Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
นิโรธะ (หนังสือ อนาลโยวาท)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2006, 4:06 pm
นิโรธะ
หลวงปู่ขาว อนาลโย
การปฏิบัติอานาปานสติ ถ้าไม่ถูกกับจริต
มีความอึดอัดใจ หายใจไม่สะดวก ไม่สบาย
ถ้าถูก มันจึงสบาย หายใจเบาลง
แต่คนก็ชอบแต่ความสบาย ถ้าไม่สบายไม่ค่อยชอบ
ถ้ามันสบาย มันก็หลงไปเสียกับความสบายล่ะ ถ้าเปลี่ยนบ้างมันจึงจะดี
เปลี่ยนคือความเจ็บป่วยนั้น มันเปลี่ยนบ้าง มันจึงรู้ มันจึงตื่น
หมายความว่าเปลี่ยนมันไม่เพลิน เวทนามันทรมาน ให้เขาปราบเอาบ้าง มันจึงดี
เหมือนกันกับเด็กมันดื้อ มันคะนอง พ่อแม่ต้องเฆี่ยนเอาบ้าง มันจึงหายความคะนอง
จิตของเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ดีสบายแล้ว มันลืม
ให้นั่งภาวนาเป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา
คอยเตือนอย่าดื้อ อย่าคะนอง ให้กำหนดให้มันรู้ทุกข์
พระพุทธเจ้าสอนว่าให้มารู้จักทุกข์ ถ้ามันสบายแล้วมันไม่รู้จักทุกข์
มันมัวแต่เพลินไป ถ้ามันสบายแล้ว ให้มันไม่สบาย แล้วมันจึงกำหนดรู้จักทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าให้มันรู้จักทุกข์
ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด
มันอยู่ที่ใจแล้ว มันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล
แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์
ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง
อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์
นั่นไปหลงสมมุติ พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง
พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ
รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารจักรไม่มีที่สิ้นสุด ให้ปล่อยวางอันนี้
ปล่อยวาง คือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน
เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันจึงจะสงบ
จิตมันจึงจะมีความสุขความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละ
ให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม
ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่า
นิโรธะ
ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือ
สมุทัย
วางอันนี้แหละ ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง
การค้นการพิจารณาเรื่องจิตนี้เรียกว่า
มรรคปฏิปทา
เรียกว่าข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราภาวนาบริกรรมอันใด มันสบายใจ
บริกรรมแล้วก็ต้องพิจารณา
สมถะ
การบริกรรม
วิปัสสนา
เรียกว่า กำหนดพิจารณา
เรื่องพิจารณาสังขารร่างกาย อันนี้เรียกว่าวิปัสสนา
ทำไปพร้อมเมื่อบริกรรมไป บริกรรมไปพอจิตสงบสักหน่อย มันไม่ลงถึงที่
มันก็ต้องค้นคว้า ก็ค้นคว้าร่างกายของเรา ต้องพิจารณาสกนธ์กายของเรานี่แหละ
กรรมฐานทุกคนนั่นแหละ พวกพระ พวกเณร พวกญาติโยมนั่นก็เป็น
กรรมฐาน
กรรมฐานหมด มีอยู่หมดทุกรูปทุกนาม
พระพุทธเจ้าว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรียกว่า
ปัญจกรรมฐาน
กรรมฐานแท้ ให้พิจารณาอันนี้ ผมมันก็ตั้งอยู่บนศีรษะ
พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก
ขนก็ไม่ใช่คน เรามาสำคัญว่าขนเรา เล็บเรา ผมเรา
ฟันก็ไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก
หนังก็ไม่ใช่คน หนังสำหรับห่อกระดูกไว้เท่านั้นแหละ
อาการ ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาแยกออกเป็นสัดเป็นส่วน
อะไรเป็นคนเป็นสัตว์ ไม่สำคัญว่าผู้หญิงผู้ชาย ว่าเขาว่าเรา สำคัญที่คนเห็นผิด
อาการ ๓๒ นี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ
พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ เป็นต้น
หมู่นี้เป็นคนละอย่างๆ มันไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่ามันไม่ใช่คนนะ
อีกอย่าง
พระพุทธเจ้าว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกัน เรียกว่า รูป
รูปใหญ่ มหาภูตรูป สิ่งที่อาศัยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
เวทนา คือความเสวยอารมณ์สุขทุกข์ก็ดี
สัญญา ความจำหมายโน่นหมายนี่ จำโน่นจำนี่
จิตเจตสิก คือ ความคิดความอ่าน
ความปรุงขึ้นที่จิตคือวิญญาณสังขาร
ความรู้ทางอายตนะทั้ง ๖
อันนี้เราว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
เรียกว่า ขันธ์ ไม่มีคนไม่มีสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์
วิญญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้กันอยู่นี่แหละ ค้นไปค้นมาอยู่นั่น มองดูคนอยู่ไหน
สมถะ
คือการบริกรรม
วิปัสสนา
การค้นคว้า
อาการ ๓๒ นี่แหละ ค้นไป ไม่ส่งจิตไปที่อื่น
เวลาเราทำสมาธิ เราต้องตั้งใจว่าเวลานี้เราจะทำหน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราคือจะกำหนดให้มีสติประจำใจ
ไม่ให้มันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก
ให้มีสติประจำใจอยู่ ไม่ให้ไปภายนอก
เดี๋ยวนี้หน้าที่ของเราจะภาวนา จะทำหน้าที่ของเรา
ไม่ต้องคิดการงานข้างนอก เมื่อออกแล้วจะทำอะไรก็ทำไป
เวลาเราจะทำสมาธิทำความเพียรของเรา
ต้องตั้งสัจจะลง ตั้งใจกำหนดอยู่ในสกนธ์กายนี้
กำหนดสติให้รู้กับใจ เอาใจรู้กับใจ ให้จิตอยู่กับจิต กำหนดจิตขึ้น
ให้ทำให้มันพอ อาศัยศรัทธา วิริยะ เหตุทำให้มากๆ อันนี้แหละก้อนธรรม
พระพุทธเจ้าว่าก้อนธรรมอันนี้แหละ ก้อนธรรมหมดทั้งก้อน
ธรรมไม่มีที่อื่น ไม่มีที่อยู่อื่น จำเพาะรูปใคร รูปเราเท่านั้น เป็นธรรมหมดทั้งก้อน
ก้อนธรรมอันนี้ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
พระพุทธเจ้าว่า
ปัญจุปาทานักขันธา อนิจจา
ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
มีความเกิดขึ้นตั้งขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง
มีความแตกสลายไปในเบื้องปลาย
ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ขันธ์อันนี้เป็นทุกข์ มีทุกข์บีบคั้นอยู่
มีแต่ทุกขเวทนานั่นแหละ ความสุขมีนิดเดียว
ผู้ที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสักหน่อยความสุขในโลกนี้
โลกคือสกนธ์โลกอันนี้ สกนธ์กายนี้
ปัญจุปาทานักขันธา อนัตตา
ธรรมทั้งหลายสกนธ์กายอันนี้
ขันธ์ ๕ อันนี้ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งหลายจะเป็นสังขตธรรมหรืออสังขตธรรมก็ตาม ไม่มีความประเสริฐ ไม่มีความดี
พิจารณาเห็นสกนธ์กายว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว
อันนี้เรียกว่าผู้ถึงวิราคะ
วิราโค เสฏโฐ
เป็นธรรมอันประเสริฐ
วิราคะคือความคลายกำหนัดจากอารมณ์ทั้งหลาย นี่เป็นธรรมอันประเสริฐ
นั่นแหละเมื่อถึงวิราคะ เรียกว่า
นิโรโธ
ทุกข์ดับ
มีความเบื่อหน่าย เหนื่อยหน่ายในความเป็นอยู่ของอัตภาพ
นี่แหละเรียกว่าปล่อยวาง เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางตัณหา
ความทะเยอทะยาน ความอยาก ความใคร่ในทางกิเลสกาม
ความอยากเป็นอยากมี ถึงขั้นนี้ก็กิจสำเร็จแล้ว
หนังสือ อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย
ประวัติ ปฏิปทา และคำเทศนา หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู
กัณฑ์ที่ ๔ นิโรธะ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=49961
ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ขาว อนาลโย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22390
รวมคำสอน หลวงปู่ขาว อนาลโย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43187
ประมวลภาพ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=21449
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th