Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สมานทานศีลด้วยตนเอง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
wireless
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ย.2006, 6:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าจะสมานทานศีลด้วยตนเองต้องทำยังไงครับ
และหลังจากสมาทานศีลแล้วจะนั่งสมาธิด้วยครับ

ขอทราบขั้นตอนที่ถูกต้องด้วยครับ
แล้วถ้าเราทำผิดขั้นตอนหรือทำไม่ถูกพิธี จะเป็นบาปไหมครับ

ขอบคุณมากครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2006, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การสมาทานศีล

ความหมาย

ศีล แปลว่า ปกติของสิ่งต่างๆ อันเป็นสภาวธรรมที่มีที่เป็นกับสิ่งนั้นๆ เช่น ดวงอาทิตย์เป็นดวงไฟที่ร้อนและให้แสงสว่าง ความร้อนและความสว่างถือว่าเป็นสภาวะปกติของดวงอาทิตย์ถ้าดวงอาทิตย์ยังร้อน ยังให้แสงสว่างอยู่ ก็กล่าวได้ว่าดวงอาทิตย์ยังมีปกติยังรักษาปกติของตนไว้ได้ หากเมื่อใดดวงอาทิตย์เกิดไม่ร้อนหรือไม่ให้แสงสว่างขึ้นมา เราก็เรียกว่าดวงอาทิตย์ผิดปกติหรือเสียปกติไป


ปกติเป็นความหมายของศีลดังนี้

คนเราโดยทั่วไปก็มีปกติคือมีศีลประจำตัวอยู่ทุกคนแล้ว ปกติของคนคือไม่ฆ่ากัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ลักขโมยทรัพย์สินของกันและกัน ไม่ล่วงละเมิดในคู่ครองของกัน ไม่มักมากในกาเมประเวณี ไม่โกหกหลอกลวงกัน ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียผลประโยชน์ด้วยคำพูดของคน ไม่หลงลืมสติ ไม่ติดสิ่งเสพติดมึนเมาให้โทษทุกชนิดนี่คือปกติของคน หากผู้ใดเป็นคนเหี้ยมโหด ชอบทารุณ ชอบฆ่าคนอื่น ชอบลักขโมยทรัพย์สินของคนอื่น เป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าได้ทำผิดปกติของคนไป คือผิดไปจากคนธรรมดาปกตินั่นเอง ซึ่งการกระทำนั้นแม้ทางบ้านเมืองและสังคมตามปกติก็ไม่ยอมรับ ดังนั้น ศีลจึงหมายถึงสิ่งที่เป็นปกติวิสัยที่มีอยู่ประจำในทุกคนเป็นธรรมดา การสมาทานศีลก็คือการยอมรับว่าตัวเองมีปกติอย่างไร แล้วรักษาปกติของตนนั้นๆ ไว้ ไม่ให้ล่วงละเมิดปกติของตนโดยการรักษาปกติของกาย ปกติของปาก (วาจา) ให้แสดงออกในทางที่ถูกต้องคลองธรรม ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและผู้อื่นด้วยการล่วงละเมิดปกตินั้นๆ ของตน


จุดมุ่งหมายในการสมาทานศีล

การสมาทานศีล เรียกกันทั่วๆ ไปว่า การรับศีล ก็เพื่อปฏิญาณตนต่อหน้าพระผู้ให้ศีลและต่อตนเองว่าจะไม่ล่วงละเมิดข้อห้ามนั้นๆ จะรักษาปกติของตนไว้ เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นเป็นเบื้องต้น ด้วยมีความตั้งใจแน่วแน่ด้วยตนเองโดยไม่ต้องบังคับว่าจะงดเว้นจากความชั่วทุจริตผิดปกติของตน อันจะเกิดทางกาย ทางวาจาต่อไป เพราะผู้มีจิตใจสูงด้วยคุณธรรมมีความประพฤติเป็นปกติดีย่อมบรรลุคุณธรรมชั้นสูงต่อไปได้ง่าย อนึ่ง ในการทำบุญต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อจะให้ทาน จะมีพิธีรับศีลเสียก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้จิตใจได้รับการฟอกให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นเบื้องต้นด้วยเครื่องชำระคือศีล เพื่อให้กายวาจาอยู่ในระดับปกติธรรมดาเสียก่อน เพื่อให้สมควรเป็นที่รองรับคุณความดีอื่นๆ ต่อไป เหมือนช่างย้อมผ้า เมื่อจะย้อมผ้านั้นๆ เขาจะนำผ้ามาซักให้สะอาดเสียก่อนแล้วจึงลงมือย้อม ทั้งนี้เพื่อให้สีติดเนื้อผ้าได้สนิททนทาน ดังนั้น ก่อนที่จะทำบุญต่างๆ จึงต้องชำระใจให้บริสุทธิ์เสียก่อน เพื่อให้ใจบริสุทธิ์นั้นรับบุญที่ทำได้เต็มที่


อานิสงส์ของการสมาทานศีลก่อนให้ทาน

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนแนวทางแห่งการทำบุญให้ทานที่จะได้อานิสงส์มากแก่ผู้กระทำ สรุปใจความได้ว่า "การให้ทานควรเลือกให้ เลือกทั้งผู้ให้ สิ่งที่ให้ และผู้รับ ทานที่เลือกให้พระองค์ทรงสรรเสริญ และย่อมมีผลมีอานิสงส์มาก เหมือนชาวนาเลือกพันธ์ข้าวดีแล้วหว่านลงในนาดี ย่อมได้ผลมาก ฉะนั้น เมื่อผู้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้รับก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ทานของผู้นั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์มาก เพราะบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ให้หรือผู้รับมีศีลบริสุทธิ์ฝ่ายเดียว ทานนั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์ลดน้อยลงมา เพราะบริสุทธิ์เพียงฝ่ายเดียว เมื่อผู้ให้ก็ไม่บริสุทธิ์ ผู้รับก็ไม่บริสุทธิ์ ทานนั้นย่อมมีผลมีอานิสงส์น้อย เพราะทั้งสองฝ่ายไม่บริสุทธิ์" ดังนี้ ดังนั้น ในการทำบุญให้ทานทุกครั้ง ท่านจึงสอนให้รับศีลเสียก่อน เพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ทางกายวาจาใจ ทานที่ให้หรือบุญที่จะทำจะได้มีผลมีอานิสงส์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ท่านผู้ฉลาดในการทำบุญจึงได้ประสบผลบุญ ตามปรารถนาตลอดมา โดยเมื่อถึงคราวทำบุญก็ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ รักษาปกติกาย วาจาให้เรียบร้อยสมบูรณ์ โดยเวลารับศีลก็เต็มใจรับ รับด้วยความตั้งใจ เวลารักษาศีลก็เต็มใจตั้งใจรักษา ไม่ยอมให้ศีลด่างพร้อยด้วยประการต่างๆ โดยเฉพาะในขณะทำบุญ จะประคองศีลของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งทีเดียว


วิธีสมาทานศีล

การทำตนให้มีศีล โดยปกติมักเข้าใจว่าต้องไปรับกับพระเท่านั้นจึงจะใช้ได้ และจึงจะเป็นศีลถูกต้องมีอานิสงส์มาก ความจริงการรักษาศีลหรือทำตนให้มีศีลนั้นมีหลายวิธีด้วยกัน มีทั้งวิธีที่รับกับพระและไม่ได้รับกับพระ แต่จะเป็นวิธีไหนก็ตามล้วนมีผลมีอานิสงส์ทั้งสิ้น ในพระพุทธศาสนา ท่านสอนวิธีมีศีลไว้ ๓ แบบ คือ

๑. แบบสัมปัตตวิรัติ

แบบนี้ไม่ต้องรับจากพระ ไม่ต้องกล่าววาจาสมาทานใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เกิดมีสามัญสำนึกในการจากความชั่วทุจริตต่างๆ เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วยตนเอง แล้วเว้นจากการทำผิด เช่น มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆ ทองๆ พอที่จะยักยอกหรือฉ้อโกงเอามาได้ แต่ไม่ทำ ทั้งๆ ที่ทำได้ ทั้งนี้ เพราะมาคิดว่า การยักยอกฉ้อโกงนี้เป็นบาปทุจริต แม้ยักยอกเอาไปได้ เงินทองนี้อาจจะอำนวยประโยชน์และให้ความสุขได้จริง แต่เป็นความสุขที่เจือด้วยความทุกข์ เพราะต้องหวาดผวาระแวงภัยระวังตัวอยู่เสมอ กลัวเขาจะจับได้ เป็นต้น ทั้งยังจะทุกข์หนักยิ่งกว่าทุกข์เพราะไม่พอกินไม่พอใช้เสียอีก หรือมาคิดว่า การยักยอกฉ้อโกงเขา อย่างนี้เป็นสิ่งไม่เหมาะไม่ควรแก่ตน เราเป็นมนุษย์เป็นผู้มีใจสูงมีวัฒนธรรม เล่าเรียนมาก็สูง มาทำอย่างนี้จะเหมาะหรือถ้าเราทำ ระดับจิตใจของเราก็จะลดระดับต่ำลง ต่อไปจะได้ใจทำซ้ำอีก หนักเข้าก็จะชาชินกับความชั่วอย่างนี้ความเป็นมนุษย์ของเราก็จะลดระดับต่ำลงเรื่อยๆ ดังนี้เป็นต้น เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็เว้นจากการกระทำนั้นๆ ไม่ยอมทำตามใจปรารถนาที่เกิดขึ้นครั้งแรก ทั้งนี้เพราะมาเกิดสามัญสำนึกอายชั่วกลัวบาปขึ้นมาเอง อย่างนี้ก็เป็นศีลเหมือนกัน แม้การคิดงดเว้นจากการล่วงละเมิดศีลข้ออื่น ๆ นอกจากที่ยกตัวอย่างมานี้ด้วยตนเอง ก็จัดเป็นศีลแบบสัมปัตตวิรัติเช่นกัน ผู้มีศีลแบบนี้ เป็นผู้เอาตัวรอดจากความชั่วเฉพาะหน้าได้

๒. แบบสมาทานวิรัติ

แบบนี้เป็นแบบที่รับกับพระหรือจากผู้มีศีลอื่น คือต้องมีบุคคลอื่นเป็นสักขีพยานเสียก่อนจึงรักษาได้แบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป เรียกว่ารักษาศีลด้วยมีเจตนาตั้งใจรับด้วยการสมาทานจากผู้อื่น ผู้มีศีลแบบนี้อาจล่วงละเมิดศีลของตนได้ง่ายหากไม่มีผู้อื่นเห็น เพราะฉะนั้น จึงต้องระวังใจไม่ให้เผลออีกเหมือนกัน เพราะถ้าเผลอเมื่อไร จะล่วงละเมิดศีลข้อนั้นๆ ทำให้ศีลขาดหรือด่างพร้อยลงทันที วีธีฝึกรักษาศีลแบบนี้ เมื่อไม่อาจจะสมาทานจากพระทุกวันได้ จะสมาทานเองก็ได้เหมือนกัน โดยตั้งใจสมาทานเองทุกวันก่อนออกจากบ้านไปทำงาน หรือตอนเช้าๆ เมื่อตื่นนอน ด้วยการประนมมือเข้าหาพระพุทธรูปบูชาที่บ้านหรือในที่ทำงาน หรือหากแขวนพระแขวนเหรียญไว้ที่คอ ก็กำพระกำเหรียญนั้นขึ้นประนม พร้อมตั้งใจอธิษฐานว่า

ปาณาติปาตา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ฆ่าสัตว์
อะทินนาทานา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ลักทรัพย์
กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ประพฤติล่วงประเวณี
มุสาวาทา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่พูดเท็จ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี วันนี้ ข้าพเจ้า จะไม่ดื่มสุรายาเมาทุกชนิด

ทำเช่นนี้ก็ชื่อว่าได้ปฏิญญาว่าจะรักษาศีลแล้ว ต่อไปก็พยายามตั้งใจรักษาปฏิญญานั้นให้ดี ต้องนึกอยู่เสมอว่าตัวเองได้สมาทานศีลมาแล้ว

๓. แบบสมุจเฉทวิรัติ

แบบนี้เป็นแบบที่จะงดเว้นเองหรืองดเว้นเพราะสมาทานก็ได้ แต่สูงกว่าสองแบบแรกโดยมีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะงดเว้นจากบาปทุจริตต่างๆ โดยเด็ดขาด ตั้งใจรักษาศีลตลอดไป เรียกว่า "รักษาศีลตลอดชีพ" แบบนี้เป็นแบบที่เคร่งครัดมาก มีผลอานิสงส์มาก เพราะเป็นแบบของพระอริยะเจ้า ซึ่งคนเราสามารถจะดำเนินรอยตามได้ โดยวิธีตั้งใจงดเว้นทุกวันก่อนนอนหรือก่อนออกไปทำงานนอกบ้านว่า

ปาณาติปาตา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ฆ่าสัตว์ ตลอดชีวิต
อะทินนาทานา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ลักทรัพย์ ตลอดชีวิต
กาเมสุมิจฉารา เวระมะณี ข้า ฯ จะไม่ประพฤติล่วงประเวณี ตลอดชีวิต
มุสาวาทา เวระมะณี ข้า ฯ จะพูดเท็จ ตลอดชีวิต
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี ข้า ฯ จะดื่มสุรายาเมาทุกชนิด ตลอดชีวิต

ทั้ง ๓ แบบนี้ เป็นการทำตนให้มีศีลจากง่ายไปหายาก ผู้หวังความสุขความเจริญในชีวิต ก็อาจฝึกจากวิธีต้นไปหาวิธีปลายได้ และไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในเพศไหนวัยใด หากทำได้ ย่อมได้รับอานิสงส์เท่าเทียมกันหมด


อานิสงส์ของศีล

๑. โภคสมฺปทํ เป็นเหตุให้ได้ทรัพย์สมบัติ สามารถบริโภคใช้สอยทรัพย์ที่เกิดมีแก่ตนได้เต็มอิ่ม โดยไม่ต้องหวาดระแวงอะไร

๒. กลฺยาณกิตฺตึ เป็นเหตุให้มีชื่อเสียงดี มีเกียรติคุณฟุ้งขจรไปว่าเป็นคนไว้ใจได้ ทำให้มีอนาคตดี
เพราะได้รับความไว้วางใจในความประพฤติ

๓. สมุหวิสารหํ เป็นเหตุเป็นคนแกล้วกล้า อาจหาญ สง่าผ่าเผย ในเวลาเข้าสังคม

๔. อสมฺมุฬฺหํ เป็นเหตุให้เป็นคนไม่หลงลืมสติ ไม่หลงเพ้อดิ้นรนเวลาใกล้ตาย

๕. สุคติปรายนํ เป็นเหตุให้เข้าถึงสุคติภูมิ เมื่อตายไปแล้ว


การสมาทานศีลห้า

ศีลห้า จัดเป็นศีลพื้นฐานเบื้องต้นที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมทุกหมู่เหล่า เพราะเป็นการป้องกันความโหดเหี้ยม ความเห็นแก่ตัว ความมักมากในกาม ความไม่จริงใจต่อกัน และความเผลอสติมัวเมา มิให้เกิดขึ้นกับบุคคลในสังคมนั้นๆ ดังนั้น หากคนในสังคมต่างมีศีลห้าด้วยกันแล้ว ก็เป็นหลักประกันได้ว่าสังคมนั้นจะมีแต่ความสงบสุขอย่างแท้จริง สังคมจะอยู่ด้วยความรักความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และเป็นมิตรกันได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา และเพศพรรณ


วิธีรับหรือสมาทานศีลห้า

เมื่อต้องการสมาทานศีลห้าจากพระ พึงกล่าวคำอาราธนาก่อน ดังนี้

มยํ ภนฺเต วิสุง วิสุง รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม
ทุติยมฺปิ มยํ ภนฺเต วิสุง วิสุง รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม
ตติยมฺปื มยํ ภนฺเต วิสุง วิสุง รกฺขณตฺถาย ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม
(ถ้ารับเพียงคนเดียว เปลี่ยน มยํ เป็น อหํ เปลี่ยน ยาจาม เป็น ยาจามิ)

ต่อไปพึงว่าตามพระไปทีละตอนๆ โดยออกเสียงดังชัดเจนพอสมควร ดังนี้

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ หน)
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ต่อไปพระท่านจะว่า

"ติสรณคมนํ นิฏฺฐิตํ" ผู้รับไม่ต้องว่าตาม แต่เมื่อท่านว่าจบ พึงรับว่าอาม ภนฺเต
เท่านั้น แล้วพระท่านจะว่าต่อไป

๑. ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๒. อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ

ต่อจากนี้ไปพระท่านจะว่าสรูปศีลว่า

อิมานิ ปญฺจ สิกฺขาปทานิ.
สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา
สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย ฯ

ในขณะที่พระกำลังว่าสรุปศีลนี้ ผู้รับพึงกล่าวเบาๆ พอได้ยินคนเดียวว่า
อิมานิ ปญฺจ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ ๓ หน เป็นการให้ปฏิญาณว่าจะสมาทานรักษาศีล ๕
นี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ต่อไป เมื่อจบแล้วพึงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง เป็นเสร็จพิธีการสมาทานศีลห้า ฯ


http://www.chondaen.net/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
สติสัมปันน์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ธ.ค.2006, 8:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สามารถที่สมาทานศีลเองได้ครับเรื่องนี้ไม่มีข้อบังคับว่าต้องรับกับพระจากปรากฏเรื่องราวที่มีในพระไตรปิฎกพวกอุบาสกที่อยู่ไกลจาพระ ท่านก็ถือการสมาทานเองครับไม่ต้องมีองค์พยานในการถือศีลของเราครับเพราะศาสนาเราถือเอาจิตใจและเจตนาเป็นตัวค้ำประกันตัวเองครับไม่ต้องมีพยาน เริ่มจากการที่คุณว่างจากภารกิจทั้งปวงแล้วชำระร่างกายให้สะอาด อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปแล้วก็กราบพระไปตามปกติ เมื่อกราบพระแล้วก็เริ่มการสมาทานศีลครับโดยอธิฐานครับว่า ณ.กาลบัดนี้ข้าพเจ้าขอสมาทานองค์ศีล๕อันพระพุทธเจ้าได้ทรงพระกรุณาประทานไว้ ณ.บัดนี้ ข้าพระเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ว้นระลึกข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึงที่ระลึก แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพระพุทธเจ้าเป้ฯที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป้ฯที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป้ฯที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก ข้าพเจ้า ขอสมาทานศีลอันมีองค์๕ประการคืองดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่อนุญาติด้วยการการแหงขโมย งดเว้นจากการล่วงละเมิดจากการประพฤติผิด มิควรในบุตรภรรยาของผู้อื่น งดเว้นจาการพูดจาอันเป็นวจีทุจริต งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งของความประมาท ด้วยอานิสงส์ของการสมาทานประพฤติศีลนี้ ขอให้ข้าพเจ้าถึงสุคติภพที่ดีในเบื่องหน้า ถึงพร้อมด้วยโภคสมบัติ และถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ การนั่งสมาธิถ้าประสงค์จะนั่งเพื่อให้ใจสงบเพียงชั่วระยะนึงนั้นไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าจะนั่งกันจริงๆจังควรหาโอกาสไปสำนักปฎิบัติที่ตรงทาง ถ้านั่งเพื่อสงบจิตใจก็ไม่ยุ่งยาก เพียงน้อมใจให้หมดความวุ่นวายชั่วระยะนึงแล้วกล่าวคำอธิฐานดังนี้ ณ.กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าขอสมาทานพระกัมมัฎฐาน ขอพระขณิกะสมาธิ อุปจาระสมาธิ อัปปันนาสมาธิ และวิปัสสนาญาน ของบังเกิดมีในขันธสันดานของข้าพเจ้า ตามกรรมปุปนิสัยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตั้งสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกลมหายใจเข้าก็กำหนดรู้ ลมหายใจออกก็กำหนดรู้ สามหนหรือเจ็ดหน ร้อยหนหรือพันหน ด้วยความไม่ประมาท......อะหังสุขิโตโหมิ อะหังนิทุกโข โหมิ อะหัง อะเวโร โหมิ อะหัง อัพพะยาปัชโช โหมิ สุขีอัตตานัง ปริหะรามิขอข้าพเจ้าจงมีสุข ขอข้าพเจ้าหมดจากทุกข์ ขอข้าพเข้าไม่พยาบาทเบียนเบียนตนเองและผู้อื่น ขอสุขทั้งหลายจงถึงซึ่งข้าพเจ้าเทอญ สัพเพสัตตา อะเวรา โหตุอัพพะยาปัชชา อนีฆา โหตุ สุขีอัตตานัง ปริหะรันตุ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อย้าได้อาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุข์ภัยทั้งสิ้นเถิด...........จากนั่นก็นั่งกัมมัฎฐานตามสมควร จะภาวนาอะไรก็ได้ ตามแต่ถนัด ตามสมควรแก่เวลา ก็แผ่เมตตาอีกที กราบพระทำภาระกิจอื่นต่อไป ไม่ต้องกลัวบาปครับ ถ้าเราไม่เจตนาจะทำผิด ค่อยๆทำและศึกษาไป จะค่อยรู้เองว่าอย่างไรผิด อย่างไรถูกที่ผมบอกนี้เป็นเบื้องต้นครับ สาธุ
 
niwat
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2007
ตอบ: 13

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ค.2008, 3:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพิ่มเติมหน่อยครับ ถ้าหากสมาทานศีลคนเดียว ให้เปลี่ยนจาก มะยัง ภันเต เป็น อะหัง ภันเต และก็ ยาจามะ เป็น ยาจามิ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง