วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 01:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
รู้อะไรไม่สู้
รู้อวิชชา.......... rolleyes rolleyes rolleyes

:b32: :b32:
ที่สำคัญไม่รู้ว่าไม่รู้นี่สิลำบากอีกนานเพราะไม่รู้จักกิเลสแล้วจะแก้กิเลสยังไงก็ไม่รูืจักกิเลสอิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ปัญญามีหลายระดับ ที่ท่านแบ่งไว้ก็มีโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง
ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ

แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) ]เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา
ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

:b12:
มีอีกอย่างที่สำคัญเลยว่าทำไมไม่รู้จักตถาคต
เพราะตถาคตสอนให้รู้จักกิเลสถ้ายังไม่รู้จักกิเลส
ก็รู้จักตถาคตไม่ได้เพราะไม่รู้จักกิเลสแปลว่ายังไม่ถึง
ระดับที่จะรู้คือมีปัญญาน้อยกว่ากิเลสอยู่ไงคะบอกจริงๆ
ถามตรงๆไม่ทราบจริงนั่นแหละว่าตถาคตคือใครเพราะว่า
ตถาคตคือผู้สิ้นกิเลสและใช้ทศพลญาณบัญญัติทุกคำจริง
ทุกวันตั้งแต่ตื่นจนหลับทั้ง45พรรษาท่องจำได้หมดทุกคำใช่ปัญญาหรือ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ปัญญามีหลายระดับ ที่ท่านแบ่งไว้ก็มีโลกียปัญญา โลกุตรปัญญา

ปัญญา * แปลกันว่า ความรอบรู้ เติมเข้าอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง
ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่างๆ เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ

แปลกันอย่างง่ายๆ พื้นๆ ปัญญา คือความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) ]เป็นการมองทะลุสภาวะหรือมองทะลุปัญหา
ปัญญาช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทย์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้ และกำหนดหมายต่อไปอีก


* ปัญญา มักแปลกันว่า wisdom หรือ understanding

:b12:
มีอีกอย่างที่สำคัญเลยว่าทำไมไม่รู้จักตถาคต
เพราะตถาคตสอนให้รู้จักกิเลสถ้ายังไม่รู้จักกิเลส
ก็รู้จักตถาคตไม่ได้เพราะไม่รู้จักกิเลสแปลว่ายังไม่ถึง
ระดับที่จะรู้คือมีปัญญาน้อยกว่ากิเลสอยู่ไงคะบอกจริงๆ
ถามตรงๆไม่ทราบจริงนั่นแหละว่าตถาคตคือใครเพราะว่า
ตถาคตคือผู้สิ้นกิเลสและใช้ทศพลญาณบัญญัติทุกคำจริง
ทุกวันตั้งแต่ตื่นจนหลับทั้ง45พรรษาท่องจำได้หมดทุกคำใช่ปัญญาหรือ
:b32: :b32:



คุณโรสลองบอกอธิบายถึงกิเลสสิครับ หมายถึงอะไรกิเลส :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เวลาใหม่คือจิตขณะใหม่หมด
อดีตดับไม่กลับมาอีกแก้ไม่ได้
อนาคตยังมาไม่ถึงคือนิพพาน
คือหมดอยากถ้ายังสงสัยอยู่
แปลว่ายังมีเครื่องเนิ่นช้าเลย
จึงทำให้คิดตรงคำไม่ได้เพราะ
ทุกคำของตถาคตต้องคิดตาม
ตรงคำตรงขณะและทีละคำ
ข้ามฟังได้ไหมในเมื่อปัญญา
เกิดข้ามขั้นไม่ได้ตนต้องตรง
ที่จะรู้ว่าเดียวนี้เองที่ไม่รู้ทั้งหมด
เพราะความจริงตามคำสอนเลย
ไม่ได้แยกออกไปจากปกติเลย
เพราะมีตามคำตถาคตทั้งหมด
เดี๋ยวนี้มีเกิดดับตามเหตุปัจจัย
ครบถ้วนแต่ไม่รู้เพราะขาดฟัง
เพื่อไตร่ตรองตามขณะฟังคือ
ทุกวินาทีที่ผ่านไปขณะไหน
สำคัญที่สุดในชีวิตรู้ไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
เวลาใหม่คือจิตขณะใหม่หมด
อดีตดับไม่กลับมาอีกแก้ไม่ได้
อนาคตยังมาไม่ถึงคือนิพพาน
คือหมดอยากถ้ายังสงสัยอยู่
แปลว่ายังมีเครื่องเนิ่นช้าเลย
จึงทำให้คิดตรงคำไม่ได้เพราะ
ทุกคำของตถาคตต้องคิดตาม
ตรงคำตรงขณะและทีละคำ
ข้ามฟังได้ไหมในเมื่อปัญญา
เกิดข้ามขั้นไม่ได้ตนต้องตรง
ที่จะรู้ว่าเดียวนี้เองที่ไม่รู้ทั้งหมด
เพราะความจริงตามคำสอนเลย
ไม่ได้แยกออกไปจากปกติเลย
เพราะมีตามคำตถาคตทั้งหมด
เดี๋ยวนี้มีเกิดดับตามเหตุปัจจัย
ครบถ้วนแต่ไม่รู้เพราะขาดฟัง
เพื่อไตร่ตรองตามขณะฟังคือ
ทุกวินาทีที่ผ่านไปขณะไหน
สำคัญที่สุดในชีวิตรู้ไหมคะ
:b12:
:b4: :b4:



โอ้ ถามอย่างตอบอย่างอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,

กิเลสมีตั้งพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่เอาแค่นั้นพอ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มิ.ย. 2018, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเรื่องธรรมดาๆทั่วไปดีกว่าไหม เช่น ตักบาตรพระเณร ถวายสังฆทาน ฯลฯ เพราะอะไร เพราะทำให้เพ้อน้อยลง เท่ากับลดความฟุ้งซ่าน คือ ลดกิเลสไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,

กิเลสมีตั้งพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่เอาแค่นั้นพอ

:b32:
กิเลสไม่ใช่ตัวหนังสือ...เอ้าไม่เชื่อลองคิดตามดิ
เห็นเป็นธัมมะคือเห็นไม่ใช่เรา
แต่เป็นเราเห็นคนสัตว์วัตถุจริงๆ
เพราะกำลังเห็นและกำลังเห็นผิด
เมื่อเห็นเป็นธัมมะเห็นจึงไม่เป็นอะไร
ก็เห็นย่อมเป็นเห็นและเห็นดับแล้วรู้ได้
เพราะถ้าเห็นไม่ดับจะไม่มีเสียงคิดตรงม๊ะ
กิเลสคือสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏแต่ไม่รู้ว่ามี
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาเรื่องธรรมดาๆทั่วไปดีกว่าไหม เช่น ตักบาตรพระเณร ถวายสังฆทาน ฯลฯ เพราะอะไร เพราะทำให้เพ้อน้อยลง เท่ากับลดความฟุ้งซ่าน คือ ลดกิเลสไง :b1:

:b32:
ฟุ้งซ่านน่ะคือเดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็น
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามองไปรอบๆตัว
ยังไม่ได้พูดชื่อด้วยซ้ำจำผิดไปแล้ว
คือคิดฟุ้งไปตามเห็นผิดคือมิจฉามรรค
เอากิเลสตะกี๋ที่ดับออกยังไงดับไปในจิตแล้ว
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,

กิเลสมีตั้งพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่เอาแค่นั้นพอ

:b32:
กิเลสไม่ใช่ตัวหนังสือ...เอ้าไม่เชื่อลองคิดตามดิ
เห็นเป็นธัมมะคือเห็นไม่ใช่เรา
แต่เป็นเราเห็นคนสัตว์วัตถุจริงๆ
เพราะกำลังเห็นและกำลังเห็นผิด
เมื่อเห็นเป็นธัมมะเห็นจึงไม่เป็นอะไร
ก็เห็นย่อมเป็นเห็นและเห็นดับแล้วรู้ได้
เพราะถ้าเห็นไม่ดับจะไม่มีเสียงคิดตรงม๊ะ
กิเลสคือสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏแต่ไม่รู้ว่ามี
:b32: :b32:



นี่แสดงว่า อ่านหนังสือแล้วย้อนมาที่ตัวไม่เป็น เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่เป็น อ่านหนังสือไม่แตก อ่านแล้วเพ้อ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอาเรื่องธรรมดาๆทั่วไปดีกว่าไหม เช่น ตักบาตรพระเณร ถวายสังฆทาน ฯลฯ เพราะอะไร เพราะทำให้เพ้อน้อยลง เท่ากับลดความฟุ้งซ่าน คือ ลดกิเลสไง :b1:

:b32:
ฟุ้งซ่านน่ะคือเดี๋ยวนี้เลยกำลังเห็น
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามองไปรอบๆตัว
ยังไม่ได้พูดชื่อด้วยซ้ำจำผิดไปแล้ว
คือคิดฟุ้งไปตามเห็นผิดคือมิจฉามรรค
เอากิเลสตะกี๋ที่ดับออกยังไงดับไปในจิตแล้ว
:b32:


คุณโรสนี่ไม่ทำมะดา อิอิ ไปไกลมิใช่น้อย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,

กิเลสมีตั้งพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่เอาแค่นั้นพอ

:b32:
กิเลสไม่ใช่ตัวหนังสือ...เอ้าไม่เชื่อลองคิดตามดิ
เห็นเป็นธัมมะคือเห็นไม่ใช่เรา
แต่เป็นเราเห็นคนสัตว์วัตถุจริงๆ
เพราะกำลังเห็นและกำลังเห็นผิด
เมื่อเห็นเป็นธัมมะเห็นจึงไม่เป็นอะไร
ก็เห็นย่อมเป็นเห็นและเห็นดับแล้วรู้ได้
เพราะถ้าเห็นไม่ดับจะไม่มีเสียงคิดตรงม๊ะ
กิเลสคือสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏแต่ไม่รู้ว่ามี
:b32: :b32:



นี่แสดงว่า อ่านหนังสือแล้วย้อนมาที่ตัวไม่เป็น เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่เป็น อ่านหนังสือไม่แตก อ่านแล้วเพ้อ คิกๆๆ

Kiss
นี่แสดงว่าคิดตามไม่เป็นเพราะปกติคนคิดได้จะทีละ1คำตรงๆและเข้าใจชัดตรงที่เปลี่ยนใจไม่ได้
แบบเดี๋ยวรับไปก่อนค่อยไปปลงอาบัตินั่นทำลายตนเองด้วยการย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่แปลว่า
ตนที่บวชที่ไม่ทำตามสิกขาบทนั่นแหละทำลายคำสอนอยู่นะขนาดตถาคตยังกราบพระธรรม
แล้วคนนอกศาสนาเขาไม่ได้นับถือเขาไม่ใช่ผู้ทำลายคำสอนมีแต่คนที่คิดว่าตนนับถือย่ำยี
ตรงไหมจริงไหมใครจะทำอะไรได้บอกให้ฟังไม่ยอมฟังเองเวลาผ่านไปเรื่อยๆปล่อยวางรึ
กิเลสมันเล่นงานตลอดเวลาที่ลืมตาแล้วไม่รู้ทั้งหมดที่ตนมีจริงๆไม่มีใครเอากิเลสออกได้
มีแต่ต้องเพียร/อดทน/มีฉันทะพอใจที่จะฟังคำจริงของตถาคตคือพึ่งคิดตามเสียงทีละคำ
:b12: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2018, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2157

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
เคยได้ยินไหมคะ
รู้อะไร...ไม่สู้...รู้วิชชา(วิชชาคือปัญญา)
รู้รักษา...ตัวรอด...เป็นยอดดี
ไม่มีใครช่วยใครได้
ฟังพระพุทธพจน์
แบบพุทธกาล
คือทางเอก
ทางเดียว
คือเริ่มที่สุตมยปัญญาคือรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชชาเพราะปัญญาเกิดเองไม่ได้
แต่กิเลสเกิดตามคิดเอาเองตลอดเวลา
ทำอะไรได้ไหมแค่กะพริบตาไม่ทัน
ทุกอย่างที่ตนมีแล้วควรเริ่มฟังน๊า
เพราะคำตถาคตไม่เหมือนใคร
:b8: :b8: :b8:
https://youtu.be/2yjKRKdP1IA


ฟัง..ฟัง...ไป..ก็ยังดี..ได้ไปสวรรค์..

หากเห็นแต่.....ไม่มีอะไรเลย....ไม่มีอะไรเลย..บ่อยๆ..อาจฟลุ๊ค..ไปเป็นพรหมลูกฟัก..ซะ.เลย

:b12: :b12: :b12:

cool
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิชชาคือปัญญารู้ชัดถึงความจริงที่กำลังมี
การฟังเป็นการละไม่รู้ขณะกำลังฟังโดยไม่มีตัวตนเข้าไปจัดการทำอะไร
ฟังเพื่อเข้าใจไม่ใช่ฟังไปสงสัยไปเพราะตอนกำลังเข้าใจนั้นที่สังขารขันธ์ปรุง
แต่งจิตให้เกิดโสภณเจตสิกดับโดยความเป็นอนัตตาตามเหตุตามปัจจัยที่ยังไม่ดับ
วิชาการทางโลกเป็นการเรียนเพื่อเอาเพิ่มเพื่อจดจำมากๆแล้วเอามาใช้หาเงินใช่ป่าว
แต่วิชชาของพระพุทธเจ้าเพื่อละไม่รู้ทีละน้อยค่อยๆเพิ่มความรอบรู้ทีละคำจนมากขึ้น
จนกว่าจะปัญญาตนเพิ่มและเข้าถึงความจริงบรรลุตามคือคิดตามจริงๆไม่ใช่บรรลุเองได้
วาจาสัจจะคือคำจริงของตถาคตต้องกำลังรู้ว่ากำลังมีที่กายใจตนและต้องใช้หูฟังใช้ตาดูเทียบคำสอน
ไม่ใช่ท่องจำคำได้แล้วจดจำคำได้แต่เป็นการทิ้งทุกอย่างที่เคยคิดพูดทำมาเพื่อฟังความจริงที่ตนกำลังมี
ทุกวิชาการทางโลกเป็นเดรัจฉานวิชาเพราะวิชชาคือปัญญาเพื่อเข้าใจสัจจธรรมรู้แล้วละตัวตนจนหลุดพ้น
:b39: :b39:


ค่อนข้างเว่อร์ไปมากแล้วหละค่ะ

พระพุทธองค์ สอน84000 พระธรรมขันธ์

ก็ไม่เคยสักครั้ง ที่กล่าวว่า ทุกวิชชาในโลก เป็นเดียรรัจฉานวิชชา
นี่มันคิดเรยเถิดเกินไปจากที่พระพุทธองค์สอนไปแล้วค่ะ

ที่ว่าวิชชา ทุกวิชชาในโลก เป็นเดียรัจฉานวิชชา
และมันก็จะทำให้พาดพิงไปใน วิชชาในศาสนาอื่นๆ ก็มีอีกมากมายหลายศาสนา

ดิรัจฉานวิชชา คือวิชชาที่ขวางพระนิพพาน

ไม่ใช่ฟังตามคำสอนพระพุทธองค์อย่างเดียว แล้วไปคิดตาม แค่นั้น แล้วจะบรรลุได้

ถ้าขาดเรื่องสังโยชน์สิบ ก็ไม่มีทางหรอกค่ะ

และวิชชาที่เป็นและประกอบด้วยสัมมาชีพ ก็ไม่ได้ขวางทางพระนิพพานค่ะ

และยิ่งหนักหนาสาหัสไปหนัก ยิ่งไม่รู้จักปฎิจจสมุบาทเอาเสียเรย

ที่ว่า ที่ไปคิดตามอยู่นั้น สังขารเหล่านั้นเกิดได้เพราะอะไร
นั่นไม่ใช่วิชชานะคะ



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์ และเป็นเครื่องปรุงแต่งความคิดให้ทำกรรม ซึ่งนำไปสู่ปัญหา ความยุ่งยากเดือดร้อนและความทุกข์,


กิเลส ๑๐ (ในบาลี เดิม เรียกว่ากิเสลวัตถุ คือ สิ่งก่อความเศร้าหมอง ๑๐) ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ,

กิเลสมีตั้งพันห้า ตัณหาร้อยแปด แต่เอาแค่นั้นพอ

:b32:
กิเลสไม่ใช่ตัวหนังสือ...เอ้าไม่เชื่อลองคิดตามดิ
เห็นเป็นธัมมะคือเห็นไม่ใช่เรา
แต่เป็นเราเห็นคนสัตว์วัตถุจริงๆ
เพราะกำลังเห็นและกำลังเห็นผิด
เมื่อเห็นเป็นธัมมะเห็นจึงไม่เป็นอะไร
ก็เห็นย่อมเป็นเห็นและเห็นดับแล้วรู้ได้
เพราะถ้าเห็นไม่ดับจะไม่มีเสียงคิดตรงม๊ะ
กิเลสคือสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏแต่ไม่รู้ว่ามี
:b32: :b32:



นี่แสดงว่า อ่านหนังสือแล้วย้อนมาที่ตัวไม่เป็น เขาเรียกว่าอ่านหนังสือไม่เป็น อ่านหนังสือไม่แตก อ่านแล้วเพ้อ คิกๆๆ

Kiss
นี่แสดงว่าคิดตามไม่เป็นเพราะปกติคนคิดได้จะทีละ1คำตรงๆและเข้าใจชัดตรงที่เปลี่ยนใจไม่ได้
แบบเดี๋ยวรับไปก่อนค่อยไปปลงอาบัตินั่นทำลายตนเองด้วยการย่ำยีสิกขาบทน้อยใหญ่แปลว่า
ตนที่บวชที่ไม่ทำตามสิกขาบทนั่นแหละทำลายคำสอนอยู่นะขนาดตถาคตยังกราบพระธรรม
แล้วคนนอกศาสนาเขาไม่ได้นับถือเขาไม่ใช่ผู้ทำลายคำสอนมีแต่คนที่คิดว่าตนนับถือย่ำยี
ตรงไหมจริงไหมใครจะทำอะไรได้บอกให้ฟังไม่ยอมฟังเองเวลาผ่านไปเรื่อยๆปล่อยวางรึ
กิเลสมันเล่นงานตลอดเวลาที่ลืมตาแล้วไม่รู้ทั้งหมดที่ตนมีจริงๆไม่มีใครเอากิเลสออกได้
มีแต่ต้องเพียร/อดทน/มีฉันทะพอใจที่จะฟังคำจริงของตถาคตคือพึ่งคิดตามเสียงทีละคำ
:b12: :b16:


ไม่ทำมะดาจินๆ :b32:

https://www.youtube.com/watch?v=q7wBAMn0-nA

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2018, 05:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
เคยได้ยินไหมคะ
รู้อะไร...ไม่สู้...รู้วิชชา(วิชชาคือปัญญา)
รู้รักษา...ตัวรอด...เป็นยอดดี
ไม่มีใครช่วยใครได้
ฟังพระพุทธพจน์
แบบพุทธกาล
คือทางเอก
ทางเดียว
คือเริ่มที่สุตมยปัญญาคือรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชชาเพราะปัญญาเกิดเองไม่ได้
แต่กิเลสเกิดตามคิดเอาเองตลอดเวลา
ทำอะไรได้ไหมแค่กะพริบตาไม่ทัน
ทุกอย่างที่ตนมีแล้วควรเริ่มฟังน๊า
เพราะคำตถาคตไม่เหมือนใคร
:b8: :b8: :b8:
https://youtu.be/2yjKRKdP1IA


ฟัง..ฟัง...ไป..ก็ยังดี..ได้ไปสวรรค์..

หากเห็นแต่.....ไม่มีอะไรเลย....ไม่มีอะไรเลย..บ่อยๆ..อาจฟลุ๊ค..ไปเป็นพรหมลูกฟัก..ซะ.เลย

:b12: :b12: :b12:

cool
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิชชาคือปัญญารู้ชัดถึงความจริงที่กำลังมี
การฟังเป็นการละไม่รู้ขณะกำลังฟังโดยไม่มีตัวตนเข้าไปจัดการทำอะไร
ฟังเพื่อเข้าใจไม่ใช่ฟังไปสงสัยไปเพราะตอนกำลังเข้าใจนั้นที่สังขารขันธ์ปรุง
แต่งจิตให้เกิดโสภณเจตสิกดับโดยความเป็นอนัตตาตามเหตุตามปัจจัยที่ยังไม่ดับ
วิชาการทางโลกเป็นการเรียนเพื่อเอาเพิ่มเพื่อจดจำมากๆแล้วเอามาใช้หาเงินใช่ป่าว
แต่วิชชาของพระพุทธเจ้าเพื่อละไม่รู้ทีละน้อยค่อยๆเพิ่มความรอบรู้ทีละคำจนมากขึ้น
จนกว่าจะปัญญาตนเพิ่มและเข้าถึงความจริงบรรลุตามคือคิดตามจริงๆไม่ใช่บรรลุเองได้
วาจาสัจจะคือคำจริงของตถาคตต้องกำลังรู้ว่ากำลังมีที่กายใจตนและต้องใช้หูฟังใช้ตาดูเทียบคำสอน
ไม่ใช่ท่องจำคำได้แล้วจดจำคำได้แต่เป็นการทิ้งทุกอย่างที่เคยคิดพูดทำมาเพื่อฟังความจริงที่ตนกำลังมี
ทุกวิชาการทางโลกเป็นเดรัจฉานวิชาเพราะวิชชาคือปัญญาเพื่อเข้าใจสัจจธรรมรู้แล้วละตัวตนจนหลุดพ้น
:b39: :b39:


ค่อนข้างเว่อร์ไปมากแล้วหละค่ะ

พระพุทธองค์ สอน84000 พระธรรมขันธ์

ก็ไม่เคยสักครั้ง ที่กล่าวว่า ทุกวิชชาในโลก เป็นเดียรรัจฉานวิชชา
นี่มันคิดเรยเถิดเกินไปจากที่พระพุทธองค์สอนไปแล้วค่ะ

ที่ว่าวิชชา ทุกวิชชาในโลก เป็นเดียรัจฉานวิชชา
และมันก็จะทำให้พาดพิงไปใน วิชชาในศาสนาอื่นๆ ก็มีอีกมากมายหลายศาสนา

ดิรัจฉานวิชชา คือวิชชาที่ขวางพระนิพพาน

ไม่ใช่ฟังตามคำสอนพระพุทธองค์อย่างเดียว แล้วไปคิดตาม แค่นั้น แล้วจะบรรลุได้

ถ้าขาดเรื่องสังโยชน์สิบ ก็ไม่มีทางหรอกค่ะ

และวิชชาที่เป็นและประกอบด้วยสัมมาชีพ ก็ไม่ได้ขวางทางพระนิพพานค่ะ

และยิ่งหนักหนาสาหัสไปหนัก ยิ่งไม่รู้จักปฎิจจสมุบาทเอาเสียเรย

ที่ว่า ที่ไปคิดตามอยู่นั้น สังขารเหล่านั้นเกิดได้เพราะอะไร
นั่นไม่ใช่วิชชานะคะ


cool
โลกสวยเขียนสิคะ(ดิรัจฉานวิชชา คือวิชชาที่ขวางพระนิพพาน)
:b32:
วิชชา=ปัญญา แปลว่า ความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามคำสอนอีกชื่อคือ สัมมาทิฏฐิ
กิเลส=อวิชชา แปลว่า ไม่รู้ เป็นอกุศลทุกชนิดนะคะ
ดิรัจฉาน แปลว่า ไปตามขวางของโลกนะคะ
โลก แปลว่า สิ่งที่เกิดดับ ขันธ์แปลว่าเกิดดับ
ยึดโลกและขันธ์เป็นตัวแล้วก็หาเงินมาเลี้ยงตัวใช่ไหมคะ
แต่เพศสูงสุดที่ถึงพระนิพพานแล้วต้องบวช
ต้องหาเงินด้วยหรือคะ/หรือแค่ออกบวชคะ
เพราะถ้าไม่บวชต้องสิ้นขันธ์เลยถูกไหมคะ
ทราบไหมคะว่าบวชแล้วทำแบบชาวบ้านไม่ได้
:b40: :b40:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron