วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 08:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


ถามท่านผู้รู้ทุกท่านคร้าบ..

แพ้อย่างไร ? เรียกว่าเป็นพระ
ชนะอย่างไร ? เรียกว่าเป็นมาร

วานบอก
แล้วจะมาเฉลยจ้า

:b8: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2008, 10:17
โพสต์: 97

ที่อยู่: นครปฐม

 ข้อมูลส่วนตัว


เรา ยอมแพ้ให้ใคร เราก็เป็นพระในใจของผู้นั้น เราเอาชนะใคร เราก็เป็นมารในใจของเขาผู้นั้น

.....................................................
อยู่อย่างเข้าใจในทุกสิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 09:55
โพสต์: 405


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบมิตรตัวน้อยดังนี้ครับ

"แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"

คำๆ นี้หากมองในมุมของคนทั่วไปแล้วอาจจะมองว่า "ไม่ถูกเท่าไร จริงๆ แล้วน่าสอนให้ชนะบ้างนะ หรือเห็นว่าพุทธศาสนาสอนให้แพ้อยู่ร่ำไป จนอยากจะเป็นมารกันก็มี" สำหรับพระพุทธศาสนาแล้วคำๆ นี้ลึกซึ้งหลายระดับทีเดียว ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ในระดับเบื้องต้นก่อนดังนี้

เรื่องการทะเลาะกัน เวลาที่คน 2 คนทะเลาะกัน สมมุติเริ่มจากการเถียงกัน ไม่รู้แหละว่าใครเริ่มก่อน เมื่อฝ่ายหนึ่งโดนด่า อีกฝ่ายหนึ่งก็จะด่าตอบ โดยทั่วไปจะด่าแรงกว่าเดิม เมื่อฝ่ายแรกโดนด่ากลับก็จะหาคำด่าที่แรงกว่าเดิมอีก มาด่า เพื่อให้อีกฝ่ายแพ้ไป ด่ากันไปด่ากันมาอย่างนี้ หากไม่มีใครยอมแพ้กันย่อมจะไม่จบ ย่อมพัฒนาเป็นการทำร้ายร่างกายกันได้ โดยฝ่ายหนึ่งเข้าไปตบตีชกต่อย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตบตีชกต่อยกลับให้แรงกว่าเดิม สมมุติว่ามีฝ่ายหนึ่งสู้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมแพ้อีก ก็ไปหาอาวุธมาช่วย เพื่อเอาชนะกัน เพื่อเอาคืน จนกระทั่งในที่สุดมีการบาดเจ็บ พิการ หรือถึงขั้นฆ่ากันตายในที่สุด

ตัวอย่างที่ผมยกไปตรงนี้ ชัดเจนเป็นอย่างมาก เพราะคนทั่วไปมักจะเป็นอย่างนี้ เมื่อทะเลาะกันก็จะคิดว่าตนเองถูก อีกฝ่ายหนึ่งผิด และจะไม่ยอมแพ้กัน จะพยายามอยู่นั่นเพื่อให้ชนะกันให้ได้ ถึงแม้ให้เลิกกันไป ใจก็ยังผูกพยาบาทอยู่ จนในที่สุดบานปลายจนแก้ไขยาก หรือเจ็บช้ำ สูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งจริงๆ ชัยชนะที่ฝ่ายใดจะได้มาก็ตาม หาได้ใช่ชัยชนะที่แท้จริงไม่ ชาวโลกมักเรียกสิ่งนี้ว่า "ชัยชนะ", "ข้าชนะ" แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แล้ว กลับเป็นการพ่ายแพ้ยับเยินต่างหาก แพ้อะไร? ก็คือแพ้กิเลสในใจ มารในใจของตนเองไปอย่างไม่รู้ตัวเข้าแล้ว คำด่าที่เขาด่าเรา ตบตีชกต่อยเรา อาวุธที่เขาทำร้ายเราล้วนเป็นบ่วงแห่งมารทั้งสิ้น นี่แหละที่เรียกว่า "ชนะเป็นมาร"

ดังนั้น หากฝ่ายหนึ่งมาด่าเรา เราพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ จะด่าก็ด่าไป หรือเขามาตบตีชกต่อยเรา เราพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ จะตบตีชกต่อยก็ทำไป หรือเขามาทำร้ายเราก็ทำร้ายไป หรือถึงขนาดเขามาฆ่าเรา เราจะพยายามไม่โกรธ เรายอมแพ้ล่ะ เราจะไม่อาฆาตพยายาทคนที่เขาฆ่าเราอย่างนี้ ถึงแม้ในโลกเขาจะว่าเราแพ้ เราโง่ เราไม่ทันคนอื่น ให้เขาด่า ให้เขาทำร้าย ให้เขาเอาเปรียบอยู่ได้ จริงๆ แล้ว หารู้ไม่ว่าเรานี้แหละได้ชนะแล้ว คือ ชนะใจตนเอง ชนะมารในใจของตนเองแล้ว ตรงนี้ต่างหากเป็นชัยชนะที่แท้จริง เรียกว่า "แพ้เป็นพระ" นั่นเอง

"ชนะศึกใดมากี่หมึ่นกี่พันครั้ง ไม่เท่าชนะใจตนเอง"

สุดท้ายมามองให้ลึกลงไปอีกระดับ จะเห็นว่าจริงๆ พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้มุ่งเอาชนะกัน หรือมุ่งให้มีผู้ชนะ หรือมีผู้แพ้กันเลย พุทธศาสนามุ่งสอนให้เราไม่ต้องมาแพ้ มาชนะกันเลย ไม่ต้องมาทะเลาะ แตกแยก แต่มุ่งส่งเสริมให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเฟื่อแผ่กัน แลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ต่อกัน คล้ายๆ กับที่ทุกวันนี้เขาใช้คำว่า "ถอยกันคนละก้าว", "เห็นแตกต่าง แต่ไม่ใช่แตกแยก"

หากทุกฝ่ายมุ่งจะชนะ ประเทศชาติและโลกจะมีแต่แพ้
หากทุกฝ่ายมุ่งจะแพ้ ประเทศชาติและโลกจะมีแต่ชนะ


ขอให้เจริญในธรรมครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ศิรัสพล เมื่อ 12 พ.ย. 2008, 17:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2008, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


สวัสดีครับพี่มิตรตัวน้อย มากับคำถามดีๆทุกครั้งนะครับ
อาจารย์ทั้งสองท่านตอบดีแล้วครับ :b8:

ผมขอตอบอีกแง่มุมหนึ่งครับ :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
แพ้อย่างไร ? เรียกว่าเป็นพระ
ชนะอย่างไร ? เรียกว่าเป็นมาร


แพ้อย่างไร แพ้อะไรถึงเป็นพระ


แพ้ต่อกุศลธรรม อะไรที่เป็นสิ่งดีๆ ความดีทั้งหลาย ยอมรักษาความดีนั้นด้วยชีวิต
ใครมายุยง ขู่หมายเอาชีวิต ก็ไม่ยอมทำชั่ว ยอมแพ้ทุกอย่าง แม้เสียสละชีวิตเพื่อรักษาความดีนั้น....

ผู้แพ้อย่างนี้ เช่นนี้ คือพระได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะใจตน ชนะข้าศึกทั้งหลาย(ได้แก่กิเลสต่างๆ)



ชนะอย่างไร ชนะอะไรถึงเป็นมาร


ผู้ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตน ปล่อยกาย วาจาและใจของตนเป็นทาสของกิเลส ตัณหา
ปล่อยให้กิเลสชนะใจตน เห็นเค้ามีลาภ มียศ มีสุข สรรเสริญ ก็อยากแข่งดีแข่งเด่น
อยากชนะ อยากเหนือกว่า ชนะเช่นนี้คือมาร

แต่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แพ้ใจตนเอง ปล่อยให้กิเลสครอบงำ มารเข้าสิง เราไม่กล่าวว่าเป็นผู้ชนะเลย...

:b4:


.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณนนท์ คุณศิรัสพล คุณฌาณ ที่ร่วมให้คำแนะนำและข้อคิดที่ดี ๆ หลากหลายมุมมองครับ
ขอรอท่านอื่นอีกหน่อย พรุ่งนี้ (๑๔) จะนำธรรมเทศนา ของสมเด็จพระญาณสังวรฯ มาเฉลยคร้าบ..

:b8: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


นนท์ เขียน:
เรา ยอมแพ้ให้ใคร เราก็เป็นพระในใจของผู้นั้น เราเอาชนะใคร เราก็เป็นมารในใจของเขาผู้นั้น


ผมให้คนอื่นด่าว่าตำนิติเตียน ส่ร้ายป้ายสีผมในทุกเว็บ ผมยังไม่เห็นผมจะกลายเป็นพระในใจ
เขาได้เลยนะครับ แต่ผมเป็นพระในใจตัวของผมเอง เพราะผมไม่โกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท
เขา มีแต่ความรักและการให้อภัยเขาเท่านั้น

นี่ก็คือ

"ชนะศตรูมานับครั้งไม่ถ้วน ยังไม่เท่าชนะใจตนเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ฌาณ เขียน:


ชนะอย่างไร ชนะอะไรถึงเป็นมาร


ผู้ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตน ปล่อยกาย วาจาและใจของตนเป็นทาสของกิเลส ตัณหา
ปล่อยให้กิเลสชนะใจตน เห็นเค้ามีลาภ มียศ มีสุข สรรเสริญ ก็อยากแข่งดีแข่งเด่น
อยากชนะ อยากเหนือกว่า ชนะเช่นนี้คือมาร

แต่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แพ้ใจตนเอง ปล่อยให้กิเลสครอบงำ มารเข้าสิง เราไม่กล่าวว่าเป็นผู้ชนะเลย...

:b4:




ที่คุณเขียนตอนต้น ผมเห็นด้วย แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเขียนของคุณที่ผมนำอ้างอิงมาลง
ไปหักห้ามใจตน เท่ากับเราเก็บกดเอาไว้รอมันระเบิด แล้วในที่สุด
ก็กลายเป็นโลกจิต

ผมคิดว่าวิธีที่ถูกที่สุดคือ อย่าไปนำคำพูดและพฤติกรรมของคนอื่นมาปรุงแต่งในจิตของเรา ทำได้
โดยอย่าไปคิดว่านี่เป็นตัวกู ของกู

"คำพูดแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"

จึงทำได้แต่พระอรหันต์เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
ฌาณ เขียน:


ชนะอย่างไร ชนะอะไรถึงเป็นมาร


ผู้ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตน ปล่อยกาย วาจาและใจของตนเป็นทาสของกิเลส ตัณหา
ปล่อยให้กิเลสชนะใจตน เห็นเค้ามีลาภ มียศ มีสุข สรรเสริญ ก็อยากแข่งดีแข่งเด่น
อยากชนะ อยากเหนือกว่า ชนะเช่นนี้คือมาร

แต่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แพ้ใจตนเอง ปล่อยให้กิเลสครอบงำ มารเข้าสิง เราไม่กล่าวว่าเป็นผู้ชนะเลย...

:b4:




ที่คุณเขียนตอนต้น ผมเห็นด้วย แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับข้อเขียนของคุณที่ผมนำอ้างอิงมาลง
ไปหักห้ามใจตน เท่ากับเราเก็บกดเอาไว้รอมันระเบิด แล้วในที่สุด
ก็กลายเป็นโลกจิต

ผมคิดว่าวิธีที่ถูกที่สุดคือ อย่าไปนำคำพูดและพฤติกรรมของคนอื่นมาปรุงแต่งในจิตของเรา ทำได้
โดยอย่าไปคิดว่านี่เป็นตัวกู ของกู

"คำพูดแพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"

จึงทำได้แต่พระอรหันต์เท่านั้น คำพูดประโยคนี้เป็นคำพูดปลอบประโลมใจให้เราคลายความทุกข์เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2008, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


การ quote คำพูด อ้างชื่อ หรืออ้างความคิดเห็นของคนอื่น
แล้วแสดงความเห็นแย้ง ดูแล้วเสมือนหนึ่ง การเบ่งทับ
ซึ่งก่อให้เกิดการต่อต้าน การนำมาซึ่งความขัดแย้งได้

ลักษณะนี้มีอยู่ใน board และหลายท่านทำอยู่ควรแสดงความเห็นของตนไป
โดยไม่ต้อง quote คำพูดหรือความคิดเห็นของผู้อื่นมาเป็นองค์ประกอบ
จะลดความขัดแย้งลงได้ระดับหนึ่ง

เว้นได้ก็ควรเว้น นะครับ

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2008, 07:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร

ผู้ชนะมักเข้าใจว่าตัวเองได้ แท้จริงแล้วเสีย
เสียอะไร ?

เสียมิตรไมตรี เสียความรู้สึกที่ดีๆ ของอีกฝ่ายไปจนหมดสิ้น
ที่เรียกว่าได้ก็คือ ได้อัตตา ได้เวรหรือก่อเวรเพิ่มขึ้น


เพราะผู้แพ้ก็จะผูกใจเพื่อจะเอาชนะต่อไป
จึงเป็นอันว่าไม่ได้ความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย

แต่เมื่อจะต้องให้มีเรื่องให้แพ้ฝ่ายหนึ่งชนะฝ่ายหนึ่ง
ก็ควรต้องมีใจหนักแน่นพอที่จะเผชิญผลได้ทุกอย่าง
สามารถที่จะเห็นความจริงว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร
ทั้งนี้ต้องชนะตนเอง คือชนะใจตนเองด้วย

ส่วนผู้ที่ละได้ทั้งแพ้ทั้งชนะจึงจะได้ความสงบสุข
ทั้งนี้โดยไม่ก่อเรื่องที่จะต้องเกิดมีแพ้ชนะกันขึ้น


นี่แหละที่เรียก แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร

: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

=====

ชนะเป็นมาร คือ ได้อัตตา ได้เวรหรือก่อเวรเพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นมาร
แพ้เป็นพระ คือ แพ้ผู้อื่น แต่ชนะตน ชนะใจตนเอง ลดอัตตาตัวเองได้ เรียกว่าเป็นพระ

ให้คะแนนตัวเองนะครับ...

ที่ผ่านมาเป็นมารกี่ครั้ง ?
เป็นพระกี่ครั้ง ?

ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
เจริญธรรมครับ

:b8: :b11:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 58 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร