วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 11:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อควรระวัง เมื่อพูดอธิบายโดยปรมัตถ์ ไม่ควรกล่าวว่า จิต เป็นอัตตา
คำว่า จิต เรียกตามแนวอภิธรรม คำว่า วิญญาณ เรียกตามพระสูตร ว่าสาระแล้วความหมายเดียวกัน
เพราะฉะนั้นขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ (= จิต) มิใช่อัตตา ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณฌานพอรู้ความหมายคำว่า โยนิโสมนสิการ ไหมครับ ที่เข้าใจง่ายๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ต้องขอขอบคุณอาจารย์ พี่ๆทุกท่านที่ได้ให้ความเห็นครับ :b8:

คงไม่สรุปว่าอะไร ใครคือผู้เสวยอารมณ์นั้น (ต้องรู้เองเห็นเอง)

ผมจะเก็บไป "คิดพิจารณาด้วยความไม่ประมาท" (โยนิโสมนสิการ)

อยากให้อาจารย์กรัชกายช่วยวิเคราะประเด็นต่างๆที่ผมตั้งมาหน่อยครับ :b20:
โดยเฉพาะเรื่อง
อ้างคำพูด:
ธัมมายตนะ
ผมอ่านของ อ.พลศักดิ์ ยังไม่เข้าใจครับ :b8:

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยากที่จะมีใครบอกคุณฌาณให้รู้ในสิ่งนี้ได้ เพราะมันเป็นความลับของฟ้าที่อยู่ในพระไตรปิฎก


อ้างคำพูด:
อยากให้อาจารย์กรัชกายช่วยวิเคราะห์ประเด็นต่างๆที่ผมตั้งมาหน่อยครับ
โดยเฉพาะเรื่อง
ธัมมายตนะ
ผมอ่านของ อ.พลศักดิ์ ยังไม่เข้าใจครับ


หรอครับ นี่ก็ปลายฝนต้นหนาวแล้ว :b1: ฟ้าใกล้เปิดความลับแล้ว :b12: ตื่นเช้ามารู้สึกอากาศเย็นๆ แหงนมองท้องฟ้ามีเมฆลอยบางๆ แดดออกอ่อนๆ
ฟ้าใกล้ประทานธรรมแล้วครับ :b35: :b48: :b41:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากให้อาจารย์กรัชกายช่วยวิเคราะห์ประเด็นต่างๆที่ผมตั้งมาหน่อยครับ
โดยเฉพาะเรื่อง
ธัมมายตนะ
ผมอ่านของ อ.พลศักดิ์ ยังไม่เข้าใจครับ


คุณฌานพึงทำความเข้าใจ คำว่า อายตนะ ที่นี่ก่อนครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13010

รูปนามหรือชีวิตนี้นี้ ท่านอธิบายกระจายออกได้หลายแนว คือ ซอยให้ละเอียดออกไปอีก เช่นอธิบายตามแนวขันธ์ 5 อายตะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22
ผู้ที่เรียนปริยัติและมีความรู้ด้านภาษาบาลีมาบ้าง เห็นแล้วจะเข้าใจ
ธัมมายะตะนะ คู่กับ มะนายะตะนะ ได้แก่สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด หรือที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ นั่นเอง

ธัมมายะตะนะ = ธัมม์+อายะตะนะ ธัมมายะตะนะ ก็เป็นหนึ่งในอายะตะนะ 12 เป็นหนึ่ง
ในธาตุ 18 คือ ธัมมะธาตุ

เขียนให้ดูเป็นคู่ๆ แล้วนำศัพท์อายตนะต่อเข้าไป ดังนี้

(ตา) จักขุ+รูป จักขวายะตะนะ + รูปายะตะนะ (เท่านี้เป็นตัวอย่าง)
(หู) โสตะ+เสียง
(จมูก) ฆาน+คันธะ
(ลิ้น) ชิวหา+รส
กาย+โผฏฐัพพะ
ใจ+ธัมมะ - มะนายะตะนะ คู่กับ ธัมมายะตะนะ (= ธรรมารมณ์ สิ่งที่เกิดทางใจ สิ่งที่ใจรู้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอบคุณครับอาจารย์ทุกท่าน

เดี๊ยวผมจะตามไปศึกษาตามที่ อ.กรัชกายแนะนำมาให้เข้าใจก่อนครับ :b24:
และรออ่านความลับของฟ้าต่อไปจาก อ.พลศักดิ์ :b10:

:b8: :b8: :b8: :b8:

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2008, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายครับ


ธัมมายะตะนะ = ธัมม์+อายะตะนะ ธัมมายะตะนะ ก็เป็นหนึ่งในอายะตะนะ 12 เป็นหนึ่ง
ในธาตุ 18 คือ ธัมมะธาตุ ธรรมธาตุก็คือธรรมกาย มีอายตนะเหมือนกัน เรียกว่า
อายตนะนิพพาน นี่คือแก่นแห่งพระพุทธศาสนา

"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเราเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพพานทั้งหมดท่านเป็นธรรมธาตุ มีธรรมกายเป็นอายตนะหรือเป็นขันธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณกรัชกายครับ
ธัมมายะตะนะ = ธัมม์+อายะตะนะ ธัมมายะตะนะ ก็เป็นหนึ่งในอายะตะนะ 12 เป็นหนึ่ง
ในธาตุ 18 คือ ธัมมะธาตุ ธรรมธาตุก็คือธรรมกาย มีอายตนะเหมือนกัน
เรียกว่าอายตนะนิพพาน นี่คือแก่นแห่งพระพุทธศาสนา

"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเราเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"

พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพพานทั้งหมดท่านเป็นธรรมธาตุ มีธรรมกายเป็นอายตนะหรือเป็นขันธ์


คำว่า อายตนะนิพพาน ลองศึกษาที่ลิงค์นี้ดูครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... c&start=20

ถามคุณพลศักดิ์หน่อยครับว่า ศึกษาค้นคว้าพุทธธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาจากตำราใดๆบ้างครับ

ที่ว่า
อ้างคำพูด:
ผู้ใดเห็นธรรม...
ธรรมในที่นี้ได้แก่ อะไร ครับ
อ้างคำพูด:
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพพานทั้งหมด ท่านเป็นธรรมธาตุ มีธรรมกายเป็นอายตนะหรือเป็นขันธ์


ที่ว่า (พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพาพนทั้งหมด....)

อย่างนั้นก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดสถิตอยู่ในนิพพาน หรอไงครับ

นิพพานเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ใช่ไหมครับ

ขออนุญาตถามเรื่องใกล้ตัวบ้าง ถามว่า ร่างกายและจิตใจคุณพลศักดิ์เอง มีขันธ์ มีอายตนะ
มีธาตุ มีอินทรีย์ ไหมครับ
ส่วนไหนบ้างที่เรียกว่าขันธ์ ว่าอายตนะ ว่าธาตุ ว่าอินทรีย์ ขอตัวอย่างประเด็นละ 1 ข้อนะครับ
:b36:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b24: :b25: ตั้งแต่เจอหน้าจอบอร์ดใหม่นี่ หน้าตาของ บัวหิมะ
ตอนนี้รู้สึกจะเป็นอย่างนี่แหละ เพื่อนๆ สหายธรรมทั้งหลาย :b9:

ตามข่าว น้องฌาณ น่ะ พักหลัง ๆ เธอช่างขยันหาอะไรมาถามเรื่อย ๆ
บางครั้ง เหมือนรู้อยู่แล้ว(มากด้วย) แต่คงอยากทราบความเห็นของพวกพี่ ๆ
ท่านอื่น ๆ ด้วย แต่ก็ดีนะ ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้น อีกหน่อยต้องเรียก
น้องฌาณ ว่าอาจารย์บ้างแล้ว กระมัง

:b8: ธรรมะสวัสดีนะจ๊ะ ทุกท่าน :b42:

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวหิมะ เขียน:
:b23: :b24: :b25: ตั้งแต่เจอหน้าจอบอร์ดใหม่นี่ หน้าตาของ บัวหิมะ
ตอนนี้รู้สึกจะเป็นอย่างนี่แหละ เพื่อนๆ สหายธรรมทั้งหลาย :b9:

:b42:


:b2: :b2: :b2: :b2:
ฮามากคุณบัวหิมะ 5555

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b6: :b6: :b6:
ท่านกรัชกายถามได้น่าสนใจมากครับ...
ท่านพลศักดิ์ก็มีความรู้ที่ออกจะต่างจากผู้ที่ศึกษาจากตำราที่มีอยู่ในปัจจุบันซะด้วย...
อยากให้ท่านพลศักดิ์ตอบคำถามนี้ครับ...เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้ให้กัน
ส่วนคำตอบของท่านพลศักดิ์ผู้อ่านนั้นจะเป็นผู้พิจารณาเอง

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2008, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ต.ค. 2008, 18:05
โพสต์: 136


 ข้อมูลส่วนตัว


ในเมื่อนิพพานนั้น
เป็นที่สิ้นจากตัณหา ปราศจากภพชาติใดๆ ทั้งหลายทั้งปวง
จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ใครเป็นผู้เสวย นิพพาน...

พระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึงพระนิพพาน
ว่าเป็นที่สิ้นไปแล้วจากภพ จากการอุบัติ จากการจุติ จากการไป จากการมา
เป็นที่ที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ
จึงไม่อาจถามถึงใครๆ ถามถึงบุคคลใดๆ ที่ไหนได้เลยว่า
จะเป็นผู้เสวยพระนิพพานแต่อย่างใด...ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2008, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปล่อยรู้ เขียน:
ในเมื่อนิพพานนั้น
เป็นที่สิ้นจากตัณหา ปราศจากภพชาติใดๆ ทั้งหลายทั้งปวง
จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ใครเป็นผู้เสวย นิพพาน...

พระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึงพระนิพพาน
ว่าเป็นที่สิ้นไปแล้วจากภพ จากการอุบัติ จากการจุติ จากการไป จากการมา
เป็นที่ที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ
จึงไม่อาจถามถึงใครๆ ถามถึงบุคคลใดๆ ที่ไหนได้เลยว่า
จะเป็นผู้เสวยพระนิพพานแต่อย่างใด...ครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2008, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: พระพุทธองค์ ทรงกล่าวถึง พระนิพพาน
ว่าเป็นที่สิ้นไปแล้วจากภพ จากการอุบัติ จากการจุติ จากการไป จากการมา
เป็นที่ที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ :b8:

:b42: สาธุ สาธุ ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมจ้า :b42:

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2008, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"กรัชกาย"ครับ



1. ถามคุณพลศักดิ์หน่อยครับว่า ศึกษาค้นคว้าพุทธธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาจากตำราใดๆบ้างครับ

:b9: .....ธรรมะนั้นต้องศึกษาด้วยสมถะและวิปัสสนา จึงจะรู้อย่างจริงๆ เมื่อทำถึงระดับหนึ่ง ฟ้าก็จะให้รู้เรื่อง
ระดับนั้นเอง ยิ่งสมัยนี้วิทยาการเจริญมากแล้ว เมื่อฟ้าให้เรารู้ เราจะรู้เรื่องนั้นเอง และค้นคว่าได้ง่ายกว่าสมัย
ก่อนมาก


2. ที่ว่า
อ้างคำพูด:
ผู้ใดเห็นธรรม...
ธรรมในที่นี้ได้แก่ อะไร ครับ

.....ธรรมนี้คือปฏิจจสมุปบาท ผู้ที่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทอย่างแท้จริง คือ พระอริยะสงฆ์ โดยเฉพาะพระอรหันต์
ในที่สุดเขาจะได้พบพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์เป็นธรรมธาตุ ปฏิจจสมุปบาทเป็นบันไดนำไปสู่ธรรมธาตุ


3. พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพพานทั้งหมด ท่านเป็นธรรมธาตุ มีธรรมกายเป็นอายตนะหรือเป็นขันธ์

.....ถูกต้องแล้ว พวกท่านไม่ได้ดับสูญไป เพียงแต่เปลี่ยนจากสังขตธาตุเป็นอสังขตธาตุ เปลี่ยนจาก
เบญจขันธ์เป็นธรรมขันธ์ เท่านั้น


4. ที่ว่า (พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในนิพาพนทั้งหมด....)

อย่างนั้นก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดสถิตอยู่ในนิพพาน หรอไงครับ

นิพพานเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง ใช่ไหมครับ

.....ถูกต้องแล้วครับ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดสถิตอยู่ในนิพพาน ภาษาสมมุติย่อมต้องบอกว่า
นิพพานเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง พุทธวจนะของพระพุทธองค์บทหนึ่งกล่าวว่า

“เราเปิดประตูอมตบทแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟังปล่อยศรัทธาเถิด”


แต่วิมุติเป็นส่งที่เข้าใจไม่ได้ จึงต้องใช้ภาษสมมุติช่วย พระพุทธองค์ตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... 977&Z=3992
***************************************************
สังเกตคำว่า
"อายตนะนั้นมีอยู่" แสดงว่าอายตนะนิพพานนั้นมีอยู่จริง

"หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ" เป็นอายตนะที่ไม่มีอารมณ์หาทุกข์มิได้

พุทธวจนะบทนี้เป็นข้อสรุปว่าพระนิพพานนั้น สามารถเข้าถึงได้โดยอายตนะนั้นมีอยู่
แต่เป็นอายตนะที่ปราศจากทุกข์ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการจุติ


5. ขออนุญาตถามเรื่องใกล้ตัวบ้าง ถามว่า ร่างกายและจิตใจคุณพลศักดิ์เอง มีขันธ์ มีอายตนะ
มีธาตุ มีอินทรีย์ ไหมครับ
ส่วนไหนบ้างที่เรียกว่าขันธ์ ว่าอายตนะ ว่าธาตุ ว่าอินทรีย์ ขอตัวอย่างประเด็นละ 1 ข้อนะครับ

......คำถามของคุณมาจากความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ถ้าตอบตามที่คุณชี้นำ ย่อมนำไปสู่ข้สรุปที่ผิดพลาด
ร่างกายและจิตใจ เป็นนามรูป เรียกว่า ขันธ์ 5 เป็นสังขตธาตุ เป็นธาตุที่มีอารมณ์ แต่นิพพานไม่ใช่นามรูป
นิพพานเป็นอสังขตธาตุ เป็นธาตุที่ไม่มีอารมณ์

ขันธ์ 5 เป็นอายตนะ หรือเป็นธาตุที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ แต่นิพพานเป็นอสังขตธาตุ ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่มีอารมณ์
ธาตุที่ไม่มีอารมณ์ จะสร้างขันธ์ที่เป็นอัพยากฤต เป็นกลางขึ้นมาเรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย หรือ
ธรรมธาตุ นี่เป็นความลับของฟ้า สมมุติสงฆ์และปถุชนทั่วไปย่อมยากที่จะเข้าใจ

เป็นน้ำที่มีสีอื่นเจือปน ทำให้เราไม่เห็นสีขาวของน้ำบริสุทธิ์ น้ำดำ น้ำแดง ฯลฯ จริงๆก็คือ น้ำบริสุทธิ์บวกสิ่งหรือสีเจือปน ชีนธ์ 5 ก็คือน้ำดำ น้ำแดง ฯลฯ น้ำบริสุทธิ์ ก็คือ ธรรมขันธ์ หรือธรรมกาย หรืออายตนะนิพพาน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 86 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 102 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร