Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อารมณ์เป็นเงาลวง (ก.เขาสวนหลวง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 7:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

อารมณ์เป็นเงาลวง
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง

สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี
๒๕ เมษายน ๒๕๑๕



วันนี้จะได้มีการปรารภข้อปฏิบัติ ซึ่งผู้ปฏิบัติก็มีความมุ่งหมายจะปฏิบัติ เพื่อดับทุกข์ของตัวเองอยู่ด้วยกันทุกคน เพราะการมีชีวิตอยู่ในโลก ต้องมีความรอบรู้อยู่มากมายหลายประการ เรื่องกิเลสตัณหาอุปาทานมันเป็นโรคประจำตัว ถ้าเราไม่พิจารณาให้รู้แยบคายเพื่อทำลายถ่ายถอนกิเลสแล้ว มันจะครอบงำจิตใจให้วุ่นวายเศร้าหมองไป และในชีวิตประจำวันที่ได้ควบคุมจิตใจให้อยู่ในอำนาจของสติปัญญา ก็นับว่าเป็นผลดีอยู่มาก ฉะนั้นการที่จะควบคุมจิตใจนี้ ไม่ใช่เป็นของที่จะทำได้โดยง่ายนัก เพราะความคุ้นเคยที่ปล่อยให้จิตมีการท่องเที่ยวไปจำไปคิดอะไรต่ออะไร มันเป็นความรู้สึกนึกคิดไปในทางกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ฉะนั้นถ้ามีสติรอบรู้อยู่หรือควบคุมไว้ได้ จิตนี่ก็จะมีความสงบได้ ถ้ามันจะแส่ส่ายไปในอารมณ์อะไรก็ยังรู้จักระงับดับได้ แล้วข้อปฏิบัตินี้จะต้องมีการรอบรู้อยู่ในตัวเองเป็นประจำ ทุกลมหายใจเข้าออกทีเดียวมันจึงจะรู้ว่าทุกข์หรือกิเลส ที่มีความเผลอเพลินไปยึดมั่นถือมั่นอะไรขึ้นมา มันก่อทุกข์ก่อโทษขึ้นได้อย่างไร ทีนี้ก็จะรู้สึกได้ทันท่วงทีเสมอ แล้วก็จะดับได้ ปล่อยได้ วางได้

ข้อปฏิบัติที่เป็นเครื่องดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวันมีลักษณะอย่างนี้ เป็นเครื่องอ่านอยู่ในตัวเองทุกสิ่งทุกอย่างให้รู้สึกว่ากายมีความสะอาดปราศจากโทษ วาจาก็มีความสะอาดปราศจากโทษและจิตใจก็สะอาดปราศจากโทษ ทั้งนี้จะได้รู้ว่าชีวิตที่มีการปฏิบัติธรรม ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องขจัดขัดเกลาให้มีความสะอาดยิ่งขึ้นไม่ให้มีความสกปรกเร่าร้อนไป จะเป็นการก้าวหน้าของตัวเองได้เรื่อยไปทีเดียว เพราะว่าการรู้สึกด้วยสติปัญญา ที่มองเห็นความสกปรกของกิเลสตัณหานานัปการ มันจะรู้สึกรังเกียจและน่าขยะแขยงยิ่งขึ้น เพราะแต่ก่อนไม่รู้เรื่อง ก็สนุกสานไปตามอารมณ์ของความรู้สึกนึกคิด ที่เป็นไปในทางกามวิตกก็ดี หรือในพยาบาทวิตกก็ดี ในวิหิงสาวิตกก็ดี ที่เป็นไปในลักษณะของความโลภอยากได้ หรือความโกรธความหลง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของความทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจทั้งนั้น โดยที่ไม่รู้สึกขึ้นมาได้ง่ายๆ เลย

ทีนี้เมื่อมีสติปัญญาอ่านตัวเอง พิจารณาตัวเองแล้ว มันก็ดับทุกข์โทษให้เบาบางไปได้ ถ้าได้พิจารณาตัวเองอยู่เนืองนิจ ให้รู้เรื่องจริงว่าร่างกายหรือจิตใจทั้งหมดมันเป็นของชั่วคราว และเป็นพยานอยู่ในตัวเองว่า มันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกๆ ขณะ ก็เป็นเครื่องรู้เป็นเครื่องอ่านตัวเองได้ด้วยกันทั้งนั้นในเรื่องให้รู้ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็มีการอ่านการพิจารณาให้รู้แจ่มแจ้ง เพราะมันจะได้คืนคายถ่ายถอนความหลงใหลเพลิดเพลิน ยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวเราของเรา ที่มันก่อเรื่องก่อทุกข์วุ่นวายอยู่นี่ เมื่อพิจารณาแล้วมันน่าเบื่อหน่ายที่สุด ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นทุกข์ไปทั้งนั้น ไม่น่าสนุกสนานเพลิดเพลินเลย

การมีชีวิตอยู่ในโลกไม่ใช่อยู่เพื่อเอาอะไร อยู่เพื่อศึกษาให้รู้เรื่องความจริงว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีเรื่องอยู่เท่านี้ หรือ คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีชี้แจงอยู่ในขบวนนี้ทั้งหมด ให้รู้เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติที่จะดับทุกข์ได้ นี่เป็นการแสดงแนวทางเอาไว้ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในตัวเองทั้งหมด เมื่อเรามีการปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จึงมีความรู้สึกตัวได้มากมายหลายประการ จนกระทั่งว่าทำอย่างไรกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะเป็นที่ชัดแจ้งแก่เราได้ หรือว่าเราจะได้ไม่หลงใหลเพลิดเพลินนั่นเอง เพราะถ้ายังไม่แจ้งชัดแก่เราได้ หรือว่าเราจะได้ไม่หลงใหลเพลิดเพลินนั่นเอง มันล้วนแต่ความเสียหายในตัวเองทั้งนั้น ทีนี้จะเป็นอยู่อย่างไรจึงจะให้มีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ เป็นการควบคุมจิตใจให้มีแนวความรู้อยู่ในตัวแล้วมันก็เห็นความจริงขึ้นมาได้ และปล่อยวางออกไปได้

ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเป็นการรู้ด้วยสติปัญญาแล้ว มันปล่อยไป วางไป ว่างไป มันเป็นของจำกัดอยู่ในตัวเองอย่างนี้ แล้วจะไม่น่าพินิจพิจารณาให้ทั่วถึงอย่างไรได้ เพราะเรื่องการพิจารณานี่ต้องให้มีความรู้สึกด้วยใจจริงว่า ถ้าพิจารณาเห็นความจริงแล้วมันปล่อยวางออกไปได้จริงๆ แล้วความพ้นทุกข์ก็จะมีได้เฉพาะหน้าเรื่อยไป ไม่ว่าขณะยืน เดิน นั่ง นอนอะไรเหล่านี้ ขอให้พยายามพิจารณาดูให้ละเอียด ทุกขณะการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน แล้วจิตนี่มันจะเป็นอิสระได้ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทานเหมือนแต่ก่อน

การปฏิบัติที่เป็นการดับทุกข์ดับโทษในชีวิตประจำวันเป็นของที่ต้องประพฤติปฏิบัติ และต้องอ่านตัวเองอยู่เสมอทีเดียว ไม่ให้เผลอเพลินไปเอาอะไรต่ออะไรอย่างแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มันหยุด ให้มันหยุดรู้ตัวเองเสีย แล้วมันจะได้พิจารณาปล่อยวางเรื่อยไป เพราะว่าชีวิตนี้มันอยู่ในเกลียวหมุน ถ้าไม่หยุดแล้วมันจะวิ่งไป มันจะหมุนไปหาทุกข์หาโทษมาใส่ตัวทั้งนั้น เมื่อพิจารณาดูแล้วมันจึงจะรู้ รู้เท่าอารมณ์ทั้งหลาย ทั้งดีทั้งชั่วล้วนแต่เป็นมายา เป็นเครื่องหลอกลวงให้ลุ่มหลงเพลิดเพลินไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเองครั้นแล้วมันก็ดับหมด ไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจัง มันหลอกให้ยึดถือแล้วเป็นทุกข์ไปในขณะที่หลงนั่นเอง ทีนี้มันรู้อยู่เห็นอยู่ทุกขณะ ฉะนั้นสติปัญญาที่ควบคุมจิตให้รู้อยู่เฉพาะตัว มันได้ดับทุกข์ดับโทษให้คลายออกไป คลายออกไปเรื่อยทีเดียว แล้วจิตใจก็เป็นอิสระอยู่ในตัวเองได้ แม้จะกระทบกับอารมณ์ดีชั่วอะไรเหล่านี้ มันรู้แล้วก็ปล่อยวางไป เพราะไปยึดมั่นถือมั่นแล้วมันก็เพิ่มทุกข์ขึ้นมา

ฉะนั้น เรื่องการปฏิบัติชนิดที่ปล่อยวางมันเป็นเรื่องทำลายถ่ายถอนและเป็นการดับทุกข์ได้จริงๆ ไม่ต้องไปรู้อะไรมากมายหลายอย่างเลย พอเรามีสติควบคุมอายตนให้มีการรู้อยู่ เห็นอยู่ว่า ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป ไม่มีอะไรเป็นจริง แต่ขณะทีเผลอสติไปยึดถือเข้า มันเดือดร้อน มันทุกข์ขึ้นมา ทีนี้พอรู้แล้วก็ปล่อยวางออกไป พอรู้แล้วก็ปล่อยวางออกไป จิตนี่จะมีความว่าง ความสงบได้ตามธรรมชาติ แต่ต้องควบคุมเพราะความเผลอเพลินที่เป็นลักษณะของโมหะมันยังมีอยู่ยังไม่สิ้นอาสวะ จึงต้องพยายามที่จะมีสติให้เป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นอยู่ แล้วรู้เห็นนี่ ก็ไม่ได้ไปรู้เห็นภายนอก รู้เห็นอยู่ภายใน หรือเห็นจิตใจของเราเองทุกขณะอยู่ในความสงบ ความว่างได้ตามธรรมดา

เมื่อเพียงเพ่งพิจารณาเข้าไปแล้ว มันจะมองทะลุเข้าไปอีก คือว่าลักษณะของอารมณ์ที่มันยังปรุงแต่งจิตขวางหน้าอยู่นี่ เราก็เพ่งพิจารณาดูมัน ดูความดับของอารมณ์ให้ชัดเจน แล้วก็ไม่มีอะไร เพราะมันเหมือนเงาหลอกชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ครั้นแล้วมันก็ดับไปทิ้งไปหมด เราก็มาหลงเกิดดับนี่เอง เพราะว่าสติหรือปัญญาที่จะเป็นเครื่องรู้ เครื่องพิจารณา มันยังไม่ทัน มันก็หลงไปตามอารมณ์ ทีนี้เมื่อสติปัญญามันตั้งหลักได้มันรู้ได้ มันปล่อยวางได้ อย่างนี้การปฏิบัติก็ไม่วุ่นวายอะไร เพราะจิตยอมสงบแล้ว แต่ในขั้นต้นมนออกจะยากสักหน่อย เพราะจิตถูกกิเลสตัณหาปรุงแต่งขึ้นมา และมันคุ้นเคยมาอย่างนั้น แต่เมื่อมีการฝึกพิจารณาปล่อยวางได้ ความหลุกหลิกลุกลนของจิตที่เคยหลงใหลเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ มันก็หยุดได้ สงบได้ ว่างได้ มันก็ว่าง่ายเข้าทุกที คือมันไม่ดื้อด้านดันทุรังเหมือนแต่ก่อน พอบอกว่าให้หยุดมันก็หยุดได้ หรือพอบอกว่าต้องสงบ มันก็สงบได้

โดยเฉพาะ สงบรู้อยู่ในจิตอย่างนี้ มันต้องมีการเพ่งมองให้เห็นแจ้งเพราะถ้ามันยังไม่เห็นแจ้งเข้าไปภายใน มันก็ยังไม่มีการทรงตัวได้ชัดเจนนัก บางทีมันถูกผัสสะอะไรกระทบกระทั่งขึ้นมามันก็หวั่นไหวง่าย แต่ในขณะที่มันหยุดนี่ต้องเพิ่งดูเข้าไปข้างใน ถ้าเป็นการดูเข้าข้างในได้ การกระทบผัสสะก็ไม่มีพิษสงอะไร พอกระทบแล้วก็ดับไปมันก็เลิกกันแค่นั้น มันก็หยุดแค่นั้น ฉะนั้นความรู้ที่อ่านเข้ามาภายในตัวของมันเองชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้นเท่าไร ความซาบซึ้งภายในที่รู้เรื่องตามความเป็นจริงว่า สภาวธรรมหรือธรรมชาติที่มีความสะอาดมีความสงบอยู่ภายในตัวเอง ก็เท่ากับว่าเป็นการลืมตาขึ้นดูเท่านั้น แต่ถ้าเรายังไม่หยุด ยังไม่มีการเพ่งเข้าด้านในให้มันรู้เห็นในลักษณะของธรรมชาติอย่างนี้แล้วการปฏิบัติถึงจะมีการสังวรอินทรีย์ หรือมีสติควบคุมอยู่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมภายใน ที่จะเห็นนี่ต้องเพ่งดู ต้องเพ่งดูให้รู้ให้ชัดให้แจ้ง แล้วนั่นแหละจึงจะเป็นการรู้จริงรู้แจ้งได้

เพราะฉะนั้น เรื่องการมองด้านในจึงต้องเพ่งดูเป็นพิเศษ ถ้าเราไม่มีการหยุดดูหยุดรู้ หรือไม่มีการเพ่งดูเข้าไปให้รู้จริงแล้ว อารมณ์ทั้งหลายมันก็เหมือนความฝัน ที่มันเกิดหลอกๆ ลวงๆ อยู่ทั้งนั้น ทีนี้เรามาหลงเงาของมัน จึงต้องหยุดเพ่งดูเข้าไปทีเดียวว่า ความรู้สึกอะไรมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเท่านั้น ไม่มีเรื่องอะไรจริงจังเลย ถ้าเราดูให้เห็นได้วอย่างนี้แล้ว ดวงตาพิเศษจะเป็นเครื่องรู้เฉพาะปัจจัตตัง คือถ้าใครมีดวงตกเห็นความจริงได้ขณะไหนแล้ว จึงจะรู้ว่าธรรมะมีพิเศษอยู่ข้างในใจ แต่ถ้าไม่ใช่ใจทีเดียว ต้องดูเข้าไปภายในใจในจิตให้เป็นพิเศษ ให้มันหยุดให้มันว่างเปล่าเรื่อยไป อย่าให้มันก่อรูปเรื่องเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เรียกว่าดูธรรมชาติล้วนๆ ให้ได้เพราะเมื่อไม่ถูกปรุงแต่งแล้วก็เป็นธรรมชาติของมัน หรือว่าธรรมชาติที่ปรุงแต่งขึ้นมามันก็เป็นของเปลี่ยนแปลงได้ คือว่าไม่อยู่คงที่

อารมณ์ทั้งหลายเปรียบเสมือนพยับแดด มีการหายไป จางไห คลายไปหมดไม่มีอะไรจริงจังเลย ฉะนั้นให้พยายามเพ่งดูให้เห็นจริงเห็นประจักษ์ชัดภายใน มันเป็นของพิเศษอยู่ในตัวเองด้วยกันทุกคน แต่ยังดูเข้าไปไม่เห็นเท่านั้นเอง ถ้ามีการเห็นสิ่งนี้สิ่งเดียวแล้ว เรื่องอะไรทั้งหลายแหล่ทางผัสสะภายนอก มันล้วนแล้วแต่เป็นของไร้ความหมายคือว่าเป็นของหลอกๆ มันเกิดดับไปตามธรรมชาติเท่านั้น ฉะนั้นเรื่องการมองด้านในมันมีพิเศษ ถ้าหยุดมองเข้าไปแล้วความซาบซึ้งในธรรมก็จะมีขึ้น เป็นการรู้เท่าทันความปรุงแต่ง ความหลอกลวงที่สับสนวุ่นวายอยู่ภายนอก เหมือนกับดูเขาฉายหนังได้เห็นภาพที่เขาฉายมาที่จอ เราก็ไปยึดถือเรื่องราวดีชั่วทั้งหมด

ทีนี้เราอย่ามองเงาของมัน แต่ดูธรรมชาติของมันล้วนๆ จะเห็นว่าไม่มีอะไร มีแต่ความว่าง เพราะเงาฉายที่เกิดดับ มันก็เกิดดับอยู่ในความว่าง อารมณ์ทุกชนิดที่เกิดดับเฉพาะหน้า มันเกิดดับอยู่ในความว่างคือว่ามันว่างจากตัวตน แต่เรามองไม่เห็นเอง กลับมองเป็นความหมายแล้วก็ยึดถือไปหมด ส่วนธรรมชาติของสิ่งที่ปรากฏการณ์ มันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เรายังมองไม่ชัด คือว่ายังมองไม่ละเอียด ถ้ามองให้ละเอียดแล้วจึงจะรู้ได้ จึงจะเห็นได้ ถ้ารู้เรื่องนี้ได้เรื่องเดียว หมดความสมมติหมายในโลก มันไม่น่าจะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย

ทีนี้ดวงตาที่จะมองให้เห็นให้แจ้งกระจ่างมันต้องอบรม ถ้าไม่อบรมแล้วมันมองไม่เห็น เพราะมันมองออกข้างนอกเสียหมด แต่นี่มันต้องมองกลับเข้าข้างใน มองดูเข้าไปในใจ คือมองดูใจที่มันคิดนึกปรุงแต่งอะไรขึ้นมา มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ในตัวของมันเอง ล้วนแต่เป็นมายาที่จับยากมาก เพราะความคุ้นเคยในความยึดมั่นถือมั่นอยู่มากมาย

ฉะนั้นจึงต้องเพ่งดูความดับของมันให้ชัด แต่ต้องอาศัยจิตที่มีความสงบ มีความตั้งมั่น แล้วก็ดูว่ามันมีลักษณะเกิดดับไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร การหยุดดู หยุดรู้จิตโดยเฉพาะมันน่าดูเหลือเกิน เพราะว่าถ้าดูเป็นแล้วมันไม่มีเรื่องให้เอาเลย ไม่ว่าจะไปยึดถือดีชั่วตัวตนอะไรมันกวาดเกลี้ยงหมด มันมีแต่เรื่องเกิดดับล้วนๆ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนเป็นดีเป็นชั่วอะไรทั้งนั้น ถ้าเราดูในลักษณะของธรรมชาติที่เกิดดับล้วนๆ แล้ว

การรู้ธรรมะด้วยใจจริงมันมีขึ้นได้ในลักษณะนี้ แล้วจะกวาดล้างความจำผิด คิดผิด เห็นผิดออกไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปมีเจตน พอมองให้ทะลุแล้วมันก็เลิกไปเอง เหมือนไฟฉายที่ส่องเข้าไปที่ไหน ก็เกิดแสงสว่างพุ่งเข้าไปที่นั่นแล้วมันทำลายความมืดไปได้ แสงสว่างของสติปัญญาที่มองเข้าด้านในก็เช่นเดียวกัน ถ้าใครมีการอบรมบ่มอินทรีย์ให้พร้อมไปด้วยการมีสติ มีปัญญา เป็นเครื่องเพ่งให้เห็นแจ้งแล้ว ธรรมเหล่านี้จะทนต่อความเพ่ง ไม่ใช่เป็นของยากลำบากอะไรนัก แต่เนื่องจากไม่ได้เพ่งดูเข้าเท่านั้นเอง ถ้าเพ่งดูเข้าไปจริงๆ ต้องปรากฏชัดแน่ เพราะอย่างไรๆ ก็พิสูจน์อยู่ในตัวเองได้ ซึ่งเป็นปัจจัตตัง

ฉะนั้นต้องมีการเพียรเพ่งพิจารณาให้รู้เรื่องจริงของตัวเองเสีย ในขณะที่ยังมีโอกาส อย่าไปรอข้างหน้าเลย เพราะข้างหน้ามันก็ไม่เที่ยง เอาเฉพาะปัจจุบันทุกขณะเดี๋ยวนี้จึงเป็นการน่าดูน่ารู้นัก แล้วจะไปเอาอะไรที่ไหน ถ้าหยุดดู หยุดรู้ ได้แล้วมันหมดเรื่อง จะไปเพ่งเล็งเอาอะไรมันก็หยุดหมด มันกวาดเกลี้ยงไปจากจิตทีเดียว แต่ถ้าเราไม่รู้มันก็ชุลมุนวุ่นวาย เพราะความจำความคิดความยึดถือ แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้ ทีนี้ให้มันหยุดดู หยุดรู้ ให้เห็นความจริงว่ามันดับไปหมด มันว่างเพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น และรูปนามที่เรียกว่ากายกับใจนี่ มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องตามราวของมัน ซึ่งล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ให้เพ่งดูว่ามันเป็นทุกข์ของรูปนามล้วนๆ ไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของของเราเพียงเท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องไปรู้อะไร เพ่งดูให้เห็นว่ามันเรื่องของธรรมชาติทั้งกายและใจ ถอนอุปทานออก หรือเพิกสัญญาความจำหมายว่า เป็นตัวเรา ของของเราทิ้งเสีย ให้มันเหลือแต่กายล้วนๆ ใจล้วนๆ ที่เป็นธรรมชาติของมัน

ถ้ามองได้อย่างนี้ทุกขณะไปแล้ว ข้อปฏิบัติก็ไม่มีอะไร และไม่ต้องทำอะไรเลย มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาพร้อมเสร็จอยู่ในตัว โดยมีเครื่องมือในการมองเท่านั้น เพราะเมื่อทราบความจริงแล้วปล่อยวางได้ แต่ก็ยังไม่สิ้นอาสวะ ฉะนั้นเครื่องมือนี้ก็ต้องหมั่นลับให้คมไว้ ต้องสนใจในการที่จะค้นคว้าสอดส่องเข้าด้านใน อย่าให้มันออกมาข้างนอก เพราะถ้ามันออกข้างนอกแล้ว มันหาเรื่องยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนไปทั้งหมด ฉะนั้นตัวหาเรื่องนี้จึงเป็นตัวร้าย ตัวศัตรู งูพิษที่สุดทีเดียว ไม่มีงูพิษอย่างอื่นจะมาร้ายแรงเท่างูพิษของอวิชชา ที่มันไม่รู้จักตัวของมันเอง แล้วมันก่อทุกข์ก่อโทษให้เท่าไร จึงต้องเพียรเพ่งเข้าไป เพียรเพ่งเข้าไป เพื่อทำลายศัตรูงูพิษที่เป็นความโง่งมงายอยู่ในตัวของตัวเองทั้งหมด

ฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องอะไรอื่นเลย มีแต่เรื่องที่จะมองเข้าไปให้เห็นแจ้งในความว่างจากตัวตน หรือว่าเห็นแจ้งในสภาวะของสุญญตา หรือโลกุตตระ มันก็เรื่องที่จะให้หมดไปจากโรคจากทุกข์โดยประการทั้งปวง แต่นี่มันยังติด ยังหลงจึงต้องอบรมบ่มสติปัญญาให้มีการรู้เห็นข้อเท็จจริงภายในตัวของตัวเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ารู้เหลือเกิน ไม่น่าจะไปเสียเวลากับเรื่องภายนอกเลย เพราะยิ่งดูยิ่งรู้เข้าไปข้างในแล้ว มันเป็นเรื่องดับ เรื่องปล่อย เรื่องวาง เรื่องว่างไปทั้งหมด มันเปิดโล่งอย่างนี้ หนทางข้อปฏิบัติมันเปิดโล่งอยู่ข้างในหมดแล้ว

ถ้าจะมองออกมาภายนอกก็สักแต่ว่าดู สักแต่ว่าฟัง ไม่ว่าจะทำอะไรมันก็สักแต่ว่าทำ แต่ตัวที่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของเดี๋ยวนี้มันหมดฤทธิ์ไปแล้ว มันไม่เอา มันสร่างจากความเมาความหลงขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะความยึดมั่นถือมั่นในวัย ในชีวิต ในความไม่มีโรค เดี๋ยวนี้มันก็ปลงตกยกเลิก ไม่น่าเพลิดเพลินเอาอะไรทั้งหมด เพราะการอยู่กับกองทุกข์ที่มันลุกโพรงๆ อยู่เดี๋ยวนี้มันมองทะลุออกไป จึงปล่อยวางออกไปได้ แล้วจิตใจจึงเป็นอิสระได้ ฉะนั้นจะต้องมองกันให้เห็น อย่าไปเที่ยวคลำหาอะไรต่ออะไรให้มันเสียเวลาไปเลย เพราะชีวิตที่มีลมหายใจอยู่นี่ไม่ต้องเอาอะไรแล้ว มามองข้างในกันดีกว่า มองให้มันรุ้มันเห็นข้อเท็จจริงในตัวเองแล้วก็ปล่อยวางไป หนทางพ้นทุกข์มันก็เปิดโล่งอยู่ข้างใน

ถ้าเรามองแต่ข้างในกันแล้วสติปัญญามันเกิด แต่ถ้ามองภายนอกกิเลสมันเกิด มันตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้ ก็ลองดูซี สืบได้อยู่ในตัวเองเสร็จ ขณะนี้ก็ได้ ถ้ามองจิตรู้จิตอยู่ในลักษณะที่มันว่าง มันสงบอยู่อย่างไร พอไปยึดถืออะไรขึ้นมาแล้วมันวุ่น ก็สอบได้ในขณะนี้เสร็จไม่ต้องไปรู้อะไรที่ไหน รู้อยู่ที่จิตเห็นอยู่ที่จิต ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว อาการกระทบผัสสะเป็นของธรรมดาอย่างไร ถ้าไม่มีความยึดถือแล้วจิตเป็นอิสระได้ มันว่างได้ มันสงบได้ ความสะอาดหมดจดพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ทำได้ปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นของเหลือวิสัย แต่ต้องพยายามเท่านั้นเอง ต้องอดทนต่อสู้บ้าง

ในขณะที่กิเลสตัณหามันครอบงำขึ้นมา หรือมันลุกโพลงๆ ขึ้นมาในลักษณะอย่างไร นี่ต้องสนใจมากทีเดียว ในเรื่องที่จะออกไปจากทุกข์จากโทษโดยเฉพาะที่มองด้านใน ล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของการมีชีวิตอยู่ในโลก โดยที่ไม่ต้องไปเอาอะไรอย่างอื่น เพราะการมองเข้าข้างใน ได้ชำระสะสางปัญหาของชีวิตให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ แม้จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรอยู่บ้าง ก็จะได้รู้สึกว่า นี่มันยังเป็นทุกข์ เพราะความยึดมั่นถือมั่น แล้วจะได้พยายามพิจารณาปล่อยวาง ไม่ว่าจะทุกข์กายทุกข์ใจในลักษณะอย่างไร จะต้องมีแนวของการพิจารณาปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจิตจึงไม่วุ่นมันจะว่าง หรือที่มันร้อนเร่าเศร้าหมองมามากมาย เดี๋ยวนี้มันหยุด มันว่างแล้วมันก็เย็น ต้องสืบเรื่องนี้กันให้ได้ อย่าไปเอาเรื่องอื่น เพราะถ้าเอาเรื่องอื่นแล้ว มันจะห่างไกลและวุ่นวายไป ทำให้ชีวิตประจำวันต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป โดยทำให้จิตใจไม่สงบนั่นเอง

ฉะนั้นให้พากัน หยุดดูหยุดรู้ที่ตัวเอง หรือว่า หยุดดูหยุดรู้จิตใจของตนเองให้เป็นปรกตินิสัยให้มากๆ จะได้เปลี่ยนนิสัยสันดานของปุถุชนเสียที ที่มันเที่ยวซุกซนไปเพราะความโง่ เมื่อรู้สึกตัวหยุดดูหยุดรู้ตัวเองได้นั่นแหละ คือความฉลาดถ้าหากยังหยุดดูหยุดรู้ตัวเองไม่ได้ และยังขืนซุกซนไป ก็ยังเป็นคนโง่ คนหลง ฉะนั้นต้องพิจารณาตัวเองให้มันรู้ว่า ถ้ามันยอมหยุดได้สงบได้ ก็จะรู้สึกว่าการปฏิบัตินี้ไม่มีการถอยหลัง แต่ถ้ายังมีการดื้อด้านดันทุกรังอยู่ในเรื่องอะไรในสิ่งอะไร จะต้องลงไม้เรียวต้องมีการข่มขี่ทรมาน ต้องอดทนต่อสู้ดูมัน

ถ้ามันเรียบร้อยแล้วก็เป็นแต่ดูไปเฉยๆ ดูมัน รู้มัน แล้วก็ปล่อยวางไปเรื่องๆ เพราะความจริงมันก็ปรากฏอยู่อย่างนี้จริงๆ แต่ว่าเราไม่รู้ ทีนี้ข้อสำคัญก็คือ ต้องรู้ ทั้งรู้ทั้งเห็น ถ้ามีพร้อมทั้งรู้ ทั้งเห็นได้แล้ว ความสว่างกระจ่างแจ่มแจ้งมันจะปรากฏขึ้นมาได้ ถึงว่าสันดานนี่มันยังมีอาสวะอยู่ แต่มันมีหนทางมองเห็นได้ หยุดได้ สงบได้ทุกขณะไปหมด พอมันเผลอสติไปยึดถืออะไรเข้ามา มันก็รู้แล้วมันปล่อยวางเพราะมันไม่เอาแล้ว มันเข็ด ต้องสอบเข้ามาในจิตใจของตนเอง ไม่ว่ามันจะไปหยิบฉวยเอาอะไรเข้ามา แล้วจะต้องรู้ว่ามันทุกข์หรือเปล่า ถ้ามันรู้ทุกข์จริงๆ มันก็เข็ด แล้วมันก็ต้องปล่อยวาง

ฉะนั้นเรื่องปล่อยวางจึงต้องบอกอยู่เรื่อย ถ้าไม่บอกเอาไว้แล้ว มันชอบยึดถือ จึงต้องบอกกับมันว่าให้ปล่อยวางเสีย ปล่อยวางเสีย หรือมันยังดื้อด้านไปยึดถืออะไรขึ้นมา ก็ต้องพิจารณาให้รู้ให้เห็นให้ได้ อย่าได้ไปสมยอมกับมันเลย เพราะการสมยอมกับมันนี่มันจูงไปฉุดไปให้ตกเหว ตกไฟตายหมดเท่านั้นเอง จึงหยุดดูหยุดรู้ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งภายในจิตของตัวเองจริงๆ แล้วที่พึ่งอย่างประเสริฐสูงสุด มันอยู่ที่นี่ คืออยู่ที่หยุด อยู่ที่รู้จริงแจ่มแจ้งแล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเรื่องอย่างนี้อย่างเดียว จึงต้องมีการย้ำซ้ำซากเพื่อให้เป็นที่รู้เห็นกันได้ทั่วๆ ไป เพราะเรื่องนี้ไม่ใคร่จะมีใครเป็นที่สนใจนัก มันจึงเลยหลงไป

แต่นี่ให้มันมาหยุด ดูจิตดูใจเสีย แล้วก็รู้ให้ถูกต้อง มันก็ปล่อยวางได้ ความพ้นทุกข์ก็มีได้ในชีวิตประจำวันนี้ แต่ต้องพินิจพิจารณาให้รู้จริงประจักษ์ชัดแก่ใจเท่านั้นเอง เรื่องของการปฏิบัติมันมีผลพ้นทุกข์อย่างประเสริฐอยู่ต่อหน้าต่อตาทุกขณะไป ที่เราจะต้องรู้เห็นได้ด้วยตนเอง เป็นการดับทุกข์ดับโทษได้ อย่างนี้จะไม่พอใจอย่างไรได้ แล้วจะไปเอาอะไรที่ไหนอีก เรื่องข้อปฏิบัติที่จะเข้ามาอ่านมาพิจารณาตัวเองปล่อยวางได้ นี่มันดีเท่าไรแล้ว มันจะหายโง่ หายหลงไปทุกที จึงขอให้ผู้ปฏิบัติจงพยายามพิจารณาตัวเองให้เป็นการรู้จริงเห็นแจ้ง แล้วก็ปล่อยวางว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตนทุกๆ ขณะเถิด



.................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง