัมภีร์รุ่นหลัง ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก (ในรูป 28 นั้น แบ่งเป็น โอฬาริกรูป กับ สุขุมรูปอีก) สุขุมรูป มี 16 ได้แก่ อาโป อิตถีภาวะ ปุริสภาวะ หทัยวัตถุ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ ชีวิตินทรีย์ อาหารรูป อากาศ วิการรูป 3 คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา และ ลักขณะรูป 4 อุปจยตา สันตติ ชรตา อนิจจตา. สุขุมรูป-เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป –รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบหรือถูกต้อง ไม่ได้ อันนับเนื่องในธรรมายตนะ) ศึกษาต่อที่ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14614 |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 29 พ.ย. 2008, 14:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
อ้างคำพูด: พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเป็นธรรม" มารในใจของสมมุติสงฆ์อรรถกถาจารย์ ก็ทำให้พวกเขาคิดตีความเป็นอุปมาอุปมัยอะไรบ้าๆบอๆไปอีกพระพุทธองค์ตรัสอีกว่า พระองค์เป็นพรหมกาย เป็นธรรมกาย เป็นพรหมภูต พวกนี้ก็ตีความ เป็นอุปมาอุปมัยอีก พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ 29 พ.ย. 51 06:43 ตามหากระทู้คุณพลศักดิ์ ไปพบอยู่ในห้องดับจิต viewforum.php?f=12 ที่ขอความรู้ไว้ยังไม่ได้คำตอบเลย จึงนำมาสนทนาที่นี่ต่อ คุณยกมากล่าวเสมอๆ ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเป็นธรรม" คุณพลศักดิ์ ตีความคำว่า “เห็นธรรม” อย่างไร ธรรมในที่นี้ หมายถึงข้อธรรมใด ครับ |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 29 พ.ย. 2008, 21:12 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
กรัชกาย เขียน: อ้างคำพูด: พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเป็นธรรม" คุณพลศักดิ์ ตีความคำว่า “เห็นธรรม” อย่างไร ธรรมในที่นี้ หมายถึงข้อธรรมใด ครับ เห็นธรรมคือ ปฏิบัติจนเห็นความจริงว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกและจักรวาล รวมทั้งใน 3 ภพ ล้วนแล้ว แต่เป็นอนัตตา เมือปฏิบัติได้ถึงขั้นนั้น อัตตาทิฏฐิ หรือ อัตตาอุปทานจะดับไป สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีอัตตาแท้จริงออกมา อัตตาแท้จริงนั้นเรียกว่า ธรรมกาย อสังขตธาตุ พุทธะ หรือพระวิสุทธิเทพ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 29 พ.ย. 2008, 21:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
อ้างคำพูด: "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเป็นธรรม" พุทธพจน์ดังกล่าวตรัสแก่พระวักลิมาจากบาลีท่อนนี้ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ - ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา (ตถาคต) ส่วนที่เกินมา (ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเป็นธรรม) ตรงนี้ไม่มี ธรรมในที่นี้ หมายถึงปฏิจจสมุปบาท ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น ย่อมเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท” (ม.มู.12/346/359) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 พ.ย. 2008, 11:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
(เพื่อให้เห็นเค้าร่างปฏิจจสมุปบาท จะนำมาลงตรงนี้ซักเล็กน้อย) ปฏิจจสมุปบาท-การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆจึงเกิดมี ตัวกฎหรือตัวสภาวะ ปฏิจจสมุปบาท เป็นหลักธรรมอีกหมวดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ (มัชเฌนธรรมเทศนา) หรือหลักความจริงที่มีอยู่โดยธรรมดา ไม่เกี่ยวกับการอุบัติของพระศาสดาทั้งหลาย พุทธพจน์แสดงปฏิจจสมุปบาทในรูปของกฎธรรมชาติว่าดังนี้ “ตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ (หลัก) นั้น ก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม คือ หลักอิทัปปัจจยตา * ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่าย และจึงตรัสว่า “จงดูสิ” “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ” “ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา คือหลักอิทัปปัจจยตา ดังกล่าวมาแล้วนี้แล เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท” (สํ.นิ. 16/61/30 ) ความสำคัญของปฏิจจสมุปบาท จะเห็นได้จากพุทธพจน์ว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น ย่อมเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท” (ม.มู.12/346/359) “ภิกษุทั้งหลาย แท้จริง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อใด อริยสาวกรู้ทั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเป็นอย่างนี้ อริยสาวกนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีทิฐิสมบูรณ์ก็ได้ ผู้มีทัศนะสมบูรณ์ก็ได้ ผู้ลุถึงสัทธรรมนี้ก็ได้ ว่าผู้ประกอบด้วยเสขญาณก็ได้ ผู้ประกอบด้วยเสขวิชชาก็ได้ ผู้บรรลุกระแสธรรมแล้วก็ได้ พระอริยะผู้มีปัญญาชำแรกกิเลสก็ได้ ผู้อยู่ชิดประตูอมตะก็ได้” (สํ.นิ. 16/184/-187/94-96 ฯลฯ ) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 พ.ย. 2008, 11:20 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
* อิทัปปัจจยตา –เป็นชื่อหนึ่งของหลักปฏิจจสมุปบาท แปลตามตัวอักษรว่า การประชุมปัจจัยของสิ่ง เหล่านี้ คือ ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย ในอภิธรรม นิยมเรียกว่า ปัจจยาการ แปลว่า อาการที่เป็นปัจจัย (mode of conditionality) ตถตา -ภาวะที่เป็นอย่างนั้น (objectivity) อวิตถตา -ภาวะที่ไม่คลาดเคลื่อนไปได้ (necessity) อนัญญถตา- ภาวะที่ไม่เป็นอย่างอื่น (invariability) อิทัปปัจจยตา-ภาวะที่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย (conditionality) ปฏิจจสมุปบาท-การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆเกิดขึ้น (dependent origination) |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 พ.ย. 2008, 11:23 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
“สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักธรรมเหล่านี้ รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จักทางดำเนินถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้ ฯลฯ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล จึงควรแก่การยอมรับว่า เป็นสมณะในหมู่สมณะ และยอมรับได้ว่าเป็นพราหมณ์ ในหมู่พราหมณ์ และจึงได้ชื่อว่า ได้บรรลุประโยชน์ของความเป็นสมณะ และ ประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน” (สํ.นิ. 16/41,94-5,306-8/19,53,158 ) อย่างไรก็ดี มีพุทธพจน์ตรัสเตือนไว้ ไม่ให้ประมาทหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ว่าเป็นหลักเหตุผล ที่เข้าใจง่าย เพราะเคยมีเรื่องที่พระอานนท์เข้าไปกราบทูลพระองค์และได้ตรัสตอบ ดังนี้ “น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาเลยพระเจ้า หลักปฏิจจสมุปบาทนี้ ถึงจะเป็นธรรมลึกซึ้งและปรากฏเป็นของลึกซึ้ง ก็ยังปรากฏแก่งข้าพระองค์ เหมือนเป็นธรรมง่ายๆ” “อย่ากล่าวอย่างนั้น อย่ากล่าวอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้งและปรากฏเป็นของ ลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่แทงตลอดหลักธรรมข้อนี้แหละ หมู่สัตว์นี้จึงวุ่นวายเหมือนเส้นด้ายที่ขอด กันยุ่ง จึงขมวดเหมือนกลุ่มด้ายที่เป็นปม จึงเป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่าย และหญ้าปล้อง จึงผ่านพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต สังสารวัฏ ไปไม่ได้” (สํ.นิ. 16/224-5/110-1) ผู้ศึกษาพุทธประวัติแล้ว คงจำพุทธดำริเมื่อครั้งหลังตรัสรู้ใหม่ๆ ก่อนเสด็จออกประกาศพระศาสนาได้ว่า ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าน้อมพระทัยไปในทางที่จะไม่ทรงประกาศธรรม ดังความในพระไตรปิฎกว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความดำริเกิดขึ้นว่า “ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นของลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรกะ ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้” “ก็แหละ หมู่ประชานี้ เป็นผู้เริงรมย์อยู่ด้วยอาลัย * ยินดีอยู่ในอาลัย ละเริงอยู่ในอาลัย สำหรับหมู่ประชาผู้เริงรมย์ รื่นระเริงอยู่ในอาลัย (เช่นนี้) ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ หลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะอันนี้ ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก กล่าวคือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน ก็ถ้าเราพึงแสดง ธรรม และคนอื่นไม่เข้าใจซึ่งต่อเรา ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบาก เปล่าแก่เรา” (วินย. 4/7/8; ม.มู.12/321/323) ........ * อาลัย -ความผูกพัน ความยึดติด เครื่องอิงอาศัย ชีวิตที่ขึ้นต่อปัจจัยภายนอก |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 30 พ.ย. 2008, 11:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
พุทธดำริตอนนี้ กล่าวถึงหลักธรรม 2 อย่าง คือ ปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน เป็นการย้ำทั้งความยากของ หลักธรรมข้อนี้ และความสำคัญของหลักธรรมนี้ ในฐานะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และจะทรงนำมาสอนแก่หมู่ ประชา |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 30 พ.ย. 2008, 17:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
“ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้น ย่อมเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ย่อมเห็นปฏิจจสมุปบาท” ปฏิจจสมุปบาทไม่ได้อยู่ที่การอ่านท่องจำจากตำรา และในตำราที่คุณเรียน ก็ไม่ใช่ ปฏิจจสมุปบาทแท้จริงด้วย ผู้ที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาทของแท้ได้ ต้องปฏิบัติถึงขั้นอริยะบุคคล ขั้นอรหันต์เท่านั้น แม้แต่พระอานนท์ตอนนั้นเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านนึกว่าตนเองรู้ แต่จริงๆ พระอานน์มองปฏิจจสมุปบาท แตกต่างจากพระพุทธองค์ที่ทรงหมดกิเลสแล้วเลย พระอานนท์จึงได้กราบทูลว่า “น่าอัศจรรย์นัก พระเจ้าข้า” ปฏิจจสมุปบาท นี้เป็นธรรมลึกซึ้ง ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ ปรากฏเหมือนเป็นธรรมง่าย ๆ แต่ข้าพระองค์” แต่พระพุทธองค์ตรัสห้ามในทันทีว่า “อานนท์! เธออย่าพูดอย่างนี้ อานนท์! เธออย่าพูดอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมลึกซึ้ง........" |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 30 พ.ย. 2008, 17:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
แต่เฉพาะคำว่า วิญญาณ สมมุติสงฆ์ก้ยังตีความไม่ได้เลย อวิชชา เป็นเหตุให้เกิดสังขาร สังขารเป็นเหตุให้เกิดวิญญาณ +++ วิญญาณตัวนี้คือ วิญญาณธาตุ วิญญาณ ทำให้เกิดนามรูป +++ นามรูป ก็มีวิญญาณอยู่ เป็นวิญญาณขันธ์ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 ธ.ค. 2008, 17:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
พุทธธรรมนั้น ถ้ารู้แจ้งเข้าใจจริงแล้ว เมื่อพูดชี้แจงอธิบาย แม้จะไม่ใช้ศัพท์ธรรมคำบาลีสักคำเดียว ก็ เป็นพุทธธรรม แต่ตรงข้าม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือรู้ผิดเข้าใจผิด แม้จะพูดออกมาทุกคำล้วนศัพท์บาลี ก็หาใช่พุทธธรรมไม่ กลายเป็นแสดงลัทธิอื่นที่ตนสับสนหลงผิดไปเสีย |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 02 ธ.ค. 2008, 17:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ขอความรอบรู้เพิ่มเติมจากคุณพลศักดิ์ วังวิวัฌน์ |
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่รู้เข้าใจด้วยกันแล้ว คำศัพท์กลับเป็นเครื่องหมายรู้ที่ช่วยสื่อถึงสิ่งที่เข้าใจได้ โดยสะดวก พูดกันง่าย เข้าใจทันที หรือแม้สำหรับผู้ศึกษาประสงค์จะเข้าใจ หากอดทนเรียนรู้คำศัพท์สักหน่อย คำศัพท์เหล่านั้นแหละจะเป็นสื่อแห่งการสอนที่ช่วยให้เข้าใจพุทธธรรมได้รวดเร็ว หากจะชี้แจงสั่งสอนกันโดยไม่ใช่คำศัพท์เลย ในที่สุดก็จะต้องมีศัพท์ธรรมภาษาอื่น รูปอื่น ชุดอื่น เกิดขึ้นใหม่อยู่ดี แล้วข้อนั้นอาจจะนำไปสู่ความสับสนยิ่งขึ้น โดยนัยนี้ คำศัพท์อาจเป็นสื่อนำไปสู่ความเข้าใจพุทธธรรมก็ได้ เป็นกำแพงกั้นไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรมก็ได้ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว พึงนำศัพท์ธรรมมาใช้ประโยชน์อย่างรู้เท่าทัน คือ รู้เข้าใจ ใช้ถูกต้อง รู้กาลควรใช้ไม่ควรใช้ ให้สำเร็จประโยชน์ แต่ไม่ควรยึดติดถือคลั่ง |
หน้า 4 จากทั้งหมด 12 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |