Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เชื่อธรรมแล้วจับมือกัน (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 04 ธ.ค.2006, 1:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เชื่อธรรมแล้วจับมือกัน
โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕



พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็ยังไม่ลืมนะ ผู้กำกับว่ายังไง ที่ว่าพระอะไรที่พูดถึงเรื่องเรา อยู่วัดนรนาถฯ นั่นน่ะ เอาพูดเสียซิ (อ๋อ พระสมบัติ บุญเรือง ท่านทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท แล้วเอาเรื่องของหลวงตามาเขียนวิทยานิพนธ์ ย่อๆ นะครับ ท่านว่า เทศน์ของหลวงตาเป็นความจริงสมกับคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒) เวลาหลวงตาขึ้นไปเทศน์ ดูทางทีวีแล้ว องอาจกล้าหาญ ไม่สะทกสะท้าน อันดับต่อไปก็ว่าเทศน์มีอุปมาอุปไมย แล้วก็มีตลกขบขันด้วย) นี่ละว่ามีตลกขบขันด้วย ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราค้านได้ยังไง ก็เราตลกขบขัน แม้แต่ตะกี้นี้ยังวงเล็บว่าพวกบ้า เข้าใจไหม มันก็อย่างนั้นแล้ว ท่านก็เอาออกมาบรรยายว่ามีตลกด้วย

แม้แต่ฟ้าหญิงท่านก็ยังมี เวลาเทศน์จบลง ส่วนมากไปเทศน์ที่ไหนท่านจะมาประทับอยู่ข้างธรรมาสน์ ท่านประทับอยู่โน่นก็ตาม จะประทับในที่เขาจัดไว้รับเสด็จนั้นครู่เดียว พอเราขึ้นธรรมาสน์ปั๊บท่านจะปุ๊บมาประทับข้างๆ ไม่ว่าที่ไหนเหมือนกันหมด เวลาเทศน์จบลงแล้วท่านมักจะถวายทองคำ นิมนต์ลงไปรับ แล้วมีสิ่งอื่นด้วยแทรกกันเข้ามา เราก็ลงไปรับสิ่งเหล่านั้นแหละ ทีนี้ไปเราก็ถาม เป็นยังไงฟังเทศน์ อ๋อ ท่านพ่อเทศน์ดีมีตลกด้วย ว่ามีตลกด้วย อย่างนั้นแล้ว แม้แต่กษัตริย์ก็ยังประกาศออกมาว่ามีตลกด้วย ก็ตัวจริงมันอยู่นี่วะ ว่าท่านพ่อเทศน์ดีมีตลกด้วย ขบขัน

ท่านยังไปเล่า ภาษาของเราเรียกว่า ท่านไปเล่าให้แม่ท่านฟัง วันนั้นท่านมาทำบุญวันเกิดที่สวนแสงธรรม ตอนเช้า ตอนเราไปสวนแสงธรรม เวลาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็มากราบลา ไปนี้ก็จะได้ไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลาปล่อยอะไรต่ออะไรท่านว่างั้นนะ เราก็ทำท่าคึกคัก โอ๋ย เหมือนจะจริงจะจังนะ เอ๊อ ดีแล้ว เป็นโอกาสอันดีเหลือเกิน จะได้ฝากอะไรไปปล่อยด้วย เราว่าอย่างนี้ ท่านก็ต้องนึกว่าเป็นสัตว์เป็นอะไรต่ออะไร เราก็บอกว่า ไอ้พวกความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอในการภาวนานั้นให้เอาไปปล่อยด้วยนะ หัวเราะแก๊กเลย แน่ะอย่างนั้นละเข้าใจไหม มันหากมาอย่างนี้ เราพูดคึกคักเหมือนจะไม่ไปอย่างนี้ ท่านก็จ้อฟัง ครั้นแล้วเอาความขี้เกียจขี้คร้านไปปล่อยด้วย ท่านไปเล่าให้สมเด็จฯ ฟัง สมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านก็มาเล่าให้ฟัง เล็กว่า หลวงตาฝากของไปปล่อย ทีแรกฟังนึกว่าจะเป็นของอะไร ปุ๊บปั๊บว่า ความขี้เกียจขี้คร้าน อู๊ย เอาไปเล่าให้แม่ฟัง อย่างนี้ละมันก็เป็นอยู่ในนั้น

(กฐิน ๑ กองครับ) เคยรู้จักท่านคลาดไหม (เคยได้ยินชื่อค่ะ) ท่านเป็นพระวัดนี้ เป็นคนที่พังงาแต่เป็นพระวัดนี้ ท่านไปอยู่นั้นหลายปีไปตั้งสำนัก พอดีทางโรงพยาบาลเกาะยาว พังงาขอตึกมา เราเลยมอบให้ท่านคลาดเป็นตัวแทนเรา ให้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง ควรจะตัดจะเพิ่มจะเติมอะไรๆ ยกให้ท่านทั้งหมดเลย ให้ท่านเป็นคนดูแลเองทุกสิ่งทุกอย่าง อำนาจให้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกับเราไปสั่งเอง คือใครอยู่ที่ไหน ลูกศิษย์อยู่ที่ไหนๆ เวลามีความจำเป็น เราจะมอบให้ลูกศิษย์ในที่นั้นๆ ทำแทนเราๆ

ทางด่านไปน้ำหนาวเราก็สร้างให้เขาเยอะเหมือนกันนะ พวกบ้านพักตำรวจ เจาะน้ำบาดาล เอาไฟฟ้าแรงสูงมา โอ๊ย หลายอย่าง นี่ก็ให้ท่านชิต ท่านชิตอยู่ที่น้ำหนาว น้ำหนาวกับอันนี้มันติดกัน เลยสั่งท่านชิตไปเลย ให้ท่านชิตมาทำหน้าที่แทนเราเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านชิตบ้านท่านอยู่เพชรบุรี แต่ท่านเป็นพระวัดป่าบ้านตาด อยู่นี้ตั้งสิบกว่าปีนะ แล้วไปอยู่น้ำหนาว นี่ละเวลาจำเป็นก็อย่างนี้ละ ต้องสั่งมอบให้ลูกศิษย์คนนั้นๆ เพราะเจ้าของไปดูไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็ตาม ใกล้ชิดกับลูกศิษย์คนไหนๆ มอบให้ลูกศิษย์คนนั้นทำหน้าที่แทนๆ อย่างที่ให้ท่านชิตทำแทนด่าน แล้วให้ท่านคลาดทำแทนที่พังงา ที่อื่นก็เหมือนกันแบบเดียวกันแหละ เพราะเราไปไม่ทั่วถึง มันไกล ลำบาก ลูกศิษย์มากก็ดีอย่างหนึ่ง เวลาจำเป็นที่ไหนมอบให้คนนั้นทำแทน มอบทางโน้นมอบทางนี้เรื่อย ทุกแห่งนะ มอบไปเรื่อยๆ อย่างนี้

เพราะงานเรามันกว้างขวางมาก การช่วยชาติเรียกว่าทุกภาค เสมอกันหมดเลย ความจำเป็นมากน้อยเพียงไรนี้ถือเป็นสำคัญ ช่วยมาตลอดๆ อย่างนี้ แล้วที่เกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ก็มอบให้ลูกศิษย์ทำแทนๆ ถ้าสงสัยอะไรให้ถามมา ทางประจวบ อันนี้ไม่ได้มอบ คือมอบให้สมภารเองทำกำแพงวัด ทางรถยนต์สายภาคใต้กลางคืนกลางวันมีเวลาเมื่อไร เราเข้าไปนั้นปั๊บมองดูนี้ โหย ไม่ไหวอย่างนี้ รถวิ่งตลอด วัดอยู่ข้างๆ แล้วเป็นวัดภาวนาเสียด้วย เอ๊ ยังไงกัน เราเดินดู พอตื่นเช้ามาออกแต่เช้าเลย เดินสำรวจดูหมด แล้วนิมนต์สมภารวัดมาพูดกันกลางวัดเดี๋ยวนั้นเลย ให้ท่านทำกำแพงให้หมดทะลุเลย ท่านก็ทำเรียบร้อยแล้ว ท่านชอบวิปัสสนากรรมฐาน นี้ให้ท่านทำเอง คุ้นกันมานานแล้วแหละ

กำลังคิดอยู่มากมายเวลานี้ กฐินตั้ง ๘๔,๐๐๐ กองยังไงกัน มันไม่พ้นจะเอาหลวงตาไปเป็นเปรตหรือนี่ ถ้าหลวงตาเป็นเปรตจะไม่เหมือนเปรตตัวไหนนะ แตกกระจัดกระจายเข้าใจไหม ดีไม่ดีคนแตกประเทศไทยเลยถ้าหลวงตาลงได้เป็นเปรต ทองคำไม่สำเร็จผลตามความมุ่งหมาย เพียงทองคำสิบตัน คน ๖๒ ล้านคนอุ้มไม่ขึ้นแล้ว ถึงขนาดหลวงตาตกทะเลนี้ ตกทะเลก็จะปีนขึ้นมาจากทะเล แล้วซอกแซกเอาให้มันแหลกหมดเลยเมืองไทยเรา มันเก่งนักแต่ทองคำมันไม่เอาไหน เราต้องเอาเปรียบจากความไม่เอาไหน มันต้องเอาอย่างนั้นซี อย่าให้หลวงตาเป็นเปรตนะ หลวงตานี้เป็นอะไรไม่ค่อยเหมือนใครนะ เป็นเปรตก็จะเอาคนหลงทิศหลงทาง ขี้แตกเยี่ยวราดในห้องน้ำห้องส้วม จะเอาตรงจุดสำคัญด้วยนะ เพราะมันเก่งนัก เวลาบอกมันไม่สนใจ ตายแล้วเราก็เก่งเหมือนกัน เราก็เป็นเปรตแล้วก็เอาเลย มันต้องอย่างนั้นซี

ทุกคนให้ช่วยกันนะ ได้เรียนให้ทราบทั่วถึงกันแล้ว นี้เป็นภาษาธรรม ให้พี่น้องทั้งหลายทราบนะ ที่หลวงตาออกมาช่วยพี่น้องทั้งหลายนี้ เอาธรรมล้วนๆ ออกมาเลยนะ จะไม่มีคำว่าโลกคือความสกปรกเข้ามาแทรกในตัวของเราเลย จะมีแต่ธรรมล้วนๆ ธรรมนี้ออกมาจากองค์ศาสดา เราปฏิบัติเต็มเหนี่ยวของเราแล้ว ถึงได้นำธรรมนี้ออกมาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ธรรมช่วยโลกก็ช่วยอย่างนี้แหละดูเอาซิ พระพุทธเจ้าช่วยโลกช่วยทุกแบบทุกฉบับ ดังที่ท่านสอนไว้ว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณาธิคุณหาที่สุดไม่ได้ ทำประโยชน์แก่โลกนี้หาประมาณไม่ได้เลย นี่แปลออก องค์ศาสดาแท้เป็นอย่างนั้น เราตัวเท่าหนูเราก็เดินตามรอยศาสดา ธรรมไม่ช่วยโลกจะช่วยอะไร ประชาชนชาวพุทธไม่วิ่งเข้าหาพระวิ่งไปหาอะไร พระช่วยประชาชนไม่ได้ใครจะช่วยได้ในโลกนี้ อะไรๆ ก็อยู่ที่พระๆ เย็นอยู่ที่พระอบอุ่นอยู่ที่พระ แต่พระช่วยโลกไม่ได้แล้วยังเป็นไฟเผาโลก มันเข้ากันได้ไหมกับธรรม ให้จำเอานะ

หลวงตาได้ช่วยพี่น้องทั้งหลายคราวนี้ทุ่มออกมาเลยจริงๆ เรียกว่าเป็นธรรมสุดส่วน ขอให้ฟังเสียงธรรม ธรรมนี้จะไม่พาใครล่มจมเสียหาย จะพาให้เจริญรุ่งเรืองนับแต่เล็กแต่น้อยขึ้นถึงส่วนใหญ่ ธรรมนี้ไม่เคยพาให้จม แต่เรื่องกิเลสมีมากมีน้อยเอาจมให้ได้นะ ให้พากันระมัดระวัง กิเลสคือข้าศึกของธรรม ธรรมเป็นเครื่องพยุงๆ โลก ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ มา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ช่วยโลกมาตลอด นี่ทางวัดนั้นวัดนี้ก็มานี้ ชื่อว่าท่านเดินตามร่องรอยของศาสดา ช่วยโลกช่วยสงสารคือองค์ศาสดาเป็นพระองค์แรก ช่วยโลกช่วยสงสารมา เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ชั้นไหนๆ ช่วยตามขั้นภูมิ ช่วยมนุษย์ช่วยแบบไหนได้ช่วยทั้งนั้นๆ แหละ

ทีนี้ลูกศิษย์ของศาสดาก็เป็นพระเจ้าพระสงฆ์ เป็นพระนี้เรียกว่าให้ความร่มเย็นแก่ประชาชน ไปอยู่ที่ไหนวัดต้องมีๆ ชาวพุทธเรา เมื่อมีแล้วโยมเขาก็มีความอบอุ่นกับพระเจ้าพระสงฆ์ แม้จะทำบาปทำกรรมพอระลึกถึงพระนี้สะดุดกึ๊กนะ มันต่างกันนะ มันสะดุดใจ แล้วหยุดไม่ทำ แม้จะทำมากก็ทำแต่น้อย นี่ละเรื่องอำนาจแห่งธรรมเป็นอย่างนั้น นี้ได้นำธรรมมานำพี่น้องทั้งหลายนะ เราบริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว เรื่องเกี่ยวกับเรื่องช่วยโลกช่วยสงสารเราไม่มีอะไร เราบอกชัดเจนป้างๆ นี่ธรรมต้องพูดตามความสัตย์ความจริงได้ตามหลักของธรรม กิเลสมันก็พูดไปได้ตามหลักของกิเลส มีแต่การหลอกลวงต้มตุ๋นอย่างเดียว



(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 04 ธ.ค.2006, 1:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กิเลสจะหาความจริงไม่ได้เลย ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ลูกเต้าหลานเหลนของกิเลสเป็นสกุลแห่งความต้มตุ๋นสัตว์โลกให้ล่มจม แล้วความหลอกลวงนี้ ลิ้นนี้หวานนะ กิเลสมีลิ้นหวานมาก หาหลอกลวงต้มตุ๋น คนที่จมไปนั้นเพราะความหลอกลวง เข้าใจไหม ถ้าจะไปพูดว่าข้าจะมาเอาของแกอย่างนั้นอย่างนี้นะ ตรงไปตรงมาพูดตามหลักความจริงเขาจะไม่ให้ ดีไม่ดีต่อสู้กันทันทีใช่ไหม นี่ข้าจะมาปล้นแกนะ หรือข้าจะมาขโมยของแกนะ ของของแกเอาไว้ที่ไหนๆ นี่พูดตามความจริงที่จิตคิดไว้ว่าจะขโมยของเขา ถ้าพูดอย่างนี้มันก็เป็นความจริงไปแล้ว กลายเป็นธรรมไปแล้ว เขาก็รู้ตัวเขาก็รักษาตัวเขา แต่มันไม่พูดอย่างนั้น มันจะพูดอ้อมแอ้มหลอกลวงต้มตุ๋นหวานลิ้นทีเดียว ให้ผู้ฟังนี้เคลิ้มหลับ นี้ภาษาของกิเลส นิ่มนวลอ่อนหวานมาก แต่ทำสัตว์โลกให้ล่มจมไม่มีอะไรเกินกิเลส

ภาษาธรรมไม่มีอย่างนั้น ตรงไปตรงมา เช่นอย่างว่า ถ้าเอาธรรมเข้าไปใช้นี้ผู้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์จะรู้ตัวทันที เพราะบอกว่าจะไปขโมยเขา เขารู้แล้วเขาก็ไม่ให้ขโมย แต่กิเลสไม่ว่าอย่างนั้นนะ หาอุบายวิธีการต่างๆ หลอกลวงต้มตุ๋นเข้าไปจนขโมยได้หรือจนมาปล้นได้ ปล้นจนได้นั่นละ อุบายของมันแหลมคม นิ่มนวลอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้ง กล้วยในสวนในอะไรสู้ไม่ได้ หวาน นี้เป็นภาษาของกิเลสให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย มันสนิทใจกันมานานแล้ว พอพูดภาษาของธรรมขึ้น ตรงไปตรงมานี้แสลงหูๆ เพราะมันเป็นเนื้อหนังของกิเลสพอแล้ว พวกเราทั้งหลายเลยถือธรรมนี้เป็นข้าศึก ถือกิเลสเป็นมิตรเป็นสหายแล้วก็จมไปด้วยกันตลอด นี้ยังจะจมอีกนานอยู่นะ ถ้าเชื่อภาษาของกิเลสนี้ ถ้าภาษาของธรรมแล้วเอาเถอะ ไม่จม

ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยินภาษาอย่างหลวงตามาพูด นี่หลวงตาจะจาระไนให้ฟัง ตั้งแต่ก่อนหลวงตาเรียนหนังสืออยู่ การพูดการจากับโลกกับสงสาร เราเกิดมาในท่ามกลางประเทศไทย ต้องพูดแบบคนไทยด้วยกันทั้งนั้น กิริยาท่าทางทุกอย่าง แม้ที่สุดไปเรียนหนังสือมา การเทศนาว่าการก็ต้องเป็นไปตามสำนวนหนังสือ ไม่เคยคิดเคยอ่านว่าจะได้ภาษาชนิดนี้ออกมา เพราะไม่เคยปฏิบัติและไม่เคยคิดไว้ด้วย ก็มีแต่ภาษานั้นละ เขาเทศน์ยังไงเราก็เทศน์อย่างนั้น เขาเทศน์กล้วยหอมว่าดีเราก็บอกกล้วยหอมว่าดี กล้วยไข่ดีก็บอกว่ากล้วยไข่ดี อาตมาตั้งใจมาเทศน์นี้เพราะกล้วยไข่คุณนะชักชวนให้มา เข้าใจไหมนิ่มขนาดไหนล่ะ นิ่มนวลขนาดไหน ไม่ได้พูดแบบธรรมแหละ ถ้าธรรมไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้ พูดตรงไปตรงมาเลยภาษาธรรม นี้เป็นภาษาของกิเลส อ้อมแอ้มๆ

เราก็เคยเทศน์มาอย่างนี้ จนไม่รู้สึกตัวเลยว่าจะได้มาพูดภาษาเช่นนี้ขึ้นมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ที่เรียกว่าภาษาธรรม เข้าใจไหม ทีนี้ภาษาของปริยัติเราก็เรียนมาแล้วมากน้อยเพียงไรก็ดังท่านทั้งหลายทราบแล้ว เราไม่เคยคิดว่าจะได้ภาษานี้ออกมา ทีนี้เวลาออกจากเรียนมาภาคปฏิบัติ เอ้า เปิดให้ฟังให้ชัดๆ นะ เวลามาปฏิบัตินี้มีแต่ความจริง ก็เราปฏิบัติหาความจริง พระพุทธเจ้าสอนธรรมของจริง สอนไปตรงไหนก็เจอของจริงๆ เมื่อเจอขึ้นมา เจอขึ้นมาที่ไหนมันขัดกันกับอันนั้นซิ ขัดกันกับปริยัติซึ่งเป็นภาษาของกิเลส เรียนธรรมก็ตามแต่กิเลสเป็นเจ้าของ ภาษาจึงเป็นภาษาของกิเลส เทศนาว่าการก็เหมือนกัน เป็นภาษาของกิเลสไปทั้งนั้นโดยเจ้าตัวไม่รู้นะ เราเองเราก็ไม่รู้แต่ก่อน เขาเทศน์ยังไงเราก็เทศน์อย่างนั้น ทีนี้เวลาออกมาปฏิบัตินี่ซิ ปฏิบัติค้นหาความจริง พระพุทธเจ้าสอนแต่ความจริงทั้งนั้นๆ นี่นะ

พอปฏิบัติไปก็เจอเข้าไปๆ เมื่อเจออย่างนี้แล้วกับที่เคยพูดเมื่อแต่ก่อนมันเข้ากันไม่ได้ๆ แน่ะ ต้องพูดอย่างนี้ถึงจะเข้ากันได้กับธรรม เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ความรู้เป็นอย่างนี้ การพูดก็ต้องพูดออกมาอย่างนี้ๆ ถึงจะถูก พูดจากนี้ไปไม่ถูกแน่ะ ทีนี้ความรู้อันนั้นมันก็พลิกเข้ามาหาทางภาคปฏิบัติ กิริยาท่าทางทุกอย่างนี้เป็นพลังของธรรม แต่ก่อนเป็นเป็นพลังของกิเลสมันออกมาผึงๆ ถ้าลงได้ออกมาเป็นเรื่องพลังของกิเลสแล้วตาดำตาแดงนี้ ฟาดกันแหลกเหลวไปหมด โลกพินาศได้ด้วยอำนาจพลังของกิเลสทำให้ตาดำตาแดง โมโหโทโส เคียดแค้นฆ่ากันได้ นี่เป็นภาษาของกิเลสเป็นกำลังของกิเลส ที่ออกมาจากหัวใจซึ่งบรรจุกิเลสไว้อย่างเต็มเอี๊ยด

เอ้าที่นี่พลิกปั๊บนะ เวลามาปฏิบัติๆ เข้าไปๆ นี้ความรู้ความเห็นอย่างนี้เราไม่เคยเห็น มาปฏิบัติตามธรรมมันก็รู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมาโดยไม่มีใครบอก มันหากบอกจากสายทางพระพุทธเจ้า เรียกว่าแผนผัง สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นี้แลคือแบบแปลนแผนผัง ให้ก้าวตามนี้ๆ แล้วจะไปเจออย่างนั้นๆ ทีนี้เวลามันเจอเข้ามันขัดกันกับกิเลสทั้งนั้น ขัดกันกับกิเลสที่เคยแสดงมาตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่ง แม้เราเองก็เป็นอย่างนั้นมา ทีนี้มาสะดุดตัวเองๆ ต่อไปมันรู้มากรู้น้อยเห็นอะไรๆ ขึ้นมา มันมีแต่เรื่องธรรมผ่าน แสดงออกมาก็ต้องแสดงเป็นแบบธรรม แสดงเป็นแบบอื่นไม่ได้ขัดกับธรรม ไม่ใช่ธรรม แน่ะ เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็ต้องได้นำธรรมนี้ออก ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งฟาดมันสุดยอดก็สุดยอดเลย

ใครจะว่าโอ้ว่าอวดไม่สนใจ ธรรมคือความจริงต้องพูดไปตามหลักความจริงที่เราปฏิบัติมาด้วยความชอบธรรม รู้เห็นขึ้นมาด้วยความชอบธรรม ถูกต้องตามทางของศาสดาว่าเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว พูดออกเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย เข้าใจไหม ส่วนใครที่จะเชื่อไม่เชื่อ พอใจไม่พอใจนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเอาประมาณไม่ได้ ธรรมนี้มีประมาณต้องพูดไปตามหลักธรรมอย่างนี้ นี้ละท่านทั้งหลายทราบเสียว่ากิริยาที่แสดงออกมาอย่างนี้ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้เคยเป็นอย่างนั้นนะ มันหากเป็นขึ้นมา นี่พูดให้ฟังชัดเจนนะวันนี้ เป็นขึ้นมามากน้อยฟาดมันทะลุเลย มันก็พุ่งของมันเลย

ทีนี้กำลังวังชาของใจนี้เป็นธรรมล้วนๆ แล้ว กิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่มีแทรก แสดงออกกิริยาท่าทางมาเหมือนจะกัดจะฉีก แล้วเป็นน้ำดับไฟ กลายเป็นน้ำดับไฟๆ พลังของธรรมพุ่งแรงเท่าไรยิ่งความเย็นฉ่ำของธรรมนี้ออกพร้อมกันผางๆ ชะล้างสะอาดๆ ไปเลย ให้เข้าใจอย่างนั้นนะ พลังของกิเลสทำโลกให้พินาศฉิบหาย พลังของธรรมเป็นน้ำดับไฟ ต่างกันอย่างนี้ เหตุใดจึงต้องเหมือนกัน ก็เพราะธาตุขันธ์เวลาแสดงออกมาขึงขังตึงตังเหมือนกัน เพราะธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องมือได้ทั้งธรรมทั้งกิเลส เอาไปใช้เสียก่อนกิเลสมันเป็นเจ้าของ มันก็นำธาตุขันธ์นี้ออกไปฆ่าฟันรันแทงรบรากันเข้าใจไหม อำนาจของจิตบังคับให้ทำ นี่ละเรียกว่ากิเลส อำนาจของจิตก็คืออำนาจของกิเลสอยู่ในจิตนั้นแหละบังคับให้ทำ

ทีนี้เมื่อจิตเป็นธรรมขึ้นมาล้วนๆ เป็นอำนาจของธรรมล้วนๆ อำนาจของธรรมมีแต่มหาคุณ อำนาจของกิเลสมีแต่มหาโทษ มหากรรม มหันตทุกข์ อำนาจของธรรมมีแต่คุณ มหาคุณ เรื่อยๆ ไป ตรงกันข้ามๆ ไปอย่างนี้ ท่านทั้งหลายเข้าใจเอานะ เป็นอย่างนั้น การแสดงถึงได้บอกให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าโลกไม่เคยได้ยินภาษาธรรม เวลานี้เราออกภาษาธรรม ออกมามากพอสมควรแล้ว ยังไม่เพียงเท่านี้นะ ถ้ามีอะไรที่จะมาเกี่ยวข้องยังจะหนักกว่านี้ไปอีก เรื่องธรรมไม่มีประมาณ ขอบเขตไม่มี มหาสมุทรยังมีฝั่ง ธรรมในหัวใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วไม่มีขอบไม่มีเขต ครอบโลกธาตุไปหมด ออกแง่ไหนออกได้ทั้งนั้นๆ ขอแต่เหตุการณ์ที่มาสัมผัสหนักเบามากน้อยจะออกตามนั้นๆ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้นะ

เวลานี้เราก็ประมวลธรรมที่ปฏิบัติมานี้ มานำพี่น้องชาวไทยทั้งหลายเรียกว่าเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว ให้พากันเชื่อธรรมนะ ถ้าไม่เชื่อชาติไทยของเราจะจมได้ไม่สงสัย ถ้าเชื่อธรรมแล้วจับมือกัน ถึงจะเป็นผู้ร้ายชายโจรก็มาจับมือกันได้ เป็นมิตรเป็นสหายกันได้เพราะธรรมเป็นเครื่องประสาน กิเลสเป็นเครื่องตีให้แตกให้แยก ไม่ได้เหมือนธรรมนะ ตีให้แตกให้แยก ให้เป็นคนนั้นให้เป็นคนนี้ให้เป็นพรรคนั้นให้เป็นพวกนี้ ไปอยู่ไหนทีนี้ก็ตีกันละซิ แล้วในอวัยวะเดียวกัน ตรงไหนที่มันเจ็บปวด มันแตกร้าวแล้วนะนั่น เราต้องหายามารักษาไม่อย่างนั้นมันจะพังทั้งร่างกาย ธรรมะเป็นหยูกยาเป็นเครื่องประสาน ตรงไหนไม่ดีให้ซ่อม ใครไม่ดีให้ซ่อมให้เอาธรรมเข้าไปยึดๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ขึ้นมาในตนและพวกของตน และใครก็ตามจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามีธรรม ถ้าเป็นเรื่องกิเลสนี้มันทำให้แตกเรื่อยนะ ไม่มีคำว่าประสาน พากันฟังให้ดี นี่ภาษาของกิเลสภาษาธรรมจึงพูดให้ฟังชัดเจนทั้งสองอย่าง

วันนี้เราก็ได้พูดถึงเรื่องภาษาธรรม กับภาษาของกิเลสต่างกันอย่างนี้ ถ้าเรายังได้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังอยู่ตลอด นำพี่น้องทั้งหลาย ภาษาธรรมจะออกเรื่อยๆ อย่างนี้เป็นอื่นไปไม่ได้นะ ถ้าให้เป็นอื่นก็เรียกว่าไม่เทศน์เสีย เรื่องของกิเลสเป็นกิเลส เรื่องธรรมเป็นธรรมไปเสีย แต่เมื่อมีความจำเป็นผู้ดียังมีอยู่ก็ต้องได้แสดงออกมาจนได้ใช่ไหมล่ะ ผู้ชั่วมันก็ฟัง ก็ขวางหูตัวเองไปนั้นแหละ ให้ขวางหูขวางปากผู้เทศน์ไม่มีแหละ มันไปขวางผู้ฟังนั่นแหละเข้าใจไหม แล้วก็ไปเป็นโทษกับผู้ฟังนั้นแหละ จำเอานะ

เวลานี้เรากำลังช่วยชาติบ้านเมืองของเรา หัวใจของชาติอยู่ที่ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ที่กระจายออกเวลานี้ ทองคำกับดอลลาร์เข้าคลังหลวงล้วนๆ เงินสดแยกทั้งซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง แยกออกช่วยประเทศทั่วทุกภาคเลย นี่เรียกว่าเงินสด ไปที่ไหนเห็นหมด สถานที่ที่เงินสดออกกระจายเอาไว้ ตั้งแต่คนทุกข์คนจน สถานสงเคราะห์ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ที่ราชการต่างๆ ทั่วประเทศไทย นี่ละเงินสดของพี่น้องทั้งหลายแล้วออกไปให้พี่น้องหลายได้เห็น เราไม่มีเราไม่เอา เราพูดจริงๆ บาทหนึ่งเราก็ไม่เคยแตะ พูดจริงๆ นี้เรียกว่าเราช่วยโลกจริงๆ ช่วยอย่างบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้น จึงพูดได้ทุกบททุกบาททีเดียว ให้พากันพออกพอใจนะ

ผลที่ทำขึ้นมานี้ก็มากต่อมากแล้ว จากเงินสดและดอลลาร์ ทองคำ เข้าสู่คลังหลวงรู้สึกว่าฟื้นขึ้นมายิ้มแย้มแจ่มใส ด้วยความรักชาติ ความสามัคคี ความเสียสละด้วยกัน ความแตกแยกสามัคคีนั้นพังนะ อย่าเอาเข้ามา อะไรไม่ดีให้รีบแก้ไขดัดแปลงเพื่อซ่อมแซมให้ดีขึ้นๆ นั้นละดีนะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ออกจากนี้แล้วเราก็จะไปภูวัว วันนี้เอาของไป ไม่เอามากละ เอารถไป ๒ คัน รถตู้นั่นแหละ เต็มเอี๊ยดเลยสั่งเรียบร้อยแล้ว ภูวัวก็มีพระตั้ง ๔๒ องค์ เราเลี้ยงทั้งหมดเลยนะ เลี้ยงมาได้ ๑๐ กว่าปี วันนี้เราเอาอาหารไปเสริม ส่วนถึงวันที่จะไปส่งนั้น จวนสิ้นเดือนๆ ทุกเดือนไปส่งเต็มเหนี่ยวๆ เวลาเราไปนี้เป็นอาหารเสริมกันไปเท่านั้น

สรุป ทองคำ ดอลลาร์ และกฐินวันที่ ๑๐ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๔ บาท นี้หมายถึงทองคำส่วนรวมกลางๆ นะอันนี้ ส่วนกฐินเท่านั้นกองเท่านี้กองไม่ได้นับเข้านี้นะ นี่หมายถึงทองคำกลางๆ มาตลอด ทองคำได้ ๔ บาท ดอลลาร์ได้ ๘ ดอลล์

กฐินทองคำได้ ๓๐๔ กอง กฐินเงินสดได้ ๑๐๑ กอง รวมเป็น ๔๐๕ กอง ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๕,๐๕๙ กิโลครึ่ง หรือ ๕ ตันกับ ๕๙ กิโลครึ่ง ทองคำได้ที่ได้หลังจากการมอบเข้าคลังหลวงเมื่อวันที่ ๑๑ เมษา ๔๕ นี้ได้ ๒๒๑ กิโล ๒๔ บาท ๔๙ สตางค์ อันนี้ยังไม่ได้มอบนะ อยู่ข้างนอก เราจะมอบตอนธนาคารวันที่ ๑๐ ธันวา จะมอบทองคำอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ กิโล จึงว่ารวบรวมทองคำทั้งเงินสด ที่เข้าบัญชี เงินสดนี้หมายถึงเงินสดกฐิน เรารวมเข้าบัญชีๆ เสร็จแล้วจะถอนออกมาซื้อทองคำเข้าคลังหลวงทั้งนั้น กรุณาทราบตามนี้

กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น เวลานี้กฐินทองคำได้ ๓,๗๖๘ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๑๔ กิโล ๒๑ บาท ๒ สลึง ของทองคำนะ กฐินเงินสดและเช็คได้ ๑๑,๒๖๘ กองเท่ากับเงินสด ๑๘,๐๓๐,๔๐๐ บาท รวมกฐินทองคำทั้งหมดได้ ๑๕,๐๓๗ กอง ยังขาดอยู่อีก ๖๘,๙๖๓ กอง ในจำนวนกฐิน ๘๔,๐๐๐ กองนั้น กรุณาทราบตามนี้นะ เร่งเข้าไปทุกวัน หางกฐินเรามันยั้วเยี้ยๆ เวลานี้ ใครอยู่ที่ไหนตัดเข้ามานะ ให้มันหางขาด ยังเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน เรียกว่า ครบ ๘๔,๐๐๐ กอง เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ครบ ๘๔,๐๐๐ กอง เข้าใจไหม เอาละเท่านั้นละ



.............................................................

คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง