Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระราธเถระ (เอตทัคคะ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.ย. 2006, 10:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระราธเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง


การที่ท่านพระราธเถระ ท่านนี้ได้รับการสถาปนาจากพระบรมศาสดาให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นเลิศกว่าเหล่าภิกษุสาวกทั้งหลายผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง นั้นก็เนื่องด้วยเหตุ ๒ ประการคือ โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ คือพระมหาสาวกองค์นั้น ได้แสดงความสามารถออกมาให้ปรากฏในเรื่องการเป็นผู้มีปฏิภาณแจ่มแจ้ง และอีกเหตุหนึ่งก็คือเนื่องด้วยท่านได้ตั้งความปรารถนาในตำแหน่งนั้นตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังนี้


๐ บุรพกรรมในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า

นับจากภัทรกัปนี้ถอยไปแสนกัป พระพิชิตมารพระนามว่า ปทุมุตระ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ท่านได้มาเกิดเป็นพราหมณ์ชาวพระนครหงสวดี ครั้นเติบใหญ่ ได้เล่าเรียนจนจบไตรเพทแล้ว วันหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในพระวิหาร ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีปฏิภาณ แล้วได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ครั้งนั้นท่านได้บำเพ็ญมหาทาน และได้ทำการสักการบูชาแด่พระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์อย่างโอฬาร แล้วหมอบศีรษะลงแทบพระบาท กราบทูลตั้งความปรารถนาจะตั้งอยู่ในฐานันดรเช่นภิกษุรูปนั้นบ้างในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคต

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านว่า ท่านจงเป็นผู้มีความสุขมีอายุยืนเถิด ปณิธานความปรารถนาของท่านจงสำเร็จเถิด สักการะที่ท่านทำในเรากับพระสงฆ์ ก็จงมีผลไพบูลย์ยิ่งเถิด

ในกัปที่แสนนับจากกัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดมซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้ จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้นเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามชื่อว่าราธะ พระนายกจักทรงแต่งตั้งท่านว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ

ท่านได้สดับพุทธพยากรณ์นั้นแล้วก็ยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตาบำรุงพระพิชิตมารในกาลนั้นตลอดชีวิต เพราะท่านเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญา และด้วยกรรมที่ท่านได้ทำไว้ดี แล้วนั้น อีกทั้งด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เมื่อท่านละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ เพราะกรรมนั้นนำไปท่านจึงเป็นผู้ถึงความสุขในทุกภพ


๐ บุรพกรรมในสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า

ในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ท่านก็มีโอกาสได้ทำกุศลแด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นโดยวันหนึ่ง ท่านเห็นพระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตอยู่ในถนน ก็บังเกิดมีมีใจเลื่อมใส จึงได้ถวายผลมะม่วงอันมีรสหวาน แด่พระผู้มีพระภาค.ด้วยบุญกรรมนั้น เมื่อท่านละร่างมนุษย์แล้ว ท่านจึงไปบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว เวียนไปมาอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย


๐ กำเนิดเป็นราธพราหมณ์ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ครั้งพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ ที่ยากจนขาดเครื่องนุ่งห่ม และอาหาร ในกรุงราชคฤห์ บิดามารดาขนานนาม ว่าราธมาณพ เจริญวัยแล้ว อยู่ครองเรือน ครั้งหนึ่งท่านได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่ท่านพระสารีบุตร ต่อมาในเวลาแก่ตัวลง ถูกลูกเมียลบหลู่ เขาคิดว่าเราเป็นผู้ที่ลูกเมียไม่ต้องการ เราจักเลี้ยงชีพอยู่ในสำนักของภิกษุทั้งหลาย แล้วไปสู่วิหาร ดายหญ้า กวาดบริเวณวัด ถวายวัตถุมีน้ำล้างหน้าเป็นต้น อยู่ในวัดแล้ว แม้ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นก็ได้สงเคราะห์เธอแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ปรารถนาจะให้บวช ด้วยเห็นว่า เป็นคนแก่ เป็นพราหมณ์แก่เฒ่า ไม่สามารถจะบำเพ็ญวัตรปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นครั้งนั้น ท่านผู้เป็นคนยากเข็ญจึงเป็นผู้มีผิวพรรณเศร้าหมอง


๐ ราธพราหมณ์มีอุปนิสัยพระอรหัต

ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์นั้นในพระญาณแล้ว ทรงเห็น อุปนิสสยสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัยแห่งพระอรหันต์ของท่าน ครั้นในเวลาเย็นจึงเสด็จเที่ยวจาริกไปในบริเวณวัด เสด็จไปสู่ที่อยู่ของ พราหมณ์แล้วตรัสถามว่า พราหมณ์ เธอเที่ยวทำอะไรอยู่ ? ท่านกราบทูลว่า ข้าพระองค์ทำวัตรปฏิบัติแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ พระเจ้าข้า

พระศาสดา เธอได้การสงเคราะห์จากสำนักของภิกษุเหล่านั้น หรือ ?

พราหมณ์ ได้พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้แต่เพียงอาหาร แต่ท่านไม่ให้ข้าพระองค์บวช ด้วยเห็นว่าข้าพระองค์แก่แล้ว


๐ พระสารีบุตรเป็นผู้กตัญญูกตเวที

พระศาสดารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสถามความนั้นแล้ว จากนั้นทรงถามว่า ภิกษุทั้งหลาย มีใครๆ ระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้ได้ มีอยู่บ้างหรือ ? พระสารีบุตรเถระกราบทูลว่า ข้าพระองค์ระลึกได้ เมื่อข้าพระองค์เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ พราหมณ์นี้ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง แก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกถึงคุณของพราหมณ์นี้ได้ เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดีละๆ สารีบุตร เธอเป็นคนกตัญญู เธอจงบวชให้พราหมณ์นี้ พราหมณ์นี้ต่อไปจักเป็นผู้ควรบูชา

ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงให้ ราธพราหมณ์บรรพชาแล้วให้อุปสมบทอีก โดยวิธีที่เรียกว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา โดยทรงประกาศยกเลิกการอุปสมบทด้วยวิธีไตรสรณคมน์ ที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้แต่เดิมแล้ว ทรงกำหนดวิธีโดยให้ภิกษุประชุมให้ครบองค์กำหนด ในเขตชุมนุมซึ่งเรียกว่า สีมา กล่าววาจาประกาศเรื่องความที่จะรับคนผู้จะบวชนั้นเข้าหมู่ โดยความยินยอมของภิกษุทั้งปวงผู้เข้าประชุมเป็นสงฆ์นั้น ในครั้งนั้นพระสารีบุตรเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรก และพระราธะเป็นภิกษุผู้ได้รับการอุปสมบทด้วยวิธีนี้เป็นรูปแรก และการอุปสมบทด้วยวิธีญัตติจตุตถกรรมนี้ได้ถือปฏิบัติสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน


๐ พราหมณ์บวชแล้วเป็นคนว่าง่าย

เมื่อท่านพระสารีบุตรเถระบวชให้ราธพราหมณ์แล้ว ท่านก็คิดว่า พระศาสดาทรงให้พราหมณ์ผู้นี้บวชด้วยความเอื้อเฟื้อ ไม่สมควรดูแลพราหมณ์ผู้นี้ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ จึงพาพระราธเถระไปอยู่ที่ใกล้หมู่บ้าน

ณ ที่นั้น เนื่องจากท่านเป็นพระบวชใหม่ ท่านจึงไม่ค่อยได้รับบิณฑบาต ท่านพระสารีบุตรเห็นดังนั้น จึงให้พระราธะนั้นเป็นปัจฉาสมณะ (ภิกษุผู้ติดตาม) ของท่าน พระสารีบุตรเถระได้ให้ที่อยู่ที่ท่านได้แม้เป็นที่ดีเลิศ ให้บิณฑบาตอันประณีตที่ท่านได้ แก่พระราธะนั้น ในเวลานั้นท่านพระราธเถระได้เสนาสนะอันสบาย และโภชนะอันประณีต

พระสารีบุตรเถระพาท่านหลีกไปสู่ที่จาริกแล้ว กล่าวพร่ำสอนท่านเนืองๆ ว่า “สิ่งนี้ คุณควรทำ สิ่งนี้ คุณไม่ควรทำ” เป็นต้น ท่านราธเถระได้เป็นผู้ว่าง่าย มีปกติรับเอาโอวาทโดยเคารพแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อท่านปฏิบัติตามคำที่พระเถระพร่ำสอนอยู่ รับกรรมฐานในสำนักท่านเถระ


๐ พระเถระบรรลุพระอรหัต

วันหนึ่งท่านพระราธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุคคลรู้เห็นอย่างไรจึงจะไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้ และในสรรพนิมิตภายนอก

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ราธะ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้

อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง อย่างนี้ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวของเรา

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง สังขาร เหล่าใดเหล่าหนึ่ง วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือใกล้

อริยสาวก ย่อมพิจารณาเห็นวิญญาณทั้งหมดนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ดูกรราธะ บุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล จึงไม่มีอหังการ มมังการ และมานานุสัย ในกายที่มีวิญญาณนี้และในสรรพนิมิตภายนอก ฯลฯ


ท่านพระราธะพิจารณาตามธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสสั่งสอน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

ต่อมาพระเถระจึงพาท่านไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกะท่านแล้ว ตรัสว่า “สารีบุตร ศิษย์ของเธอเป็นผู้ว่าง่ายแลหรือ ?”

พระเถระ อย่างนั้น พระเจ้าข้า เธอเป็นผู้ว่าง่ายเหลือเกิน เมื่อโทษไรๆ ที่ข้าพระองค์แม้กล่าวสอนอยู่ ไม่เคยโกรธเลย

พระศาสดา สารีบุตร เธอเมื่อได้ศิษย์เช่นนี้ จะพึงรับศิษย์ได้ประมาณเท่าไร ?

พระเถระ ข้าพระองค์พึงรับได้มากทีเดียว พระเจ้าข้า


๐ พวกภิกษุสรรเสริญพระสารีบุตรและพระราธะ

ภายหลังวันหนึ่ง พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า ได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระเป็นผู้กตัญญูกตเวที ระลึกถึงผู้อุปการะแม้เพียงภิกษาทัพพีหนึ่ง ท่านก็บวชให้พราหมณ์ผู้ตกยากนั้นแล้ว แม้พระราธเถระเองก็เป็นผู้อดทนต่อโอวาท ท่านย่อมเป็นผู้ควรแก่การให้โอวาทเหมือนกันแล้ว


๐ ภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายอย่างพระราธะ

พระศาสดาทรงปรารภพระราธเถระ ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาภิกษุควรเป็นผู้ว่าง่ายเหมือนราธะ แม้อาจารย์ชี้โทษกล่าวสอนอยู่ ก็ไม่ควรโกรธ อนึ่ง ควรเห็นบุคคลผู้ให้โอวาท เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ให้ฉะนั้น” ดังนี้ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า

บุคคลพึงเห็นผู้มีปัญญาใด ซึ่งเป็นผู้กล่าวนิคคหะ ชี้โทษ ว่าเป็นเหมือนผู้บอกขุมทรัพย์ให้
พึงคบผู้มีปัญญาเช่นนั้น ซึ่งเป็นบัณฑิต (เพราะว่า)
เมื่อคบท่านผู้เช่นนั้น มีแต่คุณอย่างประเสริฐ ไม่มีโทษที่ลามก



๐ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ

เมื่อท่านได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะ เนื่องเพราะท่านเป็นผู้เพลิดเพลิน เที่ยววนเวียนไปมาอยู่ในสำนักของพระบรมศาสดาสดับพระพุทธดำรัสโดยเคารพ อันเป็นเหตุให้มีความเข้าใจพระธรรมเทศนาของพระศาสดาอย่างแจ่มแจ้ง แท้จริง พระธรรม เทศนาใหม่ๆ ของพระทศพล อาศัยความปรากฏขึ้นแห่งปฏิภาณอันแจ่มแจ้งของพระเถระ อันเป็นเหตุให้ท่านแสดงซ้ำซึ่งพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ทันที ฉะนั้น ต่อมา พระศาสดาเมื่อกำลังทรง สถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ในตำแหน่งทั้งหลายตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระราธเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่า ภิกษุสาวกผู้ประกอบด้วยปฏิภาณ แล


๐ พระเถระเป็นพระอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคและพระสารีบุตร

ท่านได้เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ระยะหนึ่ง ในสมัย ๒๐ ปีแรก ต้นพุทธกาล เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีพระอุปัฏฐากประจำ บางคราว พระนาคสมาละถือบาตรและจีวรตามเสด็จ บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ.บางคราวพระสุนักขัตตะ บางคราวจุนทสมณเทส บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระเมฆิยะ

พระอรรถกถาจารย์ได้เล่าถึงความไม่เหมาะสมของพระอุปัฏฐากบางองค์ ซึ่งเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ทรงปรารภพุทธอุปัฏฐากประจำ ซึ่งต่อมาก็คือพระอานนท์เถระ ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากต่อมาจนตลอดพระชนม์ชีพ ไว้ดังนี้

บรรดาพระอุปัฏฐากไม่ประจำเหล่านั้น ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเดินทางไกลกับพระนาคสมาลเถระ ถึงทางสองแพร่ง พระเถระลงจากทางทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปทางนี้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า มาเถิดภิกษุ เราจะไปกันทางนี้ พระเถระทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงถือทางพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะไปทางนี้ แล้วเริ่มจะวางบาตรจีวรลง ที่พื้นดิน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เอามาสิภิกษุ ทรงรับบาตรจีวรแล้วเสด็จดำเนินไป

เมื่อภิกษุรูปนั้นเดินทางไปตามลำพัง พวกโจรก็ชิงบาตรจีวรและตีศีรษะแตก ท่านคิดว่า บัดนี้ก็มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งของเราได้ ไม่มีผู้อื่นเลย แล้วมายังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งที่โลหิตไหล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า นี่อะไรกันล่ะภิกษุ ก็ทูลเรื่องราวถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปลอบว่า อย่าคิดเลย ภิกษุ เราห้ามเธอ ก็เพราะเหตุอันนั้นนั่นแหละ

อนึ่ง ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังบ้านชันตุคาม ใกล้ปาจีนวังสมฤคทายวัน กับพระเมฆิยเถระ แม้ในที่นั้น พระเมฆิยะเที่ยวบิณฑบาตไปในชันตุคาม พบสวนมะม่วงน่าเลื่อมใส ริมฝั่งแม่น้ำ ก็ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระองค์โปรดรับบาตรจีวรของพระองค์เถิด ข้าพระองค์จะทำสมณธรรม ที่ป่ามะม่วงนั้น แม้ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามสามครั้งก็ยังไป ถูกอกุศลวิตกเข้าครอบงำ ก็กลับมาทูลเรื่องราวถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านว่า เรากำหนดถึงเหตุของเธออันนี้แหละ จึงห้าม แล้วเสด็จดำเนินไปยังกรุงสาวัตถีตามลำดับ



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
http://www.manager.co.th/Dhamma/
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง