ความรู้เกี่ยวกับ “มะเร็ง” และการดูแลรักษา

ตอบเมื่อ: 25 ก.ย. 2006, 10:26 pm

ความรู้เกี่ยวกับ “มะเร็ง” และการดูแลรักษา
โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

ถ้านิวเคลียสซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของแต่ละเซลล์ ถูกทำลายให้มีลักษณะผิดปกติไม่กลมดังเดิม จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงนิวเคลียสอื่นๆ อีกมากจนลุกลามกลายเป็นเซลล์ที่ผิดปกติไปทั้งส่วนเช่น ตับ มดลูก ปอด ฯลฯ และเรียกเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ว่า “มะเร็ง” ซึ่งสาเหตุของ “มะเร็ง” มีหลายประการ เช่น

1. รังสีอัลตร้าไวโอเลต เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นิวเคลียสและเซลล์ผิดปกติเร็วขึ้น ฉะนั้นพึงหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดโดยตรง

2. การสารเคมีจากโรงงานเข้าสู่ร่างกายทุกวัน

3. พฤติกรรมของการบริโภคที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพ เช่นการทานอาหานปิ้ง ย่าง รมควัน อาหารสุกๆ ดิบๆ ฯลฯ เป็นประจำ

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงเป็นโอกาสเป็น “มะเร็ง” โดยเท่าเทียมกัน

การป้องกัน “มะเร็ง”

1. ในเมื่อเราทุกคนหนีไม่พ้น “แสงแดด” จึงควรกลางร่มหรือหาวิธีอื่นๆ เพื่อหลบให้พ้นแสงแดด และทำสมาธิดึงแสงกลางวันเข้าสู่ร่างกายทุกวัน เนื่องจากแสงกลางวันจะทำหน้าที่ช่วยดันรังสีอัลตร้าไวโดเลตรวมทั้งสารเคมีจากโรงงานที่บางบุคคลต้องได้รับ เพราะเป็นงานประจำ

2. ทำสมาธิดึงเส้นแสงเพื่อแต่งและฟื้นฟูเซลล์ทุกวัน โดยเฉพาะการถู-แต่งเซลล์ที่จุดลมปราณทั้ง 12 จุด หรือที่อวัยวะอื่นๆ ซึ่งแต่ละบุคคลมีความบกพร่องแตกต่างกัน เช่น ผู้หญิงควรจะถู-แต่งเซลล์ในบริเวณช่องท้องซึ่งเป็นที่ตั้งของมดลูกรังไข่ให้มากเพราะนอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด “มะเร็ง” แล้วยังช่วยให้ฮอร์โมนในช่วง “วัยทอง” เป็นปกติอีกด้วย

3. ทำสมาธิหมุน และการนวดด้วยพลังพีระมิดบ้าง เพราะ 2 วิธีนี้จะช่วยดันสารพิษ สารเคมี สารตกค้างที่แต่ละบุคคลรับเข้าสู่ร่างกายทุกวันทางอากาศ อาหาร เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมอยู่ภายในร่างกายมากเกินไป จนเกิดผลเสียต่อสุขภาพ

ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ทางกานแพทย์ยังไม่สามารถค้นพบตัวยารักษา “ความผิดปกติของเซลล์” ดังนั้นทั้งผู้ป่วยมะเร็งและบุคคลปกติ จึงควรศึกษาทางเลือกอื่นๆ ดูบ้าง โดยเฉพาะการพึ่งพลังจิตตนเอง ซึ่งอาจจะยากที่ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจ จึงจะรักษาตนเองได้ จึงขอแนะนำให้ศึกษาเรียนรู้ตั้งแต่ยังไม่ป่วย เพราะสภาพร่างกายที่ปกติ จะรับรู้ได้เร็วกว่าผู้ป่วย

ขั้นตอนของการบำบัด “มะเร็ง”

1. สมาธิหมุน เพื่อขับน้ำเหลือง เลือดเสีย ที่เกิดจากการอักเสบเพราะเซลล์ถูกทำลาย จะช่วยลดความเจ็บปวด และการอักเสบได้มาก ควรทำสมาธิหมุน วันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที

2. สมาธิดึงแสงกลางวัน เพื่อละลายความเจ็บความปวดและทำลายเซลล์เน่า เปรียบเหมือนการฉายแสง ผู้ป่วยจะมีความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยหนักควรทำสมาธิดึงแสงกลางวันให้มากที่สุด ทำได้ทั้งลืมตา หลับตา และทุกอิริยาบท (อยู่กับ “แสงกลางวัน” ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง) จะช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะแสงกลางวันจะหยุดการลุกลามของเซลล์มะเร็งได้ทันที

3. สมาธิดึงเส้นแสงแสงกลางวันหรือเส้นแสงของสากลจักรวาลมาถู-แต่งเซลล์เปรียบเหมือนการเลเซอร์ จะช่วยแต่งนิวเคลียสและเซลล์ที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมผิดปกติให้กลายเป็นเซลล์กลมดังเดิม ควรทำวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่า 30 นาที

4. เมื่อร่างกายดีขึ้นมากแล้ว ควรทำสมาธิการกระตุ้นเซลล์หรือสมาธิการเดินลมปราณผ่านจุด 12 จุด เพื่อช่วยให้ทุกส่วนของร่างกายทำงานสัมพันธ์กัน

5. ในช่วงของการบำบัดรักษา ผู้ป่วยต้องพยายามทำสมาธิข้อ 1-2-3 ให้มากเท่าที่จะมากได้ และแม้เมื่อร่างกายดีขึ้นจนเป็นปกติแล้ว ห้ามหยุดทำสมาธิ เนื่องจากตัวเร่งหรือเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็น “มะเร็ง” มาจากสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เช่น แสงแดด อาหาร อากาศ ผู้ป่วยสามารถลดจำนวนครั้งของการทำสมาธิลงได้ ซึ่งจะให้ข้อเตือนใจไว้ดังนี้

“ถ้าหลบให้พ้นแสงแดดไม่ได้ ต้องใช้แสงกลางวัน”

“ถ้าหนีไม่พ้นจากสารพิษ สารเคมี มลภาวะไม่ได้ ต้องใช้แสงกลางวัน หรือเส้นแสง หรือสมาธิหมุน”

วิธีปฏิบัติตน

1. ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน ควรงดทานอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งอาหารที่มีส่วนผสมมาจากไข่และนม เพื่อเป็นการสร้าง “เมตตา” ให้เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่มีเจตนาของการฆ่าชีวิตผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองจึงควรทานอาหารมังสวิรัติ

2. ควรงดอาหารกระป๋อง หรืออาหารสำเร็จรูปทุกชนิดเพราะอาหารเหล่านั้นจะปนเปื้อนด้วยสารเคมี และสารกันบูดกันเน่า

3. ควรงดอาหารหมักดอง ถ้าอยากทานควรจะดองเองและใช้เวลาดองในระยะสั้นๆ

4. ทานธัญญพืชให้หลายหลาย โดยเฉพาะโปรตีนที่มาจากพืชตระกูลถั่วไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เซลล์มะเร็งลุกลาม ถ้าทำสมาธิบำบัดจนร่างกายดีขึ้น และมีเซลล์ใหม่งอกออกมา เซลล์นั้นจะเป็นเซลล์ปกติ ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง

5. ผู้ป่วยต้องใจแข็ง และอย่าหลงเชื่อว่าจะมี “ยา” ใดๆ รักษา “มะเร็ง” ได้

6. เมื่อร่างกายได้รับการฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้ว ควรหาโอกาสศึกษา “วิปัสสนา” ควบคู่กันไปกับ “การบำบัดรักษา” เพราะถ้าผู้ป่วยได้ปัญญารู้จักการปล่อยวางร่างกาย ผู้ป่วยจะไม่เป็นผู้ป่วยอีกต่อไป

สำหรับความเจ็บป่วยอื่นๆ ทุกชนิด เช่น ภูมิแพ้ หัวใจ ไมเกรน ฯลฯ ใช้ขั้นตอนของการบำบัดรักษาเหมือนกับ “มะเร็ง” เพียงแต่ไม่ต้องทานอาหารมังสวิรัติ ถ้า “ใจ” ไม่พร้อม

http://www.geocities.com/healthmeditation/healthmeditation/health.html

ตอบเมื่อ: 25 ต.ค.2007, 11:30 am