Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ให้จิตมีวิหารธรรม (ก.เขาสวนหลวง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 7:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ให้จิตมีวิหารธรรม
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง

สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี
๒๒ ตุลาคม ๒๕๑๕ (กลางคืน)



ในคืนวันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องการศึกษาภายใน ถ้าเรารู้เรื่องของความมีหมายหรือไม่ มีหมายอยู่ภายในนี้แล้ว การศึกษาจึงจะเข้าในด้านลึกได้ ถ้าว่าเรายังไม่รู้ในลักษณะของมันแล้วเราก็ยังศึกษาอยู่แต่เรื่องข้างนอก เพราะเรื่องข้างนอกนั้นเพียงแต่สมมุติ มีความหมายดีชั่วตัวตนอะไรสารพัดอย่าง นั่นก็คือว่ายังไม่รู้เรื่องข้างใน เพราะบางคนที่เขาทำข้อปฏิบัติ ทำไมเขารู้เรื่องข้างใน รู้เรื่องของสมมุติบัญญัติ ทีนี้จะต้องอ่านมันให้ออก สำหรับผู้ปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึงข้างในก็พูดกันอยู่แต่เรื่องข้างนอกเป็นส่วนมากเพราะยังไม่ได้อ่านตัวจริงเข้าไป มันก็เลยยังไม่รู้อะไร เพียงแค่เรื่องทุกข์เรื่องกิเลสเหล่านี้ก็ยังรู้ไม่ทั่วถึง แล้วมันจะเข้าไปพบสภาวะของสิ่งที่เรียกว่าเป็น สุญญตา คือความว่างจากตัวตนได้อย่างไร มันก็เลยมาเล่นอยู่กับพวกสมมุติหมายอะไรต่ออะไร ทำให้วนเวียนอยู่นี่เอง ถ้าหยุดมองเข้าข้างใน มันจะได้เห็นรุ้งแววของความว่าง แม้แต่การว่างจากกิเลสก็ยังเป็นความรู้สึกได้ว่ามันดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ได้

ทีนี้ข้อสังเกตต้องมองในเรื่องนี้ให้ลึกเข้าข้างใน อย่าให้มันมาติดอยู่กับการคิดนึกปรุงแต่งหมายดีชั่วอะไร ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับพวกสังขารความปรุงนี่เสีย ถ้าจิตนี่มันหยุดคือว่ามันสงบ แล้วก็มองเข้าไป อย่าให้มันมาติดอยู่กับความสงบ เมื่อสงบความปรุงความคิดได้ชั่วครั้งชั่วคราวนิดๆ หน่อยๆ มันยังไม่เพียงพอ จะต้องมีสติปัญญามองเข้าด้านในอย่างเดียว เพราะความปรุงนี่มันคอยปรุงอยู่เรื่อยจึงต้องคอยดูความปรุงทุกลักษณะหมด ให้รู้ลักษณะความเกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไปทุกๆ ขณะ เป็นปัจจุบันธรรม ฉะนั้นความรู้ที่มันยืนรู้ และสภาพรู้ที่ยืนรู้อยู่นั้นตัวนี้เป็นตัวสำคัญ เพระมันจะไปมีความหมายขึ้นมาว่าเป็นตัวเป็นตน นั่นมันไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน มันสักแต่ว่าเป็นความรู้ ไม่ว่าจะรู้อะไรทั้งหมดนี้ ขอให้สักแต่เป็นความรู้ แล้วก็อย่าไปมีความหมายว่าเป็นตัวเป็นตน มันต้องมองย้อนเข้าข้างในอย่างเดียว แม้ว่าจะรู้สึกอะไรขึ้นมาในลักษณะไหน ก็ไม่ให้ไปหมายที่ให้ดูไม่ให้มีหมายนี้ มันก็ไม่ใช่ของง่ายนัก เพราะว่ามันจะต้องหมายขึ้นมาหลอกคือ หมายดีหมายชั่ว แล้วมันก็ปรุงแต่งเรื่อยไป

เพราะฉะนั้นสัญญาคือความจำหมาย มันก็มีเป็นเครื่องแก้กันอยู่ในพวกสัญญาเหมือนกับ นิจจสัญญา คือ ความจำหมายว่าเที่ยง ทีนี้สัญญาที่ตรงกันข้ามเช่น สัญญาในความไม่เที่ยง อย่างนี้มันก็ต้องมาแก้กันได้ ถ้ามันมีสัญญาความจำหมายว่าเที่ยง ก็มีความรู้ของสติปัญญาขึ้นมาว่า มันไม่เที่ยง แต่ถ้าอ่านกันตรงตัวตรงจุดอย่างนี้เข้าไปก่อน มันจึงจะรู้ลักษณะของสัญญานี้ ยังไม่ถึงขั้น ที่จะเป็นเครื่องอ่านในเรื่องความหมายออก เพราะว่ามันต้องใช้ ถ้าไม่ใช้มัน มันก็ต้องอ่านตัวสัญญาที่เป็นความจำหมาย ให้มันเป็นของว่างจากตัวตน นี่มันจะต้องรู้ให้ชัดเจนขึ้นว่า ลักษณะของความหมายที่เป็นความจำ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มันก็อยู่ในลักษณะความจำได้หมายรู้ และทีนี้จะอ่านสัญญาความจำหมายนั้นว่า มันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน แล้วมันก็เป็นเครื่องแก้ทำลายถ่ายถอนความจำผิดคิดผิดเห็นผิด ในเรื่องของความเที่ยงสุขตัวตนนี้เสีย

เพราะฉะนั้นจะต้องมองกันให้ลึกเข้าไป อย่าให้มันมาติดอยู่ในขั้นของความหมาย โดยเฉพาะก็จะต้องมองให้รู้ลักษณะของสัญญา ที่ปรากฏให้เป็นของว่างจากตัวตนไปเสียทีเดียว ให้เพียงแต่ว่าเป็นความรู้สึกจำได้ แล้วก็ดับไป ถ้าไม่ยึดถือมันก็มีลักษณะอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นสัญญาขันธ์ จะไปห้ามไม่ให้มีการจำก็ห้ามไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาให้รู้สัญญา นี่มันเป็นของเปลี่ยนแปลงแล้วก็ว่างจากตัวตนเสียเอง ไม่ว่าจะจำหมายอะไรขึ้นมาทั้งหมดนี้ ให้เพ่งดับสัญญาคือ ไม่ยึดถือ ไม่ว่าสัญญาในความเที่ยงหรือไม่เที่ยงนี่ก็ให้ปล่อย ให้เห็นว่าสัญญานี้มีลักษณะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่มีตัวตน ในการมองสัญญาก็ต้องพยายามให้เห็นชัด ถึงมันจะรู้ยากเพราะความจำหมายนี่มันคอยสอพลอก่อเกิด ก็ต้องมองมันอยู่ดี

ถ้าไม่มองให้รู้ว่ามันว่างจากตัวตนแล้ว มันก็ถูกหลอกอยู่เรื่อย คือจำดี จำชั่ว รูป เสียง กลิ่น รส อะไรก็อยู่ในพวกสัญญาทั้งนั้น ฉะนั้นสัญญานี่จึงเป็นตัวสำคัญ ทำให้เกิดการปรุงการคิดเป็นน้ำไหลไป เพราะว่าหลงสัญญายึดสัญญา ถ้าจะมองดูสัญญาให้เห็นเป็นของเปลี่ยนแปลงเกิดดับ แล้วก็จะว่างจากตัวตนได้ทุกขณะหมด สังขารมันก็ระงับไปเพราะว่าดับสัญญาได้แล้ว สังขารมันก็ดับ ถ้ายังดับสัญญาไม่ได้ สังขารก็ปรุงเรื่อย ทั้งสองลักษณะนี้ มันปรุงจิตอยู่ตลอดเวลา ทั้งดีชั่วอะไรก็รวมความว่า มันต้องจำแล้วมันก็ต้องปรุงไป ทำให้จิตหรือวิญญาณไม่สงบ เพราะฉะนั้นจะต้องพิจารณาดูว่าความจำเริ่มแรกที่มันจะจำอะไรขึ้นมา ก็ดับหรือปล่อยวางมันเสีย แล้วกำหนดรู้จิตให้ติดต่อ และก็ดูสัญญาความจำนั้นเป็นของเกิดดับ ถ้าดับสัญญาได้ มันก็ดับสังขารได้

เรื่องกำหนดให้จิตรู้ติดต่อนี้ ก็คือว่า ให้เอาสัญญามากำหนดรู้จิตเสียแล้วก็สังเกตดู เมื่อเอาสัญญามากำหนดรู้จิต จิตก็ไม่ไปจำหมายในอะไรขึ้นมาหลอกมาปรุง เพราะฉะนั้นจะต้องมีการกำหนด ถ้าไม่กำหนดแล้วมันไม่หยุด มันจะต้องมีการจำการคิดเรื่อยเปื่อยไป เมื่อกำหนดให้มันหยุดได้แล้ว ถ้ามันเผลอไปก็กลับมากำหนดรู้ใหม่ซ้ำเอาไว้ให้มันมาทำหน้าที่อย่างนี้ไปก่อน เพราะยังไม่สามารถจะไปดับหรือปล่อยวางได้ แม้ว่าจะพิจารณาอะไรก็ยังทำไม่ได้ ก็เพียงแต่ว่าเอามากำหนดให้เป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ก็ได้ ต้องฝึกกำหนดไว้ก่อนมากำหนดรู้อยู่

ถ้าว่ามันรู้ได้ติดต่อ ความปรุงความคิดอะไรก็ไม่ก่อเรื่อง เพราะว่ารู้จิตเสียแล้วมันก็หยุดหรือว่ารู้ลมหายใจเสียมันก็หยุด หยุดอยู่แค่นั้นก่อน ยังไม่ต้องไปรู้อะไรมาก เพียงแต่ให้มันหยุดรู้หลักทรงตัวไว้ให้ได้ อย่าให้มันปรุง คอยระงับความจำความคิดให้มันดับลงไปให้ได้ก่อน จึงต้องกำหนดรู้อยู่อย่างเดียวแล้วจิตจะสงบได้ แต่ว่ามันก็อาจจะมีเรื่องแทรกแซงขึ้นมาทุกๆ ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง และสัมผัสทางกายก็ต้องมี แต่ว่าต้องยืนหลักกำหนดรู้เอาไว้ ถึงมันจะเผลอไผลไปก็อยู่ในระยะสั้นยังไม่ปรุงแต่งอะไรยังรู้อยู่ กำหนดรู้จิตอยู่ แล้วก็กำหนดรู้ลมอยู่ ต้องสังเกตไปพร้อม และต้องทำให้ติดต่อทุกอิริยาบถที่จะต้องเฝ้าสังเกตดูให้เป็นความรู้ล้วนๆ ทีเดียว เพราะการฝึกหัดอบรมจิตมันไม่ใช่ทำอยู่อย่างเดียว เพราะมันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในตัวเองทั้งนั้น

ในขั้นรูปธรรมนามธรรม มันก็มีลักษณะเกิดดับเปลี่ยนแปลง แต่ว่าต้องอ่านมันต้องยืนรู้เอาไว้ มันจะเกิดดับเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เพียงแต่ดูอยู่เฉยๆ อย่าไปหมายดีหมายชั่วขึ้นมาก็แล้วกัน ยืนหลักปรกติวางเฉยเอาไว้ให้ได้ ถ้ายืนหลักได้ติดต่อก็พิจารณาได้ การพิจารณามันต้องได้มาตรฐานของจิต ที่กำลังมีการทรงตัวสงบอยู่จึงจะพิจารณาได้ ถ้าจิตนี้มันแส่ส่ายไปตามอารมณ์มันก็ยังไม่สงบ การพิจารณามันก็ไม่มีหลัก เมื่อจิตไม่สงบแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตกไปกับอารมณ์ซ้ำๆ ซากๆ จิตนี้เป็นของฝึกยากก็จริง ถ้าจะเพ่งดูก็ต้องมีความเพียร ถ้าไม่เพียรแล้วเอามันไม่อยู่เหมือนกัน มันกลับกลอกหลอกหลอนอยู่หลายๆ อย่าง ทั้งดีทั้งชั่วและปรุงแต่ง จำหมายอะไรขึ้นมา มันอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยจะได้ เพราะฉะนั้นที่ต้องฝึกกันมากๆ จึงต้องให้ทำกัมมัฏฐาน เพื่อเป็นวิหารธรรมของจิตไว้ก่อน ถ้าจิตนี้ไม่มีวิหารธรรมให้อยู่ มันก็ท่องเที่ยวไปตามอารมณ์ ที่ท่องเที่ยวไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกาย ที่เที่ยวของมันก็เป็นไปอย่างนี้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนให้มีสติกำหนดรู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ทีนี้การที่จะฝึกให้สติมารู้อยู่ ในกาย ในเวทนา ถ้าว่ามันยังไม่ยอมอยู่ ก็ต้องยึดหลักของสติเอาไว้ให้มั่นคงไปก่อน เช่นกับการกำหนดลมให้ติดต่อเอาไว้ก่อน มันจะไปบ้างอยู่บ้างก็ดุมันไปก่อน พอมันรู้ได้ติดต่อจนมั่นคงหนักแน่นแล้วความเผลอเพลินก็น้อยลง หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ คือว่าสตินี้จะตั้งหลักได้ติดต่อตลอดครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่งก็ได้ แต่ว่าต้องยืนหลักให้มั่นคง ถ้าไม่มั่นคงแล้วมันเผลอเพลินคือว่าเผลอสติ แล้วก็มีนิวรณ์เข้ามาครอบงำ เพราะฉะนั้นการฝึกที่เราไม่ค่อยได้สังเกตดูความแยบคายภายในจิตนี้ แม้ว่าจะฝึกทำกัมมัฏฐาน มันก็ไม่ได้อยู่กับกัมมัฏฐาน เพราะว่าเรือนที่จะให้อยู่นี้มันไม่คุ้นเคยเหมือนกับคนที่เคยท่องเที่ยวเรื่อยเปื่อยไป มันอยู่บ้านไม่ติด จิตนี่มันก็เที่ยวปรุงเที่ยวคิดเผลอเพลินไปกับพวกนิวรณ์ คือในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่จะควบคุมให้มันมารู้กาย รู้จิตนี้จึงต้องฝึก แล้วก็ต้องสังเกตดูด้วย กว่าจะจับเอาตัวมันมาอยู่กับหลักสตินี้ ก็ไม่ค่อยจะอยู่ได้ง่ายๆ เพราะว่ามันเคยท่องเที่ยวนั่นเอง แต่ก็ต้องพยายามฝึก ถ้าไม่พยายามฝึกแล้วมันก็ไม่มีเรือนจะอยู่ แล้วมันก็ท่องเที่ยวไป เที่ยวไปหาเรื่องเรื่อยไป

พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้ ได้ทรงบอกอยู่แล้วว่า วิหารธรรมเป็นที่ทรงอยู่มากที่สุด ก็คือ อานปานสติ ซึ่งเป็นวิหารธรรมที่อยู่ของจิต แต่เรานี้ยังไม่ชำนิชำนาญที่จะฝึกให้จิตมีวิหารธรรมเป็นที่อยู่ จิตนี้ก็เลยคุ้นเคยกับการท่องเที่ยวไปตามอารมณ์ แม้จะสงบบ้างก็เล็กๆ น้อยๆ เฉพาะการยืนหลักปรกตินี้ อีกอย่างหนึ่งถ้าจิตนี้ยืนหลักเป็นปรกติได้ มันจะอยู่ในวิหารธรรมอย่างนี้ไปก่อน ยังเป็นการพักผ่อนไม่ให้จิตนี้เที่ยวไปยินดียินร้าย ชอบไม่ชอบใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ยังนับว่าปรกติเป็นวิหารธรรมได้ จนกระทั่งมีการกำหนดลมหายใจให้ติดต่อ เป็นการสงบ ไม่ปรุงเรื่องอะไรขึ้นมา ให้รู้ทั่วทั้งกายทั้งจิตให้ติดต่อ ต้องหมั่นสังเกตพิจารณาเอาไว้ บางทีมันจะต้องการความสุข ก็อย่าไปเอาเลยความสุข ดูมันไปก่อนว่าเวทนาทั้งหลายนี้ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลง จะมีสุขก็นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นทุกข์ไปบ้าง ความไม่สุขไม่ทุกข์บ้าง มันก็เปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่กับเรื่องของเวทนา ทีนี้เมื่อเราพิจารณาเวทนาเราก็ต้องรู้แล้วว่า เวทนานี่มันสับปลับกลับกลอกหลอกลวงอยู่ทุกขณะไปหมด

เมื่อจะกำหนดพิจารณาเวทนาก็ต้องให้รู้เรื่องของเวทนา ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา แล้วพยายามให้จิตนี้มีความเป็นอิสระเหนือเวทนาให้ได้ พอมันเหนือได้ก็รู้แล้วว่า จิตนี้มันอยู่ในลักษณะของความสงบ คือว่าไม่มีความยินดียินร้ายเพลิดเพลินไปกับอะไร แล้วก็มาควบคุมรู้จิตให้ติดต่ออีก ให้มันอยู่ในภาวะของความเป็นปรกติ เป็นอันว่าเหนือเวทนาได้จึงเป็นการดับตัณหาไปในตัว เพราะฉะนั้นการที่จะฝึกหัดอบรมจิตให้มีวิหารธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ของจิต จะต้องฝึกให้ชำนิชำนาญ พอระลึกได้ก็หยุดเป็นปรกติ ถ้ามันปรุงอะไรวุ่นๆ วายๆ ขึ้นมา เมื่อรู้สึก จะหยุด จิตก็เป็นปรกติ และหยุดได้ทันที ถ้ามีการซ้ำๆ ไว้อย่างนี้ จิตนี้จะคุ้นเคย พอหยุดก็หยุดได้ทันที หรือว่าพอกำหนดลมหายใจก็กำหนดได้ติดต่อ แม้จะมีการกำหนดรู้เวทนา ในลักษณะสุขทุกข์ อุเบกขาก็ได้ แต่ถ้ากำหนดแล้ว ต้องหยุดให้ได้ แล้วก็นั่นแหละหัดเอาไว้ให้ชำนาญมันเป็นวิหารธรรมของจิต คือว่าสตินี้จะต้องอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จะได้ไม่ท่องเที่ยวไปกับอารมณ์ แล้วก็ไม่ถูกนิวรณ์ครอบงำ ถ้าเราจะฝึกจะสังเกตกันจริงๆ มันก็ทำได้ แต่ว่ามันเป็นของชั่วคราวมากกว่า

ถ้าเราไม่ได้พิจารณาประกอบหรือไม่ได้สังเกตแล้ว มันก็เป็นนันทิราคะสหคตา คือความเพลิดเพลินความกำหนัดในรูป เสียง กลิ่น รส ทั้งหมดนี้ เพราะจะต้องย้ำให้มากในเรื่องความรู้สึกที่มันเป็นนันทิราคะว่ามีลักษณะอย่างไร มันเพลินต่ออารมณ์ไปอย่างไร ถ้าเราไม่รู้เรื่องนันทิราคะนี้แล้ว การทำความสงบนี้ก็ไม่ได้อ่านความจริงได้เลย เพราะสิ่งนี้มันสำคัญ ถ้าเป็นการรู้ลักษณะนี้ได้ มันไม่เพลิน มันเป็นการเพ่งดู พิจารณาดูอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่ แม้จะเผลอไผลไปก็กลับมารู้ใหม่ กลับมายืนหลักรู้ให้ได้ แล้วก็ฝึกซ้อมไป

ถึงว่ามันจะอยู่บ้างไปบ้าง ก็ฝึกไปสังเกตไปให้จิตนี้มันเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึก เมื่อรู้สึกอะไรขึ้นมา เมื่อมีสติมันก็หยุดได้ เพราะว่ามันเชื่อฟัง มันไม่เที่ยวพลุ่งๆ พล่านๆ ไปตามอารมณ์ มีความรู้อยู่ทุกอิริยาบถ แต่นี่มันก็ไม่ใช่ของง่าย ถึงกระนั้นก็ต้องพยายามฝึก เพราะถ้าไม่พยายามแล้ว สติไม่ติดต่อจิตก็จะไม่สงบ เมื่อจิตไม่สงบ มันก็เรื่องของทุกข์ และทำจิตใจให้วุ่นวายส่ายแส่ กิเลสตัณหาก็เข้าปรุงแต่งจิตง่ายที่สุด เมื่อมันปรุงก็ทำให้จิตนี้มืดมัวหม่นหมองไม่ผ่องใส นี่ต้องคอยสังเกตดูในขณะที่จิตกำลังปรกติอยู่ ที่มันยังไม่แจ่มแจ้งมันยังมืดมัว แต่ว่ามันทรงตัวอยู่ได้ในลักษณะเป็นปรกติ คือยังไม่ยินดียินร้ายกับอะไร แต่ว่ามันยังมองไม่เห็นความจริง มันก็ยังมืดมัวอยู่ ทีนี้ต้องพิจารณาให้มันรู้ความจริง แล้วมันถึงจะคลายออกจากความมืดมัวเหมือนกับความมืดมัวของจิตในลักษณะของโมหะนั้น ถ้าเราไม่ได้เพียรเพ่งดุให้เป็นเครื่องทำลายมันแล้ว มันจะมืดมัวหนักเข้าทุกที แล้วก็กลายเป็นง่วงเหงาหาวนอนไป

ลักษณะของโมหะประเภทนี้ มันจะต้องมีขึ้น แต่ว่าจะต้องรู้จักแก้ไขอย่าให้มันมืดมัวต้องให้รู้ว่า ลักษณะของนิวรณ์ทั้งห้านี้มันเกิดขึ้นอย่างไร แล้วจะเพ่งดูอยู่อย่างไร จะเป็นเครื่องป้องก้นไว้ได้อย่างไร เหมือนในขณะนี้ยังไม่มีความว่าง ก็เป็นการรู้ได้ว่า จิตนี้มันอยู่ในลักษณะของความวางเฉย แต่อย่าไปเฉยๆ เพลินๆ อยู่ก็แล้วกัน เพราะความเพลินคือตัวนันทิฯ นี่สำคัญที่สุด ถ้ามันเพลินก็นั่นแหละตัวนันทิฯ มันมาแล้ว มันจะครอบงำ เริ่มแรกมันต้องเป็นไปอย่างนี้ก่อน แล้วนิวรณ์มันก็เข้ามาแทรก ถ้าเพลินไปกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็เรียกว่ากามฉันทนิวรณ์ นี่ต้องคอยสังเกตดู จะรู้บ้างไม่รู้บ้างก็คอยสังเกตดูไปก่อนว่า ลักษณะของจิตที่เพลินนี้มันมีนิวรณ์ประเภทไหนเข้ามา แล้วก็จะต้องเพ่งพิจารณาดูให้รู้เสียจะได้ทำลายมันได้ อย่าปล่อยให้มันครอบงำ ทำให้จิตนี้มืดมัวหม่นหมองไปเพราะว่าสตินี้มันยังอ่อน ถ้ามันมีสติเข้มแข็งขึ้นมา พวกนิวรณ์เหล่านี้มันก็ถอยกำลังไป ฉะนั้นจะต้องหมั่นสังเกตให้รู้แยบคายเอาไว้ จะได้เป็นเครื่องทำลายนิวรณ์ เพราะว่ามันทำให้จิตมืดมัวหม่นหมองไม่ผ่องใสทั้งนั้น

ฉะนั้นจิตนี้จะมีสติให้เต็มที่ อย่าปล่อยให้มันเพลินได้เป็นการดี เหมือนกับเริ่มแรกเราจะนั่งสักชั่วโมงหนึ่งก็ต้องควบคุมจิตนี้ให้อยู่ในลักษณะของความวางเฉยต่ออารมณ์ คือว่าไม่ยินดียินร้ายไปในรูป เสียง กลิ่น รส ต้องคุมให้มันอยู่ แล้วก็ต้องกำหนดให้มันรู้อยู่ จะกำหนดลมก็กำหนดให้แน่วอยู่กับลม คอยสังเกตไปรู้ไปแล้วก็คอยสังเกตว่ามันจะทรงตัวได้นานไหม หรือว่ามันหนีไปเสียก่อน ไปปรุงไปคิดไปจำหมายอะไรขึ้นมา เพราะฉะนั้นตัวที่คอยสังเกตมันเหมือนกับเป็นการตรวจการจับอยู่ในตัวทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้สังเกตแล้ว มันจะเผลอเพลินไปกับอะไรก็ไม่รู้แล้วก็แก้ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้เผลอเพลินไปมันก็ถูกนิวรณ์ครอบงำ จึงต้องคอยสังเกตเอาไว้ ดูเอาไว้ รู้เอาไว้ บางทีควรจะแก้อย่างไรก็ต้องแก้ไขเหมือนกัน

และการนั่งอย่าให้มันเพลิน ไม่ว่าจะเพลินไปในเวทนา หรือเพลินไปกับความว่าง หรือความสงบก็ตาม สตินี้ต้องรู้อยู่ เห็นอยู่ กำหนดรู้ให้ติดต่อให้ได้ จะได้เป็นเครื่องอ่านออกอยู่ในตัวให้ชัดเอาไว้ อย่าให้มันเพลินไป แล้วการทำความสงบทุกครั้งทุกคราวมันจะได้หลักฐานมั่นคงขึ้น มิฉะนั้นแล้วมันทำรวนๆ เรๆ มันจะเอาแต่ความสุข ความเพลิน แล้วมันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

เพราะฉะนั้นการอบรมจิตนี้ จะต้องรู้ว่านิวรณ์ประเภทไหนเกิดขึ้นมาอย่างไร และจะต้องทำลายมันได้อย่างไร ควรเพ่งดูให้มันรู้ ให้มันเห็นให้จงได้ นั่นแหละมันจึงจะเกิดสติปัญญาขึ้นมา แล้วก็จะเป็นการดับทุกข์ในขั้นหยาบ แล้วก็มาถึงขั้นกลางคือนิวรณ์ได้ เมื่อดำรงสติได้ติดต่อก็จะละนิวรณ์ได้ในตัว เพราะว่าความรู้สึกที่เป็นเวทนาทั้งสาม ถ้าดำรงสติได้มันไม่เพลิน คือว่าขณะที่มีความทุกข์เกิดขึ้นจะเป็นทุกข์กายทุกข์ใจก็ตาม แต่ถ้าดำรงสติให้อยู่ในความวางเฉย แม้ว่าสุขเวทนาจะปรากฏขึ้นก็ดำรงสติให้อยู่ในความวางเฉย หรือลักษณะของอุเบกขาเวทนาก็รู้อยู่วางเฉยอยู่ อ่านเวทนาอยู่ตลอด แล้วจิตนี้มันจะได้ไม่เพลินกับเวทนานั้น ไม่ว่าลักษณะไหน จะต้องดำรงสติให้เป็นการรู้อยู่ วางเฉยอยู่ เป็นปรกติอยู่ ความตื่นของสติย่อมทำให้ตัณหาเข้าปรุงไม่ได้ เพราะว่ามีความรู้อ่านเวทนาอยู่นั่นแหละเป็นการละตัณหาไปในตัว

ทีนี้ตัณหาที่จะมาในรูปอย่างละเอียด คือว่านันทิฯ เมื่อมีการรู้อยู่ไม่เผลอไม่เพลินแล้ว นันทิฯ ก็ดับ ก็ดำรงสติอยู่ได้ไม่ว่าจะมีการยั่วแหย่ของสัมผัส เช่นยุงหรืออะไรที่มันมาตอมมากัด ต้องรู้สึกมีอาการคันเป็นต้น ก็ให้ดำรงสติอยู่ในความวางเฉยเพราะว่าลักษณะของความรู้สึกคันนี่มันเกิดกามตัณหาให้ดำรงสติวางเฉยไว้โดยไม่ต้องทนมาก เพียงแต่ว่าวางเฉยให้รู้ว่าลักษณะนี้มันเป็นการสัมผัส มันจะเกิดอาการคันอะไรขึ้นมาก็วางเฉยไว้ โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น เป็นอันว่าวางเฉยต่อความรู้สึกของเวทนาทุกข์ดูว่าความทุกข์นี้มันได้ผ่อนคลายลงไปหรือไม่ ถ้ามันคลายก็วางเฉยอีก เพราะว่าสุขเวทนานี่มันจะเกิดความพอใจ ก็ต้องวางเฉยไว้อีก

ถ้าดำรงสติวางเฉยเป็นการอ่านเวทนาได้ ก็เรียกว่าเหนือเวทนาได้ตลอดเวลาที่นั่ง ถ้าจะเผลอเพลินไปกับอะไรบ้างก็น้อยที่สุด เพราะว่าดำรงสติในความรู้อยู่ เห็นอยู่ที่เวทนานี้ว่ามันเป็นของธรรมดา มันจะต้องมีความรู้สึกกันเฉพาะนามกับรูป แต่ที่ไปรู้สึกกำหนัดต่อเวทนานั้นก็ต้องวางเฉยเสีย แล้วมันก็เป็นการตัดตัณหา ถ้าไม่มีตัวนันทิราคสหคตาแล้ว จิตนี้จะเหนือเวทนาได้ เพราะว่าที่มันเสียหลักไปไม่เป็นอิสระ ไม่เหนือเวทนา ข้อสำคัญอยู่ที่นันทิราคะฯ คือ มันเป็นความเพลินเป็นความกำหนัด เมื่อมีสติดำรงอยู่ คือว่าไม่ให้เพลิน โดยดำรงสติรู้อยู่ เห็นอยู่ในลักษณะของจิตเป็นปกติ ตัณหาก็เข้าปรุงไม่ได้

เพราะฉะนั้นเรื่องการเจริญภาวนา มันสำคัญอยู่ที่ตรงอ่านเวทนานี่เอง เพราะว่าตัณหามันจะเกิดขึ้นในขณะที่มีเวทนา เมื่อดำรงสติได้ติดต่อ มันจะดับตัณหาได้ แล้วก็ดับเวทนาได้ เวทนาก็เป็นสักแต่ว่าเวทนา ไม่ได้มีความกำหนัดต่อเวทนา เป็นการมีสติรู้ทั่วถึงอยู่ในการที่จะดำรงสติให้เหนือเวทนา ถ้าดำรงสติได้ติดต่อจิตจะไม่มีนิวรณ์เข้าปรุง ถ้ามันจะปรุงได้ก็เมื่อขณะเผลอสติไปมีความเพลินเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเรารู้ลักษณะว่า นันทิราคะมันมีความเพลินและมีความกำหนัดประกอบอยู่ด้วยมันเป็นของละเอียด

ถ้าว่าอ่านออกแล้วจะละนิวรณ์ได้ตลอดชั่วโมงหนึ่งโดยมันจะรู้เท่าตามความเป็นจริงว่า สัมผัสที่มันเกิดๆ ขึ้นมานี้มันสัมผัสกันเฉพาะนามรูป ทีนี้มันว่าง ว่างจากตัวเราของเราไป เป็นความรู้สึกล้วนๆ ของขันธ์ ฉะนั้นจะต้องคอยหัดสังเกตดู ถ้ามันหลับใหลไม่เพลินแล้วก็ดำรงสติได้ติดต่อ ควรจะหัดสังเกตเอาไว้เป็นหลักฐานของจิตอยู่เสมอทีเดียว ที่เผลอไผลไปยึดถืออะไรขึ้นมาในเวทนา สุข ทุกข์ นั่นแหละตัณหามันเข้าปรง มันทำให้ดิ้นรนขึ้นมา ถ้ามันดิ้นรนมากๆ มันก็ทนไม่ไหว ทีนี้เริ่มแรกจะต้องรู้อยู่ก่อน ไม่ให้ทันมันดิ้นรน พอรู้สึกอะไรขึ้นมาเป็นเวทนาทุกข์ หรือเวทนาสุขก็ดุมัน มีสติดำรงรู้อยู่ ต้องป้องกันไว้เสียก่อน

เพราะฉะนั้นเรื่องมีสติกำกับอยู่ที่จิตรู้ได้ ย่อมเป็นการอ่านเวทนาออก แล้วก็เป็นอันว่าตัณหาหมดฤทธิ์ ถ้ามันจะเกิดขึ้นมาในลักษณะไหนนิดๆ หน่อยๆ ก็รู้ทีเดียว รู้แล้วก็ดำรงสติอยู่ในความวางเฉย แต่ก็ไม่ต้องอดทนมากเกินไป ถ้าว่าตัณหามันเกิดแล้วมันต้องอดทนมาก เหมือนกับมันคันขึ้นมายิบๆ นี้มันอยากจะเกามันอยากจะแก้ ถ้าหากดำรงสติไว้ก่อนรู้สึก อาการทุกข์หรือกาการคันจะเป็นของธรรมดา เพราะว่าถ้าสติยืนหลักได้อย่างเดียวแล้ว มันละนิวรณ์ทั้งห้าประการนั้นได้ ตั้งแต่กามฉันทนิวรณ์ แล้วก็พยาบาทนิวรณ์ เราต้องอ่านมันออกในขณะที่มันมีการสัมผัส เฉพาะกามฉันทนิวรณ์นี่สำคัญที่สุด แล้วก็ระวังให้ดีเถอะ กามฉันทนิวรณ์ ความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสกายจะต้องเกิด

ฉะนั้นเมื่อมีสติดำรงอยู่ได้ กามฉันทนิวรณ์ก็ไม่มีเริ่มแรกที่จะมีก็ต้องรู้ว่าเป็นความวิการของจิต เหมือนกับจิตที่มีตัณหานี้ เรียกว่าจิตนี้เป็นโรค เกิดโรค เช่นกับความพอใจไม่พอใจ นี่เกิดโรค เพราะฉะนั้นต้องตั้งสติป้องกันเหมือนกับเขาป้องกันเชื้อโรค นี่ต้องมีสติเอาไว้ก่อน แล้วเชื้อโรคของกิเลสนี้มันจะเกิดตัณหา หรือว่าเป็นลักษณะของความไม่พอใจในทุกข์ก็ตาม มันจะเกิดขึ้นมาในระยะแรกที่มันจะต้องรู้ว่า นี่เป็นความวิการของจิต แล้วจิตนี้จะเกิดโรค โรคก็คือตัณหา ทีนี้เมื่อรู้ลักษณะว่า จิตนี้จะไม่มีอะไรแฝงเข้ามา จิตนี้ก็เป็นอิสระอยู่ได้ และมีสติคอยประคับประคองเอาไว้ อย่าให้มันเผลอเพลินออกไป และมีการเพ่งพิจารณาประกอบอยู่ทุกขณะเป็นการตรวจเชื้อโรคไปในตัว และจะดับมันได้ทุกๆ ขณะไปทีเดียว

ขอให้พยายามตรวจให้ละเอียดจะเป็นการดับทุกข์ได้อย่างถูกต้องอยู่เสมอ ทุกข์โทษทั้งหลายจะเบาบางไปตามลำดับโดยไม่ต้องสงสัยเลย



.................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง