Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 จงรักษาจิตให้สงบ (ก.เขาสวนหลวง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 7:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

จงรักษาจิตให้สงบ
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง

สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี
๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๕



วันนี้เป็นวันปรารภเรื่องข้อปฏิบัติ ที่จะต้องมีการแนะนำกันในเรื่องทุกข์เรื่องกิเลสนี้เป็นสิ่งสำคัญ แล้วก็เป็นของเฉพาะตัวด้วยกันทั้งหมด สำหรับกิเลสหยาบๆ เราก็พอจะรู้กันได้ ทีนี้ถ้ากิเลสในขั้นกลางหรือขั้นละเอียดก็เป็นของรู้ยาก แต่ก็ต้องอาศัยหลักคำขนาบที่พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ทุกข์ชี้โทษเอาไว้มากมาย ซึ่งล้วนแต่มีคุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง เพราะตามลำพังของสามัญชนที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบแล้ว จะไม่รู้สึกทุกข์โทษของกิเลส แม้ในขั้นหยาบก็ยังรู้ยากเลย ทีนี้ในขั้นกลางหรือขั้นละเอียดก็ยิ่งเป็นของยากมาก ฉะนั้นจึงต้องอาศัยคำขนาบของพระพุทธเจ้า เอามาเป็นเครื่องตรวจสอบตัวเอง ถ้าเป็นเชื้อโรคที่มันรู้ง่ายๆ เราก็ผ่านไปเสีย ทีนี้ในขั้นที่มันเน่าในเปียกแฉะนี้มันเป็นของรู้ยาก

เพราะว่าเรื่องเน่าในนี้มันเป็นเรื่องของจิต ที่มีการเศร้าหมองไปเพราะความรัก ความชัง หรือความชอบไม่ชอบอะไรเหล่านี้ เฉพาะคำว่า “เปียกแฉะ” นี้มันเป็นลักษณะที่รู้ยากมากกว่า “เน่าใน” อีก เพราะว่า “เปียกแฉะ” นี่มันเป็นการชุ่มแช่ จนกระทั้งเห็นไปว่ามันเป็นความสุขหรือเป็นความดีความงามอะไรไปเสียอีกก็ได้ เพราะการชุ่มแช่นี้มันรู้โทษยาก เหมือนกับควายที่มันอยากจะนอนอยู่ในปลัก เพราะว่ามันมีความเย็น

ส่วนความรรู้สึกในด้านที่มันชุ่มแช่อยู่กับทุกข์โทษอะไรที่มันเป็นของเย็น เรียกว่า “ไฟเย็น” เพราะไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเป็นทุกข์หรือเป็นโทษอะไร แล้วบางทีมันก็อยากจะได้หรืออยากจะมีการชุ่มแช่อยู่ในลักษณะต่างๆ ที่เป็นความเพลิดเพลิน มันก็มีหลายอย่างเหมือนกัน ซึ่งเราควรจะเอาคำขนาบของพระพุทธเจ้าเอามาสอบสวนทบทวนดูว่า โรคชนิดนี้มันมีอยู่ในจิตในใจของเรากี่อย่างกี่ชั้น นั่นแหละจึงจะเป็นการชำระสะสางจิตใจของตัวเองให้แปรสภาพได้ คือว่าอย่าให้มันไปชุ่มแช่อยู่ในสิ่งเหล่านั้นเลย

ถ้าเราไม่ได้ตรวจสอบให้ได้รายละเอียดแล้ว การปฏิบัตินี้จะไม่ก้าวออกไปจากทุกข์จากโทษได้เลย เพราะความชุ่มแช่ในรสชาติของพวกราคะตัณหานี้ ก็มีอยู่อย่างละเอียดมาก ถ้าหากว่าไม่ได้ใช้สติปัญญากลั่นกรอง หรือว่าเลือกคัด ให้มันรู้สึกด้วยใจจริงแล้ว มันล้นแต่ยังตกหล่มจมปลักอยู่โดยที่ไม่รู้สึกตัว แล้วก็ไม่รู้สึกกลัวทุกข์โทษอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องใช้ปัญญาของตัวเองนี่แหละ เป็นเครื่องสอบเอาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มีความรู้สึกด้วยใจจริง แล้วมันจะได้ชำระชะล้างทุกข์โทษ ที่เป็นความคุ้นเคยของตัวที่มีอยู่แต่ก่อนให้ทุเลาเบาบางไป อย่าให้มันพอกหนาเข้ามา แม้ว่าเราไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วช้าลามกที่เป็นขั้นหยาบๆ ก็ตาม เช่นเป็นคนไม่มีศีลเป็นคนทุศีลเป็นต้น

แต่ถึงกระนั้นมันก็มาในเรื่องของคนมีศีล แม้จะไม่บริสุทธิ์ครบถ้วนแต่ก็นับว่ามีศีลมากขึ้นแล้ว เพราะว่าความหยาบคายร้ายแรงอะไรนั่นได้เบาบางออกไปมาก จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเป็นความบริสุทธิ์ ทีนี้มันก็เกิดความทะนงตัวขึ้นมาว่า เรานี้มีศีลบริสุทธิ์ดีกว่าคนอื่น หรือดีกว่าเพื่อนพรหมจรรย์ด้วยกัน เพียงแต่มีการทะนงตัวขึ้นมาเท่านั้น มันก็เป็นลักษณะของเน่าในเปียกแฉะอีกแล้ว เพราะฉะนั้นแม้จะมีความบริสุทธิ์ในขั้นศีลก็อย่ามีความทะนงตัว เพราะการทะนงตัวมันทำให้เกิดเน่าในเปียกแฉะขึ้นมาทันที

ทีนี้ถ้าผ่านขั้นศีลไปได้ คือไม่มีการทะนงตัวในการมีศีลบริสุทธิ์ ต่อไปก็ถึงขั้นสมาธิ ซึ่งเป็นความสงบในด้านจิตใจ มันก็เกิดการทะนงตัวขึ้นมาอีกว่าจิตใจของมันสงบ แต่เพื่อนพรหมจรรย์คนอื่นนั้นฟุ้งซ่านไม่สงบ คือว่าสู้เราไม่ได้ เมื่อเกิดทะนงตัวขึ้นในขั้นของสมาธิอีก มันก็เน่าในเปียกแฉะขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง แต่ทั้งๆ ที่ไม่รุนแรงอะไร เพียงแต่คิดเย่อหยิ่งขึ้นมาในใจเท่านั้น มันเป็นการทะนงตัวขึ้นมาเช่นกัน ส่วนการวาจา นั้นแม้จะยังไม่ได้กล่าวออกไป เพียงแต่แสดงอาการอย่างนี้ก็เป็นลักษณะของ “เน่าใน” แล้ว

ฉะนั้นเมื่อผ่านขั้นสมาธิไปได้ โดยไม่มีการทะนงตัวแล้วก็มาถึงขั้นของปัญญาที่มีความรู้ความเห็นเรียกว่า “ญาณทัสนะ” ขึ้นมา มันก็เกิดทะนงตัวขึ้นมาอีกว่าคนอื่นไม่มีความรู้ความเห็นอะไรแจ่มแจ้งเหมือนตัว และตัวนี้ได้ ญาณทัสนะ เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว จึงเกิดทะนงตัวในขั้นของญาณทัสนะนั้นอีก อย่างนี้ก็เป็นการเน่าในเปียกแฉะอีกเหมือนกัน

เรื่องข้อปฏิบัตินี้มันต้องผ่านการตรวจการสอบให้สูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขั้นญาณหรือขั้นวิมุติ จะเป็นตทังควิมุติก็ตาม ที่เป็นการหลุดพ้นชั่วขณะหนึ่งๆ นี่มันก็เป็นของแสลงมากในเรื่องของเน่าในเปียกแฉะนี้ มันกินวงกว้างมาก เพราะมันกินทั้งด้านนอกด้านใน ที่จะมีความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจ มันเป็นความเน่าในชนิดที่ไม่รู้สึกตัวได้ง่ายๆ เลย เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์ที่ท่านหมดอาสวกิเลสแล้ว จึงเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ครบถ้วนทั้งกาย วาจา ใจด้วย แต่ตามธรรมดาสามัญชนนี้ มันยังมีโรคกิเลสอยู่หลายๆ อย่าง

การปฏิบัตินี้เมื่อไม่ได้ตรวจสอบรอบรู้ โดยอาศัยหลักคำขนาบเข้ามาสอบแล้ว มันก็ไม่สามารถรู้ตัวได้ง่ายๆ เลย ยิ่งจะมีการทะนงตัวสูงขึ้นๆ เรื่อยไปทีเดียว เพราะฉะนั้นจะต้องสำรวจตรวจสอบรอบรู้ให้ดี เพื่อว่าจะได้เป็นการขัดเกลาบรรเทาทุกข์โทษ ที่มันก่อเกิดขึ้นมาปรุงจิตในแง่ผิดถูกต่างๆ เพราะว่ามันคอยแต่จะเอื้อมเอาทั้งนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องอ่านตัวเองให้เป็นการรอบรู้ทุกข์โทษ ที่มันจะไปยึดถือดีชั่วตัวตนขึ้นมาในลักษณะต่างๆ ดังนั้นจะต้องเป็นการหยุดดีกว่า คือว่าไม่สนใจที่จะไปหมายหรือไปปรุง ในลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากหยุดดูเรื่องของตัวเองเท่านั้น

เพราะฉะนั้นการตรวจสอบรอบรู้จิตใจของตัวเองอยู่เป็นประจำ จึงเป็นการทำลายทุกข์โทษที่มันจะเกิดขึ้นทุกๆ ขณะ ตลอดทุกอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน อย่าให้จิตมันออกไปหาเรื่องยึดถือเป็นตัวเรา ตัวเขา หรือดีชั่ว ถูกผิด อะไรเหล่านี้จะต้องปิดประตูดูจิตใจของตัวเองตะพึดตะพือไปทีเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของใคร ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วนั่นแหละเป็นการรักษาอินทรีย์ให้บริสุทธิ์ให้พร้อมทั้ง กาย วาจา และจิตใจทั้งหมดทีเดียว

เป็นการสอบได้ว่าข้อปฏิบัติของเรานี้ มีความเจริญขึ้น หรือว่ามีการเสื่อมลงก็ตรงนี้เอง คือตรงที่ว่าแต่ก่อนนั้นมันมีความทะนงตัวอวดรู้ดีอวดรู้ถูก มาเดี๋ยวนี้มันลดลงบ้างแล้ว ถ้าหากว่าพวกนี้ลดลงได้ ทิฏฐิมานะก็ลดลงเหมือนกัน เมื่อทิฏฐิมานะลดลงได้ก็แปลว่าการปฏิบัติก็ก้าวหน้า คือก้าวออกไปจากพวกนี้เอง เพราะตามความเคยชินของมัน มันชอบไปดูโทษข้างนอก แล้วก็มีการเย่อหยิ่งจองหองไปในลักษณะต่างๆ บางทีก็พูดกันเพ้อเจ้อไปในเรื่องเพ่งเล็กขยายวงกว้างออกไปอีก อย่างนี้มันก็ทุศีลแล้วทุศีลอีกมากมาย แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์เป็นโทษอะไร มันก็เลยยิ่งเน่าในเปียกแฉะหนักเขาไปอีก

เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติจะต้องเข้ามาสำรวจตรวจโทษของตัวเองอยู่ตลอดเวลาและทุกอิริยาบถจึงจะได้ นั่นแหละจะมีศีล สมาธิ ปัญญาครบถ้วน แล้วทุกข์โทษอะไรก็ลดน้อยลงไป เพราะไม่ได้ไปเอาใจใส่ในการที่จะไปมองออกข้างนอก มันเฝ้าแต่มองดูตัวเองหรือดูจิตใจของตัวเองอยู่แม้จะมีทุกข์โทษอะไรเกิดขึ้นก็เพียรเผามันทีเดียว ไม่ยอมปล่อยให้กิเลสมันเข้ามาเผาจิตใจได้ เมื่อการปฏิบัติถูกควบคุมอย่างนี้ทุกอิริยาบถได้แล้ว นั่นแหละจึงจะเรียกว่าเป็นผู้ได้เพียรเผากิเลส ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางคืนและกลางวัน แล้วก็ทำให้รู้ได้ว่าจิตใจนี่มันถูกกิเลสเผาน้อยลง แม้ว่ายังไม่เด็ดขาดไปทีเดียว แต่ก็ยังเป็นความรู้สึกได้ด้วยใจจริงว่า เดี๋ยวนี้ถูกกิเลสเผาน้อยลงแล้ว แต่เราเป็นฝ่ายเผากิเลสได้มากขึ้น ต่อไปก็ต้องเพียรอย่างนี้เรื่อยไปทีเดียว เพราะวันเวลาของชีวิตมันก็ล่วงไปๆ อยู่ตลอดเวลาแล้ว

ที่เตรียมพร้อมอยู่นี้ก็คือมีสติควบคุมอยู่เสมอ รอบรู้จิตใจของตัวเองอยู่เรื่อยๆ โดยพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ทำให้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่เป็นประจำ เรื่องผิดถูก ดีชั่ว ตัวเรา ตัวเขา นี่ก็จะได้ผอมลงเรื่อยไป คือมันไม่ก่อรูป ก่อเรื่อง มาปรุงแต่งให้จิตใจเร่าร้อนหรือเศร้าหมองไป เพราะความยึดมั่นถือมั่นแต่ประการใด ถ้ามีความรู้สึกตัวได้อย่างนี้แล้ว ตลอดเวลาที่มีการอบรมมาในพรรษานี้ ก็จะต้องมีการก้าวหน้าต่อไปอีก เพราะการควบคุมจิตใจนี่มันเป็นของสำคัญที่สุด เราจะต้องพยายามให้เต็มความสามารถอยู่เสมอ แล้วก็จะเดินไปในแนวทางที่ถูกต้องได้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงจะเป็นการปฏิบัติตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องเรื่อยไป

ถ้าทำอย่างนี้ตลอดไปได้ ก็เป็นอันว่าทุกข์โทษนานัปการมันจะลดน้อยถอยกำลังไป จิตใจนี้จะมีความเป็นอิสระสูงขึ้นมาได้ตามลำดับ แล้วก็ควรพยายามอยู่ในเรื่องนี้เรื่องเดียวเรื่องอื่นๆ มันไม่สำคัญ ถ้าหากว่าเราไม่ไปสนใจกับเรื่องภายนอกแล้ว ความรู้ภายในนี่มันจะเป็นอิสระได้เรื่อยไปทีเดียว ถึงแม้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างไรก็กวาดทิ้งไป ปล่อยวางมันเสีย อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แล้วทุกข์โทษทั้งหลายมันก็ดับสลายตัวไปหมด เพราะการปฏิบัติธรรมมันได้ดับทุกข์ดับโทษในชีวิตประจำวันได้อย่างงดงามทีเดียว นับว่ากินข้าวไม่เสียข้าวสุกแน่ เพราะว่ามันได้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องทางกาย วาจา และจิตใจขึ้นมาแทน ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจึงเป็นของสำคัญยิ่งของชีวิต ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมแล้วทุกข์โทษทั้งหลายจะท่วมทับจิตใจสักขนาดไหน ก็เป็นที่รู้กันอยู่ ตามที่ได้ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่จะก้าวหน้าไปสู่จุดหมายปลายทางคือ ความดับทุกข์นั้นมันเป็นของเฉพาะตัวด้วยกันทุกคน แล้วก็จะต้องพยายามให้เต็มสติกำลังทีเดียว ในขณะที่ยังมีโอกาสอยู่ อย่าทำลายวันเวลาอันมีค่าของชีวิต ให้หมดเปลืองไปกับเรื่องไม่เป็นสาระเลย เพราะว่าเราต้องการจะทำให้วันเวลาของชีวิตนี้มีความสว่างรุ่งเรืองด้วยสติปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องดับทุกข์ดับกิเลสได้ตามสมควร แล้วก็ชักชวนหรือส่งเสริมกันให้ก้าวหน้าไปอย่างนี้ เรื่องอื่นๆ อย่าไปเกี่ยวข้อง อย่าไปสนใจเลย เพราะเรื่องข้างนอกล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น มันเป็นมายาทั้งหมดทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก ถ้าไปเอาใจใส่เข้าแล้ว มันจะยิ่งเน่าในเปียกแฉะมากขึ้นอีกก็ได้ เหมือนกับดินพอกหางหมูต้องระวังให้ดี

ทีนี้เราคอยขัดคอยชะล้างมันอยู่ ทำให้จิตใจนี้มีความสะอาดขึ้นมาได้ ความเศร้าหมองขุ่นมัวอะไรมันก็ดับสลายตัวไปหมดแล้ว เหลือแต่จิตที่มีความสงบหรือมีความว่างอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วก็รักษาสมรรถภาพของจิตอย่างนี้ ให้ติดต่อเอาไว้ทุกอิริยาบถทีเดียว ถ้ามีการปรุงแต่งยึดถืออะไรขึ้นมาก็รีบปล่อยวางหรือกวาดทิ้งไปเสีย อย่าไปเก็บเอามาไว้ให้มันรกอกรกใจ ถ้าหากว่าเราหมั่นกวาดหมั่นชะหมั่นล้างอยู่เสมอแล้ว สิ่งสกปรกนานัปการเหล่านั้น มันก็ดับสลายหายตัวไปหมดเหลือแต่สภาวะของจิตที่มีความสงบว่างอยู่เดี๋ยวนี้ได้ทุกๆ ขณะ เหตุนี้การปฏิบัติธรรมมันมีผลพ้นทุกข์ได้ต่อหน้าต่อตาทุกขณะทีเดียว ทั้งๆ ที่เราจะต้องผจญกับกิเลสนานาชนิดที่มันเกิดขึ้น ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ตาม แต่ว่าถ้ารู้จักมองรู้จักพิจารณาให้เห็นในแง่ของความเป็นของว่าง ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งหมดนี้ มันก็หมดเรื่อง เพราะว่าภาพของมายาทั้งหลายนี้ มันปรากฏเกิดๆ ดับๆ ไปตามเรื่องตามราวของมัน แต่เราอย่าไปยึดถือเท่านั้นมันก็หมดเรื่อง เพราะฉะนั้นเรื่องราวอะไรทั้งหลาย ไม่ว่าเรื่องอดีต อนาคต มันจะสลายตัวไปทุกๆ ขณะ ไม่มีอะไรเป็นจริงเลย

เฉพาะปรากฏการณ์ที่เป็นธรรมชาติของจิต ที่มีความว่าง มีความสงบนี้ มันรู้ได้ เห็นได้ แล้วสภาวะอย่างนี้ก็ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลาด้วย ที่จะเห็นได้โดยปัจจัตตัง เพราะฉะนั้นเราต้องเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติภายในให้เป็นการรู้แจ่มแจ้งเอาไว้ให้ได้ ส่วนมายาภายนอกมันก็เกิดๆ ดับๆ ไปตามสภาพของมันเท่านั้น แต่ภาวะที่เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้น มันมีอยู่ข้างในเหมือนกับเรามีพระขัดเงาอยู่องค์หนึ่ง ถ้าหมั่นขัดไม่ให้มันเกิดสนิมแล้ว พระขัดเงาองค์นี้ก็จะบริสุทธิ์ผ่องใส เพราะไม่มีสนิมเข้าจับ

เมื่อหมั่นขัดให้ดีแล้ว เราจะมีพระขัดเงาที่น่าไหว้น่ากราบอยู่ภายในจิตใจของเรานี่เอง เพราะการที่ไปไหว้ไปกราบพระข้างนอกนั้น มันหลงไหว้หลงกราบันมามากมายแล้วทั้งนั้น สำหรับพระที่ขัดเงางดงามอยู่ในจิตใจนี้ยังไม่เคยรู้จักก็ควรรู้จักเสีย คือ หมั่นขัดเงากิเลสออกไปแล้วจะพบเอง เพราะมันว่างมันสงบ มันบริสุทธิ์ได้นี่เอง ไม่ว่าจะเป็นขณะเล็กขณะน้อยก็ให้พบพระในใจเสียก่อน ความที่ไปยึดถือพระข้างนอกนั้น มันจะได้หมดเรื่องไปเสีย ทั้งนี้เป็นปัจจัตตัง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะไปหลงพระข้างนอกนั่นมากกว่าและเที่ยวไปหาพระข้างนอกัน หรือจะต้องสร้างพระกันใหญ่โตรโหฐานนั่นเอาไว้สำหรับหลอกคนโง่ที่แห่กันไปบูชา ไปกราบ ไปไหว้ พระที่สร้างด้วยอิฐด้วยปูนหรือด้วยทองเหลืองทองแดงอะไรก็สุดแท้

ทีนี้โดยเฉพาะพระในใจนี้ไม่ต้องไปสร้างด้วยอะไรทั้งหมด แต่ขอให้เอากิเลสออกไปเสียก็พอ แล้วก็จะพบพระในใจ ถ้าใครต้องการจะพบพระในใจก็ต้องเพียรเผากิเลส และต้องคอยชำระชะล้างสิ่งสกปรกโสมมออกไปให้หมด อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แล้วพระในหรือพระจิตนี้จะได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง โดยไม่มีการเร่าร้อนเศร้าหมองแต่ประการใดเลย ฉะนั้นขอให้พยายามเข้าถึงพระที่สมมุติเรียกคือ พระใจหรือพระจิตนี่ดีกว่า อย่าไปหลงพระเปลือกนอกเลย เข้าถึงพระรัตนตรัยที่แท้จริงก็คือภายในนี่เอง ให้ชำระจิตให้หมดจดบริสุทธิ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะมาตรัสรู้กี่พระองค์ก็ตาม ท่านก็มีความเจาะจงอยู่อย่างเดียวกันทั้งหมด คือไม่ให้ทำบาป ทำกุศลให้เข้าถึงพร้อม แล้วก็ชำระจิตของตนให้ขาวรอบผ่องแผ้ว ทั้งสามข้อนี้เท่านั้นเป็นคำสอนโดยเฉพาะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวงที่ทรงสอนอย่างเดียวกันทั้งหมด แล้วเราก็ได้มาปฏิบัติ จนกระทั่งมีการชำระจิตของตนให้หมดจดบริสุทธิ์ได้ตามสมควรแก่สติปัญญา แล้วเราก็พบเข้ากับพระในใจนี่เอง พระข้างนอกก็เลยยกเลิกไปหมด ถึงจะกราบไหว้ก็กราบไปตามระเบียบเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องพระข้างนอก เมื่อได้รู้จักพระข้างในทั่วถึงแล้ว มันก็หมดเรื่องหลอกกันเสียที ถ้าไม่พบแล้วมันถูกหลอกเรื่อยไป ต่างคนต่างหลอกกันแล้วก็ต่างคนต่างยึดมั่นถือมั่นเอาแต่เรื่องข้างนอกทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติเพื่อให้พบพระข้างในเสียดีกว่า หมั่นชะล้างจิตใจให้ขาวให้สะอาดขึ้นมาให้ได้ และคอยรักษาจิตในขาวรอบอยู่ทุกอิริยาบถทีเดียว แล้วก็จะรู้สึกได้ด้วยใจจริงไม่ว่าขณะไหน ควรเอาเฉพาะอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าหลายอย่างแล้วมันจะพาเชือนแชไป ทั้งนี้ต้องคอยพิจารณาอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้าไปจนกระทั่งกลางคืน เพราะว่ามันเป็นโอกาสที่ฝึกได้ตลอดเวลา นอกจากจะนอนหลับไปเท่านั้น ฉะนั้นเราจะต้องมีการควบคุมรักษาจิตไว้ให้ดีที่สุด ที่จะทำได้ เมื่อรักษาไว้ได้ก็ย่อมมีความสะอาดหมดจดภายในจิตใจของเราเองทั้งนั้น ถ้าเราไม่ควบคุมไว้ให้ดีแล้ว พวกกิเลสนี่มันเหมือนกับโจรผู้ร้าย มันจะเข้ามาปล้นเอาไปเสียหมด เพราะเหตุนี้การรักษาศีลก็ไม่ใช่อะไร ก็คือการรักษาจิตให้มันบริสุทธิ์ครบถ้วนทั้ง กาย วาจา นั่นแหละ

ถึงแม้ว่าการทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องอื่นเหมือนกัน ก็เป็นการทำให้จิตนี้มีความสงบมีความตั้งมั่น เพื่อไม่ให้กิเลสมันเข้ามาเผามาปรุงเอา แล้วการมีสติปัญญาก็ไม่ใช่เรื่องอื่นอีกเช่นกัน ก็คือเครื่องพิจารณาทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหานานัปการที่มันจะเกิดขึ้น เพราะเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องมือสำหรับที่จะทำลายกิเลสทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดเรื่อยไป ไม่ใช่เป็นไปเรื่องอื่นเลย ทั้งนี้มันเป็นการปฏิบัติที่ตรงไปตรงมาอยู่ในตัวเองเท่านั้น แต่ว่าต้องมีความรอบรู้หลายๆ อย่าง เพราะเรื่องกิเลสนี่มันมีหลายอย่างหลายลักษณะเด้วยกัน แล้วมันก็มีมายาที่หลอกลวงหลายอย่างเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงต้องใช้สติปัญญาเป็นพี่เลี้ยงของจิต หรือเอาสติปัญญานี้มาเป็นกัลยาณมิตรของจิตเอาไว้ให้มากเป็นพิเศษ

นอกจากนั้นก็เอามันเป็นคนใช้ก็ได้ แต่ในฐานะที่ยังต้องพึ่งสติปัญญานี่ จะต้องทำให้เจริญขึ้น โดยจะต้องมีการเพียรเพ่งพิจารณา รู้จักดับทุกข์โทษของกิเลสที่มันเกิดขึ้นไม่ว่าขณะไหน แล้วตัวเองนี่จะได้รู้ว่าเป็นฝ่ายแพ้ หรือเป็นฝ่ายชนะ ทั้งนี้จะต้องสอบสวนอยู่ในตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี้ ที่เราได้ฝึกกันมาเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีก็สุดแท้ ต้องรู้สึกได้ว่าการปฏิบัติมันได้ทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหาอุปาทานให้ลดน้อยลงไปได้หรือไม่ แล้วควรจะพยายามก้าวหน้ากันต่อไปอย่างไร ตลอดเวลาทั้งกลางคืนกลางวัน โดยเฉพาะการอยู่คนเดียวนี้นับว่ามีประโยชน์มากกว่าการอยู่สองคน เพราะมันทำให้รู้เรื่องภายในละเอียดดี แต่สำหรับการอยู่คลุกคลีแล้วมีอันตรายมากที่สุด ถ้าไม่ฉลาดแล้วมันจะตกหล่มจมเหวจมไฟไปด้วยกันทั้งนั้นเลย เพราะว่าการคลุกคลีนี้แม้แต่พระอริยเจ้าที่ท่านสิ้นอาสวะแล้ว ก็มีความรักเกียจนักหนาทีเดียว

ฉะนั้นเราต้องอยู่ในฐานะผู้ประพฤติพรหมจรรย์ให้สมแก่เป็นผู้ประพฤติธรรม ควรอยู่ในลักษณะที่มีความเป็นอิสระของตัวเองให้มาก อย่าได้มีเรื่องดีชั่วตัวตนอะไรเข้ามาพูดเข้ามาเสนอเลย เพราะเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องสัพเพเหระ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่สมควรจะเอามาพูดจะเอามาคุยกัน ต้องปิดประตูดูข้างในได้เป็นการดีที่สุด จึงเป็นการเหมาะสมสำหรับผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อการดับทุกข์ดับกิเลสของตนเองโดยเฉพาะแล้วก็จะมีความก้าวหน้าไปได้อย่างเรียบร้อยและพ้นจากอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม

โดยเฉพาะเพื่อนที่เลวที่สุดนั้นคืออะไร เราจะต้องรู้จักมันเสียให้ดี ต้องรู้ว่าปาปมิตร นั่นคือกิเลส และปาปมิตร ก็คือ คนพูดชั่ว ทำชั่ว เหล่านี้ถ้าเราห่างไกลจากคนชั่วหรือจากสิ่งที่แวดล้อมด้วยกิเลสนานาชนิดแล้ว เราก็เป็นผู้เดินตามรอยของพระอริยเจ้าถูกทางยิ่งขึ้น เนื่องจากว่ารู้จักหลีกพ้นทางของยักษ์ของมารและของปีศาจสารพัดอย่างนี่แหละ เราเลือกเดินแต่ทางที่จะทำลายทุกข์โทษของกิเลสตัณหานานัปการให้หมด แล้วก็เดินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงชี้ไว้ให้เดิน

คือให้มีความเห็นชอบ หรือดำริชอบ วาจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ มีความเพียรชอบ มีสติชอบ มีความตั้งใจไว้ชอบ อย่างนี้เป็นแนวทางที่เดินกันได้แล้วก็เป็นไปเพื่อความเรียบร้อยราบรื่นไปทั้งนั้น ไม่ต้องมีเรื่องอะไรรบกวน เมื่อมีเรื่องราวรกรุงรัง เราก็ต้องพยายามกวาดทิ้งเรื่อยไป จึงจะทำให้ชีวิตนี้หลุดรอดออกมาเป็นอิสระได้ ว่างได้ สงบได้ เท่านี้ก็ยังนับว่าวันเวลาของชีวิตนั้นไม่เป็นหมัน เพราะทำให้สว่างไสวขึ้นมาได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว มันจะตกหล่มจมเหวจมไฟอยู่ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี่ ไม่สมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเลย มีแต่การทุศีลตลอดเวลา จะพูดจะจาอะไรก็ไม่มีมารยาทของคนประพฤติปฏิบัติ เพราะมันเป็นการทำตัวของตัวเองนี้ให้ตกหล่มจมเหวจมไฟอยู่ แล้วก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม หรือตัวเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ อย่างนี้มันเป็นความหลงของตัวเอง เพราะเป็นความบ้าหลังของตัวเองที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองนี้ยังตกหล่มจมปลักอยู่ในอะไร แล้วก็ไม่ได้แก้ไขให้ดีขึ้นมีแต่เลวลงอย่างนี้

นี่มันก็เป็นเครื่องแสดงอยู่ในตัวแล้ว มันเป็นเรื่องตกหล่มจมปลักอยู่ในตัวทีเดียว ถึงจะสวมเครื่องแบบไปจนตายมันก็อยู่อย่างนี้เอง ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่ทางที่จะดีขึ้นนั้นมันต้องรู้สึกตัวด้วยสติปัญญา ต้องเปลี่ยนแปลงกลับนิสัยใจคอเดิมได้เรื่อยไปทีเดียว แล้วก็รู้จักรังเกียจทุกข์โทษนานัปการ ทั้งที่ตัวเองแต่ก่อนไม่เคยเห็นทุกข์โทษ พอได้มีการพิจารณาตัวเองเข้า มันก็เห็นทุกข์โทษละเอียดเข้าทุกที แล้วก็ได้ชะล้างให้จางคลายออกไปเรื่อยๆ ถ้าใครเป็นผู้มีความประพฤติอย่างนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นกัลยาณมิตรของกันและกันได้ แต่ถ้าตรงกันข้ามก็เรียกว่าเป็นคนทุศีล หากใครเข้าใกล้สมาคมกับคนทุศีลแล้ว คนๆ นั้นก็จะกลายเป็นทุศีลไปด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ประพฤติตามก็ยังได้ชื่อว่าคนๆ นั้นมีเพื่อนชั่ว มีเกลอลามก เรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะต้องระวังให้ดีว่า การมีเพื่อนชั่วหรือมีมิตรลามกสกปรก นั่นแหละเป็นเครื่องหมายของคนทุศีลทั้งนั้น ต้องกลัวให้มาก ต้องละอายให้มากที่สุด

เพราะการทำตนเป็นคนทุศีลนี้มันชั่วช้านัก มันไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์แต่ก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มันเน่าในเปียกแฉะดุจบ่อเทขยะมูลฝอย ก็กลับมาเข้าใจว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้มันผิดหมดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมันต้องตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบแล้วสอบอีก เฉพาะสันดานของตัวเองนี้ไม่ใช่เป็นของรู้ได้ง่ายนัก แต่ได้อาศัยคำขนาบของพระพุทธเจ้าต้องเอามาขนาบตัวเองซึ่งจะต้องขนาบแล้วขนาบอีก เพื่อให้มันลดจำนวนทิฏฐิมานะ หรือกิเลสหยาบๆ ที่มันเป็นความรุนแรงขึ้นมาในลักษณะต่างๆ แล้วก็ให้รู้สึกกลัวและให้ละอายที่สุด

ถ้าไม่มีความกลัวหรือว่าไม่มีความละอายแล้ว ก็จะกลายเป็นคนดื้อด้านที่สุด เมื่อไม่กลัวทุกข์โทษสารพัดอย่างแล้ว ก็จะทำได้ จะพูดได้ จะคิดได้ ตามนิสัยของคนชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะถ้าเข้าถึงจิตใจของใครแล้ว จะคุ้มครองไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่วได้ แต่ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว มันสกปรกโสมมจมโคลนอยู่ตลอดเวลา กินข้าวก็เสียข้าวสุก เพราะว่าไม่ได้ทำคุณงามความดีให้คุ้มค่าของข้าวสุก การที่ได้กินเข้าไปนี้ก็เพราะผลความประพฤติดี ประพฤติชอบ แล้วก็เป็นผลกำไรของชีวิตประจำวันด้วย ทำให้ไม่มีหนี้สินที่จะติดตัวไปอีก จึงเป็นการใช้หนี้เสร็จไปในตัว

เพราะว่าการประพฤติให้มีศีลบริสุทธิ์เป็นขั้นต้น แล้วก็มีความควบคุมจิตใจให้มีความสงบ ไม่ให้แส่ส่ายไปในลักษณะต่างๆ ได้ นี่ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับที่จะพ้นทุกข์ของตัวเองทั้งนั้น เราจึงต้องสนใจให้มากเป็นพิเศษในเรื่องข้อปฏิบัตินี้ไม่ใช่ทำอย่างสะเพร่า ประเดี๋ยวก็รู้ดีรู้ถูก ประเดี๋ยวก็ไปหาเรื่องยึดถืออะไรต่ออะไรขึ้นมาวุ่นวานส่ายแส่ไปต่างๆ นานา นั่นมันเป็นลักษณะของคนบ้า

ถ้าเป็นคนดีมีสติแล้วทุกข์โทษนี้จะน้อยลงไป แม้ว่าจะผิดบ้างก็ยังพอรู้ตัวได้ ยังแก้ไขตัวเองถูก แล้วก็พยายามอยู่เสมอที่จะรักษาจิตใจให้มีความสงบ และรู้จักระมัดระวังกิริยามารยาทให้สมแก่เป็นผู้ปฏิบัติ จึงจะทำวันเวลาของชีวิตให้มีความสว่างไสวขึ้นมาได้ สิ่งไหนที่เป็นทุกข์เป็นโทษ ก็ตรวจดูทุกขณะที่จะเกิดขึ้นแก่จิตใจตัวเอง แล้วก็พยายามที่จะสะสางปัญหาชีวิตนี้ ให้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งขึ้นเสมอ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็สมแก่ชีวิตที่มีการปฏิบัติธรรมแท้ แต่ถ้าไม่มีความรู้สึกตัวเองอย่างนี้ มันทำทุกข์โทษให้แก่ตัวเองมากมายเหลือประมาณ ย่อมจะทำให้ชีวิตของตัวเองตกต่ำเรื่อยไป แล้วยิ่งจะทำให้วันเวลาของชีวิตนี้สะสมเชื้อโรคจัดเข้าทุกที แทนที่จะเป็นวันคืนของความสว่างมันกลับมืดมิดไป แล้วก็คิดดูเอาเองก็แล้วกัน



.................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง