วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 21:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 00:05
โพสต์: 79


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันเห็นคนนิยมเช่าหาพระเครื่องและเครื่องรางของขลังกันมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยคนเราได้จริงๆ หรือ :b6:
และทำไมวัดหรือหลวงพ่อต่างๆ จึงทำออกมากันทำไมมากมายนัก
งมงายหรือว่าดีจริงครับ
:b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ย. 2005, 15:24
โพสต์: 179


 ข้อมูลส่วนตัว


รายงานในข้อความตอบกลับพร้อมอ้างอิง พระเครื่องและเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์จริงไหม
โดย superwan เมื่อ จ. พ.ย. 03, 2008 12:15 am


ปัจจุบันเห็นคนนิยมเช่าหาพระเครื่องและเครื่องรางของขลังกันมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยคนเราได้จริงๆ หรือ

ได้ แต่ไม่ทุกอย่าง

และทำไมวัดหรือหลวงพ่อต่างๆ จึงทำออกมากันทำไมมากมายนัก

ถ้าเกินจริง ต้องการเงิน

.....................................................
คำพูดเพียงน้อยนิดอาจเปลี่ยนชีวิตของคนได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นของปลอม เป็นมายาทั้งสิ้น

พระเครื่องและเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเป็นของจริง ย่อมศักดิ์สิทธิ์จริง
เพราะพระเครื่องและเครื่องรางได้บรรจุพลังจิตของผู้ปลุกเสกเอาไว้ พลังจิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อจิตเพ่งอยู่ที่จุดเดียว
เกจิผู้ปลุกเสก เขาเพ่งอยู่ที่จุดเดียวคือ พุทธมนตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2008, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันเห็นคนนิยมเช่าหาพระเครื่องและเครื่องรางของขลังกันมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยคนเราได้จริงๆ หรือ


กระผมเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุครับ วัตถุนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ ที่เป็นมงคล และไม่เป็นมงคล
วัตถุที่เป็นมงคลนั้นจะช่วยคนเราให้พ้นเคราะห์ได้รึป่าวก็ไม่รู้นะครับ แต่ในด้านจิตใจแล้วก็คงช่วยได้ไม่มาก
ก็น้อย ส่วนที่ไม่เป็นมงคลนั้นก็คงช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ

อ้างคำพูด:
และทำไมวัดหรือหลวงพ่อต่างๆ จึงทำออกมากันทำไมมากมายนัก
งมงายหรือว่าดีจริงครับ


จากที่ได้ทราบมาโดยมากจะเป็นคณะผู้ศรัทราจัดสร้างขึ้น พระสงฆ์ที่ทำพิธีเพียงเพื่อสนองศรัทราของญาติโยม
เพียงเท่านั้น ส่วนจะดีจริงรึเปล่าก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีไว้ครอบครองจะปฏิบัติกันอย่างไร.... :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2008, 14:42
โพสต์: 121


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38: บางครั้งเป็นเรื่องพาณิช มากกว่าค่ะ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นของความเชื่อถือของความปฏิหาร์ย
ความศักทสิทธิ์ นับถือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 19:30 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2008, 17:29
โพสต์: 191

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะขลังหรือศักดิ์สิทธิ์จริงไหมอยู่ที่ความเชื่อของบุคคลนั้นและความศรัทธาของผู้ใส่ที่มีต่อพระหรือเครื่องรางนั้นๆ
แต่สิ่งที่ช่วยคนเราได้จริงนั้นที่จริงแล้วก็คือตัวเราเองนั้นแหละที่จะสามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากความทุกข์ได้อย่างแท้จริงถ้าคนเรามีสติเชื่อในคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและปฏิบัติตามสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้วท่านจะเห็นได้ด้วยตนเองว่าสิ่งที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าพึงปฏิบัติและเห็นได้ด้วยตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


จากพระไตรปิฎก ฉบับ มมร ชุด 91 เล่ม
เล่ม 27 หน้า 90

บทว่า อตฺตทีปา ความว่า ท่านทั้งหลายจงทำตนให้เป็นเกาะ เป็นที่ต้านทาน เป็นที่เร้น
เป็นคติที่ไปในเบื้องหน้า เป็นที่พึ่งอยู่เถิด.

อนญฺญสรณา นี้ เป็นคำห้ามพึ่งผู้อื่น ด้วยว่าผู้อื่นเป็นที่พึ่งไม่ได้
เพราะคนหนึ่งจะพยายามทำอีกคนหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่

สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ตนนั่นแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนญฺญสรณา ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ

ถามว่า ก็ในที่นี้ อะไรชื่อว่าตน ?
ตอบว่า ธรรมที่เป็นโลกิยะและเป็นโลกุตตระ (ชื่อว่าตน).

ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระองค์จึงตรัสว่า
ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เล่ม 30 หน้า 444

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่ล่วงไปแล้วก็ดี
จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง
ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านี้นั้นเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ.


เล่ม 32 หน้า 176

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่เป็นธรรม ว่า เป็นอธรรม....
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งที่มิใช่วินัย ว่า เป็นวินัย…
ภิกษุพวกที่แสดง วินัย ว่า มิใช่วินัย…
ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตมิได้ภาษิตไว้ - มิได้กล่าวไว้
ว่า เป็นคำพูดที่ตถาคตภาษิตไว้ – กล่าวไว้…

ภิกษุพวกที่แสดง คำพูดอันตถาคตได้ภาษิตไว้ - กล่าวไว้
ว่า เป็นคำพูดที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ – มิได้กล่าวไว้ …
ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตมิได้สั่งสม ว่า ตถาคตสั่งสม….
ภิกษุพวกที่แสดง กรรมอันตถาคตได้สั่งสมไว้ ว่า ตถาคตมิได้สั่งสมไว้ ….
ภิกษุพวกที่แสดง สิ่งอันตถาคตบัญญัติไว้ ว่า ตถาคตมิได้บัญญัติไว้….

ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก
เพื่ออนัตถะเพื่อมิใช่ประโยชน์กื้อกูลชนเป็นอันมาก เพื่อทุกข์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ทั้งย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก และย่อมยังสัทธรรมนี้ให้อันตรธาน….

คือรู้มาอย่างนี้นะ และยังมีอีกนะ

เล่ม 36 หน้า 373


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ
ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม 5 ประการเป็นไฉน ? คือ

1. อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
2 เป็นผู้ทุศีล
3. เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม
4. แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้
5. ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม


เล่ม 11 หน้า 315

มหาศีล

1. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา ( วิชาที่ขัดกับพระนิพพาน )
เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะ ( อาหาร ) ที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว
ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ
ทายอวัยวะ ทายนิมิต ( เครื่องหมาย ) ทายฟ้าผ่า เป็นต้น ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า
ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ
ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ
ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก
เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง
เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ
เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.......

....6. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก
ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ
ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง
ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง
ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ไห้มือสั่น ร่ายมนต์ให้หูไม่ได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก
เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม
ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก
ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน
ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย
ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือนทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์
ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน
ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่างปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์
ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ชะแผล
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง....

ก็หาตอบได้แค่นี้นะไม่รู้จะถูกใจคนถามหรือใครเข้ามาอ่านหรือเปล่าสำหรับวัตถุในศาสนาพุทธทั้งหลายที่พาหาเป็นที่พึ่ง และทำกันอย่างโด่งดังตั้งราคากันหลายบาท ชวนกันอ่านพระไตรปิฎกเถอะนะแล้วจะรู้ว่าพระพุทธองค์ยอดเยี่ยมอย่างไร

เล่ม 36 หน้า 609

ก็อนุสตานุตริยะเป็นอย่างไร ? (การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมระลึกถึงการได้บุตรบ้าง
ภริยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือการได้มาก - น้อย หรือระลึกถึงสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การระลึกนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการระลึกนี้นั้นเป็นกิจเลว เป็นของชาวบ้าน
เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว
มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต
การระลึกถึงนี้ยอดเยี่ยมกว่าการระลึกถึงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไรเพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่นมีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมระลึกถึงพระตถาคตหรือสาวก ของพระตถาคต นี้เราเรียกว่า อนุสตานุตริยะ (การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก็ลาภานุตริยะเป็นอย่างไร ? (การได้ลาภอย่างยอดเยี่ยม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมได้ลาภคือบุตรบ้าง
ภรรยาบ้าง ทรัพย์บ้าง หรือลาภมากบ้างน้อยบ้าง หรือได้ศรัทธาในสมณะหรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ลาภนี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าลาภนี้นั้นเป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน
เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด
เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่นมีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย
ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหวมีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคตนี้เราเรียกว่า ลาภานุตริยะ (การได้ลาภอย่างยอดเยี่ยม)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ก็สิกขานุตริยะเป็นอย่างไร ? (การศึกษาที่ยอดเยี่ยม)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมศึกษาศิลปะเกี่ยวกับช้างบ้าง
ม้าบ้าง รถบ้าง ธนูบ้าง ดาบบ้าง หรือศึกษาศิลปะชั้นสูงชั้นต่ำ
หรือย่อมศึกษาต่อสมณะ หรือพราหมณ์ผู้เห็นผิด ผู้ปฏิบัติผิด

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การศึกษานี้มีอยู่ เราไม่กล่าวว่า ไม่มี ก็แต่ว่าการศึกษานั้นเป็นการศึกษาที่เลว
เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว
การศึกษานี้ยอดเยี่ยมกว่าการศึกษาทั้งหลาย ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั่งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหวมีความเลื่อมใสยิ่ง
ย่อมศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง ในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้
เราเรียกว่า สิกขานุตริยะ.(การศึกษาที่ยอดเยี่ยม)

ก้อไม่รู้ว่าสมมติสงฆ์ที่ทำ ๆ จะอ่านพระไตรปิฎก หรือเปล่า ยังมีหัวข้อที่ต้องศึกษากันอีกมากมายในความเป็นอยู่ของชีวิตมนุษย์ พากันอ่านมาก ๆ จะได้ไม่มานั่ง งง ๆ กับการที่ตัวเองนับถือศาสนาพุทธ
พระไตรปิฎกเป็นคำสอนแท้ ดีกว่าคำสอนของพวกอาจาริยวาทอีกนะ อ่านแล้วก็เปรียบเทียบกันถ้าตรงก็ถือว่าใช้ได้ ที่สำคัญต้องขยันอ่าน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 45 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร