Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นางสามาวดี (อุบาสิกา-เอตทัคคะ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2006, 7:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

นางสามาวดี
เอตทัคคะในทางผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา


พระนางสามาวดีอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน ดังที่พระศาสดาทรงนำเรื่องที่พระนางแผ่เมตตา ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้ เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้


๐ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต

ได้ยินว่า ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมตตระ ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมาคิดว่าจักฟังธรรมกถาของพระศาสดา จึงไปยังวิหาร นางสามาวดีเห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาอริยสาวิกาผู้อยู่ด้วยเมตตา จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น บ้าง

นางทำกุศลจนตลอดชีวิต เมื่อตายลงก็ไปบังเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ นั่นแล เวลาก็ล่วงไปถึงแสนกัป


๐ เรื่องโฆษกเศรษฐี

ครั้งนั้น ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด เกิดอหิวาตกโรคขึ้นใน แคว้นอัลลกัปปะ ในเรือนหลังหนึ่งๆ คน ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้าง ก็ตายพร้อมๆ กันนั่นแหละ ส่วนผู้คนที่ไปนอกแคว้น ก็รอดชีวิต บุรุษผู้หนึ่งรู้เรื่องนั้นแล้วก็พาบุตรภริยาของตนไปนอกแคว้นนั้น ด้วยหมายจะไปแคว้นอื่น

คราวนั้นเสบียงเดินทางที่เอามาในเรือนของบุรุษนั้นยังไม่ทันข้ามทางกันดารในระหว่างทางก็หมดสิ้นไป เรี่ยวแรงร่างกายของพวกเขาก็ลดลง มารดาอุ้มบุตรไปได้ประเดี๋ยวหนึ่ง บิดาก็อุ้มบุตรไปได้ประเดี๋ยวหนึ่ง ครั้งนั้น บิดาของบุตรนั้นจึงคิดว่า เรี่ยวแรงร่างกายของพวกเขาก็ลดลงแล้ว จะแบกบุตรเดินไปคงไม่อาจข้ามทางกันดารไปได้ บุรุษนั้นไม่ให้ภรรยารู้ ให้บุตรนั่งลง ตนเองทำเป็นเหมือนจะไปหาน้ำ แล้วก็เดินหนีไปลำพังคนเดียว

คราวนั้นภริยาของเขานั้นยืนคอยเขามาไม่เห็นบุตรในมือก็ร้องกล่าวว่า บุตรฉันไปไหนล่ะนาย เขาพูดปลอบว่า เจ้าต้องการบุตรไปทำไม เรายังมีชีวิตอยู่จักได้บุตรเอง นางกล่าวว่า ชายผู้นี้ใจร้ายนักหนอ แล้วกล่าวว่า ท่านไปเถิด ฉันไม่ไปกับท่านดอก เขากล่าวว่า แม่นางจ๋า ฉันไม่ทันใคร่ครวญได้ทำไปแล้ว จงยกโทษข้อนั้นแก่ฉันเสียเถิด แล้วก็ไปรับบุตรกลับมา คนเหล่านั้นข้ามทางกันดารนั้นแล้ว เวลาเย็นก็ถึงบ้านคนเลี้ยงโคตำบลหนึ่ง

วันนั้น พวกบ้านคนเลี้ยงโค หุงปายาสไม่มีน้ำ เห็นคนเหล่านั้น ก็คิดว่า คนเหล่านี้คงหิวจัด จึงเอาปายาสใส่เต็มภาชนะใหญ่ ราดเนยเต็มกระบวยให้ไป เมื่อคนเหล่านั้นบริโภคข้าวปายาสนั้น สตรีนั้นก็บริโภคพอประมาณ ส่วนบุรุษบริโภคเกินประมาณ ไม่อาจให้ไฟธาตุย่อยได้ ก็ทำกาละเสียในเวลาหลังเที่ยงคืน เขาเมื่อทำกาละ เพราะยังมีความอาลัย ในคนเหล่านั้น จึงถือปฏิสนธิในท้องนางสุนัขในเรือนของพวกคนเลี้ยง โค ไม่นานนัก นางสุนัขก็ออกลูก คนเลี้ยงโคเห็นสุนัขนั้น มีลักษณะสง่างามก็ปรนเปรอด้วยก้อนข้าว จึงพาสุนัขที่เกิดความรักในตนเที่ยวไปด้วยกัน

ต่อมาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาถึงประตูเรือนของคนเลี้ยงโค ในเวลาแสวงหาอาหาร คนเลี้ยงโคนั้น เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว ก็ถวายอาหาร ถือปฏิญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้าที่จะอยู่อาศัยตน พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เข้าอยู่ ณ ราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลสกุลคนเลี้ยงโค คนเลี้ยงโคไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็พาสุนัขนั้นไปด้วย ก็ตีต้นไม้หรือแผ่นหิน เพื่อไล่สัตว์ร้าย ในที่อยู่สัตว์ร้ายระหว่างทาง แม้สุนัขนั้นก็จำวิธีทำของคนเลี้ยงโคนั้นไว้

ต่อมาวันหนึ่งคนเลี้ยงโคนั่งในสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมมาไม่ได้ทุกครั้ง แต่สุนัขนี้ฉลาด โดยสัญญาจำหมายที่สุนัขนี้มาแล้ว ก็จะพึงมายังประตูเรือนของกระผมได้ วันหนึ่ง คนเลี้ยงโคนั้นก็ส่งสุนัขไปแล้วกล่าวว่าเจ้าจงพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามา สุนัขนั้นฟังคำของคนเลี้ยงโคนั้น ก็ไปใน เวลาแสวงหาอาหาร ก็เอาอกหมอบแทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ว่าสุนัขนี้มาสำนักเราแล้ว ก็ถือบาตรจีวรเดินทาง แต่ท่านจะทดลองสุนัขนั้น จึงแยกออกเดินทางอื่น สุนัขก็ยืนข้างหน้า ต้อนให้ไปทางที่ไปหมู่บ้านคนเลี้ยงโค ก็ในที่ใดคนเลี้ยงโคตีต้นไม้หรือแผ่นหิน เพื่อขับไล่สัตว์ร้าย สุนัขถึงที่นั้นแล้วก็ส่งเสียงเห่าดังๆ ด้วยเสียงของสุนัขนั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายก็หนีไป แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ก้อนข้าวที่เย็นๆ ก้อนใหญ่แก่มัน เวลาฉันเสร็จแล้ว แม้สุนัขนั้นก็รักอย่างยิ่งในพระปัจเจกพุทธเจ้า ด้วยความอยากได้ก้อนข้าว คนเลี้ยงโคถวายผ้าพอแก่การที่จะทำจีวรได้ ๓ ผืน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดไตรมาสแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านชอบใจ ก็โปรดอยู่เสียในที่นี้นี่แหละ แต่ถ้าไม่ชอบใจ ก็โปรดไปได้ตามสบาย

พระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงอาการว่าจะไป คนเลี้ยงโคตามไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็กลับ สุนัขรู้ว่าพระปัจเจก พุทธเจ้าไปที่อื่น ก็เกิดความโศกเศร้าอย่างแรง เพราะรัก หัวใจแตกตาย ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็โดยที่สัตว์ร้ายหนีไป เพราะสุนัขนั้นทำเสียงดังเวลาไปกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เสียงของเทวบุตรนั้น เมื่อพูดกับเหล่าเทวดาจึงกลบเสียงเทวดาเสียสิ้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล เทวบุตรนั้นจึง ได้ชื่อว่าโฆสกเทพบุตร ก็เมื่อโฆสกเทพบุตรนั้น เสวยสมบัติในดาวดึงส์นั้น พระราชาพระนามว่าอุเทนเสวยราชสมบัติ ณ กรุงโกสัมพี ถิ่นมนุษย์ เรื่องของพระเจ้าอุเทนพึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาโพธิราชกุมารสูตรนั่นแล

เมื่อพระเจ้าอุเทนนั้นครองราชย์อยู่ โฆสกเทพบุตร ก็จุติถือปฏิสนธิในครรภ์ของสตรีผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพผู้หนึ่ง ในกรุงโกสัมพี ล่วงไป ๑๐ เดือน นางก็คลอดบุตร รู้ว่าเป็นชายก็ให้ทิ้งเสียที่กองขยะ

ขณะนั้น คนทำงานของโกสัมพิกเศรษฐี กำลังเดินไปเรือนเศรษฐีแต่เช้าตรู่ สงสัยว่าเหล่ากากลุ้มรุมอะไรกันอยู่หนอ เมื่อเข้าไปก็พบทารก คิดว่าทารกนี้ จักมีบุญ จึงส่งเด็กไว้ในมือบุรุษผู้หนึ่งให้นำไปสู่เรือนตน แล้วก็ไปเรือนเศรษฐี

ฝ่ายเศรษฐีกำลังไปยังราชสกุลในเวลาเข้าเฝ้า พบปุโรหิตในระหว่างทาง ก็ถามว่า วันนี้ ดาวฤกษ์อะไร

ปุโรหิตนั้นยืนอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ก็คำนวณแล้วกล่าวว่า ดาวฤกษ์ชื่อโน้น ทารกที่เกิดตามดาวฤกษ์นี้ในวันนี้ จักได้ตำแหน่งเศรษฐีในนครนี้

เศรษฐีนั้น ฟังคำของปุโรหิตนั้นแล้ว ก็รีบส่งคนไปยังเรือนว่า ท่านปุโรหิตคนนี้ไม่พูดเป็นคำสอง หญิงแม่เรือนมีครรภ์แก่ของเรามีอยู่ พวกเจ้าจงตรวจดูนางว่าคลอดแล้วหรือยัง

คนเหล่านั้นไปสำรวจรู้แล้วก็กล่าวว่า นายท่าน หญิงมีครรภ์แก่นั้นยังไม่คลอด

เศรษฐีจึงสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปหาทารกที่เกิดในวันนี้ ในนครนี้

คนเหล่านั้นแสวงหาก็พบทารกนั้นในเรือนของคนทำงานของเศรษฐีนั้นแล้วบอกแก่เศรษฐี เศรษฐีกล่าวว่า เจ้า พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงไปเรียกคนทำงานมา

คนเหล่านั้นก็เรียกคนทำงานมา เศรษฐีถามเขาว่า เรือนเจ้ามีทารกหรือ

เขาตอบว่า มีขอรับ นายท่าน

เศรษฐีบอกว่า เจ้าให้ทารกนั้นแก่เราเถิด

เขาว่า ให้ไม่ได้ดอกนายท่าน

เศรษฐีกล่าวว่า เจ้ารับทรัพย์ ๑ ๐๐๐ แล้วให้เถิด

คนทำงานนั้นคิดว่า ทารกนี้จะเป็นหรือตาย ข้อนี้ก็รู้กันยาก ดังนี้จึงรับ ทรัพย์ ๑ ๐๐๐ แล้วให้ทารกไป.

ลำดับนั้นเศรษฐีคิดว่า ถ้าภริยาเราคลอดธิดา ก็จักเลี้ยงทารกนี้ให้เป็นบุตรเรา แต่ถ้าภรรยาเราคลอดบุตร ก็จักฆ่าทารกนี้ให้ตาย ครั้นคิดแล้ว ก็เลี้ยงทารกไว้ในเรือน

ครั้งนั้น ภริยาของเศรษฐีนั้นก็คลอดบุตร

ครั้นผ่านไป ๒-๓ วัน เศรษฐีก็คิดจะให้พวกโคเหยียบทารกนั้นเสียให้ตาย จึงสั่งว่า พวกเจ้าจงเอาทารกนี้ไปนอนที่ประตูคอก

คนทั้งหลายก็ให้ทารกนั้นนอนที่ประตูคอกนั้น ครั้งนั้น โคอุสภะจ่าฝูงออกไปก่อน เห็นทารกนั้นก็ยืนคร่อมไว้ในระหว่างเท้าทั้ง ๔ ด้วยเพื่อกันมิให้โคตัวอื่นๆ เหยียบทารกนั้น ขณะนั้น คนเลี้ยงโคพบทารกนั้น คิดว่า ทารกนี้แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักรักษา คงเป็นผู้มีบุญมาก เราจักเลี้ยงทารกนั้น แล้วก็นำไปเรือนตน

ฝ่ายเศรษฐีทราบว่าทารกนั้นยังไม่ตาย และได้ฟังว่า พวกคนเลี้ยงโคนำไป ก็ให้ทรัพย์ ๑,๐๐๐ ไปเพื่อแลกกับทารกนั้น เมื่อได้ทารกนั้นมาแล้ว ก็ให้นำไปทิ้งเสียที่สุสานศพสด

เวลานั้น คนเลี้ยงแพะในเรือนเศรษฐี นำแม่แพะไปเลี้ยงในสุสาน เพราะบุญของทารก แพะแม่นมตัวหนึ่ง ขาไป ก็แวะจากทาง ไปให้นมทารกแล้วก็ไป ขากลับจากที่นั้น ก็ไปให้นมทารกที่นั้นนั่นและ

คนเลี้ยงแพะคิดว่า แม่แพะ ตัวนี้แวะจากที่นี้ไปแต่เช้า เพราะเหตุอะไรกันหนอ จึงเดินไปตรวจดู ก็รู้ และคิดว่า ทารกนี้คงมีบุญมาก แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานยังรู้จักรักษา จำเราจักเลี้ยงทารกนั้นไว้ แล้วพาไปเรือน.

ฝ่ายเศรษฐี ก็ให้ตรวจตราดูอีกว่า ทารกนั้นตายหรือไม่ตาย รู้ว่า คนเลี้ยงแพะรับไว้ ก็ให้ทรัพย์ ๑ ๐๐๐ สั่งว่า พรุ่งนี้ บุตรนายกองเกวียน คนหนึ่ง จักเข้าไปยังนครนี้ พวกท่านจงนำทารกนี้ไปวางไว้ที่ทางล้อ เกวียน ล้อเกวียนนั้นก็จักเฉือนไปอย่างนี้ เหล่าโคในเกวียนเล่มแรกของ นายกองเกวียน แลเห็นทารกที่เขาวางไว้ที่ทางล้อเกวียนนั้น ก็ยืนเอาเท้าทั้ง ๔ คร่อมเหมือนเสาค้ำกันอยู่ฉะนั้น นายกองเกวียนสงสัยว่านั่นอะไร กันหนอ ก็รู้เหตุที่โคเหล่านั้นหยุดยืน เห็นทารกแล้วเข้าใจว่าทารกมีบุญ มาก ควรเลี้ยงไว้ จึงพาไปแล้ว

ฝ่ายเศรษฐีก็ให้สำรวจว่าเด็กนั้นตายหรือไม่ตายที่ทางเกวียน ทราบ ว่านายกองเกวียนรับไป ก็ให้ทรัพย์ ๑ ๐๐๐ แม้แต่นายกองเกวียนนั้น สั่งให้โยนเหวในที่ไม่ไกลพระนคร ทารกนั้น เมื่อตกไปในเหวนั้น ก็ตก ลงที่โรงช่างสานในที่ทำงานของพวกช่างสาน โรงช่างสานนั้น ได้เป็น เสมือนสัมผัสด้วยปุยฝ้าย ๑๐๐ ชั้น ด้วยอานุภาพบุญของทารกนั้น ครั้งนั้น หัวหน้าช่างสานเข้าใจว่าทารกนี้มีบุญควรเลี้ยงไว้ จึงพาทารกนั้นไปเรือน

เศรษฐีให้เสาะหาในที่ๆ ทารกตกเหวว่าตายหรือไม่ตาย ทราบว่า หัวหน้าช่างสานรับไป ก็ให้ทรัพย์ ๑ ๐๐๐ แม้แก่หัวหน้าช่างสานนั้น ให้นำทารกมา ต่อมา ทั้งบุตรของเศรษฐีเอง ทั้งทารกนั้น ทั้งสองคน ก็เจริญเติบโต

เศรษฐีก็ครุ่นคิดแต่อุบายที่จะให้เด็กโฆสกะตาย จึงไปเรือนช่าง หม้อของตน พูดเป็นความลับว่า พ่อคุณ ที่เรือนฉันมีเด็กสกุลต่ำต้อย อยู่คนหนึ่ง ควรจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เด็กนั้นตายเสีย ช่างหม้อนั้นก็ปิดหูทั้งสองกล่าวว่า ไม่ควรพูดถ้อยคำที่หนักเห็นปานนี้ แต่นั้น เศรษฐี คิดว่า ช่างหม้อนี้จักไม่ทำโดยไม่ได้อะไร จึงกล่าวว่า เอาเถิดพ่อคุณ จงเอาทรัพย์ไป ๑ ๐๐๐ ทำงานนี้ให้สำเร็จ ขึ้นชื่อว่าสินบน ย่อมทำลายสิ่งที่ทำลายไม่ได้ง่าย

เพราะเหตุนั้น ช่างหม้อนั้นได้ทรัพย์ ๑ ๐๐๐ แล้ว ก็รับ แล้วกล่าวว่า นายท่าน กระผมจักจุดไฟเตาเผาหม้อในวันชื่อโน้น ขอนาย ท่านจงส่งทารกนั้นไป ในวันโน้น เวลาโน้น ฝ่ายเศรษฐีรับคำของช่างหม้อนั้นแล้ว นับวันตั้งแต่วันนั้น รู้ว่าวันที่ช่างหม้อนัดไว้มาถึงแล้ว ก็ ให้เรียกนายโฆสกะมาสั่งว่า ลูกเอ๋ย พ่อต้องการภาชนะจำนวนมาก ในวันซื่อโน้น เจ้าจงไปหานายช่างหม้อบอกว่า ได้ยินว่า มีงานที่บิดาเราพูดไว้ แก่ท่านอย่างหนึ่ง วันนี้ขอท่านจงทำงานนั้นให้สำเร็จ นายโฆสกะรับคำ ของเศรษฐีนั้นว่า ดีละ แล้วก็ออกไป

ขณะนั้น ในระหว่างทางลูกตัวของ เศรษฐีกำลังเล่นกีฬาขลุบ จึงรีบไปพูดว่า พี่จ๋า ฉันกำลังเล่นกับพวกเด็กๆ ด้วยกัน ถูกเขาเอาชนะเท่านี้ พี่จงกลับเอาชนะเขาให้ฉันนะ นายโฆสกะ กล่าวว่า บัดนี้ โอกาสของพี่ไม่มี ท่านบิดาใช้พี่ไปหาช่างหม้อด้วยกิจรีบ ด่วนจ้ะ ลูกตัวเศรษฐีพูดว่า พี่จ๋า ฉันจักไปแทนเอง พี่จงเล่นกับเด็ก เหล่านี้ นำโชคกลับมาให้ฉันนะ นายโฆสกะกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปเถิด แล้วบอกข่าวที่บิดาบอกแก่ตน แก่น้องชายนั้น แล้วเล่นเสียกับ พวกเด็กๆ เด็กแม้นั้น [น้องชาย] ไปหาช่างหม้อแล้วบอกข่าวนั้น

ช่างหม้อกล่าวว่า ดีละพ่อคุณ เราจักทำงานให้สำเร็จ แล้วให้เด็กนั้นเข้าไป ในห้อง เอามีดคมกริบตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใส่หม้อปิดปากหม้อวางไว้ ระหว่างภาชนะ แล้วจุดไฟเตาเผาหม้อ นายโฆสกะเล่นชนะเป็นอันมาก ก็นั่งคอยน้องมา เขารู้ว่า น้องชักช้า ก็ไปยังส่วนหนึ่งของเรือนช่างหม้อ ในที่ไหนๆ ก็ไม่พบ คิดว่า น้องคงจักกลับไปบ้านแล้ว จึงกลับไปเรือน

เศรษฐีเห็นเขาเดินมาแต่ไกล ก็สงสัยว่า จักมีเหตุอะไรหรือหนอ ก็เรา สั่งมันไปหาช่างหม้อ เพื่อให้ฆ่ามันให้ตาย บัดนี้ เจ้าเด็กนั้น ยังมาในที่นี้ อีก เขามาถึงจึงถามเขาว่า เจ้าไม่ไปหาช่างหม้อดอกหรือลูก นายโฆสกะ จึงบอกเหตุที่ตนกลับ และเหตุที่น้องชายไป เศรษฐีฟังคำเขาแล้ว เป็น เหมือนถูกแผ่นดินใหญ่ถล่มทับสัก ๑๐๐ ครั้ง จิตหมุนไปว่า เจ้าพูดเรื่องอะไรอย่างนี้หรือ แล้วก็รีบไปหาช่างหม้อ พูดโดยถ้อยคำที่ไม่ควรพูดใน สำนักคนเหล่าอื่นว่า ดูสิพ่อคุณ ดูสิพ่อคุณ ช่างหม้อกล่าวว่า ท่านให้ดู อะไรเล่า งานนั้นเสร็จไปแล้ว แต่นั้น เศรษฐีนั้นก็กลับไปเรือน

ตั้งแต่นั้นมา โรคทางใจก็เกิดแก่เศรษฐีนั้น สมัยนั้น เศรษฐีนั้นกินไม่ได้ด้วยโรคทางใจนั้น ครุ่นคิดว่า ควรจะเห็นความพินาศของศัตรูของบุตรเรา ด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง เรียกนายโฆสกะ มาสั่งด้วยปากว่า เจ้าจงถือหนังสือนี้ไปหาคนทำงานของพ่อที่มีอยู่บ้านชื่อ โน้น จงบอกว่า ได้ยินว่า ท่านจงรีบทำเรื่องที่มีอยู่ในหนังสือ ระหว่างทาง จงไปเรือนเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อคามิกเศรษฐีสหายของพ่อ กินอาหารแล้ว พึงไป แล้วได้มอบสาสน์ให้ไป

นายโฆสกะนั้นไหว้เศรษฐีแล้ว รับหนังสือ ออกไป ระหว่างทางไปถึงสถานที่อยู่ของคามิกเศรษฐีแล้ว ถามถึงเรือน ของเศรษฐี ยืนไหว้คามิกเศรษฐีนั้น ซึ่งนั่งอยู่นอกซุ้มประตูกำลังให้ช่าง แต่งหนวดอยู่ เมื่อถูกถามว่า พ่อเอ๋ย เจ้ามาแต่ไหนล่ะ จึงตอบว่า ท่าน พ่อ ผมเป็นบุตรโกสัมพิยเศรษฐี ขอรับ คามิกเศรษฐีนั้นก็ร่าเริงยินดีว่า บุตรเศรษฐีสหายเรา

ขณะนั้น ทาสีคนหนึ่งของธิดาเศรษฐี นำดอกไม้ มาให้ธิดาเศรษฐี ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะทาสีนั้นว่า พักงานนั้นไว้เสีย จงล้างเท้าพ่อโฆสกะ จัดที่นอนให้ ทาสีนั้นก็ทำตามคำสั่งแล้วไปตลาด นำดอกไม้มาให้ธิดาเศรษฐี ธิดาเศรษฐีเห็นทาสีนั้นแล้วก็ดุนางว่า วันนี้ เจ้าชักช้าอยู่ข้างนอกนานนัก โกรธแล้วจึงกล่าวว่า เจ้ามัวทำอะไรใน ที่นั้นตลอดเวลาเท่านี้

ทาสีกล่าวว่า แม่เจ้าอย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ดิฉันไม่เคยเห็น ชายหนุ่มรูปงามเห็นปานนี้เลย เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นบุตรเศรษฐี สหายบิดาของแม่เจ้า ดิฉันไม่อาจกล่าวถึงรูปสมบัติของเขาได้ ดิฉันกำลังจะไปนำดอกไม้มา ท่านเศรษฐีก็ใช้ให้ดิฉันล้างเท้าชายหนุ่มคนนั้น ให้จัดที่นอนให้ ด้วยเหตุนั้น ดิฉันจึงชักช้าอยู่ข้างนอกเสียนาน เจ้าค่ะ ธิดาเศรษฐีแม้นั้น ได้เคยเป็นแม่เรือนของชายหนุ่มนั้น ในอัตภาพที่ ๔ เพราะเหตุนั้น ตั้งแต่ได้ฟังคำของทาสีนั้น ก็ไม่รู้สึกตัวว่ายืน ไม่รู้สึกตัวว่า นั่ง นางก็พาทาสีนั้นไปยังที่นายโฆสกะนั้นนอนอยู่ มองดูเขากำลังหลับ เห็นหนังสือที่ชายผ้า สงสัยว่านั่นหนังสืออะไร ไม่ปลุกชายหนุ่มให้ตื่น หยิบหนังสือเอามาอ่าน ก็รู้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ถือหนังสือฆ่าตัวไปด้วยตนเอง จึงฉีกหนังสือนั้น

เมื่อชายหนุ่มนั้นยังไม่ตื่น ก็เขียนหนังสือ [เปลี่ยน ความเสียใหม่] ว่า ท่านจงส่งสาสน์ของเราไปว่า เราส่งบุตรไปยังสำนัก ท่าน คามิกเศรษฐีสหายเรามีธิดาเจริญวัยแล้ว ท่านจงรีบรวบรวมทรัพย์ ที่เกิดในที่อาณาบริเวณของเรา ถือเอาธิดาของคามิกเศรษฐี ทำการมงคล แก่บุตรของเรา ด้วยทรัพย์ทุกอย่างๆ ละ ๑๐๐ แล้ว เมื่องานมงคลเสร็จ ท่านจงส่งสาสน์ให้เราทราบว่า ทำการมงคลแล้วด้วยวิธีนี้ เราจักรู้กิจที่พึงทำแก่ท่านในที่นี้ ใส่ตราหนังสือนั้นแล้วก็ผูกไว้ที่ชายผ้าเหมือนเดิม

ชายหนุ่มแม้นั้นอยู่บ้านคามิกเศรษฐีนั้นวันหนึ่งแล้ว รุ่งขึ้นก็อำลา เศรษฐีไปยังบ้านของคนทำงานมอบหนังสือนั้นให้ คนทำงานอ่านหนังสือ แล้ว ก็ให้ประชุมชาวบ้านกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย อย่าสนใจเราเลย นาย ของเราส่งข่าวมายังสำนักเราว่า จงนำเด็กหญิงมาด้วยทรัพย์ทุกอย่าง ๆ ละ ๑๐๐ แก่บุตรคนโตของตน พวกท่านจงรีบรวบรวมทรัพย์ที่เกิดในที่ นี้มา แล้วก็จัดการพิธีมงคลเครื่องสักการะ [แต่งงาน] ทุกอย่าง ส่งข่าว แก่คามิกเศรษฐีให้รับแล้ว ให้ตกลงงานมงคล [สมรส] ด้วยทรัพย์ทุกอย่างๆ ละ ๑๐๐ แล้วส่งหนังสือถึงโกสัมพิกเศรษฐีว่า ข้ารู้ข่าวใน หนังสือที่ท่านส่งไปแล้ว ก็กระทำกิจอย่างนี้ๆ เสร็จแล้ว

เศรษฐีฟังข่าวนั้นแล้วเหมือนถูกเผาแล้วในกองไฟฉะนั้น ถึงความเป็นโรคลงโลหิต เพราะอำนาจที่คิดว่า บัดนี้เราวอดวายแล้ว ดังนี้ ก็ให้คน เรียกนายโฆสกะนั้นด้วยคิดจะทำอุบายบางอย่าง หมายใจว่าจักทำมันไม่ให้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติของตน ตั้งแต่งานมงคลเสร็จแล้ว ก็ส่งข่าวไปว่า เหตุไร บุตรของเราจึงอยู่เสียภายนอก จงรีบกลับมาเถิด เมื่อชายหนุ่มฟังข่าวแล้ว ก็เริ่มจะไป ธิดาเศรษฐีคิดว่า สามีนี้เขลา ไม่รู้ดอกว่า สมบัตินี้อาศัยเราจึงได้มา ควรที่เราจะทำบางอย่าง แล้วก็ทำอุบายห้ามแม้การไปของเขาเสีย แต่ นั้นจึงกล่าวกะสามีว่า พ่อหนุ่มอย่ารีบด่วนนักเลย ดิฉันก็จะไปบ้านของ สกุล ธรรมดาว่าผู้ไปควรจะตระเตรียมการของตนแล้วจึงค่อยไป ฝ่าย โกสัมพิกเศรษฐีรู้ว่าบุตรนั้นชักช้าอยู่ ก็ส่งข่าวไปอีกว่า เหตุไรบุตรเราจึง ชักช้าอยู่ เราเป็นโรคลงโลหิต ควรที่เจ้าจะมาพบเราขณะที่ยังเป็นอยู่

เวลานั้น ธิดาเศรษฐีก็บอกแก่สามีนั้นว่า เศรษฐีนั้นไม่ใช่บิดาของท่านดอก ท่านก็ยังเข้าใจว่าเป็นบิดา เศรษฐีนั้นส่งหนังสือแก่คนทำงาน เพื่อให้ เขาฆ่าท่าน ดิฉันจึงเปลี่ยนหนังสือนั้น เขียนข้อความเสียใหม่ ทำสมบัติ นี้ให้เกิดแก่ท่าน เศรษฐีนั้นเรียกท่านไป หมายใจจะทำท่านไม่ให้เป็นบุตรต่างหาก ท่านจงรอการตายของเศรษฐีนั้นเถิด

ครั้งนั้น นายโฆสกะไม่ไปด้วยทั้งที่เศรษฐีนั้นก็เป็นอยู่ ต่อทราบ ว่าเขาเพียบหนัก จึงไปนครโกสัมพี แม้ธิดาเศรษฐีก็ให้สัญญาจำหมาย ภายนอกแก่สามีนั้นว่า ท่านเมื่อเข้าไป ก็จัดอารักขาไว้ทั่วบ้านจึงเข้าไป

ตนเองก็ไปพร้อมกับบุตรเศรษฐี ยกแขนทั้งสองขึ้นทำเป็นร่ำไห้ไปใกล้ๆ เศรษฐี ซึ่งนอนอยู่ในที่ค่อนข้างมืด เอาศีรษะกระแทกตรงหัวใจ เศรษฐีนั้นก็ทำกาละด้วยการกระแทกนั้นนั่นแหละ เพราะเขาหมดกำลัง ชายหนุ่มก็ทำสรีรกิจของบิดา ให้สินบนแก่คนใกล้ชิดว่า พวกท่านจงบอกว่าฉันเป็นบุตรตัวของเศรษฐี จากนั้นวันที่ ๗ พระราชาทรงดำริว่าควรจะได้ คน ๆ หนึ่ง ซึ่งควรแก่ตำแหน่งเศรษฐี จึงทรงส่งคนไปสำรวจว่า เศรษฐี มีบุตรหรือไม่มีบุตร พวกคนใกล้ชิดเศรษฐีก็กราบทูลพระราชาถึงว่า เศรษฐีมีบุตร พระราชาทรงรับรองแล้ว ก็ได้พระราชทานตำแหน่ง เศรษฐีแก่เขา เขาก็ชื่อว่าโฆสกเศรษฐี

ครั้งนั้น ภริยาก็กล่าวกะสามีว่า พ่อเจ้า ท่านก็เกิดมาต่ำ ดิฉันก็บังเกิดในสกุลตกยาก เราได้สมบัติเห็นปานนี้ ก็ด้วยอำนาจกุศลที่เราทำกันแต่ปางก่อน แม้บัดนี้เราก็จักทำกุศล สามีก็รับปากว่า ดีละน้องเอ๋ย ก็สละทรัพย์ ๑ ๐๐๐ กหาปณะทุกวัน ตั้งทานไว้เป็นประจำ

ในสมัยนั้น บรรดาชนทั้งสองนั้น นางขุชชุตตรา จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในครรภ์ของแม่นม ในเรือนของโฆสกเศรษฐี แห่งกรุงโกสัมพี เวลาที่เกิด นางมีร่างค่อม เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า ขุชชุตตรา

ส่วนนางสามาวดี จุติจากเทวโลกแล้ว ถือปฏิสนธิในเรือนของ ภัททวติยเศรษฐี แคว้นภัททวติยะ ต่อมานครนั้นเกิดฉาตกภัยอดอยาก ผู้คนทั้งหลายกลัวอดอยาก จึงแยกย้ายกันไป

ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐี นี้ปรึกษากับภริยาว่า น้องเอ๋ย ฉาตกภัยนี้ยังไม่ปรากฏภายใน จำเราจักไปหาโฆสกเศรษฐีสหายเราในกรุงโกสัมพี สหายนั้นพบเรา คงจักไม่รู้จัก (นัยว่าเศรษฐีนั้นได้เป็นสหายที่ไม่เคยเห็นกันของโฆสกเศรษฐีนั้น เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวอย่างนี้) ภัททวติยเศรษฐีนั้น ให้คนที่เหลือกลับกันแล้ว ก็พาภริยาและธิดาเดินทางไปกรุงโกสัมพี ทั้งสามคนประสบทุกข์เป็นอันมากในระหว่างทาง ก็บรรลุกรุงโกสัมพีตามลำดับ พักอาศัยอยู่ ณ ศาลาหลังหนึ่ง ฝ่ายโฆสกเศรษฐี ให้เขาจัดมหาทานแก่พวกคนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพก และยาจกใกล้ประตูเรือนของตน

ครั้งนั้น ภัททวติยเศรษฐีนี้ ก็คิดว่า เราไม่อาจแสดงตัวแก่เศรษฐีสหาย ด้วยเพศของคนกำพร้านี้ได้ เมื่อร่างกายเป็นปกติ เรานุ่งห่มดีแล้วจึงจักไปพบเศรษฐี ทั้งสองคนก็ส่งธิดาไปโรงทานของโฆสกเศรษฐีเพื่อนำอาหารมาให้ตน ธิดานั้นก็ ถือภาชนะไปโรงทาน ยืนเอียงอายอยู่ ณ โอกาสแห่งหนึ่ง คนจัดการทานเห็นนางก็คิดว่า คนอื่นๆ ทำเสียงดังเหมือนกับชาวประมงแย่งซื้อและขายปลาในที่ประชุมพร้อมหน้ากัน ได้แล้วก็ไป ส่วนเด็กหญิงผู้นี้ คงจักเป็นกุลธิดา เพราะฉะนั้น อุปธิสัมปทาของนางจึงมีอยู่ แต่นั้นจึงถามนางว่า แม่หนู เหตุไรเจ้าจึงไม่รับเหมือนกะคนอื่นๆ เล่า

นางตอบว่า พ่อท่าน ดิฉันจักกระทำการเบียดเสียดกันขนาดนี้เข้าไปได้อย่างไร

เขาถามว่า แม่หนู พวกเจ้ามีกี่คนเล่า

นางตอบว่า ๓ คนจ้ะ พ่อท่าน

เขาก็ให้ข้าว ๓ ก้อน นางก็ให้ข้าวนั้นแก่บิดามารดา บิดาหิวโหยมานานกินเกินประมาณก็เลยตาย

รุ่งขึ้น นางก็ไปรับข้าวมา ๒ ก้อนเท่านั้น วันนั้นภริยาเศรษฐี ก็ตายเสียเมื่อเลยเที่ยงคืน เพราะลำบากด้วยอาหารและเพราะเศร้าโศกถึงเศรษฐีที่ตาย

วันรุ่งขึ้น ธิดาเศรษฐีรับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น คนจัดการทาน ใคร่ครวญดูกิริยาของนาง จึงถามว่า แม่หนู วันแรกเจ้ารับก้อนข้าวไป ๓ ก้อน รุ่งขึ้นรับก้อนข้าวไป ๒ ก้อน วันนี้รับก้อนข้าวก้อนเดียวเท่านั้น เกิดเหตุอะไรขึ้นหรือ

นางจึงบอกเล่าเหตุการณ์นั้น

เขาถามว่า แม่หนูเจ้าเป็นชาวบ้านไหนเล่า นางก็เล่าเหตุการณ์โดยตลอด เขากล่าวว่า แม่หนู เมื่อเป็นดังนั้น เจ้าก็เป็นธิดาเศรษฐีของเรา เราไม่มีเด็กหญิงอื่น ๆ เจ้าจง เป็นธิดาเราเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วก็รับนางไว้เป็นธิดา.

นางได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานก็ถามว่า พ่อท่าน เหตุไรจึง เสียงดังลั่น ดังนี้

เขาก็ตอบว่า แม่หนู ในระหว่างคนมากๆ ไม่อาจทำให้มีเสียงเบาลงได้ดอก

นางกล่าวว่า พ่อท่าน ฉันรู้อุบายในเรื่องนี้

เขาถามว่า ควรจะทำอย่างไรเล่า แม่หนู

นางบอกว่า พ่อท่าน พวกท่าน จงทำรั้วไว้รอบๆ ประกอบประตู ๒ ประตู ให้ตั้งภาชนะแจกทานไว้ข้างใน ให้คนเข้าไปทางประตูหนึ่ง รับอาหารแล้วให้ออกไปทางประตูหนึ่ง

เขารับว่า ดีละแม่หนู แล้วก็ให้กระทำอย่างนั้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้น

นับแต่นั้นมาโรงทานก็มีเสียงเงียบสงบไป แต่ก่อนนั้น โฆสกเศรษฐี ได้ยินเสียงดังอื้ออึงในโรงทานเสมอมา วันนั้น เมื่อไม่ได้ยินเสียงดังมาจากโรงทาน จึงเรียกคนจัดการทานมาถามว่า วันนี้ท่านให้เขาให้ทานแล้วหรือ

เขาตอบว่า ให้ทานแล้ว นายท่าน

เศรษฐีถามว่า ถ้าเช่นนั้น เหตุไรจึงไม่ได้ยินเสียงในโรงทานเหมือนแต่ก่อน

เขาตอบว่า จริงสิ นายท่าน ผมมีธิดาอยู่คนหนึ่ง ผมทำตามอุบายที่นางบอก จึงทำโรงทานให้ไม่มีเสียง

เศรษฐีถามว่า เจ้าไม่มีธิดา เจ้าได้ธิดามาแต่ไหน

คนจัดการทานนั้น ก็เล่าเรื่องที่ได้ธิดามาทุกอย่างแก่เศรษฐี เพราะไม่อาจจะหลอกลวงได้

เศรษฐีกล่าวว่า พ่อมหาจำเริญ เหตุไรเจ้าจึงได้ทำกรรมหนักเห็นปานนี้ ไม่บอกเรื่องธิดาซึ่งอยู่ในสำนักตนแก่เราเสียตั้งนานเพียงนี้ เจ้าจงรีบให้ นำนางมาไว้เรือนเรา

คนจัดการทานนั้นฟังคำเศรษฐีแล้ว ก็ให้นำนางมา ทั้งที่ตนไม่ประสงค์เช่นนั้น

ตั้งแต่นั้นมา เศรษฐีก็ตั้งนางไว้ในตำแหน่งธิดา และเมื่อจะรับขวัญธิดา จึงจัดหญิงสาว ๕๐๐ นางที่มีวัยรุ่นเดียวกัน จาก สกุลที่มีชาติทัดเทียมกับตนมาเป็นบริวารของนาง.

ต่อมาวันหนึ่ง พระเจ้าอุเทนเสด็จตรวจพระนครทอดพระเนตรเห็น นางสามาวดีนั้น มีหญิงสาวเหล่านั้นแวดล้อมเล่นอยู่ ตรัสถามว่า เด็กหญิง นี้ของใคร

ครั้นทรงสดับว่าเป็นธิดาของโฆสกเศรษฐี ก็ตรัสถามว่า ไม่มีสามีหรือ เมื่อเขาทูลว่า ไม่มีสามี จึงดำรัสสั่งว่า พวกเจ้าจงไปบอกเศรษฐีว่าพระราชามีพระราชประสงค์ธิดาท่าน

เศรษฐีฟังแล้วบอกเขาว่า เราไม่มีเด็กหญิงอื่นๆ ไม่อาจให้ธิดาคนเดียวอยู่กับสามีได้

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วสั่งให้เศรษฐีและภริยาออกมาจากบ้าน แล้วมีรับสั่งให้ปิดประตูตีตราทั่วทุกหลังทุกเรือนของเศรษฐี

นางสามาวดีไปเล่นเสียนอกบ้าน กลับมาเห็นบิดามารดานั่งอยู่นอกบ้าน จึงถามว่า

แม่จ๋า พ่อจ๋า เหตุไรจึงมานั่งที่นี้

เศรษฐีและภริยาก็แจ้งเหตุนั้น นางจึงกล่าวว่า

แม่จ๋า พ่อจ๋า อย่าทูลตอบพระราชาอย่างนั้นสิจ๊ะ บัดนี้ จงให้ทูลอย่างนี้นะพ่อนะว่า ธิดาของเราไม่อาจอยู่ผู้เดียวกับสามีได้ ถ้าพระองค์ทรงให้หญิงสาว ๕๐๐ คน บริวารของนางอยู่ด้วย นางจึงจะไป

เศรษฐีกล่าวว่า ดีละลูกเอ๋ย พ่อไม่รู้จิตใจของเจ้านี่

เศรษฐีและภริยา จึงกราบทูลอย่างนั้น พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ตรัสว่า ๑,๐๐๐ คน ก็ช่างเถิด จงนำมาทั้งหมด

ครั้งนั้น เศรษฐีและภริยาจึงนำธิดานั้น พร้อมทั้งหญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารไปยังพระราชนิเวศน์ โดยมงคลนักษัตรฤกษ์อันเจริญ พระราชาก็ทรงทำหญิง ๕๐๐ คนเป็นบริวารของนางแล้ว ทรงอภิเษกให้นางอยู่ในปราสาทหลังหนึ่ง



(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 พ.ย.2006, 1:02 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2006, 8:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็สมัยนั้น ในกรุงโกสัมพี เศรษฐี ๓ คนคือ โฆสกเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี เป็นสหายกันและกัน เศรษฐีทั้ง ๓ คนก็บำรุงดาบส ๕๐๐ รูป เหล่าดาบสก็อยู่ในสำนักเศรษฐีทั้ง ๓ คนนั้น ๔ เดือน อยู่ป่าหิมวันต์ ๘ เดือน

ต่อมาวันหนึ่ง ดาบสเหล่านั้นมาจากป่าหิมวันต์ หิวกระหายลำบากในทางกันดารมาก จึงพากันไปยังต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง บรรดาดาบสเหล่านั้น ดาบสผู้เป็นหัวหน้าคิดว่า

“เทวดาผู้สิงอยู่ในต้นไม้นี้ จักมิใช่เทวดาผู้ต่ำศักดิ์ เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ทีเดียวพึงมีที่ต้นไทรนี้ คงเป็นการดีหนอ ถ้าหากเทวราชนี้ให้น้ำที่ควรดื่มแก่หมู่ฤษี”

เทวราชนั้นก็ได้ถวายน้ำดื่มแล้ว

ดาบสคิดถึงน้ำอาบ

เทวราชก็ได้ถวายน้ำอาบนั้น

ต่อจากนั้น ดาบสผู้เป็นหัวหน้าก็คิดถึงโภชนะ

เทวราชก็ถวายโภชนะแม้นั้น

ลำดับนั้น ดาบสนั้นได้มีความปริวิตกนี้ว่า

“เทวราชนี้ให้ทุกสิ่งที่เราคิดแล้ว เออหนอ เราพึงเห็นเทวราชนั้น”

เทวราชนั้นก็ชำแรกลำต้นไม้ แสดงตนแล้ว ขณะนั้น ดาบสทั้งหลายจึงถามเทวราชนั้นว่า “ท่านเทวราช ท่านมีสมบัติมาก สมบัตินี้ท่านได้แล้ว เพราะทำกรรมอะไรหนอ ?”

เทวราช ขออย่าซักถามเลย พระผู้เป็นเจ้า

ดาบส จงบอกมาเถิด ท่านเทวราช

เทวราชนั้นละอายอยู่ เพราะกรรมที่ตนทำไว้เป็นกรรมเล็กน้อยจึงไม่กล้าจะบอก แต่เมื่อถูกดาบสเหล่านั้นเซ้าซี้บ่อยๆ ก็กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ขอท่านทั้งหลายจงฟัง” ดังนี้แล้ว จึงเล่า


๐ ประวัติเทวดา

ได้ยินว่า เทวราชนั้นเป็นคนเข็ญใจคนหนึ่ง แสวงหาการงานจ้างอยู่ ได้การงานจ้างในสำนักของอนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว ก็อาศัยการงานนั้นเลี้ยงชีวิต ต่อมา เมื่อถึงวันอุโบสถวันหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐี มาจากวิหารแล้ว ถามว่า “ในวันนี้ ใครๆ ได้บอกความเป็นวันอุโบสถแก่ลูกจ้างคนนั้นแล้วหรือ ?” คนในบ้านตอบว่า “ข้าแต่นายยังไม่ได้บอก” อนาถบิณฑิกะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าจงหุงหาอาหารเย็นไว้สำหรับเขา” คราวนั้น คนเหล่านั้นก็หุงข้าวสุกแห่งข้าวสารกอบหนึ่งไว้เพื่อชายนั้น ชายนั้นทำงานในป่าตลอดวันนั้น มาในเวลาเย็น เมื่อเขาคดข้าวให้ ก็ยังไม่บริโภคโดยพลันก่อน ด้วยคิดว่า “เราเป็นผู้หิวแล้ว” คิดว่า “ในวันทั้งหลายอื่น ความโกลาหลใหญ่ย่อมมีในเรือนนี้ว่า ‘ขอท่านจงให้ข้าว ขอท่านจงให้แกง ขอท่านจงให้กับ’ ในวันนี้ ทุกคนเป็นผู้เงียบเสียง นอนแล้ว พากันคดอาหารไว้เพื่อเราคนเดียวเท่านั้น นี้เป็นอย่างไรหนอ ?” จึงถามว่า “ คนที่เหลือบริโภคแล้วหรือ ?” คนทั้งหลายตอบว่า “ไม่บริโภค พ่อ”

ผู้รับจ้าง เพราะเหตุไร ?

คนทั้งหลาย ในเรือนนี้ เขาไม่หุงอาหารในเย็นวันอุโบสถทั้งหลาย.คนทุกคน ย่อมเป็นผู้รักษาอุโบสถ โดยที่สุด เด็กแม้ผู้ยังดื่มนม ท่านมหาเศรษฐี ก็ให้บ้วนปาก ให้ใส่ของมีรสหวาน ๔ ชนิด(คือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ลงในปากทำให้เป็นผู้รักษาอุโบสถแล้ว เมื่อประทีปซึ่งระคนด้วยน้ำหอม สว่างอยู่เด็กเล็กและเด็กใหญ่ทั้งหลายไปสู่ที่นอนแล้ว ย่อมสาธยายอาการ ๓๒ แต่ว่า พวกเรามิได้ทำสติไว้ เพื่อจะบอกความที่วันนี้เป็นวันอุโบสถแก่ท่าน เพราะเหตุนั้น พวกเราจึงหุงข้าวไว้เพื่อท่านคนเดียว ท่านจงรับประทานอาหารนั้นเถิด

ผู้รับจ้าง ถ้าการที่เราเป็นผู้รักษาอุโบสถในบัดนี้ ย่อมควรไซร้แม้เราก็พึงเป็นผู้รักษาอุโบสถ

คนทั้งหลาย เศรษฐีย่อมรู้เรื่องนี้

ผู้รับจ้าง ถ้าเช่นนั้น ขอพวกท่านจงถามเศรษฐีนั้น

คนเหล่านั้น ไปถามเศรษฐีแล้ว เศรษฐีกล่าวอย่างนี้ว่า

“ชายนั้นไม่บริโภคในบัดนี้ บ้วนปากแล้ว อธิษฐานองค์อุโบสถทั้งหลาย จักได้อุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง”

ฝ่ายคนรับจ้างฟังคำนั้น ได้กระทำตามนั้นแล้ว.เมื่อเขาหิวโหยแล้ว เพราะทำงานตลอดทั้งวัน ลมกำเริบแล้วในสรีระ เขาเอาเชือกผูกท้อง จับที่ปลายเชือกแล้วกลิ้งเกลือกอยู่ เศรษฐี สดับประพฤติเหตุเช่นนั้น มีคนถือคบเพลิงให้คนถือเอาของมีรสหวาน ๔ ชนิดมาสู่สำนักของชายนั้น ถามว่า

“เป็นอย่างไร ? พ่อ”

ผู้รับจ้าง : นาย ลมกำเริบแก่ข้าพเจ้า

เศรษฐี : ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงลุกขึ้น เคี้ยวกินเภสัชนี้

ผู้รับจ้าง : นาย แม้ท่านทั้งหลายรับประทานแล้วหรือ ?

เศรษฐี : ความไม่สบาย ของพวกเราไม่มี เจ้ากินเถิด

เขากล่าวว่า : นาย ข้าพเจ้า เมื่อทำอุโบสถกรรม ก็ไม่ได้สามารถที่จะทำอุโบสถกรรมได้เต็มบริบูรณ์ สามารถทำอุโบสถกรรมได้เพียงกึ่งหนึ่ง ดังนั้นแม้ในอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่งของข้าพเจ้าก็ขออย่าได้เป็นของบกพร่องเลย

ชายนั้น แม้เศรษฐีจะกล่าวอยู่ว่า “อย่าทำอย่างนี้เลย พ่อ” ก็ไม่ปรารถนาแล้ว ดังนี้แล้ว ก็ไม่ปรารถนา1ที่จะกิน.เมื่ออรุณขึ้นจึงถึงแก่กรรมไป เหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งฉะนั้น แล้วมาเกิดเป็นเทวดาที่ต้นไทรนั้น เพราะเหตุนั้น เทวดานั้นครั้นกล่าวเนื้อความนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

“เศรษฐีนั้นเป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นของเรา นับถือพระธรรมว่าเป็นของเรา นับถือพระสงฆ์ว่าเป็นของเรา สมบัตินั้นข้าพเจ้าได้แล้ว ด้วยผลแห่งอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าอาศัยเศรษฐีนั้นกระทำแล้ว”


๐ ดาบสเลื่อมใสออกบวช

ดาบส ๕๐๐ พอฟังคำว่า “พระพุทธเจ้า” ก็ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อเทวดา กล่าวว่า “ท่านพูดว่า พระพุทธเจ้า” ดังนี้แล้วให้เทวดานั้นปฏิญญา ๓ ครั้งว่า “ข้าพเจ้าพูดว่า พระพุทธเจ้า” แล้วเปล่งอุทานว่า “แม้เสียงกึกก้องนี้แล ก็หาได้ยากในโลก” แล้วกล่าวว่า “ท่านเทวดา พวกเราเป็นผู้อันท่านให้ได้ฟังเสียง ที่ยังมิได้เคยฟังแล้วในแสนกัลป์เป็นอเนก”

ลำดับนั้น พวกดาบสที่เป็นอันเตวาสิก ได้กล่าวคำนี้กะอาจารย์ว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราจงพากันไปสู่สำนักของพระศาสดา”

อาจารย์กล่าวว่า “พ่อทั้งหลาย เศรษฐี ๓ ท่านเป็นผู้มีอุปการะมากแก่พวกเรา พรุ่งนี้พวกเรารับภิกษาในที่อยู่ของเศรษฐีเหล่านั้น บอกแม้แก่เศรษฐีเหล่านั้นแล้ว จึงจักไป พ่อทั้งหลาย พวกพ่อจงยับยั้งอยู่ก่อน”

ดาบสเหล่านั้น ยับยั้งอยู่แล้ว ในวันรุ่งขึ้นพวกเศรษฐี เตรียมข้าวยาคูและภัตแล้ว ปูอาสนะไว้ รู้ว่าวันนี้เป็นวันมาแห่งดาบสทั้งหลาย จึงรอคอยทำการต้อนรับ ดาบสเหล่านั้นไปสู่ที่อยู่ เชิญให้นั่ง ได้ถวายภิกษาแล้ว ดาบสเหล่านั้น ทำภัตกิจเสร็จแล้วกล่าวว่า

“ท่านมหาเศรษฐีทั้งหลาย พวกเราจักไป”

เศรษฐี : ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายรับปฏิญญาของพวกข้าพเจ้า ตลอด ๔ เดือน ซึ่งมีในฤดูฝนแล้วมิใช่หรือ ? บัดนี้พวกท่านจักไปไหน ?

ดาบส : ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระธรรมก็เกิดขึ้นแล้ว พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจักไปสู่สำนักของพระศาสดา

เศรษฐี : ก็การไปสู่สำนักของพระศาสดาองค์นั้น ควรแก่ท่านทั้งหลายเท่านั้นหรือ ?

ดาบส : แม้คนเหล่าอื่นก็ควร ไม่ห้าม ผู้มีอายุ

เศรษฐี : ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอท่านทั้งหลายจงรอก่อนแม้พวกข้าพเจ้า ทำการตระเตรียมแล้ว ก็จะไป

ดาบสเหล่านั้น กล่าวว่า “เมื่อท่านทั้งหลายทำการตระเตรียมอยู่ ความเนิ่นช้าย่อมมีแก่พวกเรา พวกเราจะไปก่อน ท่านทั้งหลายพึงมาข้างหลัง“ ดังนี้แล้ว ก็ไปก่อน เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชมเชยแล้วถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถา แสดงธรรมแก่ดาบสเหล่านั้น ในที่สุดแห่งเทศนา ดาบสทั้งปวงบรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลายแล้ว ทูลขอบรรพชา ได้เป็นผู้ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ดุจพระเถระมีพรรษาตั้ง ๑๐๐ ในลำดับแห่งพระดำรัสว่า “ท่านทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด“

ฝ่ายเศรษฐีเหล่านั้น มีเกวียน ๕๐๐ เล่มเป็นบริวาร ถึงกรุงสาวัตถี ในภายหลัง ตั้งค่ายพักในที่ไม่ไกลพระเชตวันวิหาร เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง

พระศาสดา ทรงแสดงธรรมด้วยอำนาจจริยาของคนเหล่านั้น เมื่อจบเทศนา เศรษฐีทั้ง ๓ คน ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น แล้วถวายมหาทาน แก่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขในวันรุ่งขึ้น และในวันนั้นก็นิมนต์เพื่อเสวยในวันถัดไป โดยทำนองนั้นนั่นแล จนล่วงเวลาไปครึ่งเดือน จึงทูลอ้อนวอนพระศาสดา เพื่อให้เสด็จมาสู่นครของตน

พระศาสดาตรัสว่า พระตถาคตทั้งหลายยินดีนักในเรือนว่าง ดังนี้ เศรษฐีเหล่านั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ทราบกัน แล้ว แล้วกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดเสด็จมาตามสาสน์ที่พวกข้า พระองค์ส่งมานะพระเจ้าข้า ถวายบังคมพระศาสดาทำประทักษิณเวียนขวา ๓ รอบแล้ว กลับไปนครของตนทั้ง ๓ คน ก็ให้สร้างพระวิหารใน อุทยานของตน วิหารที่โฆสกเศรษฐีสร้าง ชื่อว่า โฆสิตาราม ที่กุกกุฏเศรษฐีสร้าง ชื่อว่า กุกกุฏาราม ที่ปาวาริกเศรษฐีสร้าง ชื่อว่าปาวาริกัมพวันวิหาร เศรษฐีเหล่านั้นให้สร้างวิหารเสร็จแล้วส่งทูตไปทูลพระศาสดาว่า ขอพระศาสดาโปรดเสด็จมาพระนครนี้ เพื่อสงเคราะห์พวกข้าพระองค์เถิด


๐ พระศาสดาโปรดมาคัณฑิยพราหมณ์

พระศาสดาทรงพระดำริว่า จักเสด็จไปกรุงโกสัมพี มีภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกจาริก ทรงเห็นอุปนิสัยพระอรหัตของมาคัณฑิยพราหมณ์ ในระหว่างทาง จึงงดการเสด็จไปกรุงโกสัมพี เสด็จไปยังนิคม ชื่อว่ากัมมาสธัมมะ แคว้นกุรุ

สมัยนั้น มาคัณฑิยพราหมณ์ บำเรอไฟอยู่นอกบ้านตลอดคืนยังรุ่ง เช้าตรู่จึงเข้ามาบ้าน วันรุ่งขึ้น แม้พระศาสดา ก็เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เดินสวนทางกัน แสดงพระองค์แก่มาคัณฑิยพราหมณ์

มาคัณฑิยพราหมณ์นั้น เห็นพระทศพล ก็คิดว่า เราเที่ยวแสวงหาเด็กหนุ่ม ที่ทัดเทียมกันกับรูปสมบัติแห่งธิดา ของเรา ตลอดเวลาเท่านี้ เมื่อรูปสมบัติแม้มีอยู่ เราก็ปรารถนาการบรรพชาที่ผู้นี้ถืออยู่เช่นนี้เหมือนกัน แต่บรรพชิตผู้นี้ งามน่าชม ช่างเหมาะสมกับธิดาของเราจริงๆ จึงรีบกลับไปเรือน

นัยว่า พราหมณ์นั้นเป็นวงศ์บรรพชิตวงศ์หนึ่งมาก่อน ด้วยเหตุนั้น พอเห็นบรรพชิตเท่านั้น จิตใจของเขาจึงน้อมไป พราหมณ์ปรึกษากะนางพราหมณีว่า น้องเอ๋ย ฉันปรารถนาการบรรพชาอย่างนี้ ฉันไม่เคยพบบรรพชิตเห็นปานนี้ เป็นเพศพราหมณ์มีผิวพรรณดั่งทอง ช่างเหมาะสมกับธิดาแท้ๆ จงรีบแต่งตัวธิดาของเจ้าสิ

เมื่อนางพราหมณีกำลังแต่งตัวธิดาอยู่ พระศาสดาก็ทรงแสดงพระเจดีย์คือรอยพระบาทไว้ในที่ที่เขาพบพระองค์ เสด็จเข้าไปภายในพระนคร

ขณะนั้น พราหมณ์พาธิดาพร้อมกับนางพราหมณี มายังที่นั้น ตรวจดูรอบ ๆ เพราะเขามาเวลาที่พระศาสดาเสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่เห็นพระทศพล ก็บริภาษนางพราหมณีว่า การกระทำของเจ้านี้ ชื่อว่าดีไม่มีเลย เพราะเจ้ามัวทำชักช้าอยู่ บรรพชิตผู้นั้นจึงออกไปเสีย

พราหมณ์ตรวจดูที่พระศาสดาเสด็จไปว่า บรรพชิตไปแล้ว ช่างก่อนเถิดไปทางทิศไหนหรือไปทางทิศนี้ ก็พบเจดีย์คือรอยพระบาท กล่าวว่า แม่มหาจำเริญ นี้รอยเท้าบุรุษนั้น เขาคงจักไปทางนี้

ขณะนั้น นางพราหมณีเห็นเจดีย์คือรอยพระบาทของพระศาสดา คิดว่า ตาพราหมณ์ ผู้นี้ช่างโง่จริงหนอ ไม่รู้ความหมายแม้เพียงคัมภีร์ของตน จึงทำการเย้ยหยัน พูดกับพราหมณ์นั้นว่า ท่านพราหมณ์ ท่านโง่เพียงนี้แล้ว ยังจะมาพูดว่า เราจะให้ธิดาแก่บุรุษผู้เห็นปานนั้น ด้วยว่า ธรรมดา รอยเท้าของบุรุษผู้ที่ราคะย้อมแล้ว โทสะประทุษร้ายแล้ว โมหะให้ลุ่มหลง แล้วจะไม่เป็นเช่นนั้น ดูสิพราหมณ์ นั่นเป็นรอยเท้าของพระสัพพัญญู พุทธะ ผู้มีหลังคาเปิดแล้วในโลก.

เมื่อนางพราหมณีพูดเพียงนั้น พราหมณ์นั้นก็ไม่ฟังคำ กลับหาว่า เป็นหญิงปากร้ายเสียซ้ำไป เมื่อสองสามีภริยาพูดทุ่มเถียงกันอยู่นั่นแล พระศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาต พร้อมกับภิกษุสงฆ์ เสวยเสร็จแล้วจึงเสด็จออกไปใกล้ทางที่พราหมณ์แลเห็นได้

พราหมณ์แลเห็นพระศาสดาเสด็จมาแต่ไกล ก็บอกนางพราหมณี ร่าเริงยิ้มแย้มพูดว่า ผู้นี้ คือบุรุษผู้นั้น จึงยืนตรงพระพักตร์ทูลว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญ ข้าพเจ้าเที่ยวหาท่านตั้งแต่เช้า ในชมพูทวีปนี้ ไม่มีสตรีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับธิดาของข้าพเจ้า แม้บุรุษก็ไม่มีผู้ใดมีรูปงามเสมอกับท่าน ข้าพเจ้าให้ธิดาของข้าพเจ้า เพื่อท่านจะได้เลี้ยงดู ท่านรับนางไปเถิด

ครั้งนั้น พระศาสดาจึงตรัสกะพราหมณ์นั้นว่า พราหมณ์ แม้แต่เหล่าเทพธิดาอยู่ ในสวรรค์ชั้นกามาวจร มีรูปเลอเลิศ มีผิวพรรณต่างๆ กัน มายืนในสำนักกล่าวถ้อยคำเพื่อประเล้าประโลมเรา เรายังไม่ปรารถนา จะป่วยกล่าวไปไยถึงธิดาของท่านว่าเราจะรับ ครั้นตรัสแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

เพราะเห็นนางตัณหา นางอรดี นางราคะ แม้
ความพอใจในเมถุน ก็ไม่มีเลย สรีระนี้ เต็มไปด้วย
อุจจาระปัสสาวะทั้งนั้นหนอ แม้แต่เท้า เราก็ไม่
ปรารถนาจะแตะต้องนาง



๐ นางมาคัณฑิยาผูกอาฆาตพระศาสดา

นางมาคัณฑิยาคิดว่า ธรรมดาคนที่ไม่ต้องการ เพียงแค่พูดปฏิเสธว่า อย่าเลย เท่านี้ก็ควร แต่บรรพชิตผู้นี้ ทำสรีระของเราให้เป็นที่เต็มไปด้วย อุจจาระปัสสาวะ แล้วยังพูดว่า แม้แต่เท้า ก็ไม่ปรารถนาจะแตะต้อง เราเมื่อได้ตำแหน่งยิ่งใหญ่ตำแหน่งหนึ่ง จักดูจุดจบของบรรพชิตนั้น แล้วผูกอาฆาตไว้

พระศาสดามิได้ทรงใส่พระทัยนาง ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา โปรดพราหมณ์ ด้วยอำนาจจริยาของเขา จบเทศนา สองสามีภริยา ก็ดำรงอยู่ในอนาคามิผลแล้วดำริว่า บัดนี้เราไม่ต้องการครองเรือนแล้ว จึงให้มาคัณฑิยพราหมณ์ผู้เป็นอารับธิดาไว้ ทั้งสองคนก็บวชแล้วบรรลุพระอรหัต

ครั้งนั้น พระเจ้าอุเทนได้ทรงทำการพูดจาตกลงกับมาคัณฑิย พราหมณ์ผู้เป็นอา แล้วทรงนำเด็กสาวมาคัณฑิยา มายังพระราชนิเวศน์ ด้วยพระราชานุภาพ ทรงอภิเษกพระราชทานปราสาทต่างหาก เพื่อพระนางมาคัณฑิยากับบริวารสตรี ๕๐๐ ได้อยู่

ฝ่ายพระศาสดาเสด็จจาริกโดยลำดับ มาถึงกรุงโกสัมพี พวกเศรษฐี ๓ คน รู้ว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงออกไปรับเสด็จ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิหารทั้ง ๓ นี้ ข้าพระองค์ สร้างเจาะจงพระองค์ ขอได้โปรดทรงรับวิหารทั้งหลาย เพื่อสงเคราะห์สงฆ์ที่จาริกมาแต่ทิศทั้ง ๔ เถิด พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับวิหารไว้ แม้เศรษฐีเหล่านั้น ก็อาราธนาพระศาสดาเพื่อเสวยอาหาร ในวันรุ่งขึ้น ถวายบังคมแล้วก็กลับบ้าน


๐ พระนางมาคัณฑิยาจ้างนักเลงมา

ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยา ทรงทราบว่า พระศาสดาเสด็จมา จึงให้เรียกเหล่านักเลงหัวไม้มาแล้วให้สินจ้างแก่นักเลงเหล่านั้น ตรัสว่า

“พวกเจ้าพร้อมด้วยพวกผู้ชายที่เป็นทาสและกรรมกร จงด่า บริภาษ พระสมณโคดมผู้เข้าไปสู่ภายในพระนครเที่ยวอยู่ ให้หนีไป”

พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในรัตนะ ๓ ก็ติดตามพระศาสดาผู้เสด็จไปสู่ภายในพระนคร ด่าอยู่ บริภาษอยู่ ด้วยวัตถุสำหรับด่า ๑๐ อย่างเช่นว่า ๑ “ เจ้าเป็นโจร ๒ เจ้าเป็นพาล ๓ เจ้าเป็นบ้า ๔.เจ้าเป็นอูฐ ๕ เจ้าเป็นวัว ๖ เจ้าเป็นลา ๗ เจ้าเป็นสัตว์นรก ๘ เจ้าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ๙ สุคติของเจ้าไม่มี ๑๐ เจ้าหวังได้ทุคติอย่างเดียว”

ท่านพระอานนท์ฟังคำนั้นแล้ว ได้กราบทูลต่อพระศาสดาว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาวเมืองเหล่านี้ ย่อมด่า ย่อมบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปในที่อื่นจากที่นี้”

พระศาสดาตรัสถามว่า “เราจะไปที่ไหน ? อานนท์”

พระอานนท์กราบทูลว่า “ไปเมืองอื่น พระเจ้าข้า”

พระศาสดา : เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่ เราจักไปในที่ไหนกันอีกเล่า ? อานนท์

พระอานนท์ : ไปสู่เมืองอื่น แม้จากเมืองนั้น พระเจ้าข้า

พระศาสดา : เมื่อพวกมนุษย์ในเมืองนั้นด่าอยู่ เราจักไปในที่ไหนกันเล่า ?

พระอานนท์ : ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้น พระเจ้าข้า

พระศาสดา : อานนท์ การทำอย่างนี้ไม่ควร อธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด เมื่ออธิกรณ์นั้นสงบระงับแล้วในที่นั้นแล จึงควรไปในที่อื่น ; อานนท์ ก็พวกเหล่านั้น ใครเล่า ? ด่า

พระอานนท์ : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกเหล่านั้นทุกคนจนกระทั่งพวกทาสและกรรมกรด่า

พระศาสดา ตรัสว่า

“อานนท์ เราเป็นเช่นกับช้างตัวก้าวลงสู่สงคราม ก็การอดทนลูกศรอันมาจาก ๔ ทิศ ย่อมเป็นภาระของช้างซึ่งก้าวลงสู่สงครามฉันใด ชื่อว่าการอดทนต่อถ้อยคำอันคนทุศีลเป็นอันมากกล่าวแล้ว ก็เป็นภาระของเราฉันนั้นเหมือนกัน”

พระศาสดาครั้นทรงแสดงธรรมอย่างนั้นแล้ว ตรัสว่า

“อานนท์ เธออย่าคิดไปเลย พวกเหล่านั้นจักด่าได้เพียง ๗ วันเท่านั้น ในวันที่ ๗ จักเป็นผู้นิ่ง;เพราะว่า อธิกรณ์ซึ่งเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เกิน ๗ วันไป”


๐ เศรษฐีถวายมหาทาน

ส่วนเศรษฐีของนครทั้ง ๓ คนนั้น ทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไป ด้วยสักการะ ยิ่งใหญ่ ถวายมหาทาน เศรษฐีเหล่านั้นกำลังถวายทานต่อเนื่องกันไป ก็ล่วงเวลาไปเดือนหนึ่ง ครั้งนั้น เศรษฐีเหล่านั้น ก็ดำริอย่างนี้ว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงอุบัติมาอนุเคราะห์โลกทั้งปวง เราจัก ให้โอกาสแก่คนเหล่าอื่นกันบ้าง เศรษฐีชาวกรุงโกสัมพีนั้น จึงให้โอกาสแก่ประชาชน ตั้งแต่นั้นมา ชาวกรุงทั้งหลายจึงถวายมหาทาน โดยจัดเป็นสายคนร่วมถนน สายคนร่วมคณะ


๐ เรื่องนางขุชชุตตรา

ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดามีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งในเรือน ของหัวหน้าช่างทำดอกไม้ ขณะนั้นนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้พระนางสามาวดี นำกหาปณะ ๘ กหาปณะไปเรือนนั้น เพื่อต้องการดอกไม้ หัวหน้าช่างทำดอกไม้ เห็นนางก็กล่าวว่า แม่อุตตรา ไม่มีเวลาทำดอกไม้ ให้เธอดอก ฉันจักเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้เธอ ก็จงเป็นสหายในการเลี้ยงดูด้วย ด้วยอาการอย่างนี้ ตั้งแต่นี้ไป เธอก็ จักพ้นจากการต้องขวนขวายรับใช้คนเหล่าอื่น แต่นั้น นางขุชชุตตรา บริโภคอาหารที่ตนได้แล้ว ก็ทำการขวนขวายในโรงอาหาร เพื่อพระพุทธะทั้งหลาย นางเรียนธรรมที่พระศาสดาตรัสด้วยอำนาจอุปนิสันนกถา ไว้ได้ทั้งหมด แต่ฟังอนุโมทนาแล้วก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

ในวันอื่นๆ นางให้ ๔ กหาปณะ รับดอกไม้ทั้งหลายแล้วก็ไป แต่ในวันนั้นไม่เกิดจิตคิดอยากได้ในทรัพย์ของผู้อื่น เพราะเป็นผู้เห็นสัจจะแล้ว จึงให้หมดทั้ง ๘ กหาปณะ แล้วบรรจุดอกไม้เต็มกระเช้า นำดอกไม้ไปสำนักพระนางสามาวดี

ลำดับนั้น พระนางตรัสถามนางว่า แม่อุตตรา ในวันก่อนๆ เจ้านำดอกไม้มาไม่มากเลย แต่วันนี้ดอกไม้มาก พระราชาของเราทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้นหรือ

นางไม่ปิดบังกรรมที่ตนทำแต่ก่อน เพราะเป็นผู้ไม่ควรพูดเท็จ บอกเรื่องทั้งหมดเลย ครั้นถูกถามว่า เพราะเหตุไรวันนี้จึงนำมามาก จึงกล่าวอย่างนี้ว่า วันนี้ดิฉันฟังธรรมของพระทศพล กระทำให้แจ้งอมตธรรมแล้ว เพราะเหตุนั้นดิฉันจึงไม่หลอกลวง พวกท่านเจ้าค่ะ

สตรีทั้งหลายฟังคำนั้นแล้ว กล่าวว่า แม่อุตตรา เจ้าจงให้อมตธรรมที่เจ้าได้แล้ว แก่พวกเราด้วย

แล้วก็พากันเหยียดมือออกขอทุกคน นางจึงกล่าวว่า แม่เจ้าเอ๋ย ให้อย่างนั้นไม่ได้ดอก แต่ดิฉันจักแสดงธรรมแก่ท่าน ตามทำนองที่พระศาสดาตรัสแล้ว เมื่อเหตุของตนมีอยู่ พวกท่านจักได้ธรรมนั้น

สตรีทั้งหลายกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น จงกล่าวเถิดแม่อุตตรา

นางกล่าวว่า จะกล่าวอย่างนั้นไม่ได้ดอก จงจัดอาสนะสูงๆ แก่ดิฉัน พวกท่านจงนั่งอาสนะต่ำๆ

สตรีแม้ทั้ง ๕๐๐ นางนั้น ก็ให้อาสนะที่สูงแก่นางขุชชุตตรา ส่วนตนเองนั่งอาสนะ ที่ต่ำ แม้นางขุชชุตตราตั้งอยู่ในเสกขปฏิสัมภิทา แสดงธรรมแก่สตรีเหล่านั้น

จบเทศนา สตรีทั้งหมดมีพระนางสามาวดีเป็นพระประมุข ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา สตรีเหล่านั้นก็ให้นางขุชชุตตรา เลิกทำหน้าที่ทำงานรับใช้ แล้วกล่าวว่า ท่านฟังธรรมกถาของพระศาสดา แล้วนำมาให้พวกเราฟัง ตั้งแต่นั้นมา แม้นางขุชชุตตรา ก็ได้กระทำอย่างนั้น

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร นางขุชชุตตรานี้ จึงบังเกิดเป็นทาสี

ตอบว่า ดังได้สดับมา นางขุชชุตตรานี้ ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระนาม ว่า กัสสปะ ได้ให้สามเณรีรูปหนึ่งทำการรับใช้ตน ด้วยกรรมนั้น นางจึงบังเกิดเป็นทาสีของคนอื่นถึง ๕๐๐ ชาติ

ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเป็น หญิงค่อม

ตอบว่า เขาเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ นางอยู่ใน ราชนิเวศน์ของพระเจ้ากรุงพาราณสี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ประจำราชสกุลเป็นคนค่อม จึงทำการเย้ยหยันต่อหน้าเหล่าสตรีที่อยู่ด้วย กันกับตน เที่ยวทำอาการว่าเป็นคนค่อม เพราะเหตุนั้น นางจึงบังเกิด เป็นหญิงค่อม

ถามว่า ก็นางทำบุญอะไรจึงเกิดเป็นผู้มีปัญญา

ตอบว่า เขาเล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ นางบังเกิดแล้วอยู่ในราชนิเวศน์ของ พระเจ้ากรุงพาราณสี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ ถือบาตรที่เต็ม ด้วยข้าวปายาสร้อนจากราชนิเวศน์เดินไป กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า โปรด หยุดพักตรงนั้น แล้วค่อยไป จึงปลดทองปลายแขน ๘ วง ถวายไป ด้วยผลของกรรมนั้น นางจึงบังเกิดเป็นผู้มีปัญญา



(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 พ.ย.2006, 1:03 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ย. 2006, 8:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครั้งนั้นแล สตรี ๕๐๐ นาง บริวารของพระนางสามาวดี แม้จะบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปสำนักของพระศาสดาเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าตามกาลอันสมควร ทั้งนี้เพราะพระราชาไม่ทรงมีศรัทธา

เพราะเหตุนั้น เมื่อพระทศพลเสด็จพระราชดำเนินระหว่างถนน เหล่าสตรีทั้งหลายได้โอกาสเพื่อจะชมพระบารมีพระศาสดา แต่ครั้นเมื่อหน้าต่างทั้งหลายในพระราชวังมีไม่พอ สตรีเหล่านั้นจึงเจาะช่องน้อยในห้องของตนมองดูพระศาสดา

ต่อมาวันหนึ่ง พระนางมาคัณฑิยา เสด็จดำเนินออกจากปราสาทของพระองค์ ไปยังที่อยู่ของสตรีเหล่านั้น เห็นช่องน้อยในห้องจึงทรงถามว่า นี้อะไร เมื่อสตรีเหล่านั้นไม่รู้เรื่องการผูกอาฆาตในพระศาสดาของพระนางมาคัณฑิยาจึงทูลว่า

“พระศาสดาเสด็จมาพระนครนี้ พวกเรายืนที่ตรงนั้น จักเห็น จักบูชาพระศาสดา เจ้าค่ะ”

พระนางมาคัณฑิยาทรงเห็นว่า สตรีเหล่านี้เป็นอุปัฏฐายิกาของพระสมณโคดมนั้นจึงทรงพลอยผูกอาฆาตในสตรีเหล่านี้ไปด้วย ดังนั้นจึงได้เสด็จไปกราบทูลพระราชาว่า

“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สตรีเหล่านี้ พร้อมกับพระนางสามาวดี ปรารถนาจะออกไปภายนอก มันจะทำชีวิตของพระองค์ให้ม้วยมรณ์ที่สุด ๒-๓ วัน เพคะ”

พระราชาไม่ทรงเชื่อว่าสตรีเหล่านั้น จักกระทำอย่างนั้น แม้เมื่อพระนางมาคัณฑิยาทูลอีก ก็ไม่ทรงเชื่ออยู่นั่นเอง

ครั้งนั้น แม้เมื่อพระนางกราบทูลถึง ๓ ครั้ง พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ พระนางมาคัณฑิยาจึงกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อ ขอพระองค์โปรดเสด็จไปยังที่อยู่ของสตรีเหล่านั้นแล้วทรงสอบสวนดู เพคะ”

พระราชาเสด็จไปพบช่องในห้องทั้งหลายจึงตรัสถามว่า อะไร เมื่อเขากราบทูลความข้อนั้น ก็มิได้ทรงกริ้วสตรีเหล่านั้น ไม่ตรัสอะไร เพียงรับสั่งให้ปิดช่องเหล่านั้นเสีย

พระนางมาคัณฑิยาตรัสว่า พระนางสามาวดีกับบริวารไม่ทรงมีความเยื่อใย หรือความรักในพระองค์ เมื่อหน้าต่างมีไม่พอ จึงเจาะช่องเหล่านั้น สร้างโอกาสในการมองดูพระสมณโคดม เสด็จไประหว่างถนน

ตั้งแต่นั้นมาพระราชาก็มีรับสั่งให้ปิดช่องทั้งหลายเสีย แล้วให้ทำหน้าต่างมีช่องน้อยไว้ในห้องทั้งปวง ได้ยินว่า หน้าต่างมีช่องน้อยทั้งหลาย เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในครั้งนั้น


๐ พระนางมาคัณฑิยาหาความด้วยเรื่องไก่

พระนางมาคัณฑิยานั้นเมื่อไม่อาจทำพระราชาให้ทรงกริ้วด้วยเหตุนั้นได้ วันหนึ่ง จึงได้ส่งข่าวไปบอกแก่นายมาคัณฑิยะผู้เป็นอา ขอให้ส่งไก่ที่ตายแล้ว ๘ ตัว และไก่ที่ยังเป็นมา ๘ ตัว เมื่อมาแล้ว จงยืนอยู่ที่บันได เมื่อมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็จงหาเหตุอย่าเข้ามา จงส่งไก่เป็น ๘ ตัวมาก่อน ส่งไก่ตายนอกนี้มาภายหลัง

วันหนึ่งเมื่อทำการรับใช้อยู่ในที่เป็นที่เสวยน้ำจัณฑ์ของพระราชา นายมาคัณฑิยะผู้เป็นอาก็มาตามที่ได้นัดแนะกันไว้ เมื่อมหาดเล็กไปทูลพระราชาให้ทรงทราบก็ทรงรับสั่งว่า “จงเข้ามา”

นายมาคัณฑิยะก็กล่าวว่า “เราจักไม่เข้าไปสู่ที่ที่เป็นที่เสวยน้ำจัณฑ์ของพระราชา”

ฝ่ายพระนางมาคัณฑิยาส่งมหาดเล็กไปด้วยคำว่า “พ่อ จงไปสู่สำนักแห่งอาของเรา”

ครั้นมหาดเล็กไปแล้ว ก็กลับมาพร้อมกับไก่เป็น ๘ ตัวซึ่งนายมาคัณฑิยะนั้นส่งมาถวาย แล้วมากราบทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ท่านปุโรหิต ส่งเครื่องบรรณาการมาแล้ว”

พระราชาตรัสว่า “ดีแท้ แกงอ่อมเกิดขึ้นแก่พวกเราแล้ว ใครหนอแล ? ควรแกง”

พระนางมาคัณฑิยาทูลว่า “เทวะ เราจักรู้กันว่า สตรีเหล่านั้นมีความรักหรือไม่มีความรักในพระองค์ ขอพระองค์โปรดส่งไก่ ๘ ตัวไปให้สตรีเหล่านั้น แกงถวายพระองค์สิ เพคะ”

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วรับสั่งว่า จงแกงไก่เหล่านี้ส่งไป ทรงส่งไก่ ๘ ตัวแก่พระนางสามาวดี พระอริยสาวิกาผู้เป็นโสดาบัน รู้ว่า ไก่ยังเป็นอยู่ จักแกงได้อย่างไร จึงตรัสปฏิเสธว่า อย่าเลย ไม่ปรารถนาแม้แต่จะเอาพระหัตถ์จับต้อง

พระนางมาคัณฑิยากราบทูลว่า ข้อนั้นยกไว้ก็ได้ พระมหาราชเจ้า ขอได้โปรดทรงส่งไก่เหล่านี้นี่แหละไปเพื่อให้แกงถวายพระสมณโคดม พระราชาก็ทรงทำอย่างนั้น

พระนางมาคัณฑิยาทรงให้คนไปเปลี่ยนเป็นไก่ตายเสียในระหว่างทางแล้วส่งไปด้วยรับสั่งว่า พระนางสามาวดีจงแกงไก่เหล่านี้ถวายพระสมณโคดม

พระนางสามาวดีนั้น เพราะทรงเข้าพระทัยอย่างนั้น และเพราะมีพระทัยจดจ่อต่อ พระทศพล จึงแกงไก่ส่งไปถวายแด่พระทศพล พระนางมาคัณฑิยาทูลว่า ทอดพระเนตรเอาเถิด พระมหาราชเจ้า ดังนี้ ก็ไม่สามารถทำพระราชาให้ทรงกริ้วได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้


๐ พระนางมาคัณฑิยาหาความด้วยเรื่องงู

ก็พระเจ้าอุเทนนี้ประทับอยู่ในสถานที่อยู่ของบรรดานางเทวีเหล่านั้น พระองค์หนึ่ง ๆ พระองค์ละ ๗ วัน ส่วนพระนางมาคัณฑิยานี้ ใช้ให้คนเอาลูกงูเห่าตัวหนึ่งใส่ไว้ในปล้องไม้ไผ่ วางไว้ ณ สถานที่อยู่ของตน

พระราชานั้นเมื่อเสด็จไปที่ใดก็จะทรงถือพิณชื่อหัตถิกันตะไปด้วยเสมอ

เวลาพระราชาเสด็จมาหาตน พระนางมาคัณฑิยาก็ใส่ลูกงูนั้นไว้ภายในพิณและปิดช่องไว้ กราบทูลว่า

“พระมหาราชเจ้า เวลาเสด็จไปหานางสามาวดี ขึ้นชื่อว่านางสามาวดีเข้าข้างพระสมณโคดม ไม่นำพาพระองค์เลย ทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คิดแต่จะให้โทษพระองค์เท่านั้น ขอพระองค์อย่าทรงประมาท”

พระราชาทรงถึงสถานที่อยู่ของพระนางสามาวดี ประทับอยู่ ๗ วัน ได้เสด็จไปนิเวศน์ของพระนางมาคัณฑิยาอีก ๗ วัน เมื่อพระราชาเสด็จมาพระนางมาคัณฑิยารับพิณจากพระหัตถ์ของพระราชามาเขย่าตรัสว่า

“พระมหาราชเจ้า อะไรอยู่ข้างในนี้เพคะ” แล้วเปิดช่องให้งูออกไป เมื่องูเลื้อยออกมาก็ร้องว่า

“ว้าย งูอยู่ข้างใน” แล้วทิ้งพิณลง หนีไป

พระเจ้าอุเทนลงโทษพระนางสามาวดี

พระราชาทอดพระเนตรเห็นงู ก็ทรงสะดุ้งพระหฤทัย กลัวแต่มรณะ พระเนตรลุกโพลงด้วยความพิโรธว่า “หญิงเหล่านี้มาทำกรรมแม้เห็นปานนี้ ชิ ชิ เราก็ชั่วช้า ไม่เชื่อคำของนางมาคัณฑิยาผู้บอกความที่หญิงเหล่านี้เป็นคนลามก ครั้งก่อนมันเจาะช่องไว้ในห้องทั้งหลายของตนนั่งอยู่แล้ว เมื่อเราส่งไก่ไปให้ก็ส่งคืนมาอีก วันนี้ปล่อยงูไว้บนที่นอน”

เวลานั้น พระราชาทรงตวาดด้วยความเกรี้ยวกราด เหมือนไฟไหม้ป่าไม้ไผ่ฉะนั้น และเหมือนเตาไฟใส่เม็ดเกลือลงไปฉะนั้น รับสั่งว่าจงเรียกสามาวดีกับบริวารมา

พวกราชบุรุษก็ไปเรียก

พระนางสามาวดีนั้นทรงทราบว่าพระราชาทรงกริ้ว จึงให้ตรัสแก่เหล่าสตรีพวกนั้นว่า

“พระราชาทรงประสงค์จะฆ่าพวกเรา จึงเรียกมา วันนี้ พวกเราจงแผ่เมตตาเจาะจงแก่พระราชาตลอดเวลานะ”

พระราชาทรงเรียกหญิงเหล่านั้น ให้ทุกคนยืนเรียงกัน ทรงจับธนูคันใหญ่ ทรงสอดลูกธนูอาบยาพิษ ประทับยืนเหนี่ยวธนูเต็มที่ ขณะนั้นสตรีทั้งหมดนั้นมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ก็พากันแผ่เมตตาโดยเจาะจงแก่พระราชา

พระราชาก็ไม่สามารถยิงลูกธนู และปลดลูกธนูลงได้ พระเสโทก็หลั่งออกจากพระวรกาย พระวรกายสั่นเทิ้ม พระเขฬะไหลออกจากพระโอษฐ์ ไม่ทรงเห็นที่พึ่งที่ควรจะพึ่งได้

ลำดับนั้น พระนางสามาวดีกราบทูลพระราชาว่า พระมหาราชเจ้า ทรงลำบากหรือเพคะ

พระราชาตรัสว่า จริงจ้ะเทวี พี่ลำบาก ดีละ เจ้าจงเป็นที่พึ่งของพี่ด้วย

พระนางสามาวดีกราบทูลว่า ดีละ พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงทรงหันลูกธนูลงดินเพคะ

พระราชาก็ทรงปฏิบัติตาม พระนางอธิษฐานว่า ขอลูกธนูจงหลุดจากพระหัตถ์ของพระราชา ขณะนั้นลูกธนูก็หลุดแล้วพุ่งลงดินไป ในขณะนั้นเอง พระราชาทรงดำลงในน้ำ เสด็จมาทั้งที่พระเกศาเปียก พระภูษาเปียก หมอบลงแทบพระบาทพระนางสามาวดีตรัสว่า

“เราฟั่นเฟือน เลือนหลง ทิศทั้งปวงย่อม
มืดตื้อแก่เรา สามาวดีเอ๋ย เจ้าจงต้านทานเรา
ไว้ และเจ้าจงเป็นที่พึ่งของเรา”

พระนางสามาวดีสดับพระดำรัสของท้าวเธอแล้ว ก็มิได้กราบทูลว่า “ดีแล้ว สมมติเทพ พระองค์จงถึงหม่อมฉันเป็นที่พึ่งเถิด” แต่กราบทูลว่า

“ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันถึงผู้ใดว่าเป็นที่พึ่ง แม้พระองค์ก็จงถึงผู้นั้นแล ว่าเป็นที่พึ่งเถิด”

ลำดับนั้น พระราชาตรัสว่า

“ถ้าเช่นนั้น เราขอถึงเจ้าและพระศาสดาว่าเป็นที่พึ่ง และเราจะให้พรแก่เจ้า”

พระนางสามาวดีจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันขอรับพรนั้นไว้”

ท้าวเธอเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทรงถึงพระศาสดาเป็นสรณะแล้ว ทรงนิมนต์ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์สิ้น ๗ วันแล้ว ทรงเรียกพระนางสามาวดีมาตรัสว่า

“เจ้าจงลุกขึ้นรับพร”

พระนางสามาวดีกราบทูลว่า

“ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันไม่มีความต้องการด้วยสิ่งทั้งหลายมีเงินเป็นต้น แต่ขอพระองค์จงพระราชทานพรนี้แก่หม่อมฉัน: คือพระศาสดาพร้อมทั้งภิกษุ ๕๐๐ รูป จะเสด็จมา ณ ที่นี้เนืองนิตย์ได้โดยประการใด ขอพระองค์ทรงกระทำโดยประการนั้นเถิด หม่อมฉันจักฟังธรรม”

พระราชาถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงเสด็จมาในที่นี้เนืองนิตย์พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปเถิด พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า : มหาบพิตร ธรรมดาการไปในที่เดียวเนืองนิตย์ย่อมไม่ควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะมหาชนเหล่าอื่นหวังที่จะได้สักการะพระพุทธเจ้าอยู่

พระราชา : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์ทรงสั่งภิกษุไว้รูปหนึ่งเถิด

พระศาสดาทรงสั่งพระอานนท์เถระแล้ว จำเดิมแต่นั้น พระอานนทเถระนั้นก็พาภิกษุ ๕๐๐ รูปไปสู่ราชสกุลเนืองนิตย์ พระเทวีแม้เหล่านั้น เลี้ยงพระเถระพร้อมทั้งบริวาร ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์


๐ พระราชาทรงถวายจีวรแก่พระอานนท์

วันหนึ่ง หญิงเหล่านั้น ฟังธรรมกถาของพระเถระแล้ว เลื่อมใสได้กระทำการบูชาธรรมด้วยผ้าอุตราสงค์ ๕๐๐ ผืน อุตราสงค์ผืนหนึ่งๆ ย่อมมีค่าถึง ๕๐๐ พระราชาไม่ทรงเห็นผ้าสักผืนหนึ่งของหญิงเหล่านั้น จึงตรัสถามว่า “ผ้าอุตราสงค์อยู่ที่ไหน ?”

พวกหญิง : พวกหม่อมฉันถวายแล้วแด่พระผู้เป็นเจ้า

พระราชา : พระผู้เป็นเจ้านั้น รับทั้งหมดหรือ ?

พวกหญิง : เพคะ รับ (ทั้งหมด)

พระราชาเสด็จเข้าไปหาพระเถระแล้ว ตรัสถามความที่หญิงเหล่านั้นถวายผ้าอุตราสงค์ ทรงสดับความที่ผ้าอันหญิงเหล่านั้นถวายแล้ว และความที่พระเถระรับไว้แล้ว จึงตรัสถามว่า “ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลายมากเกินไปมิใช่หรือ ? ท่านจักทำอะไรด้วยผ้ามีประมาณเท่านี้ ?”

พระเถระ : มหาบพิตร อาตมภาพรับผ้าไว้พอแก่อาตมภาพแล้ว จักถวายผ้าที่เหลือแก่ภิกษุทั้งหลายผู้มีจีวรเก่า

พระราชา : ภิกษุทั้งหลาย จักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร ?

พระเถระ : เธอจักให้แก่ภิกษุผู้มีจีวรเก่ากว่าทั้งหลาย

พระราชา : ภิกษุเหล่านั้นจักทำจีวรเก่าของตนให้เป็นอะไร ?

พระเถระ : เธอจักทำให้เป็นผ้าปูนอน

พระราชา : เธอจักทำผ้าปูนอนเก่าให้เป็นอะไร ?

พระเถระ : เธอจักทำให้เป็นผ้าปูพื้น

พระราชา : เธอจักทำผ้าปูพื้นเก่าให้เป็นอะไร ?

พระเถระ : ขอถวายพระพร เธอจักทำให้เป็นผ้าเช็ดเท้า

พระราชา : เธอจักทำผ้าเช็ดเท้าเก่าให้เป็นอะไร ?

พระเถระ : เธอจักโขลกให้ละเอียดแล้ว ผสมด้วยดินเหนียวฉาบฝา พระราชา ท่านผู้เจริญ ผ้าทั้งหลายที่ถวายแด่พวกพระผู้เป็นเจ้าจักไม่เสียหาย แม้เพราะทำกรรมมีประมาณเท่านั้นหรือ ?

พระเถระ : อย่างนั้น มหาบพิตร

พระราชาทรงเลื่อมใสแล้ว รับสั่งให้นำผ้า ๕๐๐ อื่นอีกมากให้ตั้งไว้แทบบาทมูลของพระเถระแล้ว

เขาว่า ในชาติก่อน พระเถระได้ถวายชิ้นผ้าบนฝ่าพระหัตถ์ พร้อมด้วยเข็มเล่มหนึ่งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งในเวลาเย็บผ้า ด้วยผลของเข็ม พระเถระนั้นได้เป็นผู้มีปัญญามากในอัตภาพนี้ ทั้งได้ผ้า ๕๐๐ ผืน ตามทำนองนี้ด้วยผลแห่งชิ้นผ้า


๐ พระนางสามาวดีถูกไฟคลอก

แต่นั้น พระนางมาคัณฑิยาไม่เห็นกิจที่จะพึงทำอย่างอื่น จึงกราบทูล ว่า พระมหาราชเจ้า พวกเราจะไปพระอุทยานกันนะเพคะ พระราชา ทรงอนุญาตว่า ดีละเทวี ดังนี้แล้ว พระนางจึงให้เรียกอามาสั่งว่า

ขออาจงไปปราสาทของนางสามาวดี ให้เปิดเรือนคลังผ้าและเรือนคลังน้ำมันแล้ว ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้วพันเสา ขังพระนางสามาวดีพร้อมทั้งบริวารไว้ข้างใน ปิดประตู ลั่นดาลภายนอก เอาคบไฟมีด้ามจุดไฟตำหนัก ลงแล้วจงไปเสีย “ นายมาคัณฑิยะนั้นขึ้นสู่ปราสาท ให้เปิดเรือนคลังทั้งหลาย ชุบผ้าในตุ่มน้ำมันแล้วเริ่มพันเสา

ลำดับนั้น หญิงทั้งหลายมีพระนางสามาวดีเป็นประมุข กล่าวกะนายมาคัณฑิยะอยู่ว่า

“นี่อะไรกัน ? อา” นายมาคัณฑิยะเข้าไปหาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า

“แม่ทั้งหลาย พระราชารับสั่งให้พันเสาเหล่านี้ด้วยผ้าชุบน้ำมัน เพื่อประโยชน์แก่การทำให้มั่นคง ธรรมดาในพระราชวัง เรื่องที่กระทำ จะเป็นเรื่องดี หรือเรื่องชั่ว เป็นของรู้ได้ยาก จงอย่าอยู่ในที่ใกล้เราเลย แม่ทั้งหลาย“ ดังนี้แล้ว ให้หญิงเหล่านั้นเหล่านั้นเข้าไปในห้อง ปิดประตูแล้ว ลั่นดาลภายนอก จุดไฟ ตั้งแต่ต้นลงมาแล้ว

พระนางสามาวดีได้ให้โอวาทแก่หญิงเหล่านั้นว่า “การกำหนดอัตภาพ ซึ่งถูกไฟเผาอย่างนี้ของพวกเราผู้ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร อันมีส่วนสุดไม่ปรากฏแล้ว แม้พุทธญาณก็ไม่ทำได้โดยง่าย ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด” หญิงเหล่านั้นเมื่อตำหนักถูกไฟไหม้อยู่ มนสิการซึ่งเวทนาปริคคหกัมมัฏฐาน (กัมมัฏฐาน มีอันกำหนดเวทนาเป็นอารมณ์) บางพวกบรรลุสกทาคามีผล บางพวกบรรลุอนาคามีผล

วันนั้นสตรีเหล่านั้นทั้งหมดไม่อาจเข้าสมาบัติได้ เพราะอานุภาพของอุปปีฬกกรรมที่ทำในชาติก่อน ก็มอดไหม้ประหนึ่งกองขี้เถ้าพร้อมกันหมด


๐ พระเจ้าอุเทนลงโทษพระนางมาคัณฑิยากับพวก

พระราชา ทรงสดับว่า ตำหนักของพระนางสามาวดีถูกไฟไหม้ แม้เสด็จมาโดยเร็ว ก็ไม่ทันทันแก่การณ์ ครั้นเสด็จมาถึงแล้ว ทรงเกิดโทมนัสมีกำลัง แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ประทับนั่งอนุสรณ์ถึงพระคุณของพระนางสามาวดี ทรงพระดำริว่า “นี้เป็นการกระทำของใครหนอ ?” ดังนี้แล้ว ทรงทราบว่า “กรรมนี้ จักเป็นกรรมอันนางมาคัณฑิยาให้ทำแล้ว” ทรงพระดำริว่า “นางมาคัณฑิยานั้น อันเราทำให้หวาดกลัวแล้วถาม ก็จักไม่บอก เราจักค่อยๆ ถามโดยอุบาย”

พระราชาจึงตรัสกะอำมาตย์ทั้งหลายว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย ในกาลก่อนแต่กาลนี้ เราลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ก็เป็นผู้ระแวงสงสัยอยู่รอบข้างทีเดียว นางสามาวดีแสวงหาแต่โทษเราเป็นนิตย์ นางก็ตายไปแล้ว ก็บัดนี้ เราจักเย็นใจได้ละ เราจักได้อยู่โดยความสุข”

พวกอำมาตย์ทูลว่า “ข้าแต่สมมติเทพ กรรมนี้อันใครหนอแลทำแล้ว ?”

พระราชาตรัสตอบว่า “จักเป็นกรรม อันใครๆ ทำแล้วด้วยความรักในเรา”

พระนางมาคัณฑิยาทรงยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้ ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกราบทูลว่า “ใครๆ คนอื่นจักไม่อาจทำได้ พระเจ้าข้า กรรมนี้อันหม่อมฉันทำแล้ว หม่อมฉันสั่งอาให้ทำ”

พระราชาตรัสว่า “ชื่อว่าสัตว์ผู้มีความรักในเราอื่น ยกไว้เสียแต่เจ้า ย่อมไม่มี เราพอใจ พระเทวี เราจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจงให้เรียกหมู่ญาติของตนมา”

นางส่งข่าวไปแก่พวกญาติว่า “พระราชาทรงพอพระหฤทัย จะพระราชทานพรแก่เรา จงมาเร็ว”

พระราชารับสั่งให้ทำสักการะใหญ่ แก่ญาติทั้งหลายของพระนางมาคัณฑิยา ซึ่งมาแล้วๆ แม้พวกคนผู้มิใช่ญาติของพระนางมาคัณฑิยาเห็นสักการะนั้นแล้ว ก็ให้สินจ้าง กล่าวว่า “พวกเราเป็นญาติของพระนางมาคัณฑิยา” พากันมาแล้ว

พระราชารับสั่งให้จับคนเหล่านั้นทั้งหมดไว้ แล้วให้ขุดหลุมทั้งหลายประมาณแค่สะดือ ที่พระลานหลวงแล้ว ให้คนเหล่านั้นนั่งลงในหลุมเหล่านั้นเอาดินร่วนกลบ ให้เกลี่ยฟางไว้เบื้องบน แล้วจุดไฟ ในเวลาที่หนังถูกไฟไหม้แล้ว รับสั่งให้ไถด้วยไถเหล็กทั้งหลาย ให้ทำให้เป็นท่อนและหาท่อนมิได้ หรือเป็นชิ้นและหาชิ้นมิได้

พระราชารับสั่งให้เชือดเนื้อ แม้จากสรีระของพระนางมาคัณฑิยา ตรงที่มีเนื้อล่ำๆ ด้วยมีดอันคมกริบแล้ว ให้ยกขึ้นสู่เตาไฟอันเดือดด้วยน้ำมัน ให้ทอดดุจขนมแล้ว ให้เคี้ยวกินเนื้อนั้นแล


๐ ทรงพยากรณ์คติของอุบาสิกาเหล่านั้น

ครั้งนั้นแลภิกษุเป็นอันมาก กลับจากบิณฑบาตในภายหลังแห่งภัต (หลังจากฉันข้าว) พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่โดยที่ใด เข้าไปเฝ้าโดยที่นั้น ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ในเวลาที่พระเจ้าอุเทน เสด็จไปสู่พระราชอุทยาน พระตำหนักของพระนางสามาวดีถูกไฟไหม้แล้ว หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขทำกาละแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คติของอุบาสิกาเหล่านั้นเป็นอย่างไร ? สัมปรายภพเฉพาะหน้าเป็นอย่างไร ?”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ในอุบาสิกาเหล่านี้ อุบาสิกาที่เป็นโสดาบันก็มี เป็นสกทาคามีก็มี เป็นอนาคามีก็มี อุบาสิกาทั้งหมดนั้นไม่เป็นผู้ไร้ผลทำกาละดอก ภิกษุทั้งหลาย”

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้วทรงเปล่งพระอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

“โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ
ดุจรูปอันสมควร คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่อง
ผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี
ความเที่ยง ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่”


ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า

“ภิกษุทั้งหลายธรรมดาสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์กระทำบุญกรรมก็มี เป็นผู้มีความประมาทกระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง”


๐ ความตายของพระนางสามาวดีควรแก่กรรมในปางก่อน

ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันในโรงธรรมว่า “ความตายเช่นนี้ ของอุบาสิกาผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ ไม่สมควรเลยหนอ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย”

พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมกันด้วยเรื่องอะไรหนอ ?” เมื่อพวกภิกษุนั้นกราบทูลเรื่องที่กำลังสนทนากันอยู่แล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ความตายนั่นของหญิงทั้งหลาย มีพระนางสามาวดีเป็นประมุข ไม่ควรแล้วในอัตภาพนี้ แต่ว่าความตายอันหญิงเหล่านั้นได้แล้ว สมควรแท้แก่กรรมซึ่งเขาทำไว้ในกาลก่อน”

พระบรมศาสดาอันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนาว่า “กรรมอะไร อันหญิงเหล่านั้นทำไว้ในกาลก่อน พระเจ้าข้า ? ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า


๐ บุรพกรรมของพระนางสามาวดีกับบริวาร

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ให้ฉันอยู่ในพระราชวังเป็นเนืองนิตย์ โดยมีหญิง ๕๐๐ คน คอยบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น

วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๗ องค์ไปสู่หิมวันตประเทศ ส่วนอีกองค์หนึ่ง นั่งเข้าฌานอยู่ในที่รกเต็มไปด้วยหญ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำ

เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้นไป เพื่อทรงเล่นน้ำในแม่น้ำ ณ สถานที่นั้น หญิงเหล่านั้นเล่นน้ำอยู่ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง ก็ขึ้นมาจากการเล่นน้ำแล้ว ครั้นเมื่อถูกความหนาวบีบคั้นก็ใคร่จะผิงไฟ จึงกล่าวกันว่า “ท่านทั้งหลาย พึงหาดูที่ก่อไฟของพวกเรา“ เที่ยวไปๆ มาๆ อยู่เห็นที่รกด้วยหญ้า (ชัฏหญ้า) นั้น จึงยืนล้อมก่อไฟแล้ว ด้วยสำคัญว่า “กองหญ้า”

เมื่อหญ้าทั้งหลายไหม้แล้วก็ยุบลง หญิงเหล่านั้นแลเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงกล่าวกันว่า

“พวกเรา ฉิบหายแล้ว ! พวกเราฉิบหายแล้ว ! พระปัจเจกพุทธเจ้าของพระราชาถูกไฟคลอก พระราชาทรงทราบจักทำพวกเราให้ฉิบหาย เราจักทำท่านให้ไหม้ทั้งหมด”

เพื่อปกปิดความผิดของตนเอง ทุกคนจึงนำฟืนมาจากที่โน้นที่นี้ มาสุมรวมกันทำให้เป็นกองในเบื้องบนแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น แล้วหญิงเหล่านั้นสุมไฟใส่ในฟืนกองนั้นแล้วหลีกไป ด้วยคิดว่า “บัดนี้ จักไหม้ละ”

ความจริงนั้น คนทั้งหลายแม้นำฟืน ๑,๐๐๐ เล่มเกวียนมาสุมอยู่ ก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงอยู่ในสมาบัติ แม้จะเพียงให้รู้สึกว่าอุ่นได้ เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ในวันที่ ๗ ท่านจึงออกจากสมาบัติ แล้วก็ไปตามสบายแล้ว

หญิงเหล่านั้นไหม้ในนรกลิ้นหลายพันปี เพราะผลแห่งกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้ว ก็ต้องมาถูกเผาอยู่ในเรือนที่ถูกไฟไหม้อยู่ โดยทำนองนี้แล สิ้น ๑๐๐ อัตภาพ ด้วยวิบากอันเหลือเศษแห่งกรรมนั้นแล นี้เป็นบุรพกรรมของหญิงเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้


๐ ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา

ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงนำเรื่องที่พระนางแผ่เมตตา ห้ามลูกธนูที่พระราชาทรงกริ้วตนได้ เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง แล้วสถาปนาพระนางสามาวดี อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกา ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา แล



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่หัวข้อนี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไข หรือตอบได้
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง