วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 23:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2017, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5091


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเห็น หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ตั้งแต่เข้าประตูวัด หลวงปู่พรหมก็มาถึงศาลา หมู่เพื่อนภิกษุก็หาน้ำหาท่ามาถวายท่าน ท่านก็บ่นอยู่กุฏิของท่านนั่นแหละ “ออกไปเดี๋ยวนี้ๆ” ไม่รู้ว่าผิดอะไร หลวงปู่พรหมถ้าไม่ออกไปก็กลัวท่านจะเหนื่อย กลัวจะเป็นบาป ท่านก็เลยออกไปพักบ้านหนองสะไน ตามที่หลวงปู่อ่อนเล่า ไม่รู้ว่าผิดอะไร นี่แหละที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูดอย่างนั้น ได้ยินได้ฟังก็วินิจฉัยดู “มิใช่ผิดทางท่านสอนรึ ?” ที่ท่านดุนั่นเรียกว่าผิดทางที่ท่านสอน “การสร้างนั่นมิใช่ทางพ้นทุกข์ ทางพ้นทุกข์ไม่สร้างอย่างนั้น”

ตอนอาตมาไปคารวะ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดภูจ้อก้อ (วัดบรรพตคีรี) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ท่านกำลังสร้างศาลาใหญ่ ท่านบอกอาตมาว่า “ถ้าอาจารย์มั่นยังอยู่ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ท่านว่า ทำอย่างนี้โดนท่านดุเอา” แต่มาสมัยนี้โยมเขาว่า “ถ้าไม่ทำจะไปอยู่ไหนหลวงปู่ ไม้มันก็จะหมด หาหญ้าหาอะไรมันก็ไม่มี” จริงของเขา ท่านว่า หลวงปู่หล้าก็เลยทำ “ที่หลวงปู่หล้าท่านทำ มันพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว แต่สมัยก่อนไม่พร้อมมันเป็นทุกข์ การสร้างก็เป็นทุกข์ สร้างแล้วความปรารถนาอยากเป็นนั่นเป็นนี่นั่นก็เป็นทุกข์อีก ไม่พ้นทุกข์ ทางท่านพระอาจารย์มั่นสอน ท่านสอนพ้นทุกข์ ถ้าผิดทางของท่าน ท่านจะดุเอาอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ผิดทางท่าน ท่านก็จะไม่ดุ”

หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร






ถ้าครูบาอาจารย์มีความเห็นผิดก็พากันเห็นผิดตลอดสาย ถ้าครูบาอาจารย์มีความเห็นถูกต้อง ถ้าเข้าไปในสำนักนั้น ก็พาในการประพฤติปฏิบัติไปเพื่อความพ้นทุกข์หรือเพื่อความสิ้นทุกข์ได้โดยง่าย เหมือนต้นไม้ ถ้าขึ้นมาตรงก็จะตรง ถ้าขึ้นมาคดไปคดมามันก็ไม่แน่นอน

ทีนี้เรื่องการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน อันนี้ก็เลือกลำบากนิดนึง เราก็เทียบเคียงกับพระธรรมวินัย ว่าสำนักไหน อย่างน้อยศีลของท่านอยู่ในขอบข่ายของพระธรรมวินัย ไม่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ไม่ล่วงละเมิดศีลของพระ และก็ครูบาอาจารย์นั้น

สอนศีล สมาธิ ปัญญา ไปเพื่อให้แจ้งซึ่งอริยสัจ ๔ หรือเปล่า

ถ้าสอนให้กำหนดรู้ในความทุกข์ สอนให้กำหนดรู้ถึงสาเหตุให้เกิดความทุกข์ กำหนดให้รู้ถึงความดับทุกข์ กำหนดให้รู้ถึงข้อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้ก็เป็นแนวทางของพระพุทธองค์ ที่ท่านทรงสั่งสอนไว้

จากหนังสือ ถามตอบปัญหาธรรมเล่ม ๑ โดย พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) หน้าที่ ๑๐-๑






"สร้างสัญญาใหม่ให้กับใจ"

ถาม : สัญญาเก่าข้ามภพชาติ คือสิ่งใด แล้วหากมีอยู่จริง มีวิธีการปฏิบัติในการรื้อถอนสิ่งเหล่านี้อย่างไรครับ

พระอาจารย์ : ก็ของที่เราเห็นแล้วเราชอบไม่ชอบนี้ก็เป็นสัญญาเก่าทั้งนั้นแหละ ทำไมชอบสีเขียวทำไมไม่ชอบสีแดง อันนี้ก็สัญญาเก่า ชาติก่อนเคยชอบสีเขียว เคยไม่ชอบสีแดง ชาตินี้พอมาเจอสีเขียวก็ชอบ สีแดงก็ไม่ชอบ นี่ความชอบไม่ชอบของเรากับสิ่งต่างๆ นี้เป็นสัญญาทั้งนั้นแหละ เป็นความจำที่ฝังลึกจนเป็นอัตโนมัติไป เห็นอะไรปั๊บรู้เลยว่าชอบไม่ชอบ เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่เราฝังมา วิธีที่จะแก้ก็คือต้องฝืนมัน ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราชอบไม่ดี เราก็เปลี่ยนมันได้ เช่นชอบดื่มสุรา และมาทราบทีหลังว่าดื่มแล้วมันเป็นอันตรายเป็นโทษกับเรา เราก็ต้องฝืนมัน พยายามอย่าไปทำมัน ทุกครั้งที่เราอยากจะดื่มสุราเราก็ไม่ดื่ม เดี๋ยวต่อไปความอยากดื่มมันก็จะหายไป หรือเราต้องให้สัญญาใหม่กับใจ สร้างสัญญาใหม่คือ สร้างความหมายใหม่ว่าสุรานี้เป็นพิษ ดื่มแล้วทำให้ร่างกายตายเร็ว สุขภาพเสื่อมโทรม ตับไตไส้พุงนี้จะถูกทำลาย เสียเวลา เสียเงินเสียทอง เสียสติ เวลาดื่มสุราแล้วเมาไม่มีสติยับยั้งการกระทำที่ไม่ดีต่างๆ เสียเวลา แทนที่จะเอาเวลาเอาไปทำงานทำการทำประโยชน์ ก็มาเสียเวลากับการดื่มสุรา ดื่มแล้วก็เมา ทำอะไรไม่ได้ ต้องหลับต้องนอนอย่างเดียว ถึงเวลาตื่นไปทำงานก็อาจจะตื่นไปไม่ทัน ก็อาจจะตกงานได้ นี่คือเราสร้างสัญญาใหม่ให้เห็นว่าสุรานี้มันเป็นโทษเป็นภัยกับเรา เมื่อเรารู้ว่ามันเป็นอันตรายอราก็จะได้ไม่ไปเสพมันได้.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







พระธรรมเทศนาที่ท่านได้จดจารึกซึ่งเกิดจากภาคปฏิบัติจิตตภาวนาล้วน ๆ นั้นคือยอดแห่งคำสอน เป็นวิสุทธิธรรมแท้ นำผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามให้ได้รับแต่ความสมหวัง ก้าวถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์อย่างแน่นอน

เท่าที่ได้อ่านและแน่ใจ หนังสือที่นักปราชญ์ท่านแสดงเต็มเปี่ยมด้วยความมีเมตตามหาคุณ บริสุทธิ์สมบูรณ์ไม่น่าสงสัย ๑. เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ๒.ขันธะวิมุติสมังคีธัมมะ จดจารึกด้วยลายมือท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ๓.ท่านพ่อลี ธัมมธโร ๔.ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ๕.หลวงปู่ชา สุภัทโท ๖.หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

โอวาทคำสอนซึ่งเป็นวิสุทธิธรรมนั้นหายาก ถ้าใครไม่มีควรหามาอ่าน ผู้ที่มีแล้วขยันอ่าน ให้พยายามปฏิบัติตาม ความรู้ความฉลาดความเห็นของเราจะถูกต้องดีงามตามหลักคลองศีลคลองธรรม สามารถนำชีวิตของเราที่เกิดมาไม่ปราศจากประโยชน์โดยแท้

หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร







ก่อนที่จะฟังเทศน์ฟังธรรม ให้สำรวมกายวาจาใจให้ดี ทำจิตให้ว่าง โทรศัพท์ต้องปิดเสียก่อน ฟังทั้งโทรศัพท์ด้วย ฟังทั้งเทศน์ด้วย โทรศัพท์นี่สำคัญมาก ๆ นะ ไปวัดไหนอยู่ที่ไหนก็เห็น มีแต่โทรศัพท์จนมันไม่ว่างเลย แล้วเวลาฟังเทศน์มันจะเข้าใจได้ยังไง ให้ปิดเสียก่อน ไม่งั้นจะไม่ได้อะไรเลย

แล้วขณะที่ฟังเทศน์ขอร้องอย่าถ่ายรูป ปิดโทรศัพท์ซะ ถ้าไม่ปิดเราก็กระวนกระวายเป็นภาระกับสิ่งเหล่านี้ ได้ยินโทรศัพท์เหมือนไฟจี้เลย เต้นโหยงเลย ธรรมะเข้าไปจี้หัวใจไม่สะดุ้ง แต่สิ่งเหล่านี้เข้าไปจี้เมื่อไร เต้นเมื่อนั้น ให้ปิดไว้ก่อน เสียสละไว้ก่อน มันเป็นเรื่องของโลก ไม่ใช่เรื่องของธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็มี แต่ธรรมเป็นสิ่งหายาก เพราะฉะนั้น ให้ปิดไว้ก่อน

พระอาจารย์โสภา สมโณ







"...ความตาย เป็นสิ่งที่ไม่เลือกหน้าเลือกตาใคร
จะร่ำรวยสวยงามสักปานใด
ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ได้
เงินทองข้าวของมีมากมายมหาศาล
คนรวยๆ นี่ตายไปก่อน เห็นไหมเป็นสักขีเป็นพยาน
ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ได้

เวลาจะตาย พญามัจจุราชมันไม่ยกเว้นหนา
มีเงินมีทองยกให้ มันก็ไม่เอา
พญามัจจุราช มันมีอำนาจเหนือใครทั้งนั้น
มันไม่กินสินบนกับใครด้วย
มันตรงไปตรงมา ทำงานตามหน้าที่
นั่นคือ พญามัจจุราช

พญามัจจุราช คืออะไร คือคนตาย
เมื่อความตายมาถึงแล้ว จะขอไว้นาทีสองนาทีก็ยังไม่ได้
พวกเราทั้งหลายอย่าพากันประมาท ผลัดวันประกันพรุ่ง
วันเวลามันผ่านไปๆ สังขารร่างกายของเรามันนับ นับวันหนา
มันน้อยลงหนา ไม่ใช่มันเพิ่มขึ้นหนา

อายุสังขารของเรามันลดลงๆ กำลังวังชาก็หมดไปๆ
ตามันก็เสี่ยง หูมันก็เสี่ยง สังขารร่างกายมันก็เสี่ยง
กำลังวังชาช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น

เห็นไหม พระพุทธเจ้าว่ามันไม่เที่ยง
ได้คิด ได้อ่าน ได้พินิจพิจารณาหรือไม่
แต่ละเมื่อละวัน มันก็ผลักเข้ามา
ดูหัวใจ take care ตัวเองบ้าง..."

โอวาทธรรม
พระครูมงคลญาณ (หลวงปู่คำพอง ปัญญาวุโธ)
เจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
เมตตาให้ ก่อนฉันจังหันเช้า
ณ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในวันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2560







"พระพุทธศาสนานี้สอนธรรม คือ
สอนให้ทำเอา ปฏิบัติเอา ไม่ใช่คิดเอา"
-:-หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร-:-






เช้าวันหนึ่ง ผมกำลังกวาดใบไม้ ที่ลานวัด
อารมณ์ไม่ดี รู้สึกหงุดหงิด ขัดเคือง
และรู้สึกว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่วัดป่าพง
เจอแต่ทุกข์

พอดีหลวงพ่อเดินตรงมายังผม
ท่านยิ้มให้ พร้อมกับพูดว่า
"วัดป่าพงทุกข์มาก!!!"
แล้วท่านก็เดินกลับไป

ผมสงสัยว่า ทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนี้
กลับไปกุฏิ พิจารณา ได้สติว่า
ทุกข์ไม่ได้เกิดจากวัดป่าพง
แต่เกิดจากจิตใจเราเอง

-:- พระราชสุเมธาจารย์ (หลวงปู่โรเบิร์ต สุเมโธ) -:-







สังเกตลักษณะอาการก่อนตาย ว่าจะไปเกิดที่ไหนอย่างไร?

โดย หลวงปู่หล้า เขมปัตโต

“ตายคาภาวนาดีกว่า”

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ได้เมตตาเทศนาสอนเรื่องของการตั้งสติก่อนจะสิ้นลมว่า เป็นสิ่งที่ทุกคนควรหัดไว้บ้าง ถ้าเราไม่หัดไว้ทีนี้ ใกล้จะตายมาพุทโธๆแด่เด้อ พุทโธๆเด้อ พุทโธๆยังไงเมื่อมีชีวิตอยู่มันก็ยังไม่ภาวนา เดี๋ยวจะเจ็บอันนั้นปวดอันนี้ ร้องครางไปสารพัดแล้วไม่หัดไว้เดี๋ยวนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหัดไว้ ถ้าตายคาภาวนาพุทโธ ถึงจะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกก็ตาม เราก็ไปสุคตินานอยู่เหมือนกัน หลวงปู่เองก็เคยบอกไว้ว่า ตายคาภาวนายังดีกว่าตายคานึกถึงสิ่งของ เวลาเราจะตาย เรานึกถึงสิ่งของอันใด ใจขาดด้วย ก็ไปเป็นเขียดกะปาดบ้าง อยู่ตามรั้วอยู่ตามไร่ตามนา ถ้าเรานึกถึงหลานคนนั้นคนนี้ แล้วก็ใจขาดคาที่นั่น เราไปเกิดเป็นเป็ดเป็นไก่เขาหรือเป็นหลานเขา เวลาจะตายสำคัญ อสัญกรรม กรรมเมื่อจวนเจียน

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ได้เน้นถึงลักษณะของระยะเวลาใกล้ตายไว้ดังนี้

– เวลาใกล้จะตายเห็นแสงไฟ ปรากฏเห็นแสงไฟมา ยังไม่คิดไปทางอื่นแล้วก็เลยตายในขณะนั้นก็ไปเกิดในนรก

– ถ้าเวลาใกล้จะตายปรากฏเห็นท่าน้ำหรือป่าไม้ แล้วก็สิ้นลมปราณในเวลานั้นยังไม่คิดไปทางอื่น ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

– เวลาใกล้จะตายปรากฏว่ามืดมนอนธกาล มองไม่เห็นอะไรเลยคล้ายๆว่ากลางคืน สิ้นลมปราณในขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นเปรต

– เวลาใกล้จะตาย ได้ปรากฏเห็นวิมานและปรากฏเห็นเทวบุตรเทวดา แล้วก็สิ้นลมปราณในขณะนั้น ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหมอยู่ในสรวงสวรรค์หรือพรหมโลก

– เวลาใกล้จะตาย ปรากฏเห็นครรภ์มารดา ก็ไปถือปฏิสนธิเกิดอีกในครรภ์

ส่วนพระอรหันต์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาใกล้จะตายก็มาเห็นกายเราส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ลมหายใจเข้าออกเป็นต้น หรือ กระดูกท่อนใดท่อนหนึ่งเป็นต้น หรือผม ขน เล็บ ฟัน อันใดอันหนึ่งเป็นต้น หรือธาตุน้ำอันใดอันหนึ่งในสกลร่างกายเป็นต้น มีดี เสลด น้ำเลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำลาย ไขข้อ น้ำมูตร หรืออันใดอันหนึ่งเป็นต้น ต่อจากนั้นแล้วท่านก็พลิกจิต ไม่ได้ติดอยู่ในผู้รู้ทั้งหลาย ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วย ท่านก็เข้าสู่พระนิพพานไปซะ หาธรรมอันไม่ตาย

ถ้าเราไม่หัดไว้ทีนี้ ใกล้จะตายมาพุทโธๆแด่เด้อ พุทโธๆเด้อ พุทโธๆยังไงเมื่อมีชีวิตอยู่มันก็ยังไม่ภาวนา เดี๋ยวจะเจ็บอันนั้นปวดอันนี้ ร้องครางไปสารพัดแล้วไม่หัดไว้เดี๋ยวนี้ไม่ได้ จำเป็นต้องหัดไว้ ถ้าตายคาภาวนาพุทโธ ถึงจะมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกก็ตาม เราก็ไปสุคตินานอยู่เหมือนกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 54 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร