Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
เจตนา (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2006, 2:40 am
เจตนา
โดย หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ)
ต.หนองสูงใต้ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นไปตามเจตนาของตน
เจตนาเป็นแม่เหล็กดึงดูดสำคัญมาก เจตนาว่าโดยย่อก็มีสองจำพวก
จำพวกที่ต้องการพ้นทุกข์ในสงสารโดยแท้ย่อมเป็นโลกุตระเจตนา
เจตนานั้นเล่าไม่มีท่านผู้ใดจะรับรองเจตนาได้
จะเท็จจริงประการใดก็ต้องเอาเจ้าตัวเป็นพยาน
เว้นไว้แต่พระอรหันต์ที่ทรงเจโตปริยะญาณเท่านั้น
จะรู้จักเจตนาของท่านผู้อื่นได้โดยชัดแจ้ง
เหลือนอกนั้นคาดคะเนเดาด้นผิดๆ ถูกๆ ทั้งนั้น
และก็เดาผิดและด้นผิดนั้นแหละเป็นส่วนมากนัก
ถึงแม้ว่าจะเจตนาพ้นทุกข์ในสงสารโดยจริงจังก็ดี แต่ทว่าปฏิบัติผิดก็เนิ่นช้าอีก
ถึงจะขยันหมั่นเพียรสักเพียงไรก็ตาม ถ้าปฏิปทาไปทางผิดแล้วก็ไม่คุ้มค่า
ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้โดยง่าย เช่นการเจริญกรรมะฐานไม่ถูกกับจริตเป็นต้น
และข้อวัตรต่างๆ บกพร่อง หรือขาดพระอาจารย์ที่ปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบแนะนำ
หรือขาดกัลยามิตรสหายที่ดีปลุกจิตใจให้ และสถานที่ไม่อำนวยอัตคัดฝืดเคืองเกินไป
หรูหราเกลื่อนกล่นเกินไปไม่วิเวกวังเวงคลุกคลี
จะอย่างไรก็ตาม เมื่อผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยแท้แล้ว
สิ่งที่ขัดข้องภายนอกแล้ว ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยไป
เพราะจะช้าหรือเร็วก็ไม่มีการถอยหลังเสียแล้ว หนักก็เอาเบาก็สู้ สู้ทั้งนั้น
เพราะตีความหมายว่าสู้กับกิเลสของตน กิเลสนั้นมันชวนสู้ในสิ่งที่ไม่ควรสู้
มันชวนถอยในสิ่งที่ไม่ควรถอย มันมีมายามากกว่าล้านๆ นัยยะ
แต่ก็เหลือวิสัยของสติปัญญาไปไม่ได้
ที่ว่าบาปไม่ชนะบุญนั้น เป็นของจริงผูกขาดอยู่แต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ไม่ต้องสงสัย
เจตนาโลกุตระชนะเจตนาโลกีย์ไปไม่ขบถคืน ปัญหาของโลกีย์จะรวมพลมาจากไหน
ก่อนจะเลื่อมใสในโลกุตระเล่าก็มิใช่ตื่นข่าว เป็นอจละศรัทธาอยู่ในตัวแล้ว
เห็นภัยเกิดแก่เจ็บตายวิโยคพลัดพราก
จิปาถะสารพัดฝังใจอยู่มิได้คุ้นเชื่องพอที่จะลืมใจลืมธรรมลืมตัวตนอะไรเลย
ความเพลินในโลกใดๆ ก็ผยองไม่ขึ้น
เป็นตัวศีลสมาธิปัญญากลมกลืนเป็นกองทัพธรรมสามัคคีอยู่
ไม่ได้แตกแยกกันไปเข้าตู้เข้าหีบภายนอกที่ไหน ยิ่งสำเหนียกพิจารณาติดต่อเนืองๆ
สติปัญญาก็สูงขึ้น ฝนตกอยู่บ่อยๆ แผ่นดินก็ชุ่มน้ำก็ขังขึ้นขังขึ้น
ภาชนะไม่รั่ว หงายรับฝน ทนไม่ได้ก็ต้องเต็มด้วยน้ำ
พิจารณาไตรลักษณ์เห็นประจักษ์แจ้งพร้อมลมออกเข้าอยู่
พร้อมด้วยอู่สติปัญญาไม่สุ่มเดาคาดคะเนไม่เรียงแบบ
เห็นแยบคายกลมกลืนกันในปัจจุบันของธรรมและจิตติดต่ออยู่
ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง เป็นพลังจิตพลังธรรมแน่นหนามั่นคง
ตัวหลงๆ เหลงๆ อวิชชาตัณหาอุปาทานเป็นต้น มันจะขี่ช้างสูบบุหรี่
ถือขอถือง้าวมาจากทิศไหนอีกเล่า
ขอแต่ว่าเชื่อธรรม เชื่อวินัย เชื่อจิต เชื่อใจ เชื่อสติ เชื่อปัญญาตอนนี้ให้พออย่าได้ส่งส่าย
ความหน่าย ความคลาย ความหลุด ความพ้นไม่ต้องร้องเรียกหาก็ได้ ฯ
(มีต่อ)
ปุ๋ย
บัวเงิน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2006, 2:44 am
ย้อนหลังคืนมาปรารภจำพวกผู้ที่อุปสมบทหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนามา
แต่มิได้มีเจตนาพ้นทุกข์โดยด่วนในปัจจุบันชาติ เพราะเหตุใดหนอ
เพราะเหตุว่าบารมีในชาติก่อนยังอ่อนอยู่มากนัก
ไม่สามารถจะหนุนในปัจจุบันชาติให้แข็งแกร่งแก่กล้าได้
ก็ต้องจำเป็นยินดีในม้าก้านกล้วยอยู่นั้นเอง เจตนาและความหวังพอเป็นนิสสัย
พอใจเลื่อมใสในอนาคตตะกาล อนาคตตะกาลเบื้องหน้านั้นเทอญ ดังนี้เสมอๆ
แต่ก็ยังดีกว่าท่านผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาลัทธิถือว่าไม่มีบาปไม่มีบุญอันหาประมาณมิได้
และยังดีกว่าท่านผู้เคารพนับถือนอกจากศาสนาพุทธไปอักโขอีก
เรื่องท่านผู้อื่นเอามาฝืนปรารภไว้
ไฉนจึงเอาเรื่องจำพวกท่านผู้อื่นมาปรารภไว้
จะไม่เป็นอวดดียกตนข่มท่านดอกหรือประการใดล่ะ
คำว่าธรรมก็ต้องยกอุทธาหรณ์กล่าวทั่วไปบ้าง
เราไม่ออกชื่อพรรคพวกบุคคลเป็นการไม่กระเทือนเลย
แม้ถึงอย่างนั้นเรื่องดีเรื่องชั่วก็มีทั่วไปในคำสอนของพระพุทธศาสนา
ประวัติที่ดีเด่นก็ประวัติพระอริยะ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น
เรื่องที่เลวทรามก็มีเรื่องพระเทวทัตเป็นต้น ฯ พระปุคคละปัญญัติ
ก็กล่าวถึงจำพวกบุคคลทั่วไป เรียกว่ากล่าวตามเป็นจริงมิได้ดูหมิ่นกล่าวเท็จ
เพราะทางใดดีท่านผู้ต้องการดีจะได้พยายามปฏิบัติเอา ถ้าจะปรารภอันใดที่ดีไม่ได้
เกรงจะผิดใจแต่ผู้ชอบชั่ว คนดีก็สืบโลกไปไม่ได้
คนชั่วบางรายก็ถอนตัวมาเป็นคนดีได้ เพราะเห็นโทษในชั่วของตน
คนชั่วก็มาจากคนดีเพราะดียังไม่แน่นอน ไม่เหมือนพระโสดาบัน
พระโสดาบันดีไปไม่ถอยหลังจนถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ
โลกีย์ดีโลกีย์ชั่วเป็นของไม่แน่นอน
หมุนเวียนเปลี่ยนไปมาสาละวนอยู่บรรดาท่านผู้เข้าสู่อนุปาทิเสสะนิพพานไปแล้ว
ก็ไปจากชั่วมาจากชั่วทั้งนั้น พระเทวทัต ก็จะพ้นจากชั่วแล้ว
จะไปพระปัจเจกในอนาคต ฯ
ที่กล่าวว่าพระอรหันต์ไม่มีบาปไม่มีบุญนั้นเป็นของจริงแท้ เพราะเหตุว่า พระอรหันต์นั้นสร้างบุญเต็มแล้ว จะเอาบุญไปเทใส่จิตใจขององค์ท่านก็ไหลทิ้งเพราะเต็มแล้วและองค์ท่านก็เว้นบาปพอแล้ว
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องควรเข้าใจให้ชัดทั้งนั้น
มิฉะนั้นแล้วจะทำตนให้เป็นสุขก่อนห่ามจะเลยเถิดแต่กิเลสความเดือดร้อนทางใจยังเป็นฟืนไฟ
เผาขันธสันดานอยู่
แล้วฟิตตัวเองให้อยู่เหนือบาป เหนือบุญแบบดื้อๆ บุญสร้างยังไม่พอ
บาปก็เว้นหรือละยังไม่พอ ก็ย่อมอยู่เหนือบาปบุญยังไม่ได้
พระอรหันต์ประเภทใดๆ ก็ตาม ไม่มีขณะใจใดจะเดือดร้อนใจเท่าเม็ดงาขาริ้นเลย
เพราะมารเดือดมารร้อนตามไม่ถึงใจพระอรหันต์
พระอรหันต์ทอดบังสุกุลความเดือดร้อนทางจิตใจแล้วด้วยพระปัญญาญาณอันถ่องแท้
เป็นสัมมาญาณะแท้ไม่ปลอมแปลง เป็นสัมมาวิวุติแท้ ไม่มัดใจให้เดือดร้อน
ท่านผู้ต้องการให้เหือดแห้งจากทะเลหลง
ต้องพิจารณาวิปัสสนาอยู่แบบบรรจงไม่ลดละได้
สมาธิล้วนๆ นั้นไซร้พักอยู่ได้เป็นบางครั้งบางคราว หมดกำลังแล้วก็ถอนออกมา
เพราะอยู่ใต้อำนาจอนิจจะตาอันละเอียด หัดให้รู้ทุกกระเบียดแห่งอานิสงส์
ไม่ยืนยงคงถาวรถ้านอนใจ จิตติดสมาธิมากไม่อยากจะพอใจพิจารณาสังขาร
นิพพิทาญาณก็ไม่เปิดประตู เพราะมัวแต่สำคัญว่าดูเราสงบได้
ใจชนิดนั้นธรรมชนิดนั้นเป็นขั้นพระพรหมโลก ยังมิได้ข้ามโอฆะแห่งโลกสงสาร
ตัวอุปาทานยังติดต้อยห้อยดูอยู่ เพราะไม่มีการต่อสู้นิ่งอยู่ในหลุมเพาะ
ทางที่เหมาะอย่าได้พักในสมาธินาน เปรียบเหมือนคนทำงานเมื่อพักอยู่นาน
งานก็นานเสร็จสิ้น เมื่อไม่พักเสียเลยก็ไม่ได้กำลัง จงระวังอย่าให้เนิ่นช้า
มุงเรือนยังไม่ทันเสร็จนั้นนา เมื่อฝนตกชุกมาก็หอบผ้าตะลีตะลานหาที่กำบังอนิจจังฯ
......................................................
คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 07 พ.ย.2006, 8:26 am
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th